ชีวิตของสาวน้อยที่แสนจะอันทนทุกข์ทรมานมานานแสนน่ากำลังจะหมดไป เมื่อได้หนีออกมาจากเกาะนรก โพรทาเลีย แจ็กสัน กำลังได้กลับสู่ครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็ยังมีอุปสรรคเข้ามาขวางเธออยู่ดี เธอจะทำไงดีล่ะเนี่ย?
แฟนตาซี,ผจญภัย,แฟนตาซี,YukiCoCo,เพอร์ซีย์,percy,สายเลือดโพไซดอนที่หายสาบสูญ,สายเลือดโพไซดอน,สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสายสูญ,สายเลือดกรีก,แฟนฟิคเพอร์ซีย์,แฟนฟิคสายเลือดเทพ,แฟนฟิค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[Fanfiction percy jacesok] สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสาบสูญชีวิตของสาวน้อยที่แสนจะอันทนทุกข์ทรมานมานานแสนน่ากำลังจะหมดไป เมื่อได้หนีออกมาจากเกาะนรก โพรทาเลีย แจ็กสัน กำลังได้กลับสู่ครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็ยังมีอุปสรรคเข้ามาขวางเธออยู่ดี เธอจะทำไงดีล่ะเนี่ย?
คำอธิบายจากนักเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่แต่งฟิครุ่นลูกของ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน
เพอร์ซีย์ แจ็กสันคือใคร เขาคือบุตรชายของโพไซดอน จากผู้เขียน ริก ไรออร์แดน
เนื้อเรื่องนิยายนั้นทำให้นักเขียนชอบเรื่องนี้มากๆจนเอามาแต่งแฟนฟิคเกี่ยวกับรุ่นลูกต่อ
แต่นิยายแฟนฟิคนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกอย่างเดียว แต่อาจจะมีเอาตัวละครจากนิยายมาใช้กันเพื่อ
ประกอบเนื้อเรื่อง และมีตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นและนำมาปรับเนื้อเรื่องใหม่ให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องของนิยาย
---------------------------------------------------------------------
บทนำของเรื่อง
ชีวิตที่โหดร้ายกำลังจะจบลงเมื่อสาวน้อยมีนามว่า โพรทาเลีย แจ็กสัน ได้หนีออกจากเกาะที่ขังเธอเอาไว้นานถึง 8 กว่าปี เธอได้หนีออกมาได้แล้วแต่ก็ต้องหนีจากการตามล่าของอมนุษย์ที่ตามมาด้วยคำสั่งของคคคนที่่ขังเธอ แซเทิร์น เทพฝาแฝดของโคนอส [ปล.ในประวัติศาสตร์กรีกไม่ใช่แบบนั้น แซเทิร์นคือร่างโรมันของโคนอส จำไว้นะจ้ะ แต่ในเรื่องแบ่งออกมาเป็นฝาแฝดของแซเทิร์นก็เหมือนเงามืดของโคนอสนั้นเอง]
เธอจะหนีรอดหรือไหม? แล้วเธอจะได้กลับไปเจอครอบครัวไหม? เรื่องร้ายๆจะจบลงไหม? ชีวิตของเธอจะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย?
------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับโลกเวทมนตร์ในนิยายแฟนฟิคของเราอย่างเรื่อง
เด็กหญิงที่เหลือรอด นะคะไปติดตามกันได้นะ
------------------------------------------------------------------------
กำหนดการการลงนิยาย
ลงทุกๆวัน เสาร์ เวลา 17:00น.
------------------------------------------------------------------------
ปล.1 สวัสดีทุกคนที่เคยติดตามงานของยูกิโคโค่นะคะ ขอโทษทีลบอันเก่าออกไป เพราะอยากเปลี่ยนใหม่หมดให้จบจริงๆ เพราะตอนแรกมันตันนะคะ ครั้งนี้เลยอยากให้จบจริงๆเลยล่ะคะ ใครที่ยังติดตามทางนี้อยู่ไปตลอด ก็ขอบคุณมากๆนะคะ ส่วนใครที่มาใหม่ โปรดเข้าใจว่านี้เป็นนิยายฟิคนิยายจากเรื่อง เพอร์ซีย์แจ็กสัน ส่วนอันนี้เป็นนิยายรุ่นลูกนะคะ แต่งฟิคเล่นๆสนุกๆจนให้จบแน่ๆค่ะ
ปล.2 นิยายฟรีๆให้อ่านสนุกนะคะ อิอิ
ตอนที่ 31 ความอยากรู้จนเจ็บตัว
เมื่อลิซ่าอธิบายเรื่องเมื่อคืนทุกระเบียบนิ้วให้โอราอุสฟัง อีกฝ่ายก็ฟังอย่างตั้งใจอย่างมากๆๆ เขาไม่คิดว่าปีศาจตนนั้นจะล่อลวงน้องสาวเขาออกไปนอกพื้นที่ที่มีคนเยอะได้แบบนี้ เขาก็ไม่นึกว่าโฟกัสจะไปจริงๆ ถ้าน้องสาวรู้ว่าลายมือนั้นไม่ใช่ของพ่อ แต่ก็ยอมไป แปลว่าน้องสาวนั้นรู้อยู่ว่าคนที่ส่งจดหมายเป็นใคร ทำให้โอราอุสเครียดหน่อยๆ เลยว่าทำไมน้องยอมทำแบบนี้กัน แต่ก็ดีที่น้องสาวไม่เป็นอะไรมาก เพราะลิซ่ากับโพรทาเลีย
“เฮ้อ...แต่ก็โล่งใจที่โฟกัสไม่เป็นอะไรมากน่านะ ขอบใจเธอและโพรทาเลียด้วยนะ ที่ช่วยโฟกัสไว้นะ”
"อืม พวกข้าต้องการช่วยคนที่กำลังลำบากนี่นาและอีกอย่างโพรทาเลียตอนนั้นก็เดือดจนไฟลุกไปทั้งตัวจนทำให้ฉันตกใจหน่อยๆ น่านะ แต่ดีที่ไม่เป็นอะไรนะ"
“เอ๊ะ ที่เธอเล่าให้ฟังสินะ มันเพราะอะไรนะ?”
