ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 8 ชายปริศนา โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

8 ชายปริศนา

แซลลี่รู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมความรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว ซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนวันแรกที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ที่ล็อกลิน ภาพเลือนรางแรกเริ่มลืมตาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น นั่นทำให้แซลลี่ต้องขมวดคิ้ว เพราะมันยังเป็นห้องเล็ก ๆ ห้องเดิมที่อยู่ในกระท่อมของทามาร่า

          เธอรีบเด้งตัวขึ้นจากเตียง โดยลืมความเจ็บระบมของร่างกายที่ได้มาจากการวิ่งขึ้นลงเนินเขามาทั้งคืน แซลลี่ประคองมือที่แทบจะขยับไม่ได้ขึ้นมาดู พบว่ามีบาดแผลฉกรรจ์บนฝ่ามือ เธอเบ้หน้าไม่อยากเชื่อว่าแผลนั้นเกิดขึ้นโดยฝีมือของตนเอง ก่อนจะใช้มือข้างที่ปกติดีเปิดหน้าต่างออกและนั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเธอยังอยู่ที่ล็อกลิน

          “กรี๊ด!!!!”

          เสียงกรีดร้องของแซลลี่ ทำให้ทามาร่าที่อยู่นอกกระท่อมต้องเร่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวไม่ถึงกับร้องไห้ แต่ก็ส่งเสียงครวญครางออกมาด้วยความผิดหวัง ในเมื่อคาเรย์ตายไปแล้วทุกอย่างก็ควรจะจบสิ้น และแซลลี่ไม่เข้าใจเลยว่าเธอทำอะไรพลาดไป

          “เกิดอะไรขึ้น” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

          “ไม่มีอะไร ข้าแค่เจ็บมือ” เธอจำต้องพูดปด แม้ว่าในใจนั้นมีคำพูดมากมายที่อยากระบายออกมา

          “ไหน ขอข้าดูหน่อย” หญิงชราว่าพลางจับมือซ้ายของแซลลี่ขึ้นมาดู “ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะทำแผลให้”

          แซลลี่พยักหน้าเนือย ๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกเมื่อไม่เห็นโมนา “โมนาล่ะ”

          “อยู่ข้างนอก รอไปทำพิธีฝังศพของจูเลียน่ะ เดี๋ยวทำแผลเสร็จเจ้านอนพักผ่อนต่อเถอะ ข้าจะไปกับโมนา”

          “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะไปด้วย” แซลลี่เผยรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นบนใบหน้า นั่นทำให้หญิงชรายกฝ่ามือขึ้นประคองใบหน้าของเธอเอาไว้อีกครั้งด้วยแววตาเป็นห่วง

          “โมนาบอกว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไป เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน แต่ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้”

          แซลลี่ไม่ได้พูดอะไร เธอมองหน้าทามาร่านิ่ง ๆ แล้วคลี่ยิ้มออกมา แม้จะผิดหวังที่ยังติดอยู่ที่นี่ แต่ก็โล่งใจที่หญิงชราปลอดภัยดี เธอโน้มตัวเข้าไปสวมกอดทามาร่า และไม่อาจห้ามน้ำตาของตัวเองไว้ได้ นั่นทำให้หญิงชราต้องลูบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ เพื่อปลอบใจ

          “เห็นทีคุณยายคงต้องเลี้ยงดูหนูไปอีกสักพักเลยล่ะค่ะ” แซลลี่พูดติดตลก แม้ดวงตาคู่สวยของเธอจะเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา

          “เท่าที่เจ้าอยากอยู่”

          น้ำเสียงอบอุ่นของหญิงชรา ทำให้แซลลี่เบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกครั้ง ทามาร่าหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะประคองแซลลี่ออกไปทำธุระส่วนตัว พร้อมทั้งทำแผลที่เธอได้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

          ตลอดทั้งวัน ผู้คนที่เหลืออยู่ต่างก็วุ่นวายไปกับการจัดการซากบ้านเรือน ในขณะที่แม่มดผู้มีความสามารถในการรักษานั้นก็ได้รับหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บ แซลลี่ได้แต่นั่งพิงประตูหน้ากระท่อมอย่างหมดอาลัยตายอยาก พร้อมรำพึงรำพันกับตัวเองเหมือนคนเพ้อเพราะพิษไข้

