ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ANOTHER PART OF LOCKLYNถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น
และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด
#แซลลี่ผู้พิชิต
บนโลกอันสุดแสนกว้างใหญ่ ยังมีดินแดนหนึ่งที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจพบเจอ สถานที่แห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยของผู้ที่แตกต่างจากมนุษย์ โดยประชากรส่วนหนึ่งเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ และมีเหล่าจอมเวทเป็นผู้ปกครองดินแดน
ถึงแม้ว่าผู้คนในดินแดนแห่งนี้จะดำเนินชีวิตกันอย่างสงบสุข แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเสมอไป ที่นี่มีทั้งความดีงามและความชั่วร้าย สงครามระหว่างผู้วิเศษและเหล่ามารมีให้เห็นตลอดหลายร้อยปี ซึ่งผู้ที่คอยทำหน้าที่ปกป้องดินแดนนั้นต้องเป็นจอมเวทระดับผู้พิทักษ์ และคริส โกเบอร์ก็เป็นหนึ่งในจอมเวทที่กล่าวถึง เขามีหน้าที่ดูแลเขตล็อกลิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านบนเนินเขาที่รายล้อมอยู่รอบทะเลสาบ และนอกจากคริสแล้วก็ยังมีเคนเนธ โดเลอร์ที่ทำหน้าเป็นผู้พิทักษ์ล็อกลินคู่กันกับเขา
สองจอมเวทเป็นเพื่อนกันมานาน ทั้งที่นิสัยของทั้งคู่ต่างกันลิบลับ ทุกคนรู้ว่าเคนเนธเป็นคนที่จิตใจดี พอ ๆ กับที่รู้ว่าคริสเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ค่อนข้างอันตรายต่อหญิงสาว และแม้บางคนจะระมัดระวังใจตนเองแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายต่างก็ต้องพ่ายให้กับเขา นั่นหมายความว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะต้องพบกับความผิดหวัง หากคิดว่าคริสจะมอบใจให้เธอคนใดคนหนึ่งอย่างจริงจัง เพราะการปักใจรักใครเพียงผู้เดียวนั้นไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลย ต่างกับเคนเนธที่ไม่เคยหว่านเสน่ห์ใส่หญิงคนใด เพียงเพราะเขาอยากเก็บมันไว้แสดงกับคนที่เขาพึงใจเท่านั้น
เช้าวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง มีแม่มดกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามายังล็อกลิน คริสที่ออกมาดูแลความเรียบร้อยอย่างทุกวันจึงได้พบเข้ากับแม่มดกลุ่มนั้น เขาสะดุดตากับแม่มดสาวนางหนึ่ง ใบหน้าของเธอถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุม และถึงแม้จะเห็นแค่เพียงเสี้ยว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจเธอได้อย่างน่าประหลาดใจ คริสไม่รอช้า เขาถือโอกาสใช้หน้าที่ของตัวเองเข้าไปทำความรู้จักกับเธอผู้นั้นในทันที
“ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ดูเหมือนพวกท่านจะไม่ใช่คนแถวนี้” คริสเอ่ย แม้เขาจะรู้คำตอบของพวกเธออยู่แล้ว
“เรามาจากหุบเขาไฮรัม ข้ามีความจำเป็นที่ต้องพานางมาที่นี่” หญิงวัยกลางคนบอกพร้อมกับโอบไหล่หญิงสาวที่เขาสนใจไว้ด้วยความกังวลในแววตา
“มีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่” คริสถาม มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรับฟังทุกปัญหาของผู้คนที่เข้ามาในเขตล็อกลิน
“คิดว่าคงไม่มีอะไรต้องรบกวน ขอแค่ให้ข้าได้พบกับน้องสาวก็พอ”
“ต้องให้ข้านำทางหรือไม่” เขาถามโดยสายตายังคงจ้องมองหญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา
“เรื่องนั้นคงไม่ต้องรบกวนอีกเช่นกัน ข้ารู้ว่าจะพบนางได้ที่ไหน ขอบคุณท่านมาก”
“คริส โกเบอร์” เขาแนะนำตัว ส่งผลให้เธอคนนั้นหันมามอง เขาจึงมีโอกาสได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่พราวไปด้วยเสน่ห์ “หากต้องการความช่วยเหลือ แจ้งข้าได้ตลอดเวลา”
