ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ANOTHER PART OF LOCKLYNถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น
และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด
#แซลลี่ผู้พิชิต
แซลลี่ที่อยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ความวุ่นวาย ได้แต่ยืนมองภาพกลุ่มลอร์ที่กำลังบุกเข้ามาโจมตีล็อกลิน เธอมองธนูไฟที่ลอยข้ามขึ้นไปยังเนินเขาซึ่งไม่ไกลจากกระท่อมของทามาร่า ร่างบางสั่นสะท้านพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า แซลลี่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อแขนของเธอถูกคว้าโดยใครบางคน
“หาที่หลบซะ”
คริสบอกพร้อมกับออกแรงดึงร่างบางให้เข้ามาหลบในที่ปลอดภัย แซลลี่ทั้งตกใจและรู้สึกสับสน เธอรู้วิธีที่จะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่กล้าบอกใบ้ให้อีกฝ่ายรู้ได้แม้แต่นิดเดียว
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” แซลลี่บอกเสียงสั่น และเมื่อมองไปด้านหลังของชายหนุ่มก็พบว่าเทียน่ายืนอยู่ไม่ไกล “ไปช่วยเทียน่า ไปซะ!”
แซลลี่ผลักคริสออกไป เพราะหากเป็นในหนัง เหตุการณ์นี้เขาต้องอยู่กับเทียน่าไปตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มมองเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยอมวิ่งไปหาเทียน่าโดยไม่ได้ซักไซ้อะไร และแม้ว่าคริสจะออกไปแล้ว แต่แซลลี่ก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภาพที่ผู้คนวิ่งสวนกันไปมาเริ่มช้าลงเหมือนภาพสโลว์โมชัน พร้อมกับเสียงโหวกเหวกค่อย ๆ เงียบลง ก่อนจะมีเสียงหนึ่งเข้ามาแทนที่ราวกับคาเรย์มากระซิบอยู่ข้างหู
“ดำเนินเรื่องของเจ้าไปให้ถึงตอนจบ แล้วจะได้กลับมา เจ้าเป็นนางเอกของเรื่องนี้แล้ว แซลลี่ เลนนี่”
สิ้นเสียงนั้น ภาพสถานการณ์เบื้องหน้าก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แซลลี่รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นเพื่อมุ่งหน้าขึ้นสู่เนินเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ วิ่งสวนเธอลงมา ระหว่างที่วิ่งขึ้นไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดจัดเหนื่อยนั้น เธอคอยมองกระท่อมของทามาร่าอยู่ตลอดเวลา พลางภาวนาขอให้ทันเวลาก่อนที่ธนูไฟจะไปถึง
แซลลี่ตะเกียกตะกายมาถึงกระท่อมด้วยความทุลักทุเล เธอได้ยินเสียงธนูหวีดข้ามอากาศมาอย่างรวดเร็ว ก่อนธนูไฟจะปักลงบนผนังไม้ของกระท่อม แซลลี่ที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวรีบวิ่งเข้าไปหมายจะดึงมันออก แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นเธอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะหากเธอดึงธนูไฟนั้นออก ก็เท่ากับว่าเส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็จะผิดเพี้ยนไปทันที
หญิงสาวยืนมองเปลวไฟที่เริ่มลามไปบนผนังไม้อย่างชั่งใจ สำหรับในหนังแล้วฉากไฟไหม้กระท่อมของทามาร่าเป็นเพียงแค่ฉากสั้น ๆ เท่านั้น และหากเธอไม่ทำอะไรเลย อีกไม่ช้าทุกอย่างก็จะเป็นไปตามในหนัง แต่เมื่อคิดถึงทามาร่าและเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวที่บอกว่าเธอคือนางเอกของเรื่อง นั่นทำให้แซลลี่อยากฝืนเส้นเรื่องของหนังเพื่อทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง
“ช่างแม่งเถอะ!”