          “เวรกรรมอะไรของฉันนะ ทำไมต้องมาติดอยู่ที่นี่ด้วย”

          มือเล็ก ๆ ของโมนาวางลงบนหน้าผาก เพราะคิดว่าเธอได้ไข้จากการไปปะทะกับจอมปีศาจ แต่เมื่อพบว่าอุณหภูมิร่างกายของแซลลี่ยังเป็นปกติดี เด็กหญิงจึงนั่งลงข้าง ๆ และพอเดาออกว่าอะไรทำให้เธอเหมือนคนไร้วิญญาณได้ขนาดนี้

          “เพราะเรื่องของท่านมันยังไม่จบ ท่านจึงยังไปจากที่นี่ไม่ได้”

          “เรื่องของฉัน?” แซลลี่หันไปมองเด็กหญิงอย่างไม่เข้าใจ

          “ใช่ มันกลายเป็นเรื่องของท่าน นับตั้งแต่วินาทีที่ท่านทำให้มันเปลี่ยนไป”

          “แล้วฉันต้องทำไงต่อล่ะ” แซลลี่ทำหน้าเหยเก เมื่อเค้าโครงเรื่องเปลี่ยนไป เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ได้ออกไปจากโลกของหนังเรื่องนี้

          “ข้าไม่รู้” โมนาส่ายหน้าเบา ๆ 

          “ได้ไง เธอมีญาณทิพย์ไม่ใช่เหรอ”

          “ข้าเห็น เพราะมันถูกกำหนดไว้ เหมือนที่ท่านรู้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือเรื่องราวที่ถูกกำหนดไว้ ท่านได้เดินแยกมาอีกเส้นทางหนึ่งแล้ว และข้าจะเห็นมันได้อีกหรือไม่นั้น ก็คงต้องรอดู”

          แซลลี่ถอนหายใจแล้วแนบใบหน้ากับขอบประตูอย่างสิ้นหวังเธอส่งเสียงคร่ำครวญต่อ โดยมีโมนานั่งเกาะแขนปลอบใจตามประสาเด็ก

          ผ่านไปครู่หนึ่งเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าขึ้นมาบนเนินเขา พวกนั้นมุ่งตรงมายังกระท่อมที่มีเพียงเธอและโมนา และเมื่อเห็นว่ามีคริสและเคนเนธอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยแซลลี่จึงนั่งยืดตัวตรง เธอเข้าใจว่าพวกนั้นคงมาหาทามาร่า และคงอยากให้หญิงชราไปช่วยดูแลผู้ป่วย เธอจึงเชิดหน้าขึ้น แล้วตะโกนบอกไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึงหน้ากระท่อม

          “คุณยายไม่อยู่”

          “ข้าไม่ได้มาหาทามาร่า ข้ามาหาเจ้า” คริสตะโกนตอบ

          “อะไรอีกล่ะ” แซลลี่พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพราะอาการเคล็ดขัดยอก

          “มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เคนเนธเอ่ยถาม พร้อมกับมองไปยังมือของหญิงสาว

“เจ็บ” เธอตอบสั้น ๆ

          “เป็นการกระทำที่กล้าหาญมาก” คริสพูด รอยยิ้มบนมุมปากของเขาทำให้แซลลี่ต้องขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

          “แล้วมีธุระอะไรกับฉัน?” เธอถามพลางมองหน้าคริสและเคนเนธสลับกันไปมา

          “แม้ว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปเมื่อคืนนั้นเป็นการช่วยล็อกลินเอาไว้ แต่จากการรู้วิธีสังหารคาเรย์ของเจ้าทำให้พวกเราและเหล่าภาคีแม่มดดำเกิดความสงสัย ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน จึงอยากให้เจ้าไปกับเรา”

          “คุยกันตรงนี้ก็ได้” ความจริงคือแซลลี่ไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะเดินออกจากกระท่อมได้สักกี่ก้าว

          “เรื่องนี้สำคัญ เจ้าต้องตอบทุกข้อสงสัยของทุกฝ่าย เพราะอย่างนั้นเจ้าต้องไปกับเรา”