“จากที่ฉันฟังจากโพรทาเลียรู้สึกนั้นจะเป็นพลังจากอดีตชาติของเธอนะ”
“อดีตชาติเหรอ? อันนี้ฉันไม่เคยได้ยินเลยนะนั้น”
“ก็จริงน่านะ โพรทาเลียไม่ค่อยอยากบอกใครว่าเธอมีชะตากรรมหลายอย่างที่เธอต้องเจอนะ”
“งั้นเหรอ...” โอราอุสคิดหลายอย่างจน เขาคิดเลยว่าน้องสาวเขานั้นช่างเป็นเด็กที่เจอแต่เรื่องเลวร้าย “น้องสาวฉันเจอแต่อะไรกันนะ...”
“อืม เด็กคนนั้นลำบากมากๆ มาตลอดน่านะ”
“เฮ้อ...”
ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกัน พอพวกเขารู้ว่าต่างฝ่ายต่างถอนหายใจพร้อมกันทำเอาหัวเราะกันทันที พอคุยเรื่องเมื่อคืนจบ โอราอุสก็ชวนโฟกัสทานขนมที่เขาทำต่อ พวกเขาคุยกันจนตกดึก ทำให้โอราอุสตกใจที่ทั้งสองคนคุยกันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนลืมเวลาไปเลย เขาอาสาพาอีกฝ่ายไปส่งที่สถานพยาบาลทันที พวกเขาเดินไปก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ
“เฮ้อ...ไม่นึกว่าจะคุยกันดึกแบบนี้นะ”
“จริงด้วยนะ ไม่คิดว่าข้าจะคุยกับใครได้นานแบบนี้นะ” ลิซ่ารู้สึกการได้อยู่กับอีกฝ่ายนั้นมีความสุขกว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุข
“เธอไม่เคยคุยกับใครในค่ายเลยเหรอ?”
“คุย แต่ก็คุยแค่เรื่อยเปื่อย เพราะไม่มีคนรู้ตัวจริงของข้า นอกจากพวกเจ้า...”
“อ๊ะ จริงด้วย...” โอราอุสพึ่งนึกออก เขาลูบต้นคอเขาอย่างเขินๆ
เขาลืมไปว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเทพี เป็นธิดาของโครนอส ถ้าคนในค่ายรู้ เธอคงถูกจับตามองและเหล่าเทพีคงพาเธอไปอยู่ข้างบนเขาโอลิมปัสนั้น เขาคงไม่ได้เจอเธออีกแน่ๆ ไม่รู้ทำไมพอเขาคิดว่าถ้าไม่มีอีกฝ่ายแล้ว เขาคงรู้สึกเหงามากๆ แน่ๆ เขาไม่อยากจากหญิงตรงหน้าของเขาไปเลย โอราอุสเผลอเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนมือของเขาเข้าไปจับมือของเธอ ลิซ่าตกใจหน่อยๆ ที่มืออีกฝ่ายมาจับมือของเธอ
“อ๊ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย โอราอุสหันไปมอง เขามองเธอที่มองลงข้างล่าง เขาเห็นมือของเขากำลังจับมือเธอ “อ๊ะ ขอโทษ...คือฉัน!!”
โอราอุสกำลังจะปล่อยมืออีกฝ่ายออก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ปล่อยมืออีกฝ่าย โอราอุสมองอย่างสงสัยทันที
“อลิ...ซ่าเบ็ธ...”
“จะผิดไหมที่ข้าอยากจับมือกับชายที่ข้ารู้สึกมีใจให้แก่เขานะ...” ลิซ่าพูดทั้งใบหน้าที่กำลังแดงระรื่น
โอราอุสที่ได้ฟังแบบนั้น ทำเอาใบหน้าของเขานั้นแดงขึ้นมา “มะ...มีใจ...”
เขาถึงกับหลบหน้าอีกฝ่ายทันที เขาไม่นึกว่าเธอจะมีใจให้แก่เขาได้ ทั้งสองไม่พูดอะไรกันเลยระหว่างนั้น มีแต่เดินจับมือกันไปเงียบๆ พวกเขาเดินกันจนมาถึงสถานพยาบาล โอราอุสกำลังคิดว่าจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี แต่ก็อยากบอกลาแบบดีๆ ลิซ่าเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของเธอ นั้นทำให้เธอคิดบางอย่างคิดในสิ่งที่เธอคิดว่านั้นน่าจะดีสำหรับการบอกลา เธอเขยิบเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย ค่อยๆ ยืดตัวเข้าหาอีกฝ่าย เธอจุมพิตข้างแก้มอีกฝ่าย นั้นทำให้โอราอุสจ้องมองจนสถานการณ์ตรงนั้นมันนิ่งเงียบ
“ข้ามีใจให้เจ้าแบบนี้แล้ว เจ้าล่ะมีใจให้ข้าหรือไหม?”