พูดจบแซลลี่ก็รีบดึงลูกธนูออก เธอรีบคว้าของที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาดับไฟโดยไม่สนผิดถูก แต่มันก็ช่วยให้เพลิงสงบลงก่อนที่จะลุกลามไปไกล เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเธอจึงทิ้งของในมือ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาทามาร่าที่อยู่ในกระท่อม
“คุณยาย! คุณยาย! ออกมาเร็วเข้า!”
แซลลี่พุงตัวเข้ามาในห้องของทามาร่าพร้อมกับปลุกหญิงชราด้วยเสียงดังลั่น ทามาร่าที่หลับไปตั้งแต่หัวค่ำจึงไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น เมื่อลุกขึ้นมาพบกับแซลลี่ที่หน้าตาตื่น นั่นจึงทำให้หญิงชราตกใจอยู่ไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกลอร์บุกมาที่นี่ เรารีบหนีกันก่อนเถอะค่ะ” แซลลี่ว่าพลางพยุงทามาร่าให้ลุกขึ้น
“อะไรนะ! พวกลอร์อย่างนั้นเหรอ” ทามาร่าถามด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด
“ค่ะ ตอนนี้หมู่บ้านข้างล่างอันตรายมาก เราต้องหนีไปหลังเนินเขากันก่อน”
พูดจบทั้งสองก็พากันออกมาจากกระท่อม นั่นทำให้แซลลี่เห็นว่าไฟกำลังไหม้กระท่อมของจูเลีย หากเป็นในหนังสองแม่ลูกจะต้องปลอดภัย แต่ในตอนนี้เหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น แซลลี่จึงรู้ได้ทันทีว่าเส้นเรื่องได้เปลี่ยนไปแล้ว
“จูเลียกับโมนาล่ะ”
สิ้นคำถามของทามาร่าเสียงร้องของโมนาก็ดังขึ้น นั่นทำให้แซลลี่เบิกตากว้างและเริ่มลนลาน เพราะเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้กระท่อมของสองแม่ลูกอย่างรวดเร็ว
“คุณยายไปหลบตรงนั้นก่อน หนูจะไปช่วยคุณจูเลียกับโมนา” แซลลี่ชี้ไปทางด้านหลังกระท่อมของหญิงชรา
“แต่มันอันตรายนะ” ทามาร่าเตือนด้วยความเป็นห่วง
“เชื่อหนูนะคะ หนูจะไม่เป็นไร”
แซลลี่บอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ทามาร่าจึงยอมทำตามที่เธอบอก สาวชุดแดงวิ่งฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในกระท่อมของสองแม่ลูก แซลลี่ทั้งแสบตาและสำลักควันไฟ แต่ความพยายามทำให้เธอฝ่าเข้าไปได้ และภาพที่เห็นคือโมนานั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ จูเลียที่มีลูกธนูปักอยู่กลางอก
“คุณจูเลีย!” แซลลี่เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตกใจ และพยายามจะเข้าไปพยุงจูเลีย แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือนั้น
“มันถึงเวลาของข้าแล้ว ให้ข้าไป” จูเลียบอกด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง “ให้ข้าไปอยู่กับเขา”
“คุณไปอยู่กับเขา แล้วโมนาจะอยู่กับใครล่ะ” แซลลี่เสียงสั่น แม้จะรู้ดีว่าหนทางที่จูเลียจะรอดนั้นมีน้อย แต่เธอไม่อยากทิ้งให้จูเลียต้องเผชิญกับความตายเพียงลำพัง
