ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 9 อีกาแห่งซาคาร์ โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

9 อีกาแห่งซาคาร์

“คาซ ดราเวน” คริสเอ่ยชื่อของชายที่เขากักตัวไว้ในกระท่อมกลางป่าด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ข้าตะบันหน้าเขาเสียจนยับ แต่ทำไมเขาถึงยอมบอกนางอย่างง่ายดาย”

          “แน่ใจนะ ว่าเจ้าสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” เคนเนธหันไปถามแซลลี่ที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูกระท่อม

          “เคนเนธ ฉันความจำเสื่อม ลืมแล้วเหรอ” แซลลี่บอกอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะจอมเวททั้งสองพยายามเค้นหาคำตอบจากเธอมาพักใหญ่แล้ว

          “ข้าคงต้องทำให้เขาตอบให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม” คริสว่า

          “ลองใช้สมองให้มากกว่าใช้กำลังดู เผื่อเขาจะยอมบอกอะไรง่าย ๆ” หญิงสาวพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้มองหน้าคริส เธอแกล้งมองต้นไม้ใบหญ้า ก่อนจะหันกลับมาแสร้งยิ้มให้ชายหนุ่ม

          “เจ้ากำลังว่าข้าอยู่เหรอ”

          “เปล๊า ฉันพูดไปเรื่อย ตอนที่เขายอมบอกชื่อ ฉันก็แค่ถามเขาดี ๆ”

          “ข้าทำแล้ว” เคนเนธพูดขึ้นมา “แรกที่เจอเขา เราเข้าไปช่วยเหลืออย่างเป็นมิตรเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะถามอะไร เขาไม่ยอมปริปากพูด อีกทั้งยังพยายามหลบหนี มันจึงเป็นอย่างที่เจ้าเห็น”

          “ถ้าไม่มีอะไร ก็ไม่เห็นต้องทำให้เป็นพิรุธ” คริสพูดเสริม

          “แล้วยังไง พวกคุณคิดว่าเพราะอะไรเขาถึงบอกฉันล่ะ หรือเพราะไคลีย์?”

          แซลลี่ชะงัก เธอลืมไปว่าสองจอมเวทยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อได้ลองคิดทบทวนคำพูดของตัวเอง รวมถึงย้อนไปตอนเธอได้ยินชื่อแรกที่คาซบอกกับคริส มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่ตัวละครจากยุคกลางจะรู้จักชื่อทิโมธี อีกอย่างตอนหนังเรื่องนี้ฉายใหม่ ๆ นักแสดงที่คาซกล่าวถึงยังไม่เข้าวงการเลยด้วยซ้ำ 

         แซลลี่เริ่มคิดว่าอะไร ๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะตอนนี้เส้นเรื่องได้เปลี่ยนไปแล้ว และไม่แน่ว่าคาซอาจจะมาจากโลกที่อยู่นอกดินแดนผู้วิเศษ และโลกฝั่งนั้นอาจเป็นโลกปัจจุบันเฉกเช่นโลกของเธอ แต่มันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดา เพราะนอกเหนือจากสิ่งที่เธอได้เห็นในหนังแล้ว เธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับล็อกลินเลย 

          “ไคลีย์คือใคร” คริสถามเน้นเสียงอย่างต้องการคำตอบ

          “ไม่รู้ ฉันพูดไปเรื่อย” แซลลี่สั่นหน้าแล้วแสร้งหันไปมองทางอื่น แต่จู่ ๆ คริสก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะยกมือหนาขึ้นบีบแก้มของเธอเบา ๆ เพื่อให้หันไปหาเขา

          “เจ้าชักจะทำตัวมีพิรุธขึ้นทุกวัน”

