จอมขวัญ เด็กสาวที่เพิ่งจะเข้าช่วงมัธยมปลาย และดูเหมือนชีวิตในโรงเรียนใหม่กำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี แต่กลับต้องเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอต้องสูญเสียคนสำคัญ

Memorise Sheep - 2 ที่ปรึกษา โดย livven @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,แฟนตาซี,หญิง-หญิง,ข้ามเวลา,ดราม่า,ข้ามเวลา,โลกคู่ขนาน,เพื่อน,มิตรภาพ,นักเรียน,ดราม่า,ยูริ,yuri,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Memorise Sheep

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,แฟนตาซี,หญิง-หญิง,ข้ามเวลา,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ข้ามเวลา,โลกคู่ขนาน,เพื่อน,มิตรภาพ,นักเรียน,ดราม่า,ยูริ,yuri,แฟนตาซี,ทะลุมิติ

รายละเอียด

จอมขวัญ เด็กสาวที่เพิ่งจะเข้าช่วงมัธยมปลาย และดูเหมือนชีวิตในโรงเรียนใหม่กำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี แต่กลับต้องเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอต้องสูญเสียคนสำคัญ

ผู้แต่ง

livven

เรื่องย่อ

Memorise Sheep

(ความทรงจำของแกะน้อย)

 

ผู้เขียน : livven

 

ภาพ : Kewrom

---------------------------------------------

 

เรื่องย่อ

จอมขวัญ เด็กสาวที่เรียนจบมัธยมต้น และตอนนี้ได้ย้ายโรงเรียนใหม่เพื่อที่จะเข้าเรียนมัธยมปลาย

ในวันแรกที่โรงเรียนใหม่นั้น เป็นไปได้ด้วยดี เพื่อนคนแรกที่เข้ามาทักทายทำให้เขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้น

แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มันจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ ย้อนเวลา... ความฝัน... ทะลุมิติ...

จอมขวัญที่เป็นคนอ่านนิยายหรือดูภาพยนตร์มาเยอะ ได้สันนิษฐานไปเรื่อย

แต่แล้วก็มีลางสังหรณ์เกิดขึ้นในจิตใจ บ่งบอกว่านี่มันผิดธรรมชาติ มันอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของโลก

ไม่รู้ว่าหนทางแก้ไขของเรื่องนี้คืออะไร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์กันแน่...

.

"เราชื่ออิง อิงดาวน่ะ"

"อืม... เราชื่อจอม จอมขวัญ"

.

ขอให้ความทรงจำของพวกเราอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวตลอดไป

 

---------------------------------------------

 

Trigger warning

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เนื้อหาบางส่วน ถ้อยคำพูดหรือพฤติกรรมที่มีความรุนแรงไม่เหมาะสมกับผู้อ่านอายุต่ำกว่า 18ปี

ข้อมูลในเนื้อหาบางส่วน อาจจะมีแหล่งอ้างอิงที่ไม่น่าเชื่อถือ

อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

 

---------------------------------------------

อัพทุกวันเสาร์

.

ติดตามข่าวสารหรือเข้ามาพูดคุยกันได้ที่ https://x.com/_Shy_Rabbit (●ˇ∀ˇ●)

สารบัญ

Memorise Sheep-0 บทนำ,Memorise Sheep-1 ครั้งแรก,Memorise Sheep-2 ที่ปรึกษา,Memorise Sheep-3 อีกแล้ว,Memorise Sheep-4 อยากกลับ,Memorise Sheep-5 กลับมาแล้ว,Memorise Sheep-6 ข้อความ,Memorise Sheep-7 วิจัย,Memorise Sheep-8 ทฤษฎี,Memorise Sheep-9 คืบหน้า,Memorise Sheep-10 เชิญชวน,Memorise Sheep-11 สวนสนุก,Memorise Sheep-12 หงุดหงิด,Memorise Sheep-13 เพื่อน,Memorise Sheep-14 ความฝัน,Memorise Sheep-15 ความหวัง,Memorise Sheep-16 บันทึก,Memorise Sheep-17 เรียกขวัญ,Memorise Sheep-18 ล่องลอย,Memorise Sheep-19 เห็นแก่ตัว,Memorise Sheep-20 คนคนนั้น

เนื้อหา

2 ที่ปรึกษา

เมื่อรุ่งอรุณมาถึง เสียงไก่ขันจากข้างบ้านดังสนั่นบ่งบอกว่ามันนอนเต็มอิ่ม แต่ฉันยังไม่ได้นอนเลย ตั้งแต่กลับมาสู่โลกความจริง