“ข้าฝากนางด้วยแซลลี่ ฝากดูแลโมนาแทนข้า”
“ไม่ ๆ เราต้องรอดไปด้วยกัน คุณต้องไม่เป็นอะไร ออกไปจากกระท่อมแล้วฉันจะให้คุณยายรักษาคุณ” แซลลี่บอกอย่างดื้อรั้น แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าจูเลียใกล้จะหมดแรงเต็มที่
“เอาสิ่งนั้นไปด้วย” จูเลียชี้ไปยังดาบที่แขวนอยู่บนผนัง “ชะตาของล็อกลินขึ้นอยู่กับเจ้า”
เธอบอกกับแซลลี่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนแรง แล้วยื่นมือไปหาโมนา เด็กหญิงไม่รอช้ารีบเข้าไปกอดแม่ของเธอทั้งเสียงสะอึกสะอื้น “แม่รักเจ้า แม่ขอโทษที่คงอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว จงเชื่อฟังและช่วยเหลือนาง”
พูดจบจูเลียก็หลับตาลงพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย พิษจากบาดแผลทำให้เธอจากไปในที่สุด มันเป็นคืนที่แซลลี่เสียน้ำตาบ่อยจนแทบจะไม่มีน้ำตาเหลือให้ร้องไห้ในครั้งต่อไปแล้ว เปลวเพลิงที่ลุกลามเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้แซลลี่ต้องรีบคว้าตัวโมนาขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก และไม่ลืมที่จะหยิบดาบเล่มนั้นออกมาด้วย
หญิงสาววิ่งออกมาจากกระท่อมด้วยความทุลักทุเล เธอวิ่งมาหาทามาร่าที่ซ่อนตัวอยู่หลังกระท่อม ก่อนทั้งสามจะพากันข้ามไปอีกฝั่งของเนินเขา จนได้มาเจอกับต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงกว้างพอที่จะให้ทามาร่าและโมนาซ่อนตัวได้จนถึงเช้า
“คุณยายกับโมนารออยู่ที่นี่นะคะ”
“เจ้าจะไปไหน” ทามาร่าถาม เมื่อเห็นว่าแซลลี่กำลังจะหันหลังกลับไปทางเดิม
“หนูทำมันพัง หนูต้องรับผิดชอบเรื่องนี้” แซลลี่รู้สึกเหมือนคอของเธอแห้งผง แม้จะกลัวแต่รู้ดีว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
“ข้าไม่เข้าใจ” ทามาร่าส่ายหน้า แววตาของหญิงชราเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“มันไม่ได้พัง ท่านแค่เริ่มมันใหม่” โมนาพูดพลางสะอื้น
แซลลี่มองหน้าเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงตัวโมนาเข้ามากอด แล้วหันไปพูดกับทามาร่าอีกครั้ง “หนูจะกลับมาก่อนฟ้าสาง”
พูดจบแซลลี่ก็วิ่งออกมาจากต้นไม้ใหญ่ทันที หญิงสาวข้ามเนินเขากลับมายังฝั่งของหมู่บ้าน จึงได้เห็นว่าล็อกลินแทบจะกลายเป็นทะเลเพลิง แซลลี่วิ่งลงจากเนินโดยมีเป้าหมายเป็นคาเรย์ เดิมทีเหตุการณ์ที่ลอร์บุกล็อกลินนั้นเป็นช่วงแรกของหนัง และในตอนจบนั้นคาเรย์จะต้องตายด้วยน้ำมือของเทียน่า แต่ในตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่าเทียน่าจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่ เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาที่แม่มดสาวยังควบคุมพลังของตัวเองได้ไม่ดีนัก
“แซลลี่!”