“คะ...คือ...” โอราอุสยังยืนนิ่งอยู่ เขาปรับสติตัวเองไม่ถูกเลย
ลิซ่ายกนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากอีกฝ่าย “อย่าพึ่งตอนนี้ก็ได้...ข้านะอยากให้เจ้าแสดงให้ข้าเห็นมากกว่า ว่าเจ้ามีใจให้ข้าไหม? ขอบคุณที่เลี้ยงขนมนะ แล้วก็กลับบ้านพักดีๆ นะ”
ลิซ่ารีบเดินเข้าไปสถานพยาบาลทันที เธอรีบเดินไปหาโพรทาเลียที่พัก ปล่อยให้โอราอุสมีสีหน้าที่แดงแบบแดงเป็นลูกมะเขือเทศอยู่ตรงนั้น เขาไม่นึกว่าหญิงสาวที่เขาเอาแต่จ้องมองในฐานะคนที่ดูแลน้องสาวเขาให้มาตลอด และเป็นธิดาของโครนอสจะมาสารภาพรักกับเขาว่าเธอรู้สึกมีใจให้เขา เขาควรทำไงดี
“นี่ฉัน...ควรทำยังไงดี”
โอราอุสเดินกลับไปอย่างสับสนว่าตนเองควรทำยังไงดี ลิซ่าที่กำลังเดินเข้ามายังสถานพยาบาล เธอนั้นมีหน้าแดงอย่างมาก เธอไม่นึกว่าตัวเองจะกล้าพูดแบบนั้นไป ตอนที่สัมผัสได้ถึงมืออันเรียวใหญ่ที่กำลังสัมผัสมืออันผอมบางของเธออย่างอ่อนโยน ทำให้จิตใจเธออยู่ไม่เป็นสุข หลายครั้งที่เธออยู่กับเขาในทุกๆ วัน ทุกๆ ครั้งที่มีการฝึก เธอเอาแต่มองเขาที่ทั้งเก่ง และใจดีจนสาวๆ ต่างชอบใจมากๆ จนเธอก็แอบอิจฉาสาวๆ พวกนั้นที่สามารถมีความรักโดยไม่ต้องกังวลใจเรื่องชีวิตอันสั้น แต่ตัวเธอนั้นมีชีวิตยังยืนยาว จนเธอหวาดกลัวว่าคนรักเธอตายไป เธอจะอยู่กับใครจนโอราอุสเข้ามาหาเธอและพูดถึงเรื่องชีวิตและความรัก
‘ฉันนะไม่สนหรอกว่าจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน ฉันสนอย่างเดียว’
‘สนอย่างเดียว?’
‘ว่าฉันจะใช้ทุกชีวิตเวลากับเธอคนนั้นมากแค่ไหนและจะได้อยู่ข้างกายเธอคนนั้นจนฉันหมดลมหายใจไหมนะ’
คำพูดอีกฝ่ายนั้นทำให้ใจของลิซ่านั้นเปิดกว้างมากขึ้น นั้นทำให้เธออยากเปิดใจกับความรักใหม่ อีกฝ่ายเข้ามาทำให้เธอรู้สึกเริ่มสนใจเขามากขึ้นไปอีก จนตอนนี้เธอสารภาพความในใจออกไป เธอนึกถึงตอนนั้นใบหน้าเธอก็แดงขึ้นมาอีก พอเธอเดินไปสักพัก เธอมาถึงที่เตียงที่โพรทาเลียนอนก็ต้องตกใจเมื่อมีคนกำลังจ้องมองเธอกลับมา
“เย้ย!” ลิซ่าตกใจเมื่อเห็นสองสาวตัวน้อยของเธอ กำลังจ้องมองเธออย่างเซ็งๆ ลิซ่าถึงกับเหงื่อตกเลยที่พวกเธอทั้งสองคนยังไม่นอนกัน “ดึกขนาดนี้แล้วพวกเจ้าสองคนยังไม่นอนอีกเหรอ คีย์ คาเร็นน่า”
“ก็พอคร่อมโฟกัสจนหลับไปตั้งแต่ 2 ทุ่ม ก็รอพี่สาวว่าจะกลับมาเมื่อไร จนตอนนี้ปานไปจะเที่ยงคืนล่ะครับ”
“พี่ขอโทษนะ!! พี่ไปคุยเรื่องราวบางอย่างกับโอราอุสนะ เลยคุยเพลินไปนิดนะ!!” ลิซ่ากล่าวขอโทษทันที
“ไปไหนก็ช่วยบอกผมหน่อยเถอะ ผมก็ห่วงนะ”
“เอ๋...แล้วคาเร็นน่าไม่ได้บอกคีย์เหรอว่าพี่ไปไหนนะ?”
