ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 5 เลยตามเลย โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

5 เลยตามเลย

จากสาวออฟฟิศ สู่สาวชาวล็อกลิน จากการดูหนังมาเป็นร้อยรอบส่งผลให้เธอสามารถทำตัวกลมกลืนไปกับผู้คนในโลกผู้วิเศษได้เป็นอย่างดี และเพราะแซลลี่อ้างว่าความจำเสื่อม จึงไม่มีใครมาซักไซ้เธอสักเท่าไร อีกทั้งเธอยังไม่ค่อยได้ออกไปไหน เว้นเสียแต่ว่าจะตามทามาร่าไปจ่ายตลาด ส่วนในช่วงเวลาอื่น ๆ นั้น ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรกใหม่ นั่นก็คือการทำสวนสมุนไพร

 ในขณะที่แซลลี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำพื้นที่ข้างกระท่อมให้เป็นสวนสมุนไพรอยู่นั้น เธอสังเกตเห็นว่าโมนานั่งเล่นอยู่หน้ากระท่อมฝั่งตรงข้ามเพียงลำพัง แม้ทามาร่าจะไม่เคยพูดถึงครอบครัวของโมนา แซลลี่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นน่าสงสารแค่ไหน

“พักกินขนมก่อนเถอะ” ทามาร่าพูดขึ้นพร้อมกับถือถาดขนมเข้ามาหาแซลลี่

“ว้าว มีขนมด้วย” แซลลี่ทำตาโตก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง

“ข้าคิดว่ามื้อเช้าคงไม่อยู่ท้อง”

“อันที่จริงเมื่อเช้าหนูกินไปเยอะมาก เพราะรู้ว่าต้องใช้แรงงานเยอะ” หญิงสาวหัวเราะก่อนจะหันไปมองโมนาอีกครั้ง

“ยัยหนูนั่นน่าสงสาร หลังเกลนตายในสงคราม จูเลียแม่ของนางคงตรอมใจ นางไม่ค่อยได้ดูแลโมนาสักเท่าไร เจ้าหนูนั่นถึงได้กลายเป็นเด็กที่ไม่สดใสอย่างที่เห็น” ทามาร่าบอก

“น่าสงสารเธอนะคะ” แซลลี่ถอนหายใจ ทั้งที่รู้เรื่องราวพวกนั้นอยู่แล้ว แต่เมื่อได้มาสัมผัสตัวตนจริง ๆ ของโมนา มันทำให้เธอสงสารเด็กคนนั้นมากกว่าเดิม

“นางเป็นเด็กมหัศจรรย์ ในวันที่เกลนจะออกไปทำสงคราม นางเตือนเขาแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่านั่นคือคำเตือน ก็อย่างว่าตอนนั้นโมนาเพิ่งสี่ขวบ พวกเขาคิดว่านางพูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก”

“ไว้หนูจะชวนเธอมาเล่นด้วยกันบ่อย ๆ” แซลลี่หันกลับมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับทามาร่า

“นั่นอาจเป็นความคิดที่ดี เจ้าจะได้ไม่เหงา” ทามาร่ายิ้มก่อนจะวางถาดขนมลงบนเก้าอี้ไม้ “อยากได้อะไรเพิ่มบอกข้าก็แล้วกัน”

แซลลี่หันไปรอบ ๆ แล้วจึงเอ่ยปากบอกกับหญิงชรา “หนูอยากปลูกดอกไม้เพิ่ม หนูอยากขายดอกไม้”

“ดอกไม้มีอยู่ถมไป เจ้าจะขายมันได้อย่างไร” ทามาร่าพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูอีกฝ่าย

“หนูมีวิธีทำให้มันน่าสนใจ” แซลลี่บอก รอยยิ้มดื้อรั้นทำให้ทามาร่าต้องส่ายหน้าเบา ๆ

“ข้างล่างนั่นมีร้านต้นไม้อยู่สองสามร้าน ไว้ตอนเย็นข้าจะพาไปซื้อ”

“หนูไปเองก็ได้ค่ะ” แซลลี่รีบบอก

“เจ้าแน่ใจเหรอ” ทามาร่ามองหน้าหญิงสาวด้วยแววตาเป็นห่วง เพราะตั้งแต่แซลลี่มาอยู่ที่ล็อกลิน เธอยังไม่เคยออกไปไหนเพียงลำพัง

“แน่ใจค่ะ” แซลลี่ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ก็ได้”

หลังจากที่ทามาร่ากลับเข้าไปในกระท่อมแล้ว แซลลี่ก็ได้ถือโอกาสนั่งพัก เธอมองขนมในถาดก่อนจะหันไปหาโมนาที่ยังนั่งเล่นอยู่ที่เดิม

“โมนา มากินขนมกัน” แซลลี่ตะโกนเรียกเด็กหญิงที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับตุ๊กตา