          “พิรุธพิราบอะไรกัน คิดว่าฉันเป็นสายลับมาสืบราชการเหรอ” แซลลี่ว่าแล้วปัดมือคริสให้หลุดไปจากการสัมผัสใบหน้าของเธอ “หรือถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ฉันจะกลับไปรายงานได้ ก็คงเป็นเรื่องผู้ใหญ่บ้านล็อกลินชอบทำตัวเป็นไอ้หัวงู เอาแต่ยักคิ้วหลิ่วตาให้สาว ๆ ในหมู่บ้านไปวัน ๆ”

          “นี่เจ้าว่าข้าอีกแล้วเหรอ” เขาถามเสียงแข็ง

          “อ้อ ล็อกลินมีผู้ใหญ่บ้านสองคน แต่ฉันไม่ได้ว่าเคนเนธ”

          “เจ้าดูนาง” คริสหันไปฟ้องสหายของเขาที่ยืนอมยิ้มอยู่ห่าง ๆ

          “เจ้าอย่าลืมว่านางเป็นคนปราบคาเรย์ ถ้านางไม่ใช่ผู้ประสงค์ดี คืนนั้นนางคงปล่อยให้ล็อกลินพินาศไปแล้ว” เคนเนธกล่าวความเห็นของตนเอง

          “ถึงนางจะไม่ใช่ลอร์ แต่นางอาจจะเป็นใครก็ได้นี่”

          “เดี๋ยวนะ ๆ เริ่มเรื่องคือคุณสงสัยว่าคาซเป็นใคร แต่พอหาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้คุณก็เลยยัดเยียดให้ฉันไปเป็นพวกเดียวกันกับเขาเหรอ เฮอะ” แซลลี่ส่ายหน้ากลอกตาแสดงถึงความเบื่อหน่ายต่อคนตรงหน้า “ต่อไปนี้ฉันจะไม่บอกอะไรคุณแล้ว”

          เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำหน้ามุ่ย คริสจึงคลี่ยิ้มแหย ๆ พร้อมกับยกแขนขึ้นพาดไหล่บางของเธอ “แค่หยอกเล่นน่า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนร้ายกาจมาจากไหนหรอก บางทีเจ้าอาจจะเป็นเงือกสาวที่อยู่ใต้ทะเลสาบก็เป็นได้”

          “เพ้อเจ้อ!” แซลลี่ว่าพร้อมกับผลักคริสให้ออกไปจากตัว

          “ถ้าเจ้าได้ความจากเขาว่าอย่างไร จงบอกเรา ข้าจำเป็นต้องรู้ นั่นเพื่อความปลอดภัยของล็อกลิน ในเวลานี้ที่นี่เปราะบางยิ่งนัก เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”

          “ก็ได้” แซลลี่ตอบตกลงอย่างว่าง่าย

          “ทีกับข้าไม่เห็นว่าง่ายอย่างนี้เลย” คริสแกล้งทำเสียงเง้างอน

          “ให้พูดตรง ๆ ไหม” แซลลี่เอียงตัวหันไปหาคริส ก่อนเธอจะพูดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรอฟังอย่างตั้งใจ “ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วย เพราะสิ่งที่ฉันกำลังจะพูด มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกขุ่นเคืองใจ และใช่ ฉันรู้ว่าคุณมีตำแหน่งเป็นจอมเวทผู้พิทักษ์ล็อกลิน แต่ฉันไม่ชอบท่าทีวางอำนาจของคุณ ทุกครั้งที่คุณถามคำถามอะไรกับฉันก็ตาม มันเหมือนเป็นการสั่งให้ฉันตอบให้ตรงกับความคิดของคุณ ถึงแม้ฉันจะจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แต่คิดว่าฉันคนก่อนหน้านี้ก็คงไม่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน”

          “ว้าว” เคนเนธร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนพูดกับคริสด้วยถ้อยคำเช่นนี้มาก่อน