ตลอดทั้งคืนฉันทะเลาะกับตัวเองว่าโลกที่เข้าไปอยู่มันคืออะไร ทำไมถึงมีข้อความปรากฏขึ้นต่อหน้าเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเกมออนไลน์ หรือว่าฉันจะหลุดเข้าไปในนิยายที่ตัวเองอ่านล่าสุด

เป็นนิยายที่ตัวเอกหลุดเข้าไปในโลกของนิยายที่ตัวเองอ่าน และเข้าไปอยู่ในร่างของตัวร้าย แล้วพยายามเอาตัวรอดจากการที่จะโดนพระเอกฆ่าในตอนจบ

แต่ในกรณีของฉัน... ไม่ได้เข้าไปแทนที่ร่างของใคร แถมพ่อกับแม่ก็ยังอยู่เหมือนเดิม บ้านนี้คือบ้านหลังเดิม เพียงแค่เวลาไม่เหมือนกับในโลกนี้ เวลาที่นั่นห่างกันหกเดือน

แล้วถ้ามันคือความฝันล่ะ... ฉันอาจจะแค่คิดมากไป เพราะตอนนั้นไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดกับพ่อแม่ จึงทำให้ฉันอยากกลับไปแก้ไข

ไม่รู้แล้ว ไปโรงเรียนดีกว่า

คาบเรียนวันนี้มีวิชาฟิสิกส์ด้วย อาจจะมีอะไรสักอย่างเป็นข้อพิสูจน์ แต่ฉันคงไม่ถามอาจารย์ตรง ๆ แน่ ถ้าเป็นแบบนั้นคนทั้งห้องคงจะหาว่าฉันเป็นบ้าไปแล้ว

พอฉันอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินลงบันไดไปที่ห้องครัวเพื่อทานอาหารเช้าที่แม่เตรียมไว้ทุก ๆ วัน “แม่ วันนี้มีอะไรกินบ้าง”

“โจ๊กหมู” แม่หันหน้าตอบด้วยความเคยชิน

“มีไข่เค็มด้วยหรือเปล่า”

“ไม่มี”

“...” พอได้ยินแบบนั้น ปากล่างของฉันแทบจะติดกับปลายจมูกทันที

“เบะปากทำไม พ่อของลูกยังกินได้เลย” แม่เอ่ยถามอย่างประชดประชัน พ่อก็เห็นดีเห็นงามไปกับแม่ด้วย จึงทำหน้าเลียนแบบฉัน

“กินก็ได้” มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่... ถ้าไม่กินข้าวเช้าที่บ้าน ก็ต้องเสียเงินไปซื้อหมูปิ้งหน้าโรงเรียนกิน เก็บเงินไว้เติมเกมดีกว่า

“วันนี้ให้พ่อไปส่งนะ แม่จะไปช่วยลุงเขาเก็บมะม่วง” แม่เอ่ยขึ้น

“ตอนนี้มีมะม่วงออกลูกด้วยหรือ” ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เพราะข้างบ้านทำสวนมะม่วง เวลาว่าง ๆ ลุงกับป้าข้างบ้านจะชวนแม่ไปช่วยกันเก็บ ปกติมะม่วงจะออกผลช่วงฤดูร้อน

ส่วนลุงกับป้าข้างบ้านไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ของพวกเราหรอก แต่พวกเขาชอบทำขนมไทย อย่างพวกมะม่วงกวน ข้าวเหนียวมูนมะม่วง พอทำเสร็จแล้วก็เอามาให้พวกเรา และแม่ก็ชอบการทำอาหารด้วย เลยทำให้มีโอกาสได้ไปช่วยพวกเขาทำบ่อย ๆ ถึงได้สนิทกันเร็วแบบนี้

“ก็พอมีอยู่บ้าง ผลตอนนี้ไม่ได้สวยเหมือนกับช่วงส่งขาย ลุงเลยชวนแม่ไปเก็บมะม่วงมันมาข้าวเหนียวมูน” แม่บอกS

“อืม” ฉันพยักหน้าตอบ เนื่องจากในปากเต็มไปด้วยข้าวต้ม

“ระวังอย่ายกของหนัก ถ้าคืนนี้กลับมาแล้วบ่นปวดหลัง พ่อไม่นวดให้นะ” พ่อกล่าวเตือน

“พูดไปเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ให้นอนโซฟาหน้าทีวี” พอแม่พูดจบ ฉันก็กลั้นขำทันที เพราะถ้าอ้าปากตอนนี้ โจ๊กที่อยู่ในปากคงพุ่งออกมาเป็นน้ำเหมือนเมอร์ไลออน

