เดี๋ยวนะ! นี่ฉันทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็ก 4 ขวบไม่พอ เกิดใหม่ได้ไม่กี่นาทีก็จะโดนจับโยนเข้าปากเสือแล้วเหรอ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
รัก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ย้อนยุค,นิยายจีน ,นิยายแปล,จีนโบราณ,ตลก,โรแมนติก,วังหลวง,พลังวิเศษ,สัตว์เลี้ยง,ครอบครัว,แฟนตาซี,องค์หญิง,ย้อนยุค,เกิดใหม่ ,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
(อ่านฟรีวันละตอน 12.00) เกิดใหม่เป็นองค์หญิงน้อยจอมป่วน & ก๊วนสัตว์อลเวงเดี๋ยวนะ! นี่ฉันทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็ก 4 ขวบไม่พอ เกิดใหม่ได้ไม่กี่นาทีก็จะโดนจับโยนเข้าปากเสือแล้วเหรอ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
เกิดใหม่เป็นองค์หญิงน้อยจอมป่วน & ก๊วนสัตว์อลเวง
驭兽团宠:重生萌宝四岁半
ผู้แต่ง: 林林白白
จำนวนตอน: 709 ตอน
เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ: Beijing Gardenium Cultural Broadcasting Co., Ltd. (17k)
ภายใต้ความร่วมมือกับ TLL Literary Agency & Silkroad Publishers Agency Co., Ltd.
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน
นักวาด: Em-mika
ผู้แปล: เสี่ยวเถียวนั่งหิวอยู่ริมคลอง
---------------------------------------------------------------------
เรื่องย่อ
มู่ไป๋ไป่ทะลุมิติไปอยู่ในร่างของลูกสาววัย 4 ขวบของเผด็จการที่มีนิสัยโหดเหี้ยม
ทันทีที่เธอลืมตาขึ้นมา พ่อขี้โมโหก็สั่งให้คนจับเธอโยนให้เสือกิน!
แต่จู่ ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดลงมา ทันใดนั้นเสือร้ายก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องของเธอ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อเจ้าอารมณ์ก็หันมาสนใจลูกสาวคนนี้
เพื่อเอาตัวรอด มู่ไป๋ไป่จึงถือโอกาสเปลี่ยนจากองค์หญิงที่ไร้ประโยชน์เป็นเด็กน่ารัก ขี้เล่น ฉลาด จนกลายเป็นที่โปรดปรานของคนที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในแคว้น
ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่ออย่างนั้นหรือ? นั่นยังไม่พอ!
พี่ชายคนโตเป็นถึงองค์รัชทายาทที่มีความสามารถในการเป็นขุนนางที่ยอดเยี่ยม
พี่ชายคนที่ 2 เป็นแม่ทัพที่สามารถต่อสู้แบบหนึ่งต่อร้อยราวกับเสือดุร้ายที่ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
พี่ชายคนที่ 3 เป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยมากที่สุดในเมืองหลวง เงินที่อยู่ในมือของเขานั้นมีมากยิ่งกว่าในพระคลังเสียอีก
มู่ไป๋ไป่ถูกรังแก? แม้พี่ชายทั้ง 3 จะอยู่ไกลหลายสิบลี้ แต่พวกเขาก็จะรีบมาปกป้องเธอทันที
พี่ชายคนโตถึงขั้นละทิ้งการเจรจาในต่างแคว้นแล้วกลับมาในชั่วข้ามคืน
พี่ชายคนที่ 2 ได้ควบม้าจนม้าตายไป 8 ตัวมุ่งจากสนามรบสู่เมืองหลวง
พี่ชายคนที่ 3 ซึ่งกำลังเดินทางไปทำการค้าหลายสิบล้านตำลึงกลับละทิ้งทั้งหมดไว้กลางทาง
นั่นเป็นเพราะน้องเล็กของตระกูลมู่ถูกรังแกอย่างไรเล่า!
---------------------------------------------------------------------
บทที่ 1-40 อัปเดตตอนเพิ่มทุกวัน วันละ 2 ตอน เวลา 12.00 น.
ตั้งแต่บทที่ 41 เป็นต้นไป อัปเดตวันละ 3 ตอน เวลา 12.00 น.
ปลดล็อกให้อ่านฟรีวันละ 1 ตอน เวลา 12.00 น.
