ต่างคนต่างเหนื่อยกับความสัมพันธ์และต่างคนต่างกระหายฝันของตัวเองมากจนหาจุดสมดุลของความรักครั้งนี้ไม่เจอ กระหายฝันจนต้องสูญเสียคนรักไปจากชีวิต
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,อีโรติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
มูนเลือกเดรสสีโอรสพอดีตัวที่ขับกับผิวขาวนวลของเธอ แต่งหน้าอ่อนๆ แต้มกลิตเตอร์ที่เปลือกเล็กน้อย คู่กับกระเป๋า crossbodyใบโปรดสีดำ หยิบกุญแจรถเป้าหมายเพื่อไปแสดงความยินดีกับพี่เมฆในวันรับปริญญา เธอชวนมะลิไปเป็นเพื่อนด้วย ไปรับดอกไม้ที่โทรสั่งเอาไว้ก่อนจะไปถึงงาน
ท่ามกลางผู้คนคับคั่งเธอเดินหาพี่เมฆพร้อมดอกไม้ในมือใช้เวลาพักใหญ่ๆ กว่าจะหาตัวพี่เมฆเจอตามที่นัดหมายกันไว้ มีคนมากหน้าหลายตารายล้อมพี่เมฆอยู่ ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง มูนรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง แต่เธอสะดุดตากับผู้หญิงเสื้อแดงคือคนเดียวกันกับที่ถนนคนเดินเมื่อวันก่อน มูนใจกระตุกเบาๆ ก่อนจะตรงไปที่พี่เมฆ ไม่ได้ผลีผลามเข้าไปรอให้พี่เมฆสะดวกเสียก่อน “มูนครับ ทางนี้” เมฆไม่พูดเปล่า เอ่ยพร้อมกวักมือเรียกหยอยๆ
“ค่ะๆ ” มูลตอบรับ พร้อมเดินไปหาเมฆ
“มูนชวนมะลิมาด้วยนะ” พูดพร้อมชี้ไปทางมะลิที่คุยโทรศัพท์อยู่
“ครับๆ ”
“ยินดีด้วยนะคะพี่เมฆ” พูดพลางยื่นช่อดอกไม้ให้
“ให้นี่รู้ความหมายหรือเปล่า หรือว่าให้เฉยๆ ”
“รู้สิคะ รู้ดีด้วย ดอกทานตะวันตัวแทนความภักดี เหมือนดั่งที่ไม่เคยมองใครนอกเสียจากพระอาทิตย์” พูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มๆ
“ขอบคุณที่มานะครับ ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ ” ลูบหัวมูนเบาๆ
“มาสิคะ ทำไมจะไม่มา”
“ยินดีด้วยนะคะพี่เมฆ” มะลิว่า
“ขอบคุณที่มานะมะลิ”
“เดี๋ยวพี่ต้องไปถ่ายรูปรวมก่อน ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” พูดด้วยท่าทีรีบๆ พร้อมวิ่งไปโบกมือลาแล้วก็หายลับไปกับฝูงชน
“กลับกันเถอะมะลิ”
“โอเค”
เดินไปที่ลานจอดรถอย่างระมัดระวังทั้งผู้คนทั้งรถราแน่นขนัด “มะลิว่าผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้นเป็นอะไรกับพี่เมฆ” มูนถามเพื่อนสาวขณะขับรถ “ก็เพื่อนกันละมั้ง” มะลิพูดพร้อมทำหน้าเหมือนนึกอะไรบ้างอย่าง
“แต่ถ้าเป็นเพื่อนก็คงจะสนิทกันมากอยู่นะ” มะลิออกความเห็น
“หรือ...แฟนใหม่พี่เมฆ”
“ทางที่ดีคืออย่าคิดไปเอง อยากรู้ต้องถาม”
“บ้า จะถามก็แปลกๆ ป่าว ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”
“ก็จริง”
“มะลิหิวป่าว” มูนถาม
“นิดหน่อย”
“เพราะงั้นก่อนกลับบ้านแวะคาเฟ่กัน”