 

“ขอบคุณค่ะ” พ่อมาส่งฉันที่โรงเรียนแล้ว แต่ฉันนึกขึ้นได้ประโยคนึก ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือเปล่า ถ้าพูดออกไปตอนนี้พ่อจะไม่ให้เงินมาโรงเรียนแล้วหรือเปล่า

“กลับบ้านไปแล้ว นวดหลังให้แม่ด้วยนะ”

ฉันพูดออกไปแล้ว! ดูจากสีหน้าของพ่อคงจะเถียงไม่ออก เพราะมันคือความจริง และถ้าพ่อไม่ให้เงินฉันมาโรงเรียนจริง ๆ ก็แค่ไปคุยกับแม่ พอถึงเช้าวันถัดมาพ่อก็จะให้เงินปกติ

ก่อนที่จะเดินเข้าโรงเรียน ฉันนึกขึ้นได้ว่านัดเจอกับอิงดาวไว้ อิงดาวบอกว่าจะมาถึงสายหน่อย เพราะเธอนั่งรถประจำทาง แต่คงไม่สายเท่ากับตอนที่ฉันอยู่โรงเรียนเดิมหรอก

ขณะที่ฉันกำลังนั่งรออิงดาวอยู่ก็บังเอิญเจอกับหลิวที่เดินทางมาถึงพอดี “ไอ้จอม ทำไมมาเช้าจัง” หลิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นปกติตอนนี้ฉันคงยังนอนอยู่บนเตียง

“มาเช้าแล้วมันผิดหรือไง”

“ไม่ผิด แต่ผิดที่มึงมาเช้า แปลกๆ”

ฉันถอดหายใจก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “กลับตัวกลับใจอะ รู้จักไหม”

หลิวส่ายหน้า “หรือว่ามึงยังไม่ได้นอน”

สมแล้วที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แค่มองหน้าก็รู้ว่าฉันยังไม่ได้นอน

“มึงอยู่ในตู้เสื้อผ้ากูปะเนี่ย”

“ไม่รู้! แค่เห็นขอบตาคล้ำ ๆ ของมึงก็พอเดาได้”

“แสนรู้จริง ๆ” ฉันพูดพร้อมกับปรบมือ ถ้าเพื่อนคนนี้ฉลาดจริง ต้องรู้ความหมายของประโยคนี้

“กูไม่ใช่หมา!” หลิวตอบกลับทันที

“แล้วมึงนั่งรอใครอยู่” หลิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อวานฉันยังไม่อยากแยกจากกลุ่มเพื่อนเก่า แต่ตอนนี้กลับมานั่งรอใครอยู่หน้าโรงเรียนก็ไม่รู้ “หรือมึงมีแฟนแล้ว!?”

“บ้าหรือไง!? กูมานัดเพื่อนไว้ ที่เมื่อวานพาไปกินข้าวเที่ยงด้วย” ฉันตอบกลับไป

เพิ่งจะมาเรียนวันที่สอง แค่หาเพื่อนใหม่ได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

“คนไหนอะ มึงพามาตั้งสามคน” หลิวเอ่ยถาม

“อืม... คนที่ตัวเล็ก ๆ” จากการคาดเดาของฉัน ขอสันนิษฐานว่าอิงดาวน่าจะสูงประมาณร้อยห้าสิบเซนติเมตร เพราะเธอสูงแค่ปลายคางของฉัน แต่ตอนนี้ฉันใส่รองเท้านักเรียนที่เสริมส้นอยู่ จึงทำให้ดูสูงกว่าปกติเล็กน้อย

“คนเตี้ย ๆ อะนะ” หลิวพูดขึ้นเพื่อทวนความจำ

“ไม่ได้เตี้ย! เขาเรียกว่าวัยกำลังโตต่างหาก” อิงดาวที่เดินทางมาถึงแล้ว ก็ตะโกนใส่หน้าหลิวไปหนึ่งที

ฉันอดขำไม่ได้ที่เห็นอิงดาวโมโห ท่าทางของอิงดาวตอนนี้เหมือนหมาชิวาว่าที่กำลังเห่าใส่คนแปลกหน้า มือที่เท้าเอวอยู่ก็เหมือนขาหน้าที่กำลังจะตะปบคนที่มาว่ากล่าวไม่ดี

