ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 4 เริ่มแล้ว โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

4 เริ่มแล้ว

ผ่านไปสัปดาห์กว่า ๆ อาการบาดเจ็บของแซลลี่ก็ดีขึ้นตามลำดับ เธอสามารถช่วยทามาร่าทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้บ้างแล้ว แม้การหลุดเข้ามาอยู่ในล็อกลินจะไม่ใช่เรื่องปกติ แต่แซลลี่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา ทั้งยังชอบเสียอีก อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอไม่ต้องตื่นไปเบียดกับผู้คนบนรถโดยสาร ไม่ต้องทำงานแบบหุ่นยนต์ การได้ใช้ชีวิตที่ล็อกลินคือสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด เรื่องที่เธอต้องทำให้ได้นั้น ก็แค่ต้องกลมกลืนไปกับผู้คนที่นี่

แซลลี่ใช้เวลาช่วงพักรักษาตัวคิดบทบาทให้ตัวเอง เธอคิดว่าบทสาวความจำเสื่อมเป็นบทที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ความรู้ที่เธอได้จากการดูหนัง จะทำให้ผู้คนที่นี่คิดว่าเธอไม่ได้ต่างไปจากพวกเขา

ชีวิตที่ไร้เครื่องอำนวยความสะดวกอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ ไม่มีทีวีให้ดูหนัง นั่นทำให้แซลลี่ได้เข้านอนเร็วและตื่นเช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่นวันนี้ แซลลี่ตื่นแต่เช้ามาช่วยทามาร่าทำงานบ้าน และขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบ เธอก็รู้สึกได้ถึงดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาจากกระท่อมฝั่งตรงข้าม เมื่อแซลลี่มองออกไปก็ได้เห็นว่าเจ้าของพลังงานบางอย่างนั้นเป็นโมนาและกำลังมองมาราวกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด แซลลี่ที่มีนิสัยไม่เป็นมิตรกับเด็กสักเท่าไรจึงหรี่ตามองเด็กหญิง ก่อนจะเท้าเอวมองเหมือนนางมารร้าย แต่นั้นไม่ได้ทำให้โมนาละสายตาจากเธอเลย

ในช่วงเวลาที่ทามาร่ากำลังยุ่งอยู่กับการรักษาผู้คน แซลลี่จึงได้ปลีกตัวออกมานั่งเล่นอยู่หลังกระท่อมเพียงลำพัง เธอถามตัวเองซ้ำ ๆ มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งเธอก็ได้คำตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง เพราะไม่ว่าจะตื่นขึ้นมาตอนไหนเธอก็ยังคงอยู่ที่ล็อกลิน

“คิดถึงบ้านเหรอ”

เสียงเล็ก ๆ เอ่ยถามขึ้น เมื่อแซลลี่เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเป็นโมนา เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความมันเขี้ยวปนเอ็นดู “ฉันไม่มีบ้านให้คิดถึง” แซลลี่ยิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันจำบ้านไม่ได้”

“ท่านโกหก” เด็กหญิงโต้กลับทันที แต่ก็ด้วยท่าทีระมัดระวังราวกับกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน “ท่านมาจากที่ที่ไกลมาก ๆ ข้ารู้”

“รู้อะไร” คิ้วของแซลลี่เคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อกิริยาการพูดของโมนาดูรู้มากเกินกว่าจะเป็นเด็กหกขวบ

“ท่านรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับที่นี่บ้าง”

“เด็กน้อย นี่เธอกำลังพูดถึงอะไร” แซลลี่หัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทีของโมนาที่มีต่อเธอ แต่ลึก ๆ แล้วกลับเป็นแซลลี่เสียมากกว่าที่กำลังรู้สึกหวั่น ๆ ในคำพูดของเด็กหญิง เพราะเธอรู้เรื่องความสามารถของโมนาเป็นอย่างดี

“ท่านจะได้กลับไปยังที่ที่จากมา ท่านแค่ต้องทำให้มันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น”

รอยยิ้มของแซลลี่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า แม้โมนาไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่เธอก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร แซลลี่เอื้อมมือไปลูบหัวโมนาเบา ๆ เธอฝืนยิ้มกับเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในเวลานี้แซลลี่รู้แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชี้นำทางให้กับเธอ