          “ให้ทุกฝ่ายมาถามตรงนี้ สภาพร่างกายฉันตอนนี้ไม่สะดวกจะเดิน” เสียงของเธอเริ่มดังขึ้น 

          “เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน” เคนเนธเดินแทรกคริสเข้ามาหา เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของหญิงสาว

          “เจ้าต้องไป เพราะข้าสงสัยว่าเจ้าต้องไม่ธรรมดา และข้าก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าความจำเสื่อมจริง ๆ”

          “คริส” เคนเนธพยายามปรามเพื่อนของตัวเอง แต่ดูเหมือนมันจะช้าไปเสียแล้ว

          “ฉันจะเป็นใครมันสำคัญตรงไหน สิ่งที่ฉันทำมันเกิดผลเสียกับล็อกลินอย่างนั้นเหรอ” แซลลี่เท้าเอวแผดเสียงถามอีกฝ่าย

          “เราไม่ได้จะกล่าวหาว่าเจ้าเป็นคนไม่ดี แต่เราแค่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร คาเรย์เป็นจอมปีศาจที่มากไปด้วยพลังอำนาจ และดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องนั้น”

          ยังไม่ทันที่เคนเนธจะอธิบายจบ คริสก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าสามารถฆ่าจอมปีศาจด้วยดาบฮาโรลด์ ซึ่งมีน้อยคนที่จะรู้วิธีใช้ ถ้าเจ้าไม่ใช่แม่มดดำ ก็คงมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะคนธรรมดา คงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แน่ ๆ”

          ถ้อยคำกล่าวหาของคริสที่กำลังดูแคลนคนธรรมดาอย่างเธอ ทำให้แซลลี่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเหลืออด

          “จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรที่คุณกล่าวมาทั้งนั้น ฉันเป็นแค่ฉัน คนธรรมดาคนหนึ่งที่หวังอยากให้ทุกคนปลอดภัย” แซลลี่พูดกระแทกเสียงใส่ชายหนุ่มตัวสูง “ฉันเข้าใจที่พวกคุณสงสัย แต่มันผิดเวลาไปเสียหน่อย เมื่อคืนฉันวิ่งขึ้นวิ่งลงเนินเขานี่ไม่รู้กี่รอบ ฉันจะไม่ทำอะไรก็ได้ แต่ฉันทนมองเห็นล็อกลินย่อยยับไม่ได้ รู้อะไรไหมคริส ฉันกลัว ฉันกลัวจนแทบจะประคองสติตัวเองไว้ไม่ไหว แต่ฉันก็ทำมัน นั่นเพื่อล็อกลิน แต่ดูสิ่งที่ฉันได้รับในวันนี้สิ สิ่งที่คุณควรถามในตอนนี้คือควรถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า แล้วจะเก็บความสงสัยไว้ถามวันต่อไปฉันจะไม่ว่าอะไรเลย หรืออย่างน้อยก็ขอให้แผลที่มือหายดีเสียก่อนก็ยังดี”

          พูดจบแซลลี่ก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทิ้งให้สองจอมเวทต้องกลับไปด้วยความผิดหวังที่ไม่ได้คำตอบอะไรจากเธอเลย เธออยากระบายอารมณ์ด้วยการกรีดร้องออกมา แต่ทำได้เพียงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับเพื่อดับอารมณ์โกรธ

 

          เช้าวันต่อมา แซลลี่ตื่นเพราะทามาร่าเข้ามาทำแผลให้ และแผลที่มือของเธอก็ดีขึ้นมากอย่างน่าอัศจรรย์ และหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ แซลลี่จึงถือโอกาสเดินตรวจสอบความเสียหายรอบ ๆ กระท่อม พบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้งสวนสมุนไพรและสวนดอกไม้ของเธอไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้แซลลี่สบายใจไปได้มาก

          “ข้ามาหาแซลลี่ เลนนี่”

          แซลลี่หันไปมองถามเสียง เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อพบว่าผู้หญิงคนนั้นคือโจเซฟีน โดเลอร์ แม่มดผู้เป็นน้องสาวของเคนเนธ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของภาคีแม่มดดำอีกด้วย 

          “พี่ชายเจรจาไม่สำเร็จ ก็เลยส่งน้องสาวมางั้นสิ”

          โจเซฟีนยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหาแซลลี่ “นึกแล้วว่าเจ้าต้องรู้จักข้า”