เป็นคาเฟ่เล็กๆ เงียบๆ ในร้านมีที่นั่งอยู่สองสามโต๊ะ เพื่อนรักนั่งเสวนากันอยู่พักหนึ่ง “มะลิว่าพี่เมฆกลับมาทำไม” มูนถามมะลิด้วยความสงสัย งงๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ชวนมางานรับปริญญาซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งที่ไม่ได้ติดต่อกันมาร่วมสองปี “คำเดิม อยากรู้ก็ต้องถาม เราจะมานั่งนึกเองไม่ได้” คำตอบธรรมดาของมะลิทำให้มูนฉุกคิดอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว เพราะตอนที่คบกับพี่เมฆ เธอสงสัยอะไรหรืออยากรู้อะไรก็ไม่ค่อยถามเอาแต่คิดไปเองซึ่งไม่มีทางรู้เลยว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง ส่วนอีกคนก็ไม่ค่อยอธิบายอะไรเลยจริงๆ การเงียบ การไม่ถาม บางทีก็มีข้อเสียเหมือนกัน เงียบสะสม เงียบจนต้องเปลี่ยนสถานะเป็นคนเคยรักหรือแฟนเก่า
ไม่นานก็กลับบ้านกัน มูนไปส่งมะลิที่บ้านก่อน ถึงบ้านของเธอก็เห็นแม่จัดแจงโต๊ะอาหารไว้รอแล้ว
“เป็นไงบ้างอะ?”
“แม่หมายถึงอะไร?”
“ก็..... กลับไปคบกับพี่เมฆคืนเหรอ?”
“เปล่า พี่เค้าแค่ชวนไปเฉย ๆ เองแม่”
“งั้นเหรอ”
มูนสาวเท้าขึ้นบันไดไปที่ห้องของเธอเดินตรงไปที่ระเบียงห้องกับตะวันโพล้เพล้รอดูพระจันทร์ ดื่มด่ำบรรยากาศที่เริ่มเห็นจันท์ชัดขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดตีหน้าเบาๆ กับใจที่จู่ๆ กลับเหี่ยวเฉาขึ้นมา คืนนี้พระจันทร์ไม่สวยเลย ไม่ได้ผิดที่ดวงจันทรา แต่ผิดที่ใจคนมองคือ มูน โทษารมณ์ คนนี้ต่างห่าง
เสียงไลน์ดังขึ้นมูนเดินเข้ามาหยิบสมาร์ทโฟนที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน
“อยู่ไหนครับ กลับบ้านยัง”
“อยู่บ้านค่ะ”
“ขอโทษนะครับวันนี้ชวนคุยไม่เยอะ ดูแลไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นไรเลย ก็พี่เมฆยุ่งนี่คะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ยังมาหากัน”
“พี่เมฆ ถามตรง ๆ นะ กลับมาทำไม” เธอรวบรวมความกล้ามหาศาลกว่าจะกล้าส่งข้อความอะไรแบบนี้กลับไป แต่ครั้นปล่อยไว้ก็คลุมเครือ ถามให้กระจ่างไปเลยยังดีกว่า อย่างที่มะลิบอก สงสัยก็ต้องถาม
“ถ้าบอกตรงๆ มูนจะเชื่อไหมว่าสองปีที่หายไปพี่คิดถึงมูนตลอด ยิ่งหายก็ยิ่งชัดขึ้นว่าอยากมีมูนอยู่ในชีวิต ไม่รู้ว่ามูนจะคิดเหมือนพี่หรือเปล่า แต่ก็ขอบคุณที่ไม่หายไปไหน ขอบคุณที่ยังยินดีกับพี่ แต่พี่ไม่รู้จะเข้าหามูนอีกครั้งยังไงดี พี่รู้ว่าถ้าชวนมางานแบบนี้มูนไม่ปฏิเสธแน่ๆ พี่รู้ดี” เมฆพิมพ์ไปขณะที่กระบอกตาเริ่มร้อนขึ้น น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“ใช่ พี่เมฆรู้จักมูนดี” มูนตอบกลับเพียงแค่นี้ ไม่ได้สาธยายอะไรให้พี่เมฆได้รับรู้ความรู้สึก และบทสนาก็จบลง