          “แต่นั่นไม่ได้แปลว่าฉันเกลียดคุณนะ ฉันแค่อยากให้คุณรู้ไว้ อย่างน้อยวันหลังหากเราต้องคุยกันอีก คุณอาจจะเรียบเรียงประโยคคำพูดได้ดีกว่านี้ และฉันอาจจะตอบรับคำขอของคุณด้วยตัวเอง โดยที่เคนเนธไม่ต้องถามซ้ำ”

          คริสเงียบไป เขารู้สึกชาตั้งแต่หน้าไปจนถึงขา ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบในสิ่งที่แซลลี่บอก ลึก ๆ แล้วเขายอมรับกับตัวเองว่าชอบออกคำสั่งกับแซลลี่ เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงดื้อรั้นมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เขาเคยสนทนาด้วย

          “จริงใจดี” เขาพูดออกมาสั้น ๆ แล้วก้มหน้าต่ำอย่างรู้สึกผิด

          “สวัสดียามบ่าย” โจเซฟีนที่เพิ่งเดินขึ้นมาถึงกระท่อมของทามาร่าร้องทักท้ายขึ้น นั่นทำให้ทั้งสามหันไปส่งยิ้มให้เธอราวกับว่าไม่มีบทสนทนาที่น่าอึดอัดใจเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

          “จะมาสืบเรื่องทิโมธีกับเขาอีกคนใช่ไหม” แซลลี่พูดดักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

          “ข้าเปล่า” โจเซฟีนสั่นหน้ารัว “ไคลีย์ต่างหาก”

          เสียงหัวเราะคิกคักของสองสาวดังขึ้นท่ามกลางความงุนงงของสองจอมเวท เพราะไม่คิดว่าทั้งสองจะดูสนิทสนมกันได้เพียงนี้ทั้งที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน อีกทั้งแซลลี่และโจเซฟีนนั้นยังดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะโดยปกติโจเซฟีนจะคลุกคลีอยู่กับสมาชิกภาคี และพูดคุยเรื่องการเมืองเสียมากกว่า ในขณะที่แซลลี่นั้นมักหมกตัวอยู่ในกระท่อม หรือไม่ก็สวนสมุนไพรของเธอ ไกลสุดที่เธอไปได้บ่อย ๆ คือร้านค้าที่อยู่ด้านล่างของเนินเขา

          “เจ้าไม่สบายเหรอ” เคนเนธเอ่ยถามผู้เป็นน้อง

          “ถามแปลก ข้าสบายดี” โจเซฟีนตอบด้วยสีหน้างุนงง

          “เช่นนั้นแล้วมาทำอะไรที่นี่”

          “แล้วเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ไม่สบายหรือไง” เธอย้อนถาม

          “ข้ามีธุระต้องคุยกับนาง” คริสพูด

          “เช่นกัน ข้าก็มีธุระที่จะต้องคุยกับนาง ธุระแบบที่สตรีเขาคุยกัน” โจเซฟีนว่าพร้อมกับเอนตัวพิงลงบนผนังไม้ข้าง ๆ แซลลี่

          “ธุระแบบสตรี แล้วบุรุษฟังด้วยได้หรือไม่” คริสถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวน

          “สุดแล้วแต่เจ้า” โจเซฟีนว่า ก่อนจะหันไปหาแซลลี่ “ข้าไปคุยกับสมาชิกภาคีมาแล้ว พวกนางเห็นตรงกันว่า อยากพบเจ้าภายในสัปดาห์หน้า เจ้าสะดวกหรือไม่”

          “ได้” แซลลี่พยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย นั่นทำให้คริสอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

          “ต้องขออภัยที่ไม่ได้เชิญ แต่บุรุษเข้าภาคีไม่ได้เจ้าก็รู้ดี” แม่มดสาวแกล้งพูด แม้พอจะเดาได้ว่าคริสไม่ได้ถอนหายใจเพราะเรื่องนั้น

          “ไม่ต้องเข้าภาคี ข้าก็พบแม่มดดำได้อยู่แล้ว”