เสียงเรียกทำให้แซลลี่หันไปพบกับเคนเนธ ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับลากเธอเข้าไปหลบในที่ปลอดภัย
“คุณเห็นเทียน่าไหม”
“ข้าไม่พบใครเลยนอกจากเจ้า และคำถามคือเจ้ามาทำอะไรตรงนี้ มันอันตรายรู้ไหม” เสียงของเคนเนธฟังดูนุ่มนวลเกินกว่าที่จะเรียกว่าดุ
“มาช่วยพวกคุณไง” แซลลี่บอก
“เจ้าควรออกไปจากตรงนี้”
“ฉันรู้ว่าจะฆ่าไอ้บ้านั่นยังไง คุณเห็นเทียน่าบ้างไหม?” แซลลี่ถามซ้ำพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“เกี่ยวอะไรกับนาง” เคนเนธถามอย่างไม่เข้าใจ
“เอาล่ะ ไม่มีเวลาต้องอธิบาย ตอนนี้ฉันต้องไปหาเทียน่า”
แซลลี่ก็วิ่งออกมาโดยไม่ฟังคำทัดทานของเคนเนธ ระหว่างที่ต้องกวาดสายตามองหาหญิงสาวผู้มีเวทมนตร์ เธอก็ได้ทบทวนความจำเกี่ยวกับหนังไปด้วย เพราะมันจะช่วยให้เธอหาตัวเทียน่าและคาเรย์ได้ง่ายขึ้น
“แซลลี่ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!” เคนเนธตะโกนพร้อมวิ่งตามหลังมาติด ๆ
“ถ้าจะตามมาก็ช่วยกันหาเทียน่า”
ทั้งคู่วิ่งฝ่าซากบ้านเรือนที่ถูกทำลายไปด้วยความยากลำบาก แต่แล้วก็มีคนจากฝ่ายตรงข้ามเข้ามาขวางทางไว้ เคนเนธดึงแขนหญิงสาวให้มาหลบหลังตัวเอง ก่อนเขาจะใช้เวทมนตร์ต่อสู้กับคนกลุ่มนั้น แซลลี่ได้แต่อ้าปากค้างเพราะเพิ่งได้มีโอกาสเห็นการใช้เวทมนตร์ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก และไม่คิดด้วยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็น
“ข้าบอกแล้วว่าให้หนีไป”
เคนเนธว่าก่อนจะคว้าแขนของแซลลี่แล้วออกวิ่งกันต่อ สภาพล็อกลินเวลานี้พังย่อยยับ จนแซลลี่แทบจะจำไม่ได้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ทะเลสาบที่ส่องแสงสว่างอย่างสวยงามในชั่วโมงก่อนหน้า เวลานี้มีเพียงแสงสะท้อนจากเปลวเพลิง แซลลี่กับเคนเนธวิ่งเลียบทะเลสาบไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทั้งได้เห็นคริสกำลังสู้กับศัตรูอยู่ข้างหน้า เธอรู้แน่ว่าเทียน่าจะต้องอยู่กับเขา
“เทียน่า!” แซลลี่วิ่งตรงเข้าไปหาหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในสภาพตื่นตระหนก “เธอมากับฉัน ส่วนคุณไปช่วยคริส” แซลลี่ออกคำสั่งกับทั้งสองคน โดยเทียน่านั้นได้แต่ส่ายหน้ารัว ๆ แล้วขยับตัวถอยห่างออกไป เพราะเธอไม่รู้จักแซลลี่มาก่อน “เทียน่า เธอต้องใช้เวทมนตร์”
“เวทมนตร์อะไร” เทียน่าทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่แซลลี่พูด
แซลลี่เดินไปใกล้ ๆ อีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “เวทมนตร์ที่เธอซ่อนไว้”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง” ดวงตาคู่สวยของเทียน่าเบิกกว้าง เมื่อความลับของเธอถูกเอ่ยออกมาจากปากหญิงแปลกหน้าอย่างแซลลี่
“รู้ถึงขั้นว่าเธอยังควบคุมมันไม่ได้ แต่ฟังนะ ตอนนี้เธอจำเป็นต้องใช้มัน ไม่อย่างนั้นล็อกลินได้เหลือแค่ทะเลสาบแน่ เราต้องพึ่งเวทมนตร์ของเธอเทียน่า”
แซลลี่พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับสองจอมเวทที่เพิ่งเอาชนะสมุนของคาเรย์ และเขาทั้งสองกำลังมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม
“เราต้องฆ่าคาเรย์”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง นั่นคาเรย์ จอมปีศาจที่แม้แต่ข้ากับคริสก็ยังเกินกำลังที่จะสู้” เคนเนธพูด
“ฉันรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่เอาจริงก็ไม่ได้ยาก”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดพล่ามไปเรื่อย และข้าไม่มีเวลามาฟังคำพูดไร้สาระจากเจ้านะแซลลี่” คริสที่เริ่มหัวเสียพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว นั่นทำให้แซลลี่ต้องทำตาขวางใส่พร้อมกับเดินเข้าไปหาชายหนุ่มตัวสูงอย่างเอาเรื่อง
“ไหนขอฟังแผนจากคนมีสาระหน่อยซิ ถ้าไม่ฆ่ามันคุณจะทำยังไง”
“เจ้าสองคนใจเย็นก่อน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันนะ” เคนเนธพยายามแทรกตัวเข้าไปคั่นระหว่างคนทั้งสอง
“สตรีในคำทำนายของเลวาน่าคือเธอ” แซลลี่พูดพร้อมชี้ไปที่เทียน่า เธอคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องรักษาความลับอะไรอีกต่อไป เพราะหากมัวแต่อมพะนำไว้ ตัวละครทั้งสามก็คงไม่มีทางคิดอะไรได้เอง ขณะที่หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงนั้นหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินที่แซลลี่บอก “และเธอมีพลังมากพอที่จะฆ่าคาเรย์ แต่ความจริงต้องมีดาบด้วย ดาบฮาโรลด์คิดว่าพวกคุณคงรู้จักมันดี มันเป็นตัวช่วยสำคัญ แต่ไปหากันเองก็แล้วกัน ฉันไม่อยากจะพล่ามอะไรอีกแล้ว”
พูดจบแซลลี่ก็เดินออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ แม้เคนเนธจะตะโกนเรียก แต่เธอก็ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง คำพูดของคริสเมื่อครู่ยิ่งช่วยยืนยันว่าคริสคือพระเอกที่เธอรำคาญมากที่สุด
หญิงสาวเดินขึ้นมาหลบใต้ต้นไม้ที่อยู่บนเนิน เธอยืนเท้าเอวพิงต้นไม้ มองดูภาพตรงหน้าด้วยนัยน์ตาที่สะท้อนเห็นเปลวเพลิง คำพูดของคริสที่ดังก้องอยู่ในหัว ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งน้อยใจ และนั่นทำให้แซลลี่จำต้องปล่อยให้ตัวละครทั้งสามเผชิญปัญหากันไปตามยถากรรม
เสียงการต่อสู้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แซลลี่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีดาบติดตัวมาด้วย เธอจึงดึงมันออกมาจากฝัก นั่นทำให้หญิงสาวต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าดาบที่อยู่ในมือเธอนั้นเป็นดาบฮาโรลด์ที่เทียน่าใช้ฆ่าคาเรย์ในตอนจบของหนัง
“พระเจ้า”
ขณะที่แซลลี่มัวแต่ตกตะลึงเรื่องดาบ จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น คลื่นของพลังทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีล้มราบเป็นหน้ากลอง รวมถึงเธอเองก็ล้มกระแทกลงกับรากต้นไม้ หญิงสาวร้องครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดและหัวเสีย เธอนอนแผ่กายอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะบ่นพึมพำขึ้นกับตัวเอง
“ไม่น่าออกมากับแคทเธอรีนเลย”
เสียงของการต่อสู้ที่ใกล้เข้ามา ทำให้แซลลี่ต้องค่อย ๆ พลิกตัว แล้วใช้แขนยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง เธอจึงได้เห็นว่าคาเรย์กำลังสู้อยู่กับเทียน่า โดยมีจอมเวททั้งสองค่อยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง แซลลี่อ้าปากค้างเมื่อเธอได้เจอตัวละครสำคัญ แม้จะเป็นตัวร้าย แต่คาเรย์อาจเป็นกุญแจที่จะพาเธอกลับไปยังโลกปัจจุบัน และการที่เรื่องราวทั้งหมดนี้จบลงได้นั้น คาเรย์จะต้องตาย