“แค่ให้มันเป็นอย่างที่มันควรเป็นอย่างนั้นเหรอ” แซลลี่ทวนคำพูดของเด็กหญิง

“อื้อ” โมนาพยักหน้า “แต่ท่านอาจจะต้องเหนื่อยสักนิด เพราะเวลาของที่นี่มันจะยาวนานกว่าที่ท่านเคยเห็น”

แซลลี่หัวเราะในลำคอเบา ๆ มันจริงอย่างที่โมนาพูด เพราะโดยปกติแล้วเธอใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่าในการดูหนังเรื่องนั้น แต่เมื่อได้มาที่นี่เธอจะต้องใช้ชีวิตแบบนับวินาที อีกทั้งตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าเหล่าตัวละครได้ดำเนินเรื่องไปถึงไหนกันแล้ว

“นับตั้งแต่นี้เราจะเป็นเพื่อนกัน โอเคไหม” แซลลี่พูดพลางยื่นนิ้วก้อยไปหาเด็กหญิง และถึงแม้ใบหน้าของโมนาจะไร้รอยยิ้มแต่ก็ยกนิ้วก้อยเล็ก ๆ ขึ้นมาเกี่ยวนิ้วของแซลลี่ไว้เป็นคำสัญญา นั่นทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างออกมา

“แต่ท่านต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใครนะ ห้ามบอกแม้แต่คนเดียว” โมนาพูดย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฉันสัญญา เรื่องนี้จะมีแค่เราที่รู้”

แซลลี่ยิ้มกว้าง แม้มันจะเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่การที่มีคนรู้เรื่องของเธอสักคน และคอยชี้นำทางให้เธอได้บ้างนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพียงเด็กหกขวบก็ตาม

“แล้วฉันควรเริ่มตรงไหน” แซลลี่ถาม

“ก็แค่ใช้ชีวิตของท่านตามปกติ แต่อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกเขา ตอนนี้มันเริ่มแล้ว” โมนาบอก

“เทียน่ามาที่นี่แล้วเหรอ” แซลลี่เลิกคิ้ว เพราะเธอจำได้ดีว่าเทียน่าโผล่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง

“นางมาที่นี่วันเดียวกับท่าน”

จากการบอกเล่าของโมนาทำให้แซลลี่รู้ว่าเธอได้ดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับหนังแล้ว เพียงแต่เธอไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในเรื่องราวของพวกเขา และจากการที่เธอได้วิเคราะห์คำเตือนของเด็กหญิงวัยหกขวบ นั่นช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดไว้นั้นถูกต้อง ว่าเธอไม่ควรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเส้นเรื่องของตัวละครเหล่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในทุกวินาทีนับตั้งแต่วันที่เธอมาที่นี่ จะเป็นเหตุการณ์ที่อยู่นอกเนื้อเรื่องของหนังศึกพิภพมนตรา

 

แซลลี่ยืนมองทิวทัศน์ของล็อกลินจากเนินเขาอย่างทุก ๆ เช้า ที่ต่างไปจากเดิมเห็นจะเป็นอาการบาดเจ็บที่หายดีแล้ว ช่วงสายของวันนี้เธอจึงได้มีโอกาสตามทามาร่าลงไปยังหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่าง ครั้งล่าสุดกับความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ออกจากบ้านเกิดขึ้นตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ครั้งนี้นับเป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่ทำให้เธอได้กลับมามีรู้สึกเช่นนั้น วิถีชีวิตของผู้คนในหนังที่เธอชอบ ทำให้แซลลี่รู้สึกมีความสุขกับการเดินตามหญิงชราไปจ่ายตลาด เธอตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่ได้พบเห็น จนทามาร่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“แล้วคุณยายซื้อสมุนไพรจากไหนคะ หรือใช้แค่ที่ปลูกไว้รอบ ๆ บ้าน” แซลลี่ถามขึ้นมาตามประสาคนขี้สงสัย

“ที่ปลูกไว้ก็จะเป็นประเภทที่ใช้บ่อย ๆ ปลูกเท่าที่ทำไหวส่วนอื่น ๆ หาซื้อได้ที่ร้านขายสมุนไพร” ทามาร่าตอบ