“ข้าคงอยู่ที่นี่ไม่นาน แต่อย่างไรก็ตาม ฝากดูแลเทียน่าด้วย นางคงต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง”
“เทียน่า?” คริสแกล้งทำหน้าไขสือใส่หญิงสาวที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเจ้าของชื่อนั้น
“เทียน่า โรส” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบค่อนไปทางเย็นชา ก่อนจะดึงผ้าบาง ๆ ที่ปกปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นโฉมหน้าอันงดงาม จนทำให้จอมเวทหนุ่มเกือบเผลออ้าปากค้าง “ท่านคงเป็นจอมเวทโกเบอร์”
“อ่า ใช่แล้วล่ะ”
คริสยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพอจะรู้จักเขาอยู่บ้าง แต่รอยยิ้มนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาได้เพียงครู่เดียว เพราะเทียน่าได้เปลี่ยนไปสนใจทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าของเธอแทน หญิงสาวเดินไปที่ริมตลิ่ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมด้วยดวงตาคู่สวยที่เบิกกว้าง ก่อนเธอจะยกมือขึ้นชี้ไปยังทะเลสาบ
“นั่นใคร”
กลิ่นของสมุนไพรที่ลอยฟุ้งอยู่รอบ ๆ ทำให้แซลลี่ต้องลืมตาขึ้น และเมื่อเธอรู้สึกตัว อาการปวดระบมก็ได้เริ่มทำงานทันที เธอจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และมันทำให้แซลลี่รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่เธอยังไม่ตาย
แต่เมื่อหันมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวในเวลานี้ช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย อย่างน้อยเธอควรตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองหรือโรงพยาบาล แต่เท่าที่สังเกตเห็น ดูเหมือนเธอจะอยู่ในห้องที่ล้อมด้วยผนังไม้คล้ายกับกระท่อม แซลลี่เผลอสบถออกมาเมื่อพยายามจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง อาการปวดระบมไปทั้งตัวของเธอนั้นมันสาหัสกว่าที่คิด
“นึกว่าจะไม่ฟื้นเสียแล้ว”
หญิงชราคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง เธอจ้องหน้าคนข้างนอกด้วยความมึนงง อีกทั้งยังรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน แซลลี่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอหันมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและพบว่าอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นกระท่อมอย่างที่คิด ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหญิงชราผู้ที่ทำให้เธอรู้สึกค้างคาใจไม่หาย
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หญิงชราค่อย ๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง พร้อมกับถามด้วยรอยยิ้มที่ทำให้แซลลี่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้อย่างน่าประหลาดใจ
“ทุกตรง” เมื่อเอ่ยออกมา แซลลี่ถึงรู้ว่าเสียงของเธอแหบแห้งราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมานาน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
คำถามของหญิงชราทำให้หญิงสาวนั่งนิ่งเพื่อคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เธอมั่นใจว่านอกจากเหตุการณ์ตอนตกสะพานแล้วก็ไม่ได้ลืมส่วนไหนไปเลย แซลลี่เอาแต่จ้องหน้าหญิงชราเพื่อนึกให้ออกว่าเคยเจอที่ไหน เธอรู้สึกเหมือนชื่อของอีกฝ่ายนั้นติดอยู่ที่ปาก แต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
“หนูจำได้แค่ว่าหนูตกสะพาน” แซลลี่ว่าแล้วก้มหน้าขมวดคิ้วทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปด้วย