“เอ๋?” คาเร็นน่านึกขึ้นมาได้ว่า เธอก็อยู่ตอนที่เทพีออกไปข้างนอกนี่นา “แหะๆ”
“คาเร็นน่า...” โพรทาเลียมองลูกสาวทันที
“หนูขอโทษค่ะ หนูลืมว่าพี่ลิซ่าออกไปข้างนอกกับพี่ชายคนนั้นนะคะ”
“เฮ้อ...งั้นนอนเถอะ ทั้งสองคนกลับบ้านพักไปนอนเถอะนะ”
“โทษทีนะจ๊ะ งั้นคาเร็นน่ากลับบ้านพักนะ” ลิซ่ายื่นมือไปหาคาเร็นน่าทันที
“ค่ะ งั้นหนูจะมาพรุ่งนี้เช้านะคะ บายๆ” คาเร็นน่าโบกมือให้แม่ของตน
โพรทาเลียโบกมือลาตอบผู้เป็นลูก พอเรื่องกลุ้มใจหายไป เธอก็นอนลงกลับเตียงของตนเอง เธอหันมองโฟกัสที่นอนอยู่ข้างๆ ไม่นึกว่าจะมีวันนี้ที่ได้เจอน้องสาวอีกครั้ง แต่ก็น่าตกใจที่น้องสาวไม่บอกพ่อแม่ว่าเธอคือใคร นั้นทำให้สงสัยว่าน้องสาวกำลังจะทำอะไรกันแน่ ถ้าบอกไปพ่อแม่จะต้องเปิดการป้องกันเขตในค่ายทันทีแน่ๆ แต่พอมานึกยังมีคนของนูอัสอยู่ในค่ายนี้แน่ๆ ถ้าป้องกันแล้วพวกนั้นใช้ตัวประกันล่ะ นั้นทำให้โพรทาเลียคิดเยอะเลยล่ะ แต่พอหัวถึงหมอนแล้วเธอรู้สึกว่าเปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
ช่วงเวลาอันสงบสุขที่แสนยาวอยู่นั้นกำลังผ่านไปรวดเร็วเหมือนได้ยินเสียงดังมาจากไหนก็ไม่รู้ เสียงนั้นมันดัง ดังแกร๊ก! แกร๊ก! เสียงนั้นเหมือนสิ่งบางอย่างกำลังกระทบกันจนเกิดเสียงนั้นขึ้นมา ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังหลับสบายอย่างโพรทาเลีย เธอค่อยๆ ลุกขึ้นตื่นมาอย่างงัวเงีย เธอยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อให้หายง่วง พอได้สติเธอก็มองดูว่าเสียงดังกล่าวอยู่ไหน แต่พอมองๆ รอบๆ ไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไรในตอนนี้ นั้นทำให้โพรทาเลียสงสัยว่าเสียงนั้นมาจากไหน
“เสียงแกร๊กๆ นี่มาจากไหนกันนะ?”
เธอค่อยๆ ลุกตัวขึ้นมายืดเส้นยืดสาย เธอหันไปมองน้องสาวที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจ เมื่อมองใบหน้าของน้องสาวทั้งน่ารักและดูสดใสมากๆ ทำเอาเธอสุขใจกับภาพตรงหน้า พอได้เติมพลังจากการมองน้องสาว เธอก็ตบหน้าตัวเองหนึ่งครั้งอย่างแรง
“เอาล่ะ ไปดูต้นตอของเสียงนั้นดีกว่า”
โพรทาเลียค่อยๆ เดินผ่านจุดที่ยังมีคนเฝ้ายามอยู่ทำให้สงสัยว่าต้องออกไปทางอื่น เธอเลยต้องออกไปทางด้านข้างของสถานพยาบาลแทน พอออกมาได้ เธอก็ลองเดินหาทันทีว่าเสียงดังกล่าวนั้นอยู่ไหน แต่การออกมาเดินตอนที่ยังมืดๆ มันช่างลำบากสำหรับคนทั่วไปจริงๆ แต่สำหรับเธอนั้นช่างง่ายดายเกินไปจริงๆ โพรทาเลียเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเธอเดินอ้อมหลังบ้านใหญ่ แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นต้นตอของเสียงดังกล่าวนั้นจริงๆ
“ที่นี่มันตึกศิลปะและงานฝีมือนี่น่า?”
โพรทาเลียมองสถานที่ตรงหน้า สงสัยเลยว่าที่มีเสียงอะไรที่มันแกร๊กๆ ได้ด้วยเหรอ แต่พอมาคิดเสียงนั้นคล้ายๆ กับเสียงที่เธอเคยได้ยิน
“คงต้องลองเดินรอบๆ ว่าเสียงดังกล่าวอยู่ไหนสินะ “
พอเธอเดินไปเรื่อยๆ เสียงนั้นก็เริ่มดังมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอเดินมาถึงด้านหลังตึกศิลปะและงานฝีมือ แต่มันมีความรู้สึกถึงไอร้อนออกมาจากสถานที่ข้างหลังนี้ มันเป็นตึกที่ปิดมิดชิดมากๆ จน เธอสงสัยว่าที่นี้มันอะไร แต่พอเดินตรงไปที่ประตูเพื่อจะเปิดประตูนั้น ความร้อนจากกรอกประตูนั้นพุ่งตรงมาที่มีเธออย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกกกกก!! ร้อน! ร้อน! ร้อน!” โพรทาเลียกระโดดโลดเต้นอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเป่ามือของตนที่โดนความร้อนจากกรอกประตูเล่นงานเอา “งื้ออออ ร้อนแบบนั้นคงเข้าไม่ได้แน่ๆ เลย อยากรู้ว่ามันคืออะไร แต่ร้อนแบบนั้นได้ตายแน่ๆ”
โพรทาเลียกำลังเจ็บเพราะมือตัวเองโดนเหล็กลวกอยู่นั้น ก็มีเสียงดังใครบางคนพูดขึ้นมา
‘เข้ามาสิ...ไม่ร้อนหรอกนะ...’
“เอ๋!?” โพรทาเลียสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น “เสียงเมื่อกี้มัน...”
เสียงของใครบางคนนั้น ช่างน่าคุ้นเคยมากๆ จนโพรทาเลียสงสัยว่าเสียงใคร แต่พอมานึกๆ เธอก็จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสาวผิวน้ำผึ้งนี่น่า
“หรือว่า เสียงของเซเรน่า...” โพรทาเลียค่อยๆ ลุกขึ้น พอรู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของเซเรน่าก็เบาใจ แต่เธอก็จ้องมองกรอกประตูอย่างกลัวๆ ว่ามันจะลวกมือเธออีกแน่ๆ “เอาล่ะ!!”
พอเธอทำใจได้สักพักหนึ่ง เธอก็ยื่นมือไปจับกรอกประตูนั้น พอมือของเธอจับกรอกนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ตอนแรกเจอ
“ไม่ร้อนแล้วนี่น่า?”
