ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 3 น่าสงสัย โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

3 น่าสงสัย

แซลลี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าของอีกวัน เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็ได้พบว่ายังคงอยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องเดิม นั่นทำให้มั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แซลลี่ค่อย ๆ พลิกตัวเพราะยังคงปวดระบมไปทั่วทั้งร่างไม่ต่างจากเมื่อวาน หญิงสาวพยายามเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างที่อยู่เหนือหัวเตียง แม้ข้างนอกยังไม่สว่างดี แต่ก็พอมองเห็นทิวทัศน์ของล็อกลินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกยามเช้า

แซลลี่พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เธอกอดเข่ามองทัศนียภาพนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเรื่องที่ทำให้เธอคิดว่าตัวเองเป็นบ้า แต่ลึก ๆ แล้วแซลลี่ปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าเธอรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย ที่ได้เห็นว่าล็อกลินมีอยู่จริง

ไม่นานนักก็มีเสียงกุกกักดังมาจากข้างนอก แซลลี่เดาว่าทามาร่าคงจะตื่นแล้ว ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจของหญิงสาว เพราะคิดว่าวันนี้ทามาร่าต้องซักไซ้หาคำตอบจากเธอแน่ ๆ ซึ่งแซลลี่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะตอบคำถามอย่างไร ไม่ให้หญิงชราคิดว่าเธอเพี้ยน แม้ใจจริงเธออยากบอกพวกเขาไปตรง ๆ แต่เพราะอ่านหนังสือและดูหนังมาเยอะ จึงกังวลว่ามันจะเกิดผลกระทบบางอย่างขึ้นได้

“ตื่นแล้วเหรอ” ทามาร่าที่ผลักประตูเข้ามาเอ่ยถาม นั่นทำให้แซลลี่สะดุ้งเบา ๆ “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ

“เช้านี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง” หญิงชราเดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีแก้วน้ำและถ้วยหนึ่งใบ ในถ้วยมีของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่แซลลี่ดูก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือยาสมุนไพร

“เหมือนจะไม่ต่างจากเมื่อวานสักเท่าไร”

“นั่นคงเป็นเพราะตลอดสามวันที่เจ้าหลับไป ข้าทำได้เพียงรักษาแผลภายนอก เพราะฉะนั้นวันนี้เจ้าต้องเริ่มกินยาได้แล้ว” ทามาร่าพูดพลางยื่นถ้วยยาให้กับแซลลี่

“สามวันเลยเหรอคะ?!” แซลลี่ถามเสียงสูง ดวงตาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนั้น

“ข้าค่อนข้างกังวล กลัวเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมา เพราะตอนที่จอมเวทโกเบอร์ช่วยเจ้าขึ้นมาจากทะเลสาบ พูดตามตรงข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรอด”

“บ้าไปแล้ว” แซลลี่รำพึงพร้อมกับรับถ้วยยามาจากหญิงชรา

“กินซะ มันจะช่วยบรรเทาอาการปวดระบม”

แซลลี่รู้ดี รสชาติของยาในถ้วยนั้นต้องไม่น่าอภิรมย์แน่ ๆ แต่เธอจะไม่มีวันทำเหมือนพวกนางเอกที่จะบ้วนมันทิ้งตั้งแต่อึกแรก เธอรับถ้วยยามาจากทามาร่าแล้วมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจดื่มมันรวดเดียวหมด แต่นับว่าเป็นโชคดีที่รสชาติของยาสมุนไพรที่แซลลี่เพิ่งดื่มเข้าไปนั้นไม่ได้แย่อย่างที่จินตนาการไว้

“อาจจะต้องทนอีกสองสามวัน อาการปวดจึงจะทุเลาลง” ทามาร่ายื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับรับถ้วยยาจากแซลลี่คืนมา ทามาร่ามองหน้าหญิงสาววัยหลานค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใครมาจากไหน บอกข้าได้ไหม อย่างน้อยจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ”

แซลลี่ถอนหายใจ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกหญิงชราว่าอย่างไรดี แต่เธอจะไม่ยอมบอกแน่ ๆ ว่าอุบัติเหตุตกสะพานที่เกิดขึ้นในอีกโลกหนึ่งพาเธอมาถึงที่นี่ “หนูชื่อแซลลี่ แซลลี่ เลนนี่ หนูจำได้แค่นี้”

“จำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยเหรอ” ทามาร่าถาม แววตาของหญิงชราดูคาดหวังว่าจะได้คำตอบจากแซลลี่มากกว่านี้

“หนูจำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จำไม่ได้เลยว่าหนูมาจากไหน แต่รู้สึกได้ว่ามันไกลจากที่นี่มาก ๆ”