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้าไม่น่าจะใช่คนที่นี่ เจ้ามาจากไหน บอกข้าได้ไหม?” หญิงชราถาม รอยยิ้มใจดีไม่ได้ช่วยให้แซลลี่คลายความสับสนได้เลย
“แถวนี้? ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ”
แซลลี่ค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ ๆ แต่ก่อนที่หญิงชราจะได้ตอบคำถามก็มีเสียงเรียกมาจากข้างนอกเสียก่อน
“ทามาร่า ทามาร่าอยู่หรือเปล่า”
ชื่อที่ผู้ชายคนนั้นที่ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านทำให้แซลลี่เริ่มคลับคล้ายคลับคลา อีกทั้งเสียงชายผู้นั้นก็ฟังดูคุ้นหูไม่แพ้กัน แซลลี่ยกมือขึ้นนวดขมับในขณะที่หญิงชราเดินออกไปข้างนอก จากนั้นเธอค่อย ๆ ขยับตัวหมายจะเดินตามออกไป แต่มันก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก จนแซลลี่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเธอนอนอยู่บนเตียงนั้นมากี่วัน
หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวออกมาจากห้อง ประจวบกับที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงชรา แซลลี่เบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นหน้าของเขา เธอเผลอปล่อยมือที่ค้ำยันไว้กับฝาผนัง นั่นทำให้ร่างบางเซจนเกือบล้ม แต่ถือว่าโชคดีที่ชายหนุ่มคนดังกล่าวเข้ามาคว้าตัวไว้ทัน
“ออสติน” หัวใจของแซลลี่เต้นแรง เมื่อได้เจอดาราที่เธอดูหนังของเขามาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี แซลลี่มั่นใจว่าเธอจำไม่ผิดแน่ ๆ
“ใคร?” ชายหนุ่มทำหน้างง
“คุณออสติน มัวร์ ฉันดูหนังของคุณซ้ำ ๆ มาเป็นสิบปี” แซลลี่บอกเสียงสั่น
“หนังอย่างนั้นเหรอ หนังอะไร” ชายหนุ่มยิ้มแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่แซลลี่พูด “อีกอย่างข้าคิดว่าความจำของเจ้าน่าคลาดเคลื่อนไปสักหน่อย ข้าชื่อคริส โกเบอร์”
“อ๋า ฉันรู้น่า คริส โกเบอร์ จอมเวทแห่งล็อกลิน ฉันชอบมาก ฉันดูหนังเรื่องนี้ซ้ำ ๆ จนจำได้ทุกอย่างแล้วล่ะ อ้อ ๆๆ แล้วคุณยาย จำได้แล้ว คุณคือคุณยายทามาร่า อ่า ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีนอกจากนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอกนางเอกแล้ว หนูก็ไม่ค่อยได้รู้จักชื่อนักแสดงคนอื่น ๆ สักเท่าไร แต่หนูจำได้แล้ว คุณรับบทเป็นแม่มดที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษา” แซลลี่พูดรัวด้วยความตื่นเต้น เวลานี้ความทรงจำเกี่ยวกับหนังเรื่องโปรดของเธอหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว
“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร ข้าไม่เข้าใจ” คริสส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังพูดเลยจริง ๆ
“นี่พวกคุณกำลังถ่ายรายการอำฉันอยู่ล่ะสิ” แซลลี่ทำหน้ารู้ทัน ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันด้วยความงุนงง
“แม่หนู ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร” ทามาร่าบอก แววตาของหญิงชราค่อนข้างกังวล เพราะหวั่นใจว่านี่อาจจะเป็นผลข้างเคียงจากอุบัติเหตุของแซลลี่
“เนียนกันมากเลย คุณดีแลนไม่มาด้วยเหรอคะ ไม่อย่างนั้นไม่ครบทีมนะคะ” แซลลี่หัวเราะเบา ๆ
“ใครคือดีแลน” คริสถาม
“ก็เคนเนธ”
ยังไม่ทันที่แซลลี่จะตอบได้จบประโยค รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อได้สังเกตใบหน้าของคริสอีกครั้ง เธอลืมคิดไปว่าหนังเรื่องนั้นผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว แต่ชายหนุ่มตรงหน้ายังดูเหมือนคนอายุยี่สิบปลาย ๆ ทั้งที่ปัจจุบันนั้นออสติน มัวร์มีอายุราวสี่สิบปีแล้ว
“รู้จักเคนเนธด้วยเหรอ แต่เขาเกี่ยวอะไรกับดีแลน”
“ไม่...”