**หยุดอัปเดตตอนวันที่ 1 กับ 16 ของทุกเดือน**
ติดตามข่าวสารหรือพูดคุยกับเราได้ที่เพจ Facebook: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน - Xianaan
ในขณะนี้แสงเจิดจ้าส่องประกายอยู่ในดวงตาอันมืดมิดของมู่เทียนฉง
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่เห็นท่าทีของพ่อตัวเอง เธอก็จำได้ว่าพ่อคนนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบกินขนมหวาน
ข้อเท็จจริงนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น
แย่แล้ว ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว
แต่เธอไม่คาดคิดว่ามู่เทียนฉงจะยกมือขึ้นมาตักขนมชิ้นใหญ่เข้าปากไป
หลังจากฮ่องเต้หนุ่มเคี้ยวขนมไปได้สักครู่ สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงอาการไม่ชอบใจ แล้วใบหน้าที่เฉยเมยในตอนแรกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“มันอร่อยจริง ๆ ด้วย”
ขณะนั้นอันกงกงเข้ามาทูลถามอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีแจ้งว่า หากจะลงโทษองค์หญิงใหญ่ เขาก็จะคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ…”
มู่เทียนฉงยิ้มเย็น “นี่เขากล้าขู่เราอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ว่าเขาจะรักอดีตฮองเฮามากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลให้คนพวกนี้กล้ามาอวดดีต่อหน้าเขา
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาคุกเข่าไป”
หลังจากบิดาของแผ่นดินเอ่ยประโยคนี้ออกไป ตำหนักเย่าเจิ้งก็ดูคล้ายกับถูกห้อมล้อมด้วยพายุหิมะ
อันกงกงตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะอัครมหาเสนาบดีไม่ได้เป็นเพียงพี่ชายของอดีตฮองเฮาเท่านั้น แต่เขายังเป็นเสาหลักของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย
ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ฮ่องเต้จะเอาจริงเสียแล้ว
ถัดมา มู่เทียนฉงหันกลับมาถามคนตัวเล็กว่า “เจ้าคิดถึงแม่ของเจ้าหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงเนื่องจากเธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงถามแบบนี้ขึ้นมา
แม่ขององค์หญิงหก หว่านกุ้ยเหรินแห่งตำหนักอวี๋ชิงน่ะหรือ?
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ตามกฎของวังหลวงแล้ว กุ้ยเหรินไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกของตัวเอง ดังนั้นมู่ไป๋ไป่ที่เพิ่งเดินได้ตอนอายุ 1 ขวบก็ถูกพาตัวออกจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่
จากนั้นนางก็ถูกเอาไปทิ้งไว้ในตำหนักโทรม ๆ ให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง และคอยดูแลเพียงแค่ให้นางไม่ตายก็พอแล้ว
ในระหว่างนั้นแม่ของนางคอยแอบมาหานางบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาเยี่ยม นางก็จะเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด แล้วคอยบอกว่าชะตาชีวิตของมู่ไป๋ไป่นั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก
และความทรงจำเกี่ยวกับแม่คนนี้ของเจ้าของร่างเดิมมันก็คล้ายกับประสบการณ์ชีวิตของตัวเธอเอง มันจึงทำให้เธอรู้สึกเศร้าหมอง..
“คิดถึงเพคะ”
มู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่ง มีคำคนเคยบอกว่ามารดาจะมีคุณค่าก็ขึ้นอยู่กับบุตร
แม่ขององค์หญิงหกนั้นร่างกายอ่อนแอ นางทำได้เพียงใช้ร่างกายที่ป่วยกระเสาะกระแสะของตัวเองรอคอยฮ่องเต้อยู่ตลอดทั้งวัน นางไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนหากนางไม่ได้รับความโปรดปราน
ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่ได้รับความโปรดปรานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นมันควรจะมีผลดีต่อท่านแม่ผู้น่าสงสารผู้นี้มากขึ้นหน่อย
“เราจะพาเจ้าไปหานาง”
เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินคำตอบของลูกสาว เขาก็เปิดผ้าห่มออกจากตัวนางในอึดใจต่อมา ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
ตอนนี้แขนและมือของเด็กน้อยถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงพยายามระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบบริเวณแผลมากที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปเผลอทำให้นางต้องเจ็บตัวอีกครั้ง
“เราจะไปตำหนักอวี๋ชิง”
เมื่ออันกงกงได้ยินฝ่าบาทรับสั่งดังนั้น เขาก็รู้สึกขนลุกขนพองราวกับเห็นผี