“ให้หนูช่วยปลูกไหมคะ” แซลลี่อาสา นั่นทำให้หญิงชราต้องหันมาส่งยิ้มตั้งคำถามกับเธอ “ตอนเด็ก ๆ หนูเคยช่วยพ่อทำสวนหย่อมหน้าบ้าน ปลูกสมุนไพรก็คงไม่น่ายาก วิธีการคงไม่ต่างกันมากหรอกมั้งคะ”

“ตอนเด็ก ๆ อย่างนั้นเหรอ”

ทามาร่าทวนคำพูดของเธอ นั่นทำให้แซลลี่รู้ตัวว่าได้เผลอหลุดปากพูดเรื่องในอดีตออกไป ความจริงแล้วเธอไม่ควรจำมันได้ หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาที่ยังคงมองอย่างตั้งคำถามของทามาร่าทำให้แซลลี่รู้สึกเหมือนโลกกำลังจะแตก ความปากไวนำพาเธอมาให้พบกับหายนะอีกครั้ง ในระหว่างนั้นแซลลี่รู้สึกเหมือนสมองกำลังประมวลผลหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองด้วยความเร็วสูงสุด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการประมวลผลจากคอมพิวเตอร์ที่สเปคต่ำที่สุดเสียมากกว่า

“ว่าแต่สวนหย่อมคืออะไรคะ?”

“ข้าสิต้องถามเจ้า เจ้าเป็นคนพูดมันออกมา” หญิงชราเอียงหน้ามองแซลลี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“แล้วทำไมหนูถึงพูดแบบนั้น”

แซลลี่แสร้งทำหน้าขึงขัง แต่ในใจภาวนาให้หญิงชราละความสงสัยเรื่องวัยเด็กของเธอไปเสีย และดูเหมือนคำภาวนาของแซลลี่จะได้ผล ทามาร่ายิ้มออกมาพร้อมกับปลอบโยนเธอด้วยการลูบแผ่นหลังบางเบา ๆ

“มันอาจจะเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าก็เป็นได้”

หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ หากแต่ในใจนั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความโล่งใจ เพราะหากทามาร่าไม่เลิกสงสัยเธอคงต้องใช้แผนสอง นั่นคือการกระโดดลงไปในทะเลสาบเสียให้จบสิ้น

ในระหว่างที่แซลลี่กำลังเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ในตอนนั้นเองที่สายตาของเธอได้เหลือบไปเห็นคริสที่กำลังเดินมุ่งเข้ามา แซลลี่หมุนตัวเตรียมรับคำทักทายจากอีกฝ่าย แต่ก็ผิดคาดเมื่อชายหนุ่มร่างสูงหยุดชะงัก และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้แซลลี่ต้องพาตัวเองเข้าไปหลบอยู่หลังเสา เพราะคริสได้หยุดพูดคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แซลลี่รู้จักเป็นอย่างดี

“นึกว่าเจ้าจะเอาแต่เก็บตัวอยู่ในกระท่อมนั่นเสียอีก”

แซลลี่พูดตามคริสได้ทั้งประโยคอย่างไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มหยิบหัวไชเท้าที่อยู่ในตะกร้าของเทียน่าขึ้นมาอย่างที่ทำในหนัง ก่อนหน้านี้แซลลี่มองการกระทำนั้นผ่านจอในฐานะคนดู แต่ในตอนนี้เธอได้เห็นมันผ่านเนื้อตาในฐานะชาวบ้านท่านหนึ่ง หญิงสาวยืนมองสองคนนั้นปานคนสอดรู้สอดเห็นอีกทั้งยังพูดตามพวกเขาทุกประโยค

“มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องเก็บตัว” เทียน่ากล่าวพร้อมกับแย่งหัวไชเท้าคืนมาจากคริส

“คงจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เจ้ามาที่นี่”

“ท่านอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเลย ข้ามีเวลาไม่มาก”

“เกิดอะไรขึ้นที่ไฮรัม” คริสถามพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนมุมปาก

“เป็นถึงจอมเวทก็ย่อมมีวิธีไขความอยากรู้อยากเห็นให้กับตัวเอง ข้าไม่สะดวกใจที่จะสนทนากับท่าน” เทียน่าว่าก่อนทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไป แต่คริสกลับรั้งด้วยการดึงข้อมือของเธอไว้