          แซลลี่หลับตาพร้อมกับถอนหายใจ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะมาเค้นเอาคำตอบจากเธออย่างที่สองคนนั้นทำ “ฉันยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ เธอกลับไปเถอะ”

          “ช้าก่อน ข้าแค่อยากพบสาวผู้กล้า สตรีผู้สังหารจอมปีศาจ เหมาะแล้วกับสมญานามแซลลี่ผู้พิชิต”

          แซลลี่คลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินที่โจเซฟีนพูด ฉายานั้นทำให้เธอหลุดขำออกมา ท่าทีของโจเซฟีนดูเป็นมิตรกว่ามาก และเป็นหญิงสาวที่รูปโฉมงาม แต่ดูทะมัดทะแมงกว่าสตรีคนอื่น ๆ ในล็อกลิน ซึ่งหากอยู่ในโลกปัจจุบันเธอคงมีอาชีพเป็นพวกทหารหรือตำรวจอะไรทำนองนั้น

          “ไปนั่งคุยกัน”

          ทั้งสองเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้หน้ากระท่อม โจเซฟีนมองมือซ้ายที่ถูกพันไว้ด้วยผ้า นั่นทำให้แซลลี่ต้องใช้มืออีกข้างประคองมันไว้ด้วยความประหม่า เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องพูดถึงมันอย่างแน่นอน

          “แผลดีขึ้นบ้างหรือยัง” โจเซฟีนถาม

          “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ได้ยาดีน่ะ”

          “ในฐานะสมาชิกภาคีแม่มดดำ ข้าขอตั้งตัวเองเป็นตัวแทนกล่าวคำขอบคุณแด่เจ้า หากไม่ได้เจ้า เราคงเหนื่อยกว่านี้ หรือไม่ก็อาจจะพาชีวิตให้รอดพ้นจากคืนนั้นมาไม่ได้”

          คำพูดของโจเซฟีนทำให้แซลลี่รู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย เดิมทีแล้วเธอเป็นตัวละครที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก โผล่มาให้เห็นหน้าอยู่ไม่กี่ฉาก แต่เมื่อได้เจอตัวเป็น ๆ แซลลี่กลับรู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอนั้นมีพลังกว่าที่เห็นในหนังเสียอีก และถึงแม้เธอจะรู้ถึงจุดประสงค์ของโจเซฟีน ที่คงไม่ต่างอะไรกับสองจอมเวท แต่แม่มดสาวคนนี้ดูมีชั้นเชิงกว่าสองคนนั้นมาก

          “หากจะรับความดีความชอบนั้นไว้เฉย ๆ ฉันคงไม่สบายใจ เพราะอันที่จริงฉันไม่ได้ทำเพื่อใคร ฉันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น” แซลลี่พูดออกไปตามความจริง

          “การทำเพื่อตัวเองของเจ้า ช่วยชีวิตพวกเราและชาวล็อกลินไว้ได้มาก เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากชวนเจ้าไปที่ภาคีของเรา”

          “ว่าแล้ว แต่โน้มน้าวเก่งกว่าพี่ชายเธอมาก เอาซะอยากไปมันตอนนี้เลย” แซลลี่พูดพลางยิ้ม เธอยอมรับกับตัวเองว่ารู้สึกถูกชะตากับโจเซฟีนไม่น้อย

          “ไว้เจ้าหายดีก่อน ข้ากับเหล่าแม่มดดำจะรอคอยต้อนรับเจ้าสู่ภาคีของเรา อย่างน้อยต้องมีงานเลี้ยงฉลองให้กับสตรีผู้กล้า”

          “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

          ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างถูกคออยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาด้วยท่าทีรีบร้อน เขาดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโจเซฟีนนั่งอยู่หน้ากระท่อม

          “ไม่ยักรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

          “มีอะไร” โจเซฟีนถาม 

          “แม่มดทามาร่าอยู่หรือไม่ มีเรื่องด่วนให้นางช่วย”

          “กำลังเตรียมสมุนไพรอยู่ข้างใน” แซลลี่บอก

          “เกิดอะไรขึ้น” โจเซฟีนถามอีกครั้ง

          “นักเวทเจอชายแปลกหน้าในป่า จอมเวทโกเบอร์กำลังสอบสวนเขา และคิดว่าต้องมีแม่มดสักคนไปดูอาการ ก่อนที่เขาจะตาย”