ตำหนักอวี๋ชิงเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ห่างไกลมาก ฮ่องเต้เคยเสด็จไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่มันก็ช่างบังเอิญที่หว่านกุ้ยเหรินตั้งท้ององค์หญิงหกโดยไม่คาดคิด
แม้ว่าหว่านกุ้ยเหรินจะให้กำเนิดองค์หญิงออกมาคนหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยชายตาแลนางเลยสักครั้ง
ต่อให้อันกงกงจะมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปและทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ทันที
ด้านนอกห้องบรรทม มีอัครมหาเสนาบดีที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนางกำลังคุกเข่าอยู่
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่เหลือบมองผ่านช่องว่างเงียบ ๆ
คนผู้นี้น่าจะเป็นอัครมหาเสนาบดี เมื่อดูจากผมที่ยังคงดกดำของเขา เธอจึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะแก่กว่าพ่อของเธอเพียงไม่กี่ปี
เมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นกลุ่มคนเดินออกมา เขาก็เผลอคิดว่าฮ่องเต้ได้ละเว้นโทษให้กับองค์หญิงใหญ่แล้ว เขาจึงตะโกนด้วยความยินดีว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์อายุยืนยาวหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
แต่เขาไม่คาดคิดว่ามู่เทียนฉงจะทำเพียงแค่เหลือบมองเขาด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็เดินอ้อมไปโดยไม่สนใจจะหยุดพูดคุยกับตน
ในขณะที่อัครมหาเสนาบดีต้องการจะพูดบางสิ่ง อันกงกงที่เห็นท่าไม่ดีก็ตะโกนขัดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จไปเยือนตำหนักอวี๋ชิง!”
อัครมหาเสนาบดีที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่คุกเข่านั่งมองฮ่องเต้เดินไกลออกไปด้วยสายตาเหลือเชื่อ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนของตน
นั่นองค์หญิงหกหรือ?
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?
ฝ่าบาททรงอุ้มองค์หญิงหกมุ่งหน้าไปที่ตำหนักอวี๋ชิง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปหลังจากผ่านมานานหลายปี ซ้ำยังมีกระแสรับสั่งจำคุกองค์หญิงใหญ่ด้วยพระองค์เอง ความคิดของฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างยากจะหยั่งถึงยิ่งนัก
อัครมหาเสนาบดีหลับตาแน่นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับลงมาในใจ
จากนั้นข่าวที่ฮ่องเต้ไปเยือนตำหนักอวี๋ชิงก็ถูกร่ำลือไปทั่ววังหลวงจนเกิดความโกลาหลอีกครั้ง
ยิ่งขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าไปใกล้ตำหนักอวี๋ชิงมากเท่าไหร่ เหล่านางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดมากขึ้น
ในขณะที่พวกนางคุกเข่าก้มหน้าเพื่อให้ขบวนเสด็จผ่านไป พวกนางก็แอบเหลือบมองกันไปมาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความนัย
วันนี้หว่านกุ้ยเหรินจุดธูปขอพรพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ?
เมื่อขบวนเสด็จมาถึงบริเวณหน้าตำหนัก อันกงกงก็ได้ประกาศให้คนทั่วทั้งตำหนักอวี๋ชิงได้ยิน “ฝ่าบาทเสด็จ!”
ในตำหนักอวี๋ชิงมีนางกำนัลเพียง 4 คน และในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่พวกนางแอบหลบไปงีบหลับกันอยู่ พอได้ยินเสียงตะโกนเช่นนี้ พวกนางก็ตกใจแทบสิ้นสติ
ปัจจุบัน ‘ซูหว่าน’ กำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้อยู่ในสวน นางคิดว่าตนเองเพียงแค่หูฝาดไป จึงชะงักมือเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ
ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลหลายคนกุลีกุจอไปคุกเข่าที่ประตูตำหนักเพื่อถวายการต้อนรับฝ่าบาท พร้อมกับตะโกนว่า “หม่อมฉันถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
จากนั้นพวกนางก็เงยหน้าขึ้น ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของนางกำนัลพวกนี้ยังเยาว์วัยดูอายุไม่ถึง 20 ปี แต่ใบหน้าของพวกนางกลับซีดเซียวไร้สีสัน
เมื่อสาวใช้ทั้งหลายเห็นเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองสดใส แล้วมองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของผู้ที่ครอบครองบัลลังก์ พวกนางก็แทบจะพากันร้องไห้ออกมา
มู่ไป๋ไป่รีบดิ้นออกจากอ้อมแขนของมู่เทียนฉง เนื่องจากเธอใช้แขนของตัวเองไม่ได้ เธอจึงเดินเอาหน้าไปสะกิดซูหว่าน 2-3 ครั้ง
“ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่นี่แล้ว ทำไมท่านดูไม่มีความสุขเลยล่ะ?”