โมนามองแซลลี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินมาหาหญิงสาว แซลลี่พิงเสียมไว้ข้างกระท่อมแล้วเดินไปล้างมือ เพื่อที่จะได้กลับมานั่งกินขนมกับเด็กหญิง

“ไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ เหรอ” แซลลี่ถามในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนั่งกินขนมด้วยกัน

“ข้าไม่มีเพื่อน” โมนาตอบเสียงเศร้า

“สักคนก็ไม่มีเหรอ” แซลลี่ถามย้ำ ส่วนโมนาได้แต่ส่ายหน้าแทนการพูดตอบ “งั้นมาเล่นกับฉันสิ มีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำเยอะเลย”

“ท่านจะหลอกให้ข้ามาช่วยท่านปลูกต้นไม้ใช่ไหมล่ะ” โมนาถามออกมาตรง ๆ ด้วยความไร้เดียงสา นั่นทำให้แซลลี่ต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“โธ่เอ๊ย รู้ทันจนได้ แต่มันสนุกออก แล้วฉันสัญญาว่าจะเย็บตุ๊กตาให้เป็นการตอบแทน เจ้าเน่านั่นจะได้มีเพื่อนเยอะ ๆ” แซลลี่ว่าพลางมองไปยังตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมกอดของโมนา

“จริงเหรอ” โมนาถามด้วยแววตาเป็นประกาย

“จริงสิ ถึงไม่ได้เก่งมาก แต่ฉันก็ชอบทำงานฝีมือ ไว้เราค่อยมาหาอะไรเล่นกัน”

แซลลี่ไม่คิดว่าเธอจะต้องมาผูกมิตรกับเด็กวัยหกขวบ แต่การที่ได้เห็นรอยยิ้มของโมนามันทำให้เธอรู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาดใจ และผลของการพยายามสานสัมพันธ์กับเด็กของแซลลี่ ทำให้โมนาอยู่กับเธอทั้งวัน นั่นช่วยคลายเหงาให้เธอได้เป็นอย่างดี

 

แซลลี่ลงจากเนินเขามายังหมู่บ้านด้านล่าง เธอค่อนข้างตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้ออกมาจากกระท่อมโดยไม่มีทามาร่า หญิงสาวเดินหาร้านต้นไม้ตามที่หญิงชราบอก ทำให้เธอได้พบกับเคนเนธที่ออกมาตรวจตราความเรียบร้อยในช่วงเย็นพอดี

“นี่เจ้ามาคนเดียวเหรอ” เขาถามเมื่อเห็นว่าแซลลี่เดินอยู่เพียงลำพัง

“ขออนุญาตคุณยายแล้ว” แซลลี่บอกพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย

“หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเจ้าเลย หายดีแล้วใช่ไหม”

“หายดีแล้วล่ะ ขุดดินข้างบ้านมาสามวันแล้ว” แซลลี่ว่าพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“ขุดทำไม” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน

“ทำสวนสมุนไพรให้คุณยายน่ะ ก็คนมันว่าง นี่ว่าจะหาดอกไม้ไปปลูกเพิ่ม แต่ยังหาร้านต้นไม้ไม่เจอเลย”

“โอ้ มีร้านต้นไม้อยู่สองสามร้าน เดี๋ยวข้าพาไป เจ้าอยากได้ดอกไม้แบบไหน” เคนเนธอาสาอย่างกระตือรือร้น

“มีร้านไหนน่าสนใจ?”

“อันที่จริงร้านละแวกนี้ก็คล้าย ๆ กันไปหมด จะมีก็อีกร้านที่ขายพวกเมล็ดพันธุ์ แต่ต้องพายเรือข้ามทะเลสาบไปอีกฝั่ง เพราะถ้าเดินไปเจ้าคงถึงบ้านมืดค่ำแน่ ๆ” เคนเนธบอกในขณะที่แซลลี่นั้นไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มของเธอนั้นก็ชัดเจนมากพอที่จะใช้แทนคำร้องขอ นั่นจึงทำให้เคนเนธยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ “ได้ ข้าจะพาเจ้าไป”

“ขอบคุณค่า”

แซลลี่ยิ้มร่าก่อนจะเดินตามเคนเนธไปที่ท่าเรือ เขาเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่เธอรู้จักไม่มีผิด หรืออาจจะเกินกว่าในหนังเสียด้วยซ้ำ แซลลี่รู้สึกได้ว่ารอบ ๆ ตัวของเคนเนธอบอวลไปด้วยเสน่ห์ที่เธอชอบ นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ตลอดเวลาเหมือนกับคริส อีกทั้งยังสงวนท่าทีและปฏิบัติตนกับเธอตามประสาจอมเวทที่ทำหน้าที่ดูแลผู้คนในล็อกลิน