แซลลี่เผลอเบ้ปากเมื่อเห็นสถานการณ์ของสองคนนั้น เธอไม่เคยชอบพฤติกรรมของชายหนุ่มผู้เป็นพระเอกของเรื่องเลย เพราะเขามักใช้อำนาจในการขอให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตนต้องการเสมอ

“ข้าเป็นผู้ดูแลที่นี่ เจ้าควรตอบในสิ่งที่ข้าถาม”

“ถ้าข้าไม่ตอบแล้วท่านจะทำอะไร ไล่ข้าออกไปจากที่นี่?” เทียน่าเชิดหน้าถามคริส เธอจ้องเขาอย่างไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย “หากเป็นเช่นนั้นข้าจะได้รีบไปเสียก่อนตะวันจะตกดิน”

พูดจบหญิงสาวก็เดินหันหลังออกไป ทิ้งให้คริสยืนมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเธอหายลับตาไป ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในขณะที่แซลลี่นั้นได้แต่ยืนป้องปากขำที่ตัวเองสามารถพูดตามคริสและเทียน่าได้ทุกประโยค จนลืมสังเกตว่าคริสกำลังเดินตรงมาหาเธอ

“ตรงนี้มีอะไรน่าขำ” คริสถาม

“หัวเราะไปเรื่อย” แซลลี่บอกพร้อมกับหุบยิ้มไปแบบกะทันหัน

“หายดีแล้วเหรอ” คริสถามพลางกวาดสายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

“หายแล้ว”

“ก็ดี แล้วจำอะไรได้บ้างหรือยัง” เขาถาม ก่อนแซลลี่จะตอบกลับด้วยการสั่นหน้าเบา ๆ “งั้นเจ้าคงต้องอยู่บนเนินเขานั่นต่อไป”

“แหงล่ะ จะให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะ” แซลลี่ตอบสวนกลับไป

“ก็ถ้าเจ้าอยากอยู่แบบสันโดษในป่า ข้าก็พอจะหากระท่อมให้เจ้าได้” คริสพูดพลางยิ้มกวน

“เรื่องอะไร อยู่กับคุณยายทามาร่าก็ดีอยู่แล้ว”

“สำนวนการพูดของเจ้าไม่เหมือนคนที่นี่เลย”

คริสที่พินิจมองแซลลี่อยู่ครู่หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย นั่นทำให้แซลลี่ชะงักไปและเห็นด้วยกับที่ชายหนุ่มว่า ถึงแม้เธอจะดูหนังเรื่องนี้มาหลายรอบ แต่การจะเปลี่ยนสำนวนการพูดให้เหมือนกับคนที่นี่ได้ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แซลลี่จึงใช้สิทธิ์คนเพี้ยนความจำเสื่อมในการที่จะพูดในแบบของตัวเองต่อไป

“คุณก็เห็นว่าตื่นมาฉันก็พูดแบบนี้เลย”

“นั่นยิ่งทำให้ข้าอยากรู้อยู่ทุกวัน ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน”

คริสว่าพลางใช้มือข้างหนึ่งเชยคางแซลลี่ขึ้นมา แต่หญิงสาวก็ปัดมือของเขาออกอย่างไม่ไยดี แววตาเป็นประกายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของชายหนุ่มเนื้อหอมคนนี้เหมือนจะไม่ส่งผลกับหญิงสาวผู้นี้เลยสักนิด

“สาบานว่าฉันก็ถามตัวเองอยู่ทุกวัน แต่ที่จำได้คือฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว” แซลลี่พูดเบา ๆ หากแต่เน้นเสียงทุกคำ

“หึ เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำแบบนั้น”

“จะได้รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ชอบให้ทำแบบนั้น”

พูดจบแซลลี่ก็เดินจากไปทันที ปล่อยให้คริสยืนหัวเราะกับตัวเองเพียงลำพัง วันนี้เขาถูกผู้หญิงมองด้วยสายตาดูแคลนถึงสองคนด้วยกัน แต่มันไม่ได้ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลงเลย อีกทั้งหญิงสาวทั้งสองต่างก็เต็มไปด้วยปริศนา ชวนให้เขานึกสนุกอยากรู้เรื่องราวของพวกเธอให้มากกว่านี้