“ถ้างั้นเราเข้าโรงเรียนกันเถอะ อิงกินข้าวมาหรือยัง” ฉันเอ่ยถาม

“อืม... ยังเลย ขอซื้อหมูปิ้งตรงนั้นแป๊บนึงนะ”

“อืม” ฉันพยักหน้าตอบแล้วอิงดาวก็วิ่งไปที่ร้านขายหมูปิ้งตรงนั้น

“ไม่ถามกูบ้างเหรอ” หลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ด้วยเหตุผลใดหนอ ถึงไม่ถามเพื่อนคนนี้สักคำ

“ดูแลตัวเองละกันนะ” ฉันพูดพร้อมกับยื่นมือไปตบที่บ่าของหลิว

“เจ็บจี๊ดเลย... แม่งเอ้ย”

 

เสียงกริ่งดังขึ้นบ่งบอกถึงเวลาต้องเข้าแถวยามเช้า หลังจากนั้นก็ฟังคำกล่าวของครูเวรสักพัก และขึ้นห้องไปเรียนตามตาราง

“เมื่อวานจอมไม่ได้นอนเหรอ” อิงดาวเอ่ยถามขึ้น คาดว่าน่าจะเห็นขอบตาที่เหมือนกับหมีแพนด้าของฉัน

“ภูมิแพ้ขึ้นตาน่ะ” ฉันเลี่ยงที่จะตอบตามความจริง เพราะถ้าตอบว่าไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกว่า ทำอะไรอยู่ถึงไม่ยอมหลับยอมนอน

“ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีด้วย ดูแลตัวเองดี อย่าให้ป่วยจนมาเรียนไม่ได้นะ” อิงดาวพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง

ถ้ามีเพื่อนค่อยพูดเตือนด้วยคำพูดไพเราะเสนาะหูแบบนี้ ฉันอยากจะมาโรงเรียนทุกวัน มาโรงเรียนเช้า ๆ เพื่อนั่งรอเพื่อนคนนี้ทุกวันเลย

“อิง ช่วงนี้เราก็เป็นหวัดบ่อยนะ เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นเลย” เบลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

อยากให้อิงดาวเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ

ไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลบ่อยหรอกนะ ถ้าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าของโรงพยาบาลน่ะ ทั้งชีวิตฉันเคยเข้าโรงพยาบาลแค่ไม่กี่ครั้งเอง หรือจริง ๆ ก็แค่หนึ่งครั้งคือ... ตอนเกิด เพราะตอนฉีดวัคซีนก็ฉีดที่อนามัยแถวบ้าน

“เบลก็ดูแลตัวเองดี ๆ สิ อย่าเข้าโรงพยาบาลบ่อยเลย เก็บตังไปกินหมูกระทะกันเถอะ” อิงดาวเอ่ยขึ้น ดูจากสีหน้าของเธอตอนนี้คงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้ ถ้าอยากให้อ้อน ก็คงต้องตอบด้วยถ้อยคำหวานนิดหน่อย

“ไม่อยากเรียนฟิสิกส์เลยอ่า...” ดรีมพูดขึ้นว่าน้ำเสียงตัดพ้อ และตอนนี้ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว

“เอาน่า ทนอีกสามปี” ฉันกล่าวด้วยคำปลอบใจ แต่ไม่รู้ว่าสำหรับดรีมแล้วมันจะกลายเป็นคำทำร้ายจิตใจหรือเปล่า

“สามปีที่ข้าไม่อาจทน...” ดรีมพูดทั้ง ๆ ที่หน้ายังฟุบอยู่บนโต๊ะ เสียงที่ออกมานั่นก็อู้อี้และดูรันทดมาก ๆ

ทุกคนบนโต๊ะแทบจะหลุดขำเสียงดัง ประโยคที่ดรีมพูดเมื่อครู่ คงจะเป็นชื่อนิยายที่เธอเคยอ่าน

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของพวกเราทั้งสี่คนหรือเปล่า ที่ทุกคนล้วนชอบการอ่านนิยาย จึงทำให้พวกเราคุยและสนิทกันได้เร็วขึ้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่อยากจะมองหน้ากันด้วยซ้ำ

 

คาบเรียนฟิสิกส์ในวันนี้ ฉันคาดหวังว่าจะได้ทฤษฎีบางอย่างไปเป็นข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ครูก็ยังไม่สอนเรื่องนั้น หรือฉันต้องไปถามเขาด้วยตัวเอง

แล้วจะเริ่มยังไงดีล่ะ...