โพรทาเลียงุนงงเลยว่าทำไมตอนแรกเธอถึงโดนมันลวกมือเอา แต่การจับกรอกนั้นทำให้เธอเจ็บมือที่เป็นแผลอยู่ เธอต้องเปลี่ยนมือในการจับ เธอเห็นมาใช้มืออีกข้างจับกรอกประตูแล้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆ พอเข้ามาได้นั้น เธอใช้จมูกดมฟุดฟิดๆ ว่าข้างในมีกลิ่นอะไรมั้ง ตอนนี้เธอได้กลิ่นอายของเหล็ก ไม้ ข้างในนี้มีไอความร้อนสีส้มอยู่ข้างใน โพรทาเลียสงสัยว่าที่นี้มีไว้ทำอะไร เธอเดินสำรวจอย่างสงสัยพอเดินเข้ามาก็เจอกับเตาหลอม แท่งเหล็กใหญ่ๆ ไว้รองบางอย่าง และอุปกรณ์มากมาย โพรทาเลียสะกิดใจขึ้นมาทันที
“ที่นี่มัน!! โรงตีเหล็กนี่น่า!!” น้ำเสียงของโพรทาเลียนั้น ดูดี๊ด๊าเป็นอย่างมาก “แบบนี้! แบบนี้! ก็สามารถสร้างของที่อยากสร้างได้เหมือนกันสิ!!”
โพรทาเลียดูมีความสุขเหมือนนึกถึงการสร้างของมากมาย สมัยเธออยู่กับแซเทิร์น เธอก็เคยเกลียดการเข้าโรงตีเหล็ก แต่พอได้ทำบ่อยๆ เธอก็แก้วิธีที่ไม่ทำให้เธอมีผิวที่ไหม้และแผลพุพองจากความร้อนของเตาหลอมได้ ระหว่างที่กำลังมีความสุขอยู่นั้น เสียงแกร๊กๆ ก็ดังขึ้นมาอีก โพรทาเลียหันไปตามต้นเสียงที่ดังขึ้น พอมาอยู่ในโรงตีเหล็ก เธอก็จำได้ล่ะว่าเสียงดังกล่าวคือเสียงการตีเหล็กนั้นเอง
“เวลาแบบนี้มีคนมาทำงานด้วยเหรอ?”
โพรทาเลียสงสัยเลยลองเดินไปตามเส้นทางดังกล่าว เธอพึ่งสังเกตว่าข้างในนี้มีเตาหลอมอยู่เยอะมากๆ ทำให้สงสัยว่าเด็กบ้านเฮเฟตัสมีกี่คนกันแน่ ระหว่างที่เดินกันไปก็มีแสงสว่างพุ่งเข้าใส่ทางด้านข้าง นั้นทำให้โพรทาเลียยกมือขึ้นมาบังสายตาของเธอเพื่อไม่ให้แสงนั้นเข้าตา พอปรับแสงนั้นไม่ให้เข้าตาได้ เธอก็มองลอดผ่านมือของตนเอง ก็ได้เห็นอาวุธที่ถูกตั้งอยู่ข้างๆ เตาหลอม มันคล้ายๆ ค้อนใหญ่ที่มีด้ามจับที่ยาวมากๆ
“นั้นมันอะไรนะ?”
โพรทาเลียลองเดินเข้าไปดูอาวุธนั้นอย่างสงสัย มันเป็นค้อนที่ประหลาดที่มีด้านจับที่ยาวมากๆ แต่แสงเรืองรองที่กำลังส่องออกมาทำให้โพรทาเลียสนใจค้อนนี้มากๆ เธอค่อยๆ ยื่นมือไปจับด้ามค้อน พอจับด้ามนั้นความร้อนก็พุ่งออกมาจากทำเอามือของโพรทาเลียที่พุพองอยู่แล้วยิ่งเพิ่มทวีคูณเข้าไปอีก
“อ๊ากกกกกกกกก!! ทำไมฉันโชคร้ายเจออะไรแบบนี้เนี่ย!!”
เธอกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความเจ็บปวด มือของเธอนั้นทั้งแดงและเป็นแผลเต็มไปหมด แต่เธอหันไปมองค้อนนั้น เธอรู้สึกว่ามันดูจะไม่ชอบเธอแน่ๆ ไม่งั้นมันคงไม่เผามือเธอแบบนี้แน่ๆ เธอค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วไปมองค้อนนั้นอีก เธอสำรวจค้อนนั้นอย่างสงสัย ก่อนจะเห็นอักษรบางอย่าง
“หือ...นี่มันอักษรกรีก...อ่านว่าอะไรนะ...ด้วยรักอันยิ่งใหญ่จากผู้เป็นบิดา แก่ลูกสาวอันเป็นที่รัก เซเรน่า เอ๋?”