ความจริงแล้วพลังของเทียน่าที่หนังกล่าวถึงนั้นมีไว้ใช้ต่อสู้ตลอดการดำเนินเรื่อง แต่ในตอนจบนางเอกของเรื่องได้ใช้เพียงดาบและเลือดของตนเองในการฆ่าคาเรย์ ข้อได้เปรียบของการดูหนังมาหลายรอบทำให้แซลลี่รู้วิธีใช้ดาบเล่มนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงรีบลุกขึ้นคว้าดาบแล้ววิ่งลงมาจากเนินเขา
แซลลี่วิ่งลงมาจนถึงด้านล่าง และดูเหมือนว่าพลังของแม่มดและจอมเวททั้งสองจะมิอาจเทียบเคียงกับคาเรย์ได้เลย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเตรียมใจ ก่อนจะใช้มือขวายกดาบขึ้นมาตรงหน้า แล้วใช้มือซ้ายจับคมดาบเอาไว้ แซลลี่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอแล้วพ่นลมหายใจออกจากปากช้า ๆ เธอเรียกความกล้าให้กับตัวเอง แล้วดึงดาบออกจากฝ่ามือ ส่งผลให้มีเลือดไหลออกมายาวเป็นทางไปจนถึงข้อศอก
เพียงเสี้ยววินาที ดาบที่อยู่ในมือของแซลลี่ก็มีแสงสว่างเรืองขึ้นมา เธอมองดาบในมือพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า แต่แล้วความลังเลก็ก่อตัวเกิดขึ้นในใจของหญิงสาว เพราะหากเธอฆ่าคาเรย์ นั่นหมายความว่าเธอจะกลายเป็นคนที่มือเปื้อนเลือด แซลลี่ยังไม่อยากได้ชื่อว่าฆ่าคนตาย แต่อีกใจก็คิดว่านั่นคือคาเรย์ตัวร้ายจากในหนัง และหากไม่ทำเช่นนั้นเขาก็จะฆ่าสามคนนั้นรวมทั้งเธอด้วยแน่ ๆ
แซลลี่โต้แย้งกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะตัดสินใจเดินดุ่ม ๆ อ้อมไปข้างหลังคาเรย์ แล้วปักดาบยาวลงกลางหลังอย่างสุดแรงจนปลายดาบทะลุอก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงของเทียน่าและจอมเวททั้งสอง
เสียงร้องโหยหวนของคาเรย์ดังก้องไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ ร่างของคาเรย์ที่มีชีวิตมายาวนานนับร้อยปีสลายกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา และนั่นทำให้ล็อกลินกลับเข้าสู่ความเงียบสงบได้อีกครั้ง
“เจ้าทำได้อย่างไร แล้วไปเอาดาบเล่มนั้นมาจากไหน” เคนเนธถาม สีหน้าของเขายังดูตกตะลึงกับการกระทำของแซลลี่ไม่หาย
“เจ้ารู้วิธีใช้ดาบฮาโรลด์” เทียน่าพูดและมองแซลลี่อย่างรู้สึกนับถือในความเก่งกาจและความกล้าหาญ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” คริสถาม และแน่นอนว่าเขาต้องการคำตอบ
รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นบนมุมปากของแซลลี่ เธอจ้องหน้าเขาแล้วตอบคำถามด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “เรียกฉันว่าแซลลี่ผู้พิชิต”
พูดจบหญิงสาวก็ยกดาบขึ้นพาดไว้บนบ่า เธอหมุนตัวแล้วเดินหัวเราะออกมาด้วยความสะใจที่สามารถตัดจบหนังเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
การกระทำเมื่อครู่ถือเป็นเรื่องบ้าบิ่นที่เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องทำ ในตอนนี้เธอจึงมุ่งหน้าขึ้นเนินเขาไปหาทามาร่าและโมนา หญิงสาวคิดบทบอกลาผู้มีพระคุณ อีกทั้งวางแผนให้ตัวเองว่าเมื่อพาสองคนนั้นกลับมาที่กระท่อมได้แล้วเธอจะรีบเข้านอน เพื่อที่วันพรุ่งนี้เธอจะตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่ม ๆ ในโลกปัจจุบัน เพราะในตอนนี้ตัวร้ายได้จากไปแล้ว เมื่อล็อกลินสงบสุข ศึกพิภพมนตราในเวอร์ชันที่เธอเป็นนางเอกก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้