          “เขาบาดเจ็บจากคืนก่อนเหรอ” โจเซฟีนเดา

          “เปล่า” ชายหนุ่มส่ายหน้า “เพราะท่านจอมเวทนั่นแหละ”

 

          ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แซลลี่จึงขอติดสอยห้อยตามทามาร่าไปยังกระท่อมกลางป่าที่อยู่หลังเนินเขา และโจเซฟีนก็ตามมาด้วยเช่นกัน

          “ถึงกับกักตัวไว้ในป่า เขาเป็นใครกันแน่” แซลลี่พูดขึ้น

          “จากที่ได้ยินมา รู้แน่ว่าไม่ใช่คนที่นี่ อีกทั้งยังไม่ยอมปริปากพูดสักคำ และจากการตามทามาร่าไปดูอาการ เดาว่าคริสคงใช้วิธีรุนแรงอยู่ไม่น้อย”

          “หมอนั่นซ้อมเขาเหรอ” แซลลี่ตาโตเมื่อคิดว่ามันต้องเป็นอย่างที่พูดแน่ ๆ 

          “หากทำตัวน่าสงสัยก็คงต้องใช้วิธีนั้น แม้พวกลอร์จะสูญสิ้นไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าดินแดนนี้จะสิ้นคนชั่ว”

          ทั้งสามเดินมาจนถึงกระท่อมที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า มีเสียงพูดที่ค่อนไปทางขู่เล็ดลอดออกมาถึงข้างนอก แซลลี่หันไปมองหน้าโจเซฟีน เมื่อรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ข้างในนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร ก่อนจะช่วยพยุงหญิงชราขึ้นบันไดไปข้างบนพร้อมกับหิ้วตะกร้าใส่สมุนไพรและอุปกรณ์การรักษาไปด้วยความทุลักทุเล จนโจเซฟีนที่อยู่ท้ายสุดต้องช่วยเหลือแซลลี่อีกที

แล้วเมื่อได้เข้ามาในกระท่อม เธอก็ได้เห็นภาพที่ชายคนหนึ่งถูกตรึงแขนทั้งสองข้างไว้ด้วยเชือก เขาก้มหน้านิ่งในขณะที่มีเลือดจากจมูกและปากไหลหยดลงมาเป็นทาง แซลลี่เบ้หน้าเวทนากับภาพที่เห็น ในขณะที่โจเซฟีนนั้นเดินไปหาเคนเนธที่ยืนอยู่มุมห้อง

“เขาไม่ปริปากพูดเลยเหรอ” หญิงสาวถามผู้เป็นพี่ชายของเธอ

“ไม่เลย” เคนเนธส่ายหน้า

“รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ”

“สังหรณ์ว่า?” เคนเนธหันไปมองคนเป็นน้องด้วยความอยากรู้

“ไม่รู้สิ” เธอบอก ในขณะที่สายตานั้นจับจ้องอยู่ที่ชายแปลกหน้า

“เท่าที่รู้ไม่ใช่ลอร์ และไม่ใช่พวกเราแน่ ๆ”

ในระหว่างที่คริสกำลังเค้นถามความจริงจากอีกฝ่ายอยู่นั้น แซลลี่ได้แต่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก่อนชายคนนั้นจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับเธอ นั่นทำให้แซลลี่ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายคนดังกล่าวอย่างน่าประหลาดใจ เธอมั่นใจว่าไม่มีตัวละครนี้ในหนัง และในระหว่างที่คิดอยู่นั้นหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเสียงของคริส

“เจ้าเป็นใคร”

เธอเดาว่าคริสคงถามประโยคนี้ไปหลายครั้งแล้ว ดวงตาคมของชายแปลกหน้าเขม็ง ก่อนจะพ่นเลือดที่กบปากใส่จอมเวทที่อยู่ตรงหน้า และแน่นอนว่านั่นทำให้กำปั้นของคริสปะทะลงบนใบหน้าที่บอบช้ำอีกครั้ง

“มันมีอะไรที่ดีกว่าวิธีนี้ไหม” แซลลี่อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้