“โธ่เอ๊ย” ทามาร่ารำพึงออกมาด้วยความสงสารอีกฝ่ายจับใจ

“ขอโทษนะคะ” แซลลี่เอ่ยออกมาจากใจจริง แต่มันหมายถึงเรื่องที่เธอบอกความจริงทั้งหมดให้ทามาร่ารู้ไม่ได้

“อย่ากังวลไปเลย เจ้าอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย อย่างน้อยก็จนกว่าจะจำอะไร ๆ ได้”

ทามาร่ายิ้มให้อย่างใจดี นั่นทำให้แซลลี่เบาใจไปได้มาก อย่างน้อยระหว่างนี้เธอก็จะมีที่ซุกหัวนอนไปจนกว่าจะหาทางกลับสู่โลกปัจจุบันได้

แต่นั่นแหละคือปัญหา เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร มันน่าจะมีอะไรชี้นำทางให้เธออีกสักหน่อย แค่ประโยคที่สั่งให้ดำเนินชีวิตอย่างหนังที่เธอดูนั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะเรื่องราวของเธอจะต้องดำเนินไปแบบนาทีต่อนาที ไม่มีการข้ามผ่านไปแม้แต่วินาทีเดียว นั่นแปลว่าชีวิตในล็อกลินของแซลลี่จะไม่ได้ถูกตัดต่อให้ผ่านไปอย่างราบรื่นเหมือนกับในหนังอย่างแน่นอน

“ขอบคุณนะคะ” แซลลี่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับหญิงชรา

“หิวหรือยัง เดี๋ยวข้าไปทำอาหารเช้ามาให้”

“ไว้สาย ๆ ก็ได้ค่ะ” เธอบอกก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง “หนูขอออกไปนั่งเล่นข้างนอกได้ไหมคะ”

“ได้สิจ๊ะ มาเดี๋ยวข้าช่วย”

ทามาร่าช่วยพยุงตัวให้แซลลี่ได้ลุกขึ้น และพาเธอออกมานั่งที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ดวงตะวันเริ่มโผล่ขึ้นเหนือยอดภูเขา แสงสีทองลอดผ่านม่านหมอกเป็นลำแสงลงมากระทบกับผืนน้ำในทะเลสาบ สายลมเย็นกระทบร่างบางของแซลลี่ ทำให้เธอต้องกระชับเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ทามาร่าเปลี่ยนให้เมื่อสามวันก่อน ซึ่งเป็นแฟชั่นยุคกลางแบบในหนัง เธอจึงรู้สึกเหมือนได้แต่งคอสเพลย์อยู่ตลอดเวลา

หญิงสาวนั่งทอดสายตามองความงามของหมู่บ้านรอบทะเลสาบจากกระท่อมบนเนินเขา อยู่ ๆ เธอก็คิดว่านี่อาจจะเป็นโลกหลังความตายของเธอก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนั้นมันก็เกิดความรู้สึกหวิวโหวงขึ้นมาในใจ เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอยังไม่ได้เริ่มทำ และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ

ในหัวของแซลลี่เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของเวลาที่ผ่านมา แต่มาคิดเอาตอนนี้ก็คงไม่ช่วยอะไร สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือเธอต้องใช้ชีวิตที่ล็อกลินให้ดีกว่าที่ผ่านมา อย่างน้อยการได้เข้ามาอยู่ในหนังเรื่องโปรดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธออยู่ไม่น้อย ถ้าไม่นับรวมกับเรื่องผจญภัยที่เธอต้องเจอหลังจากนี้

 

แซลลี่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องนอนเล็ก ๆ มาตั้งแต่ช่วงสายจนกระทั่งตะวันคล้อย เธอไม่ได้พูดคุยกับทามาร่ามากนัก เพราะตลอดทั้งวันหญิงชรามีเรื่องต้องทำมากมาย นั่นเป็นเพราะทามาร่าเป็นแม่มดเพียงไม่กี่คนในล็อกลิน ที่เชี่ยวชาญเรื่องยาสมุนไพรเพื่อการรักษา

เสียงพูดคุยข้างนอกที่เล็ดลอดเข้ามาให้แซลลี่ได้ยินอยู่เนือง ๆ นั้นดูเหมือนคนในหมู่บ้านจะรู้เรื่องของเธออยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครเข้ามารบกวนเธอให้ลำบากใจ กระทั่งเสียงของชายหนุ่มเอ่ยชื่อเธอขึ้นมา นั่นทำให้แซลลี่ตาโตโดยอัตโนมัติ เพราะเธอจำเสียงนั้นได้ดี หนึ่งในนั้นคือคริสที่เพิ่งเจอไปเมื่อวาน ส่วนอีกคนเธอกล้าวางเดิมพันเลยว่าต้องเป็นพระรองที่เธอคุ้นเคยอย่างแน่นอน