“ทำไมที่นี่ต้องมีจอมเวทดูแลตั้งสองคนล่ะคะ ล็อกลินดูไม่ได้เป็นสถานที่ที่ดูแลยากขนาดนั้น” แซลลี่ถาม เธอสงสัยมาตั้งแต่ตอนดูหนังแล้วว่าทำไมต้องมีผู้นำชุมชนถึงสองคนด้วยกัน

“เพื่อไม่ให้อำนาจในการดูแลตกอยู่ที่คนคนเดียว และจะได้ดูแลผู้คนได้อย่างทั่วถึง เวลามีภัยอันตรายจะได้ช่วยสั่งการได้ทันท่วงที ไม่ต้องรอแค่ใครคนใดคนหนึ่ง” เคนเนธอธิบาย

“อย่างนี้นี่เอง แล้วที่นี่เคยมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า เช่นพวกสงครามอะไรแบบนั้น” แซลลี่ยังคงถามต่อ เธออยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับที่นี่นอกเหนือจากในหนังบ้างหรือเปล่า

“แม้ว่าตลอดเวลาร้อยปีที่ผ่านมานี้ อาจจะมีเรื่องสงครามมาให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ แต่นับว่าล็อกลินเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูง เราไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาทำเรื่องไม่ดี”

แซลลี่ยิ้ม ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอคาด เพราะบทของหนังบอกไว้ว่าล็อกลินเป็นสถานที่ที่มีแต่ความสงบสุข อีกทั้งยังอวยความเก่งกาจของจอมเวททั้งสองไว้พอประมาณ “เพราะคุณกับคริส พวกคุณเก่งมาก ผู้คนที่นี่จึงอยู่กันอย่างสงบสุข”

“กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ เราสองคนผ่านการพิสูจน์กันมาไม่น้อย การพยายามแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราจึงจะไม่ปล่อยให้ปัญหาเข้ามาถึงล็อกลิน แม้หากต้องเสี่ยงกับภัยสงคราม เราก็จะจัดการเสียก่อนที่มันจะมาถึงที่นี่”

“นั่นเป็นความคิดที่ดี จัดการปัญหาเล็ก ก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ฉันชอบแนวคิดของพวกคุณนะ เพราะฉันเองก็ไม่ค่อยชอบอะไรที่มันวุ่นวาย”

“เจ้าเคยพบเรื่องวุ่นวายด้วยเหรอ”

เคนเนธถามหยั่งเชิง ลึก ๆ แล้วเขายังมิอาจเชื่อแซลลี่ได้เต็มร้อยว่าเธอความจำเสื่อมจริง ๆ นั่นเป็นเพราะเขาต้องคอยระมัดระวังภัยจากคนต่างถิ่นอยู่ตลอดเวลา แต่แซลลี่ที่หัวไวกว่านั้นไม่ยอมที่จะตกหลุมพรางของชายหนุ่ม

“การที่ฉันลอยเหมือนศพอยู่ในทะเลสาบ พร้อมกับตื่นมาจำอะไรไม่ได้ คุณคิดว่านั่นไม่วุ่นวายเหรอ”

“โอ้ จริงด้วย ข้าขอโทษ”

แซลลี่คลี่ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของอีกฝ่าย ถ้าไม่นับเรื่องรักสามเส้าของตัวละครทั้งสาม เคนเนธก็ไม่ได้เป็นคนน่ารำคาญเลย แม้ท่าทีที่เขาแสดงออกมาจะดูเป็นคนอ่อนโยน แต่เธอรู้ว่าเคนเนธเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาด หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน

ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังนั่งเรือข้ามไปยังอีกฝั่ง โดยมีเคนเนธเป็นคนพาย แซลลี่ที่กำลังชื่นชมวิถีชีวิตริมน้ำ สายตาของเธอก็ได้เห็นเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคนนั้นนั่งอยู่บนระเบียงที่ยื่นออกมา ทำให้ทั้งแซลลี่และเคนเนธเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นได้อย่างชัดเจน เธอคือเทียน่า หญิงสาวเพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้หัวใจที่แข็งดั่งหินผาของเคนเนธสั่นไหวได้

แซลลี่หันไปมองหน้าเคนเนธ ก็พบว่าชายหนุ่มกำลังมองเทียน่าอย่างไม่ยอมละสายตา แซลลี่ยิ้มออกมาด้วยความเห็นใจตัวละครพระรอง ที่กำลังตกหลุมรักหญิงสาวผู้เป็นนางเอก ลึก ๆ แล้วแซลลี่ก็อยากให้เคนเนธได้สมหวังกับความรักครั้งนี้เพราะเขาคู่ควร แต่เธอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