          แซลลี่เผลอทำปากคว่ำเมื่อได้ยินที่คริสกล่าว เพราะเธอรู้ถึงความหมายในประโยคนั้นเป็นอย่างดี นั่นทำให้โจเซฟีนต้องหัวเราะออกมา

          “ข้าคิดไว้ว่าจะมอบชุดสวย ๆ ให้เจ้าเป็นของขวัญ เจ้าจะได้ใส่ไปเยือนภาคี ครั้งนี้เป็นชุดใหม่เอี่ยม และเจ้าสามารถเลือกสีสันได้ตามใจชอบ” โจเซฟีนบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          แซลลี่กลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามกับแม่มดสาว “โดยปกติแม่มดในภาคีแต่งตัวด้วยชุดสีอะไรกัน?” 

          “ดำ” คริสตอบแทน เขามักใส่ใจเรื่องของสาว ๆ อยู่เสมอ แม้แต่ผู้หญิงในภาคีแม่มดดำก็ไม่เว้น

          “ขอบคุณที่อุตส่าห์จดจำ” โจเซฟีนว่าด้วยน้ำเสียงจิกกัด

          “งั้นแดง สีแดงน่าจะเป็นสีนำโชคของฉัน”

          “โอ้ใช่ คืนนั้นเจ้าสวมชุดแดง” เคนเนธว่า

          “รับทราบ ท่านหญิงแซลลี่” โจเซฟีนว่าพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย

          “โอ๊ย น่าอายไม่ต่างจากแซลลี่ผู้พิชิตเลย” แซลลี่พูดขณะยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างรู้สึกอาย

          “ไม่เห็นจะแย่ตรงไหน” คริสพูดพึมพำเบา ๆ แต่ก็ดังมากพอที่หญิงสาวจะได้ยิน

          “อันไหน ท่านหญิงหรือผู้พิชิต”

          “ทั้งสอง”

          “เอาล่ะ หมดธุระของข้าแล้ว” โจเซฟีนพูดแทรกขึ้นมา นั่นทำให้เรียวคิ้วของแซลลี่ขมวดเข้าหากัน เพราะไม่เข้าใจว่าโจเซฟีนจะมานะเดินขึ้นเนินเขามาทำไมกับเรื่องแค่นี้

          “เจ้ามาเพื่อเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?” คริสถาม

          “ใช่ ว่าแต่เจ้าเถอะ ข้างล่างนั้นมีเรื่องให้ทำอีกตั้งเยอะ มัวแต่มาเฝ้านางอยู่ได้”

          “ข้าเปล่านะ” เคนเนธรีบปฏิเสธ

          “ข้าไม่ได้ว่าเจ้า”

          “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าว่าข้า” คริสชี้ตัวเอง

          “ไปหาชุดแดงดีกว่า”

          พูดจบโจเซฟีนก็สาวเท้าเดินลงจากเนินเขาไปทันที ปล่อยให้คริสยืนส่ายหน้าท่ามกลางสายตาขบขันของอีกสองคนที่เหลือ และเมื่อคริสหันมาพบกับรอยยิ้มของแซลลี่ เขาก็เผลอคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา

          “ว่าแต่ทามาร่ายังไม่กลับมาเหรอ” คริสถามแก้เก้อ

          “ยัง อีกสักเดี๋ยวฉันว่าจะตามไป ต้องเอาของรอบเย็นไปส่ง แล้วคงกลับมาพร้อมกัน”

          “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ขอให้บอกเรา” เคนเนธว่า แซลลี่จึงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ 

          “ฝากเลี้ยงโมนาได้ไหมล่ะ ไม่อยากกระเตงเข้าป่าไปด้วย” แซลลี่พูดทีเล่นทีจริง

          “ข้าดูให้เอง” คริสเสนอตัว นั่นทำให้แซลลี่ต้องหันไปมองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “พวกเด็ก ๆ ชอบอยู่กับข้า สบายใจได้”

         “ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง กลัวจะพายัยหนูไปเล่นอะไรแผลง ๆ”