“เจ้าอยู่เฉย ๆ” คริสหันมาทำเสียงดุใส่ นั่นทำให้แซลลี่มองตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ทิโมธี”

จู่ ๆ ชายแปลกหน้าคนดังกล่าวก็เปิดปากพูดออกมา ทุกคนที่อยู่ในกระท่อมต่างตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

“นั่นชื่อเจ้าเหรอ” เป็นโจเซฟีนที่ถาม

“อือ ทิโมธี ชาลาเมต์”

ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด แต่แซลลี่กลับยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อกลั้นขำ เพราะเธอไม่คิดว่าตัวละครลับที่อยู่นอกเส้นเรื่องจะใช้ชื่อนี้ ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว 

          “เจ้ารู้จักเขาเหรอ” เคนเนธถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

          “เปล่าเสียหน่อย แค่รู้สึกว่าชื่อดีมีรสนิยม” แซลลี่พูดโดยพยายามที่จะไม่หัวเราะ

          “ข้าว่าพอแค่นี้ก่อนเถอะ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะรับไม่ไหว เพราะถ้ายังไม่หยุด ท่านจะไม่ได้ความอะไรจากเขาอีกเลย” ทามาร่าเตือนเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย

          “ก็จริง” โจเซฟีนเห็นด้วยกับทามาร่า

          “ได้” คริสยอมเดินถอยออกมา “แต่พรุ่งนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน”

          “โอ๊ย สภาพนี้ให้เขาอ้าปากหยอดน้ำข้าวต้มให้ได้ก่อนเถอะ” แซลลี่แกล้งพูดขึ้นลอย ๆ

          “มือเจ้าคงหายดีแล้วสินะ” คริสพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง

          “เท่าที่เห็นก็ยัง แต่คิดว่านางคงทนเจ็บได้มากพอที่จะต่อยเจ้าได้” โจเซฟีนพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน

          “ให้นางเก็บแรงไว้ยกช้อนข้าวต้มให้เจ้านั่นเถอะ”

          พูดจบคริสก็เดินออกไป ปล่อยให้แซลลี่ยืนอ้าปากหวออย่างรู้สึกคับแค้นใจที่โต้ตอบกลับไปไม่ทัน

          “เอาน่าแซลลี่ โอกาสหน้ายังมี” โจเซฟีนว่าพลางยักคิ้วให้

          “เจ้าอยู่ดูพวกนาง ข้าจะสั่งคนให้เฝ้ากระท่อมนี้ไว้” เคนเนธว่า

          “ไปเถอะ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นพี่ชาย

          เมื่อเคนเนธออกไปแล้ว โจเซฟีนและแซลลี่จึงช่วยกันปลดเชือกให้กับชายแปลกหน้า เวลานี้เขาดูไร้เรี่ยวแรงเกินที่จะคิดถึงเรื่องหลบหนี ทามาร่าหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา ในขณะที่แซลลี่นั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดเลือดบนใบหน้าให้กับอีกฝ่าย

          “สำนวนการพูดของเจ้าเหมือนไม่ใช่คนที่นี่” เขาพูดทั้งที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น

          “ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น”

          “แซลลี่...นั่นชื่อเจ้าเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง

          “ใครบอก” แซลลี่อมยิ้ม “ฉันชื่อไคลีย์ เจนเนอร์”

          “พูดอะไรของเจ้า” โจเซฟีนขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

          “อธิบายไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก” เธอว่า พร้อมด้วยเสียงหัวเราะขำในลำคอ

          “งั้นแซลลี่ก็คงเป็นชื่อของเจ้าจริง ๆ” เขาพูดไปนิ่วหน้าไปด้วยความเจ็บระบม

          “แล้วทิโมธีนั่นใช่ชื่อคุณจริง ๆ หรือเปล่า”

          “เปล่า” เขาตอบสั้น ๆ แล้วเงียบไป

          “แล้วชื่ออะไรล่ะ”

แซลลี่ถามออกไปโดยไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ เพราะหากไม่ใช่เรื่องที่สงวนไว้ เขาก็คงตอบคริสไปแล้ว แต่ผิดคาด เพราะหลังจากที่ชายหนุ่มจ้องหน้าแซลลี่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยมันออกมา

คาซ ดราเวน