ความสับสนตีหน้าแซลลี่เข้าอย่างจัง เธอพยายามพาตัวเองออกไปนอกบ้านด้วยความทุลักทุเล คริสพยายามเข้ามาช่วยประคอง แต่แซลลี่กลับปัดมือของเขาออกไป กระทั่งหญิงสาวได้ออกมาข้างนอก ภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เธอต้องอ้าปากค้าง เพราะทะเลสาบกลางขุนเขาที่เธอเห็นในหนังเรื่องศึกพิภพมนตรานั้นมันเป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีอยู่จริง และถูกสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก แต่ ณ เวลานี้ทุกสิ่งอย่างที่ไม่เคยมีอยู่จริงนั้นกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
“ล็อกลิน...”
“ใช่ เมื่อครู่เจ้าเอ่ยถึงมันแล้ว” คริสว่า
“คริส...” แซลลี่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับไปมองผู้เป็นเจ้าของชื่อ
“หืม?” คริสเลิกคิ้ว และรอคอยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
“แค่คริส โกเบอร์...นี่คือคุณเหรอ” แซลลี่ขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นไม่ใช่นักแสดงที่รู้จัก
“นึกว่าเจ้ารู้จักข้าอยู่แล้ว”
แซลลี่หลับตาแล้วทรุดนั่งลงบนพื้นหญ้าหน้ากระท่อม นั่นทำให้หญิงชราต้องรีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้
“มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” แซลลี่รำพึงออกมาเบา ๆ
“ตอนที่เห็นร่างของเจ้าลอยอยู่กลางทะเลสาบ ข้าก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” คริสว่า
“ฉันลอยอยู่กลางทะเลสาบเหรอ” แซลลี่เงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ใช่ ทีแรกเราคิดว่าเจ้าตายไปแล้วด้วยซ้ำ” ทามาร่าพูดเสริม
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
แซลลี่ส่ายหน้าพร้อมทั้งพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอหันกลับไปมองทะเลสาบกว้างแล้วแอบหยิกแขนของตัวเอง เพื่อยืนยันว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นมันมีอยู่จริง
แต่ก่อนที่แซลลี่จะคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะหมดสติไปเธอได้เห็นและได้ยินอะไรมาบ้าง ประโยคที่บอกว่า ‘ดำเนินเรื่องของเจ้าไปให้ถึงตอนจบ แล้วจะได้กลับมา’ ทำให้แซลลี่ยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเอง จนเส้นผมของเธอในตอนนี้ยุ่งเหยิงพอ ๆ กับความคิดที่อยู่ในหัว
แซลลี่สาวเท้าออกมาจากตรงนั้นราวกับคนเสียสติ แม้คริสและทามาร่าจะตะโกนเรียกก็ไม่สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้ แซลลี่รู้สึกปวดร้าวไปทุกย่างก้าว แต่ยิ่งเจ็บมากเท่าไร มันก็ยิ่งช่วยยืนยันว่าเธอไม่ได้ฝันไป ในเวลานี้เธออยู่ที่ล็อกลินจริง ๆ อุบัติเหตุนั้นได้ส่งเธอเข้ามาอยู่ในโลกของหนังเรื่องศึกพิภพมนตรา
ระหว่างเดินลงเนินเขา แซลลี่ก็คิดไปว่าในตอนนี้เธออาจจะอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตาย เสียงกระซิบที่บอกให้เธอดำเนินเรื่องราวไปให้ถึงตอนจบนั้น ชัดเจนว่ามันเป็นคำสั่งที่เธอต้องทำตาม
“นี่เจ้า!” คริสคว้าแขนของแซลลี่ไว้ได้ นั่นทำให้เธอต้องหยุดเดินก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง อย่างไร้เรี่ยวแรง “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”
แซลลี่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา แต่ขณะเดียวกันเสียงของจิตใต้สำนึกก็ได้ผุดขึ้นมาย้ำเตือนเธอว่าไม่ควรพูดอะไรไปมากกว่านี้ เรื่องต้องห้ามของการโผล่เข้ามาในโลกที่เธอดันรู้ความเป็นไปของมันอยู่แล้ว นั่นคือไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้ตัวละครเหล่านี้รับรู้เรื่องราวของตัวเอง แซลลี่ที่ไม่รู้จะตอบยังไงจึงใช้มุกแกล้งเป็นลมมันเสียเลย อย่างน้อยกับหนังเมื่อสิบปีที่แล้วมันก็น่าจะได้ผล