“แซลลี่ ตื่นอยู่หรือเปล่า”

หญิงชราเรียกแซลลี่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมาก แซลลี่พยายามลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดประตูด้วยใจที่เต้นแรง เธอกำลังจะได้พบนักแสดงที่ชื่อดีแลน ซึ่งในที่แห่งนี้เขาคือเคนเนธ หญิงสาวพยายามตั้งสติและเตือนตัวเอง ว่าทุกคนที่เธอจะได้พบเจอหลังจากนี้ไม่ใช่นักแสดงที่เธอรู้จัก แต่เป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริง

“รู้ชื่อแล้วงั้นเหรอ” เป็นคริสที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขายกยิ้มเมื่อเห็นเธอเปิดประตูออกมา

“คิดว่าใช่”

แซลลี่ว่าก่อนจะชะโงกหน้าไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังของคริส และใช่ เธอเดาไว้ไม่มีผิด ชายหนุ่มร่างสูงพอ ๆ กันกับคริสคนนั้นก็คือเคนเนธ โดเลอร์ ชายหนุ่มดีกรีพระรอง ที่แม้บทในหนังจะทำให้เธอหงุดหงิดเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เจอตัวเป็น ๆ แซลลี่ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเทียน่าถึงได้ลังเล

“ได้ข่าวจากทามาร่าว่าเจ้าไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาเลย ข้าจึงเอาเสื้อผ้าของโจเซฟีนมาให้ใช้ไปพลาง ๆ ก่อน นางเป็นน้องสาวของข้าเอง หวังว่าเจ้าคงไม่ถือ” เคนเนธว่าพลางยื่นถุงผ้าให้กับแซลลี่

“โอ้ ขอบคุณมาก นาทีนี้ฉันไม่ถืออะไรหรอกค่ะ เพราะคิดว่าคงใส่ชุดนี้ต่อไปอีกวันไม่ได้แล้ว” แซลลี่หัวเราะเบา ๆ ในขณะที่ทามาร่าเข้ามาช่วยพยุงเธอให้ไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

“ทามาร่าบอกว่าเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย” เคนเนธว่า เขามองเธอด้วยแววตาห่วงใยเสียมากกว่าสงสัย

แซลลี่ถอนหายใจเมื่อเธอต้องพูดโกหกอีกครั้ง “ก็อย่างที่คุณรู้”

“แต่น่าแปลก นางรู้จักข้า นางรู้จักทามาร่า แถมรู้จักเจ้าด้วย” คริสพูดสวนขึ้นมา นั่นทำให้แซลลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง

“งั้นเหรอ” เคนเนธถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“ลืมไปหรือเปล่าว่าวินาทีแรกที่เราเจอกัน ฉันเรียกคุณและเขาด้วยชื่ออื่น” เธอไม่รู้เลยว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้มีพิรุธ

“ใช่ และข้าได้แนะนำตัวกับเจ้าไป แต่เขาไม่ เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าก็ถามถึงเขา ทั้งที่เรายังไม่ได้พูดถึงเคนเนธสักคำ” คริสว่า รอยยิ้มจับผิดของเขามันช่างน่าหงุดหงิดใจยิ่งนัก แต่แซลลี่ก็ได้แค่ทำหน้านิ่ง

“ฉันพูดเหรอ” เธอทำหน้าไขสือ นั่นทำให้เคนเนธต้องหัวเราะออกมา

“ช่างมันเถอะน่า ค่อย ๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวอีกสักพักความจำของนางก็คงกลับมา” เคนเนธว่า

“เว้นเสียแต่ว่า...นางจะไม่ใช่พวกเรา” คริสว่า นั่นทำให้แซลลี่ลืมตัว ความปากไวทำให้เธอพูดโพล่งออกไปทันที

“โอ้ อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับคุณ”

คริสยกยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แซลลี่จึงเอนตัวหนีอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ “แล้วเจ้าเป็นใคร”

หายนะของการพูดไม่คิด ทำให้แซลลี่ที่หาคำแก้ตัวไม่ทันต้องเงียบไป เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลที่ช้าที่สุดในโลก แซลลี่หลับตาลงแล้วยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบชายหนุ่ม “จำไม่ได้”

“เราต้องทำให้แน่ใจว่านางไม่ใช่พวกนั้น” เคนเนธว่า แววตาของเขาฉายความกังวลออกมาเล็กน้อย

“พวกนั้น? พวกไหน” แซลลี่ขมวดคิ้วพลางมองสองหนุ่มสลับกันไปมา แต่อันที่จริงเธอพอจะเดาออกอยู่แล้วว่าพวกเขากำลังหมายถึงใคร