“เธอสวยมากใช่ไหมล่ะ” แซลลี่พูดขึ้น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์

“ข้าไม่ได้มองนาง” ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“โธ่ พ่อจอมเวทคนเก่ง เรื่องแค่นี้ไม่ต้องปากแข็งหรอกน่า ถ้าฉันปล่อยให้คุณมองเธอนานกว่านี้อีกสักหน่อย คุณคงพายเรือเข้าพงหญ้าไปแล้วแน่ ๆ” แซลลี่ว่าพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ก็ได้ ใช่ นางสวย”

ขณะที่แซลลี่คิดจะเอ่ยปากยุยงให้เคนเนธเดินหน้าจีบหญิงที่เขาตกหลุมรัก แต่พอนึกขึ้นได้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะได้ครองรักกับเทียน่านั้นต้องเป็นคริส แซลลี่ก็ต้องยั้งปากของตัวเองเอาไว้ และหากจะห้ามไม่ให้เคนเนธเข้าไปยุ่งกับเธอ นั่นก็จะเป็นการเข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องในหนังอีกเหมือนกัน แซลลี่จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับชายหนุ่มที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากที่เพิ่งเอ่ยปากชมเทียน่าไปหมาด ๆ  

“ได้ข่าวว่าเธอเป็นคนเจอฉัน”

“อ้อใช่ เช้าวันนั้นนางเพิ่งเดินทางมาถึงล็อกลิน เพิ่งรู้ทีหลังว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่ไฮรัม”

แซลลี่ที่รู้เรื่องดีอยู่แล้วจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นแปลกใจ เธอจึงแกล้งถามเขาไป “เกิดอะไรขึ้นกับที่นั่น”

“พวกลอร์ พวกนั้นออกล่าแม่มดตามคำทำนาย หากหนีไม่พ้นก็จะถูกพวกมันฆ่าอย่างเหี้ยมโหด” เคนเนธพูดพลางถอนหายใจก่อนจะมองหน้าแซลลี่อย่างครุ่นคิด “บางทีข้าก็คิดว่าเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในแม่มดผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น”

“ฉันไม่รู้สิ ฉันไม่รู้อะไรเลย” แซลลี่ส่ายหน้า

“แต่ช่างเถอะ สิ่งเดียวที่ข้าต้องคิดอยู่เสมอ คือต้องไม่ให้พวกนั้นเหยียบเข้ามาที่ล็อกลิน” เคนเนธบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น นั่นทำให้แซลลี่รู้สึกนับถือเคนเนธมากกว่าเดิม

ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็มาถึงอีกฝั่งของทะเลสาบ เคนเนธนำทางแซลลี่ไปยังร้านที่ขายเมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิด มันทำหญิงสาวเพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ผักและดอกไม้ จนแทบลืมไปเลยว่ามีเคนเนธมาด้วย

“เจ้าจะซื้อเมล็ดพันธุ์พวกนี้ไปทำไม”

“หนึ่งคือปลูกแก้เหงา สองคือคุณยายจะได้ไม่ต้องเดินลงมาซื้อข้างล่างบ่อย ๆ”

“มีเจ้าอยู่ด้วยทามาร่าคงจะคลายเหงาไปได้มาก” เคนเนธพูด พลางมองแซลลี่ด้วยแววตาชื่นชม

“ฉันโชคดีที่มาโผล่ที่นี่ หากไปโผล่ที่ไฮรัมก็คงไม่น่ารอด” แซลลี่หัวเราะฝืด

“หรือไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะมาจากไฮรัม” เคนเนธว่า

“นั่นน่ะสิ แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันมีความสุขดี บางทีการจำอะไรไม่ได้เลยมันก็อาจจะดีกว่า” แซลลี่พูดพลางเลือกเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ต่อ

“ในฐานะจอมเวทผู้ดูแลล็อกลิน เมื่อได้เห็นผู้มาพึ่งพิงมีความสุข ข้าก็สบายใจ”

แซลลี่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับชายหนุ่ม ท่าทีแสนดีของเคนเนธทำให้แซลลี่อยากทำผิดกฎของเส้นเรื่อง เพื่อให้ชายหนุ่มได้สมหวัง แม้ชีวิตที่นี่จะมีความสุขดี แต่แซลลี่รู้ตัวว่าคงทนใช้ชีวิตไร้เทคโนโลยีแบบนี้ได้ไม่นาน แค่ตื่นมาเจอวิวสวย ๆ แล้วไม่ได้ถ่ายรูปอัปลงบนโซเซียล มันก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะลงแดงตายอยู่ทุกวัน นั่นทำให้แซลลี่ต้องยั้งใจตัวเองเอาไว้ เพราะหากทำให้เส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย มันอาจทำให้เธอออกไปจากล็อกลินไม่ได้อีกเลย