พออ่านจบเธอก็รู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นของเซเรน่า เธอไม่นึกว่าของชิ้นนี้จะมาอยู่ที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าค้อนชิ้นนี้กำลังโศกเศร้าอยู่
“แกคงเศร้าใจที่เจ้านายแกไม่อยู่โลกนี้แล้วสินะ...” โพรทาเลียลูบด้ามจับมันก็ยังร้อนอยู่ แต่โพรทาเลียก็อดทนกับความร้อนนั้น “แต่ไม่ต้องห่วงนะ...เจ้านายแกอยู่กับข้า ข้าจะปกป้องเจ้านายที่แกรักเองนะ”
พอหมดคำพูดของโพรทาเลีย เธอก็สัมผัสได้ว่าความร้อนของค้อนนั้นหายไปแล้ว เธอลองจับมันอย่างเต็มไม้เต็มมือดู แต่ก็จริงความร้อนหายไปแล้วทำให้เธอตกใจเลยว่าทำไม เธอยกมันขึ้นความสวยของค้อนนี้ ช่างสวยมากๆ มันเหมือนจะเป็นค้อนสีดำ แต่เพราะแสงข้างในนี้เลยทำให้มันเหมือนของสีส้มผสมสีดำอยู่
“ค้อนนี้ช่างสวยดีจริงๆ”
“แน่อยู่แล้วล่ะ”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น โพรทาเลียหันไปข้างหลังตามเสียงนั้นทันที ละอองแสงกระจายอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเกิดเป็นเปลวเพลิงแล้วลุกโชนเป็นหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งอันงดงามที่เธอเคยเจอก่อนหน้า
“เจ้า...เซเรน่า...”
เมื่อได้ยินนามของตนเองอีกครั้ง นางก็ยิ้มให้แก่หญิงสาวตรงหน้าที่อยู่ในร่างชายหนุ่ม เธอค่อยๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสปลายคางของอีกฝ่าย
“ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกล้าสัมผัสค้อนนั้น ทั้งที่มันร้อนมากๆ ร้อนกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะสัมผัสมัน...”
“ฮ่าๆ ข้าแค่...”
“แค่บ้าบิ่นที่จะจับอะไรจนทำให้ตัวเองเจ็บ!” เธอยกมืออีกฝ่ายขึ้น มันทั้งแดงและมีแผลพุพอง “แต่เจ้าก็ยังปลอบใจมัน อาวุธนั้นมีความรู้สึกของมัน มันเศร้าใจที่ข้าจากมันไป อาวุธของข้าเลยทำให้ตัวเองมีความร้อนมากๆ จนไม่มีใครสามารถแตะมันได้!”
“แบบนี้เอง มันถึง...”
“ใช่ แล้วเจ้าก็...” เซเรน่าลอยตัวเข้าไปใกล้อาวุธของเธอที่อีกฝ่าย “ปลอบใจมันจนมันอ่อนใจ เก่งมากเด็กน้อย เจ้าอยู่กับเจ้านายใหม่เจ้าดีๆล่ะ”
“งั้นการทดสอบ...” โพรทาเลียสงสัยว่าการทดสอบจะผ่านไหม
“อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้า ถ้าเจ้าทำให้อีกสิ่งของเขายอมรับเจ้า เจ้าก็ผ่าน”
“ผ่านแล้ว...ทำไมรู้สึกมันเหมือนผ่านแบบแปลกๆ”
“คิกๆ แน่อยู่แล้ว อาวุธของข้านะ เคยไปโผล่ในหลายๆ ที มันรอให้คนยกขึ้น แต่ว่าไม่มีใครยกขึ้น เพราะมันส่งความร้อนออกมาตลอด”
“สายเลือดเฮเฟตัสก็ยกได้สิ?” โพรทาเลียสงสัย เพราะว่าสายเลือดเฮเฟตัสมีความสามารถในการต้านไฟนะ
“ถึงจะเป็นสายเลือดเฮเฟตัส แต่ก็ไม่สามารถต้านพลังนี้ได้หรอกนะ” เซเรน่าหันมายิ้มให้อีกฝ่าย
โพรทาเลียรู้สึกว่ายิ้มนั้นเหมือนยิ้มเจ้าเล่ห์มากกว่า ว่าถึงเป็นสายเลือดเดียวกันก็ไม่มีสิทธิ์แตะอาวุธเธอ
“แฮะๆ”
“แต่พอมาคิดเจ้านะช่างกล้าจับอาวุธข้าทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะทำอันตรายเจ้าได้ เจ้านี่ช่างบ้าบิ่นแบบสุดๆ แต่สมกับเป็นร่างจุติใหม่ของพวกเราทุกคน ที่มีชะตากรรมจะก่อให้เกิดสิ่งอันมหัศจรรย์ได้จริงๆ หึๆ”
“ไม่ขนาดนั้น ข้าก็คนธรรมดาที่ไม่สามารถสร้างความมหัศจรรย์ได้หรอกนะ...”
“ไม่! เจ้านะไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าอดทนกับเทพชั่วร้ายนั้นมาตลอด เจ้ากับยอมรับชะตากรรมนั้น” เซเรน่าพูดไปก็เดินวนตัวอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ” เพียงเพราะเจ้ารู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ไม่พรากชีวิตเจ้าไปได้สักครั้ง”
“!!” โพรทาเลียหันขวับเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมาแบบนั้น นั้นทำให้เธองงเลยว่าอีกฝ่ายรู้ได้ไง “ท่าน...รู้...”
“พวกเราทุกคนรู้ จริงไหมล่ะ เฟอร์ร่า!”
คนที่ถูกเอ่ยขึ้นถึงกับสะดุ้ง เมื่อหญิงอีกคนเอ่ยเรียกนามของตนเอง เธอค่อยๆ โผล่ออกมา เธอแอบมาอยู่ด้านหลังคอของโพรทาเลีย
“เจ้านี่น่า อย่าเอาข้าเข้ามาเกี่ยวสิ!”
“ทำไมล่ะ ก็ข้าแค่พูดความจริงนี่น่า” เซเรน่าเอ่ยออกมาแบบนั้น ทำให้เฟอร์ร่าเงยหน้ามองโพรทาเลีย โพรทาเลียใช้สายตามองลงมา ทำเอาเฟอร์ร่าเกร็งไปหมด
“เฮ้อ...พวกเจ้ารู้ข้าก็ไม่ขัดอะไรหรอกนะ”
“จริงเหรอ ดีจังเลยนะ!” เฟอร์ร่าลอยตัวออกมารอบๆ โพรทาเลียทันที
“เธอกังวลด้วยเหรอที่เธอรู้เรื่องพวกนี้นะ?”