“ภายใต้การปกครองที่เข้มงวด เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ก็ยังมีฝ่ายอื่นที่มีความคิดแตกต่างไปจากฝ่ายปกครองของดินแดน การคิดต่างของคนเหล่านั้นนั่นแหละ ที่ทำให้พวกเราต้องคอยระมัดระวังกันอยู่ตลอดเวลา” ทามาร่าเป็นคนอธิบาย

“ถ้านางเป็นพวกมัน เดี๋ยวก็คงได้รู้”

คริสพูดด้วยรอยยิ้มมุมปาก เขามองหน้าแซลลี่ค้างไว้ด้วยแววตาที่เขาชอบแสดงมันกับสาว ๆ ที่เขาถูกใจ ด้วยความรู้สึกอคติที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้หญิงสาวทำปากคว่ำใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเบือนหน้าไปมองสมุนไพรแห้งที่แขวนอยู่บนผนัง

“แต่ดูจากลักษณะแล้วข้าว่านางไม่ใช่พวกลอร์ พวกนั้นเป็นพวกครึ่งปีศาจ ต่อให้แปลงกายก็มีตำหนิให้จับได้อยู่ดี” เคนเนธว่า

“นางไม่ใช่ลอร์”

เสียงเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น เธอยืนพิงตัวกับประตูกระท่อม พร้อมกับกอดตุ๊กตาที่ดูเหมือนจะเย็บเอาเอง เด็กน้อยมองมาที่แซลลี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และหญิงสาวก็ได้ส่งยิ้มให้หนูน้อยทันทีที่เห็นหน้า เพราะเธอรู้ว่านั่นคือ โมนา เด็กหญิงวัย 6 ขวบที่มีความสามารถในการมองเห็นที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ เธอสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์

“เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ” เคนเนธถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงใจดี

“ไม่” โมนาตอบห้วน ๆ ก่อนจะวิ่งหนีไป

“ท่านควรเชื่อนาง” ทามาร่าว่าแล้วตามด้วยหัวเราะเบา ๆ

“ได้ ข้าจะเชื่อว่านางไม่ใช่พวกลอร์” คริสพูดก่อนจะหันมาจ้องหน้าแซลลี่อีกครั้ง “แต่เราต้องรู้ให้ได้ว่านางเป็นใคร”

แซลลี่อยากลุกขึ้นยืนแล้วตอบกลับอีกฝ่ายว่าเป็นสาวออฟฟิศ แต่ก็ทำได้เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้คริสตั้งข้อสงสัยไปพร้อมกับส่งสายตาโปรยเสน่ห์ได้ตามอำเภอใจ และกิริยาเหล่านั้นมันช่วยยืนยันได้ว่าคริส โกเบอร์เป็นพระเอกที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับเธอ

 

ลอร์ คือกลุ่มของผู้มีเจตจำนงที่จะเข้ายึดครองดินแดนผู้วิเศษ โดยมี คาเรย์ ชายผู้ฝักใฝ่ในมนตร์ดำ เขาก็ใช้มันครอบงำเหล่าปีศาจในดินแดนให้อยู่ภายใต้คำบัญชาของตนเอง คาเรย์มีอายุยืนยาวได้ด้วยอำนาจพลังของตนเอง แต่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์นั้นไม่พอสำหรับเขา คาเรย์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายปกครองดินแดน และแน่นอนว่าไม่มีจอมเวทฝ่ายปกครองคนไหนเห็นด้วย นั่นจึงทำให้เกิดสงครามระหว่างจอมเวทและลอร์มาเป็นร้อย ๆ ปี

แต่ไม่นานมานี้ ก็ได้มีคำทำนายจากแม่มดใบ้นามว่า เลวาน่า คำทำนายบอกว่าจะมีสตรีนางหนึ่งเข้ามาหยุดสงครามอันแสนยาวนานนี้ เพราะสตรีผู้นั้นมีเวทมนตร์ที่ทรงพลังซ่อนอยู่ และเมื่อคำทำนายหลุดไปถึงหูของคาเรย์ การตามล่าหญิงสาวในคำทำนายก็ได้ดำเนินขึ้น

หลายเขตในดินแดนถูกกลุ่มลอร์บุกรุก พวกนั้นไร้ซึ่งความปรานี หญิงสาวที่มีลักษณะตรงตามคำทำนายจำนวนมากถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด แล้วในที่สุดการรุกรานนั้นก็มาถึงหุบเขาไฮรัม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาถูกทำไปลายไปเกินครึ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีแม่มดกลุ่มหนึ่งหนีออกมาได้ หนึ่งในนั้นคือเทียน่า โรส...