เด็กหญิงรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เธอจึงเรียกสติอีกฝ่าย
จากนั้นซูหว่านก็ตระหนักถึงท่าทีของตนเอง นางปาดน้ำตาและรีบทำความเคารพฮ่องเต้
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิด”
ระหว่างนั้นมู่เทียนฉงหรี่ตาลงเพื่อสังเกตสตรีตรงหน้า
วันนี้ซูหว่านสวมชุดสีม่วงอ่อน ผมสีดำตรงยาวของนางถูกเกล้าอย่างประณีตและมีเครื่องประดับผมตกแต่ง ดวงตาและริมฝีปากของนางดูผุดผ่องอยู่เล็กน้อย
จากนั้นเขาก็ตระหนักว่า แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะคลอดบุตรสาวมาหลายปีแล้ว แต่นางก็ยังมีใบหน้าที่งดงาม ผิวพรรณเรียบเนียนและมีกิริยามารยาท
ซูหว่านไม่กล้าสบตาชายผู้ทรงอำนาจตรงหน้า เมื่อนางเห็นเขาจ้องตนเอง นางก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
ในระหว่างที่นางก้มหน้าลง นางก็บังเอิญหันไปเห็นว่าแขนของลูกสาวถูกพันด้วยผ้าพันแผล ซึ่งภาพนั้นมันทำให้นางรู้สึกปวดใจมาก
“ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เจ้าเจ็บหรือไม่ มาให้แม่ดูหน่อย ทำไมเจ้าถึงเจ็บหนักขนาดนี้?”
มู่ไป๋ไป่หัวเราะเบา ๆ ขณะสบตาซูหว่านที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านพ่อได้ส่งหมอหลวงให้มาดูแลแผลของข้าทุกวัน ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้นะ อย่าร้องไห้เลย”
ผู้เป็นแม่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ
แต่หลังจากที่นางสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางก็นึกแปลกในใจที่พบว่าลูกสาวคนเดิมของนางดูเหมือนจะไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
หว่านกุ้ยเหรินรีบเช็ดน้ำตาตัวเองที่กำลังไหลออกจากหางตา พร้อมกับความรู้สึกโล่งใจที่เข้ามาแทนที่
“สั่งให้คนเตรียมอาหาร วันนี้เราจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ตำหนักอวี๋ชิง”
มู่เทียนฉงหันไปพูดกับอันกงกง ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นมาอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก
ซูหว่านต้องตกตะลึงอีกครั้ง การมาถึงของฮ่องเต้ก็ทำให้นางประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แถมตอนนี้เขายังอุ้มลูกสาวเดินเข้าไปภายในตำหนักอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทันทีที่ฮ่องเต้หนุ่มเดินก้าวเข้ามาในตำหนัก เขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จาง ๆ
กลิ่นหอมนี้มันไม่ได้ฉุนจมูกหรือเบาบางจนเกินไป มันเป็นกลิ่นหอมที่พอดีซึ่งไม่ทำให้ต้องรู้สึกเวียนหัว
มู่เทียนฉงยกมุมปากขึ้นอย่างอ่อนโยนซึ่งเป็นภาพที่หาได้ยาก ในขณะที่เขากล่าวว่า “เราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหว่านกุ้ยเหรินจะมีความสามารถในการปลูกดอกไม้ถึงเพียงนี้”
ซูหว่านเผยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปรินชาชั้นดีให้ฮ่องเต้ 1 ถ้วย
ในยามที่นางหยิบถ้วยชาถวายแก่ฝ่าบาท ไอความร้อนก็ลอยกรุ่นอยู่บริเวณปลายนิ้วของนาง ช่วยขับให้ข้อมือที่ขาวเนียนไร้ตำหนิราวกับหยกนั้นดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวยื่นชาไปวางที่ตรงหน้ามู่เทียนฉงพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ลองชิมชาที่หม่อมฉันปลูกขึ้นเองสิเพคะ”
ยามนี้สายตาของมู่เทียนฉงดูอ่อนลง เขาได้เห็นความสามารถในการปลูกดอกไม้ของอีกฝ่ายแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะพิสูจน์ความสามารถในการปลูกชาของนางเช่นกัน
ชายผู้อยู่เหนือหัวทุกคนในแคว้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตนนั้นจะมีพระสนมที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ในวังหลังด้วย