“ก็แม้...เจ้าดูเป็นคนเก็บเงียบ ข้าไม่รู้ว่าการที่ข้ารู้เจ้าจะโกรธไหมนะ?”
“ทำไมข้าต้องโกรธล่ะ?”
เฟอร์ร่าและเซเรน่ามองซึ่งกันและกัน ก่อนที่ทั้งสองคนกำลังจะพูดบางอย่างออกมาเพื่อให้โพรทาเลียรับรู้สึกพลังนั้นว่ามาจากไหน
“ก็เพราะว่า-”
พอทั้งสองคนกำลังจะพูดกับโพรทาเลีย ก็มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินมาทางนี้ เสียงมาจากด้านหลังของโรงตีเหล็ก ทำให้ทั้งสองคนตกใจแล้วหายไปทันที ค้อนในมือของโพรทาเลียก็หายไปเช่นกัน เธอตกใจว่าพวกเขาจะหนีไปไหนกัน แต่ก็ยังสงสัยว่าทั้งสองสาวจะพูดอะไรกับเธอกัน เสียงฝีเท้าเริ่มมาใกล้เข้ามา ทำเอาโพรทาเลียต้องคิดหาวิธีหนี เธอรีบจะวิ่งออกจากตรงนั้น แต่พอรีบออกมาเธอก็เจอกับชายหนุ่มสองคนกำลังเดินตรงมาใกล้เธอมากๆ ทำเอาเธอตกใจจนหน้าซีดทันที สองหนุ่มเห็นก็ตกใจที่เห็นอีกฝ่ายในสถานที่นี้
"เห้ย!! นาย... วันเดอร์เลอร์!! เข้ามาในนี้ได้ไงกัน!? "
“อ้าว...ไง...เอ่อ...เบ็น...ก็ทางประตูไง!!”
"ไม่ตลกเว้ย!!" เบ็นตะโกนใส่คีย์ทันที "ฉันหมายถึงนายเข้ามาในนี้ได้ๆ ไง!!"
"เอ๋? ก็เข้ามาเฉยๆนะ ทำไมอ่ะ? "
"ไม่ทำไมหรอกนะ" เสียงชายอีกคนหนึ่งได้พูดขึ้น โพรทาเลียหันไปเจอชายอีกคน “เพราะในนี้มันร้อนนะ นายไม่ควรเข้ามานะ”
แต่พอเธอสังเกตใบหน้าอีกฝ่ายนั้นทำให้เธอมีสีหน้าที่ซีดทันที อีกฝ่ายมีตาดวงเดียวนั้นทำให้โพรทาเลียตื่นตระหนกและระแวงทันที
“ยักษ์ไซคลอปส์!!”
“อ๊ะ วันเดอร์เลอร์ นายใจเย็นๆนะ อลันไม่ทำร้ายใครหรอกนะ!!” เบ็นเข้ามาดักหน้าอีกฝ่ายทันที
“อลัน...” โพรทาเลียได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงนามที่คล้ายๆ ชื่อของยักษ์ตนนั้น เธอรู้สึกว่าชื่อนั้นช่างคุ้นยิ่งหนัก
“เราพึ่งคงได้รู้จักกันครั้งแรกน่านะ ฉัน อลัน แจ็กสัน ยิ่งดีที่ได้รู้จัก”
“อลัน...แจ็กสัน?” เธอสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายมีนามสกุลเหมือนเธอ อีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับครอบครัวเธอหรือเปล่านะ หรือว่าเขาเป็นแค่คนนามสกุลเหมือนครอบครัวเธอ
“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องครอบครัวแจ็กสันนะ” เบ็นกล่าวพูดทันที
โพรทาเลียหันขวับอย่างสงสัยว่าครอบครัวเธอมีลูกพี่ลูกน้องด้วยเหรอ “ลูกพี่ลูกน้อง?”
“ง่ายๆ นะ ฉันเป็นหลานของลุงเพอร์ซีย์นะ พ่อฉันเป็นยักษ์ไซคลอปส์ แม่ก็เป็นฮาร์ปี้นะ”
โพรทาเลียยืนอึ้ง เธอกำลังคำนวณลำดับครอบครัวเธอจนเธอนึกถึงครอบครัวหนึ่งที่เธอจะได้เจอแค่ช่วงร่วมญาติ เธอเริ่มจำได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายของอาของเธอนี่น่า ดันมาเจอพี่ชายอีกคนที่เธอลืมไปได้ไงกัน แต่ระหว่างที่เงียบไปทำเอาเบ็นพึ่งนึกได้ว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่ใช่คนที่จะเข้ามาในนี้ได้ง่ายๆ ซะหน่อย เขาล้มมองพื้นก่อนจะมองไปที่มือของอีกฝ่ายที่มีแผลแดงๆ เหมือนแผลพุพองเข้ารีบเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วยกมืออีกฝ่ายขึ้นมาดูทันทีทำให้เขาตกใจทันที
“เห้ย!! นายไปแตะอะไรมาทำไมมือมันไหม้แดงแบบนี้เนี่ย!!”
“โอ๊ย!” พออีกฝ่ายจับมือเธอ เล่นจับซะเธอเจ็บทันที “อย่าจับสิ ฉันแค่...ลองบางอย่างนะ...เรื่องแค่นี้เอง เดียวก็หายน่า”
“แผลไฟไหม้ พุพอง ของพวกนี้ไม่ได้หายกันง่ายๆ นะเว้ย!!” เบ็นตะโกนใส่คีย์ทำเอาเจ้าตัวงงเลยว่าจะตะโกนอะไรนักหนา “ไปเลยไปสถานพยาบาล!!”