มูนเดินกลับไปที่ระเบียงอีกรอบมองเมียงพระจันทร์ ดวงดาวประกายระยิบระยับ แม้เธอจะมองว่าคืนนี้จันท์ไม่สวยนักก็ยังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น ยืนมองจนอิ่ม ยืนมองจนพอใจก่อนจะลงไปเล่นกับเจ้าละม่อมและมีเสียงทีวี เสียงแม่ก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่กับจักรเย็บผ้าของเธอ
“แม่กับพ่อเคยไม่เข้าใจกันไหมคะ”
“เคยสิลูก” แม่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าพี่เมฆกลับมา แม่คิดว่าหนูควรทำยังไงดีคะ หนูควรกลับไปดีไหมคะแม่”
“กลับไม่กลับขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมูนนะลูก ส่วนในอนาคตจะดีหรือไม่ดีก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกลูก แม้กระทั่งพี่เมฆหรือมูน ถ้าลูกทั้งสองยังรักกันจะกลับไปอยู่สถานะเดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด อย่ากังวลกับอนาคตมากเกินไปจนสูญเสียเวลากับปัจจุบันเลย แม่รักมูนนะลูก ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง แม่จะอยู่ข้างๆ มูนเอง”
“ดึกแล้วลูก ขึ้นไปนอนเถอะ”
“ค่ะแม่”
ยี่สิบสองนาฬิกาสี่สิบนาทีเสียงไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง มูนเอื้อมมือหยิบสมาร์ทโฟนมาดูเป็นข้อความจากพี่เมฆ “ถ้าพี่อยากจะทำให้มูนรักพี่เหมือนเดิม อยากอยู่กับพี่เหมือนที่ผ่านมา พี่ต้องทำยังไง อยากเป็นคนสำคัญในชีวิตเหมือนเคยแต่รักษามันไว้ไม่ได้ ถ้าพี่ขอโอกาสอีกครั้ง มันดูมากไปไหม” เธอกดอ่านข้อความที่พี่เมฆส่งมา กึ่งดีใจ กึ่งสงสัย ดีใจที่พี่เมฆยังรู้สึกแบบเดียวกับเธอ อีกใจก็สงสัยว่าผู้หญิงที่เจอที่ถนนคนเดิน ผู้หญิงเสื้อแดงคนที่เห็นวันนี้คือใคร
“แล้วแฟนพี่เมฆละคะ” ไม่คิดไปเองอีกต่อไปแล้ว ถามก็ถาม สงสัยก็ต้องถาม มะลิบอกไว้
“แฟน...? พี่ไม่มีแฟน เลิกกับมูนก็ไม่มีใครอีกเลย”
“ผู้หญิงเสื้อแดงละคะ”
“ฮะ! นั่นพี่ปุ้ย เป็นญาติกัน ลูกของลุงที่เรียนต่างประเทศไง ที่พี่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ แต่มูนกับพี่ปุ้ยไม่เคยเจอกันสักที เพราะ.... เพราะเลิกกันก่อน”
“...” มูนยิ้มกับข้อความที่พี่เมฆส่งมา
“ถ้าพรุ่งนี้พี่ชวนไปเที่ยวหรือชวนไปคาเฟ่หรือที่ไหนก็ได้ที่มีพี่กับมูน มูนจะไปไหม ยังอยากไปกับพี่อยู่ไหม”
มูนหายจากบทสนทนากับพี่เมฆสักพักใหญ่ๆ เพราะโทรไปปรึกษามะลิ คำตอบที่ได้คือไม่ต่างจากแม่ ถ้าเป็นข้อสอบอาจารย์คงคิดว่าลอกกัน คงเจอปรับตกทั้งคู่แน่ๆ
“ชวนก็ไป” เก็บอาการมากแม้ว่าในใจจะปริ่มมากก็ตาม
“งั้นพรุ่งนี้สิบโมงพี่ไปรับนะ อยากไปจริงปะเนี่ย ไม่ใช่เพราะเกรงใจนะ”
“อยากไปจริง พรุ่งนี้รอนะคะ”