เอาเถอะ ถ้าไม่ถามก็จะไม่รู้อะไร แต่ถ้าถามแล้วได้อะไรที่เป็นประโยชน์ขึ้นมามันคุ้มค่าที่จะแลกกับความหน้าด้านของฉัน

“ไปโรงอาหารกันก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวเราตามไป”

“จอมจะไปไหนเหรอ” อิงดาวเอ่ยถาม

“เรามีคำถามจะถามครูนิดหน่อยน่ะ”

“อืม... เข้าใจแล้ว งั้นเราไปรอที่โต๊ะเดิมนะ”

พอสิ้นเสียงอิงดาว ฉันพยักหน้าตอบรับคำทันที เมื่อเห็นพวกเขาลงบันไดไปแล้ว ฉันก็เดินไปที่ห้องของครูที่สอนฟิสิกส์คาบเมื่อเช้า

ประตูห้องเปิดอยู่ จึงทำให้ฉันเห็นครูกำลังจะเปิดกล่องข้าว แต่เมื่อครูได้ยินเสียงเคาะประตูจากกำมือของฉัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง

“นักเรียนมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” ครูเอ่ยถาม

“หนู... พอจะถามครูเกี่ยวกับเรื่องเรียนได้หรือเปล่าคะ”

“ได้อยู่แล้ว” ครูตอบกลับ พร้อมกับรอฟังคำถามที่จะเอ่ยจากปากนักเรียนคนนี้

“คุณครู... เชื่อเรื่องย้อนเวลาหรือเปล่าคะ”

พูดไปแล้ว!!

ตอนถามฉันก้มหน้าอยู่ตลอด แต่ฉันไม่ได้ยินเสียงครูตอบเลย หรือว่าเขาจะคิดว่าฉันบ้าไปแล้ว มันเลยทำให้ฉันต้องรวบรวมความกล้า แล้วเงยหน้าสบตากับครู

สิ่งที่ฉันเห็นคือ ดวงเบิกโพลงด้วยความสงสัยและตกตะลึงกับคำถามเมื่อครู่

“คุณครูคะ ถ้าครูคิดว่าหนูเสียสติไปแล้ว ครูก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะคะ ขอบคุณค่ะ” ฉันกำลังจะลุกออกไปจากห้องนี้แล้ว

แต่พอได้ยินเสียงครูเอ่ยถามขึ้นมา มันกลับทำให้ฉันสนใจยิ่งกว่าเรื่องที่ฉันเจอเมื่อคืนเสียอีก “เธอก็เจอเหมือนกันเหรอ”

พอรู้ว่าสิ่งที่พบเจอเมื่อคืนไม่ใช่สิ่งผิดปกติที่เกิดกับฉันแค่คนเดียว ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่ก็สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กันแน่

“ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบ

“มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน” ครูเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“หนูกลับจากโรงเรียน แล้วพอถึงบ้าน หนูกำลังจะเปิดประตูเข้าบ้าน เวลามันก็เปลี่ยนไปค่ะ” ฉันพูดตามความจริงทุกอย่างๆ

“คล้ายกับเหตุการณ์ของครูเลย” สิ่งที่ครูตอบกลับมาทำให้ฉันตกใจอีกรอบ

คำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเป็นฉัน... แต่ครูก็เจอแบบด้วยกับฉันด้วย แล้วถ้าย้อนเวลาจริง ๆ ทำไมต้องกลับออกมาจากที่นั่นก่อนจะเข้าวันถัดไป

ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผลของมันสิ

“คุณครูพอจะรู้อะไรเพิ่มบ้างไหมคะ หรือมีทฤษฎีอะไรที่พิสูจน์ได้ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ

“ตอนนี้ไม่มีข้อมูลอะไรเลย” คุณครูส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“ถ้างั้น... ถ้าหนูเจออะไรเพิ่มเติม หนูสามารถมาถามครูได้ไหมคะ” ถ้าสามารถทำได้ ฉันก็จะมีที่ปรึกษาเพิ่ม และอาจจะไม่ประสาทเสียขนาดนี้ เพราะอย่างน้อยก็มีคนที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน และพอคุยกันรู้เรื่อง

“ได้สิ ครูก็เก็บข้อมูลด้วยเหมือนกัน... ถึงจะหลายปีแล้วก็เถอะ” ครูพูดแบบนั้น หมายความว่าอะไร หลายปี เหรอ

“ค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ ทานข้าวเที่ยงให้อร่อยนะคะ” ฉันขอตัวลา และเดินออกจากห้อง มุ่งตรงไปที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวเที่ยง

คงจะต้องพักการเล่นเกม แล้วมาวิจัยเรื่องนี้แทนสักระยะ