“ไม่ดีมั้ง! ถ้าฉันไป...”
“เตรียมโดนโอลิเวอร์บ่นนายได้เลย!!” เบ็นใช้สายตาจ้องขู่อีกฝ่าย
ทำเอาโพรทาเลียคิดเลยว่าไปถึงโดนโอลิเวอร์บ่นแน่ๆ เบ็นลากอีกฝ่ายออกมาจากโรงตีเหล็ก เดินไปตามทางเรื่อยๆ แต่ตามทางนั้นเป็นทางที่ขรุขระ มันเลยเดินลำบากมากๆ จนเท้าเธอรู้สึกจะพันกันอยู่แล้ว แต่การโดนชายหนุ่มผิวสีคนนี้ลากรู้ยังดีกว่าโดนพวกยักษ์ลาก แต่ก็ทำให้เขาเดินลำบากมากๆ
“เบ็น! ช่วยเดินช้าๆ หน่อยสิ!!”
เบ็นไม่ฟังที่อีกฝ่ายพูดเลย ทำให้โพรทาเลียจ้องมองอย่างอารมณ์เสียขึ้นมาล่ะ แต่อยู่ๆ ตัวของเธอก็ลอยขึ้น ทำให้เบ็นที่ลากอีกฝ่ายอยู่ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอเขาหันมามองเขาก็ปล่อยมือทันที เพราะเพื่อนเขา อลันได้ยกตัวของคีย์ขึ้นมานั่งบนไหล่ของเขา โพรทาเลียมองอย่างตกใจที่อีกฝ่ายอุ้มเข้ามานั่งบนไหล่
อลันได้ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “ฉันเห็นว่านายโดนเบ็นลากจนเดินลำบากเลยให้นายมานั่งไหล่ฉันละกัน”
“อ๊ะ...ขอบคุณนะ” โพรทาเลียรู้สึกขอบคุณพี่ชายไม่นึกว่าเขาจะช่วยเธอไม่ให้ต้องเดินลำบาก แต่เธอกับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูตัวใหญ่ขึ้นกว่าตอนแรก ก่อนจะลองถามอีกฝ่ายดู "เอ่อ...นายตัวใหญ่ขึ้นหรือเปล่านะ"
"อ๋อ ใช่ เมื่อกี้ฉันอยู่ร่างแปลงนะ พอดีข้างในโรงตีเหล็กมันแคบต้องอยู่ในร่างนั้นนะ แต่ตอนนี้อยู่ที่โล่งเลยสามารถอยู่ในร่างยักษ์ได้นะ"
“แบบนี้เอง แปลว่าสามารถเปลี่ยนร่างได้ สองแบบสินะ”
“ใช่แล้ว” อลันตอบทันที
ทั้งสองคนนั้นกำลังคุยกันอยู่นั้น เบ็นก็จ้องมาที่คีย์ เขามองอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสงสัยบางอย่างขึ้นมา ก่อนที่เขาจะพูดบางอย่างออกมา
“อืม รู้สึกแปลกๆ นะ?”
“นายมีอะไรอีกล่ะ เบ็น! ?” อลันถามอย่างสงสัยว่าเพื่อนของเขามีอะไรอีก
“ก็ฉันมองคีย์ แล้วสงสัยบางอย่างนะ?”
“สงสัยอะไรเหรอ?” โพรทาเลียงุนงงว่าอีกฝ่ายสงสัยอะไรในตัวเธอ
“นายนะ เป็นผู้ชายแน่เหรอ?”
“!!” โพรทาเลียอึ้งไปเลยที่อีกฝ่ายพูดขึ้น “เดียวสิ!! ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นนะ”
“ก็ท่าทางนาย รูปร่างตัวเล็กกว่าคนปกติ ถ้าพวกผู้ชายนะอายุ13 ขึ้นไปก็เริ่มมีกล้าม นายก็มีบางแต่เอวนั้นดูเล็กมากๆ เลยนะ”
“เดียวเถอะๆ เบ็น นายอย่างเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานสิ”
พวกเขาเดินไปคุยกับเรื่อยๆ อลันส่ายหัวที่เพื่อนของเขาชอบเอาบรรทัดฐานของตัวเองมาเทียบกับคนอื่นๆ เพราะตัวของเบ็นนั้นทั้งตัวใหญ่และดูมีความเป็นชายมากๆ แต่เบ็นมองคีย์แล้วดูอ่อนแอชอบกล
“คีย์ เขาอาจจะเป็นคนตัวเล็กก็ได้นะ นายนะ อย่าเอามาเปรียบเทียบสิ”
“เอาเหรอ?” แต่ยังไงเบ็นก็ยังสงสัยอยู่ดี แต่ก็อย่างที่เขาคิดนั้นล่ะ คีย์ดูเป็นเด็กอ่อนแอชอบกล “แต่ก็ดูอ่อนแอจนไม่ได้ทำอะไรได้นี่น่า อ๊ะ ใกล้ถึงสถานพยาบาลแล้วนะ”
“เอ่อ...ไม่เข้าไปได้ไหมอ่ะ?”
“ฝันไปเถอะ!!” ทั้งสองคนต่างพูดพร้อมกันทำเอาโพรทาเลียถึงกับมีสีหน้าที่ลำบากใจมากๆ จนอยากร้องออกมาเลยว่า
‘ไม่น๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!’
จบตอนที่ 31 โปรดติดตามตอนที่ 32 ต่อไป