         “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้” เคนเนธช่วยยืนยันว่าสิ่งที่คริสพูดนั้นเชื่อถือได้

         แซลลี่มองอีกฝ่ายอย่างชั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ายอมให้อีกฝ่ายช่วยดูแลโมนาในระหว่างที่เธอต้องไปหาทามาร่าที่ดูแลคาซอยู่ที่กระท่อมกลางป่า

 

แซลลี่หอบหิ้วของพะรุงพะรังมายังกระท่อมที่มีการอารักขาเป็นอย่างดี และเมื่อหญิงสาวเข้ามาข้างในก็พบว่า ชายหนุ่มผู้ต้องสงสัยกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนแคร่ที่ใช้แทนเตียง แซลลี่พินิจมองอีกฝ่ายก่อนจะเผลอยิ้มออกมา เพราะแม้ว่าจะมีรอยช้ำบนโหนกแก้ม มีแผลเล็ก ๆ ตรงหางคิ้ว และสันจมูก อีกทั้งริมฝีปากยังคงมีเลือดซึมออกมา แต่นั่นก็มิอาจบดบังความหล่อเหลาของคาซไปได้ 

         “โมนาล่ะ?” ทามาร่าเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าแซลลี่มาเพียงลำพัง

         “ฝากคริสเอาไว้ค่ะ”

         “จะไม่รบกวนเขาเหรอ” ทามาร่าถามด้วยความกังวลใจ

         “ไม่หรอกค่ะ เขาอาสาเอง”

         “งั้นข้าปรุงยาก่อน ฝากเจ้าเช็ดตัวให้เขาที” ทามาร่าสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

         “วันนี้เขารู้สึกตัวบ้างหรือยังคะ” แซลลี่ถาม พลางหยิบผ้าสะอาดออกมาจากย่ามของเธอ

         “เขาหลับไปอีกครั้งเมื่อเที่ยง” ทามาร่าบอก แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “เขาดูไม่ได้เป็นคนร้ายกาจอะไรเลยนะ”

         “ได้คุยกับเขาเหรอคะ” 

          “ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอก แค่ถามไถ่อาการ และเขาก็ให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี”

          “เขาคงอยากหายเร็ว ๆ จะได้รีบหนีออกไปจากที่นี่” แซลลี่พูดติดตลก ทำให้ทามาร่าต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ 

          “อาจเป็นได้”

          “ว่าแต่...นี่หนูต้องถอดเสื้อเขาออกใช่ไหมคะ” แซลลี่ถาม โดยที่มือทั้งสองข้างหยุดค้างไว้กลางอากาศ เพื่อรอคำยืนยันจากหญิงชรา

          “เรามีหน้าที่รักษาเขา ไม่ต้องอาย” ทามาร่าพูดอย่างรู้ทัน ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่

          “ครั้งแรกเลยนะคะ ที่ต้องสัมผัสตัวคนแปลกหน้า” เธอพูดพลางปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่าย

          “เดี๋ยวก็ชิน แล้วเจ้าจะรู้สึกเฉย ๆ ไปเอง”

          ทามาร่าหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปปรุงยาสมุนไพรของเธอต่อ ในขณะที่แซลลี่นั้นแทบจะกลั้นหายใจระหว่างที่ต้องลากผ้าชื้น ๆ ไปตามกล้ามเนื้อบนแผงอก หญิงสาวคอยสะกดจิตตัวเองว่ามันคือหน้าที่ แต่แม้ไม่ได้ส่องกระจกเธอก็พอเดาออก ว่าตอนนี้หน้าของเธอคงแดงตั้งแต่แก้มไปจนถึงหู

          แซลลี่ทำหน้าที่ของเธออย่างตั้งใจ ในระหว่างที่เธอเช็ดไปจนถึงลำคอ หญิงสาวก็สังเกตเห็นรอยสักที่อยู่บนบ่าของชายหนุ่ม มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง เธอค่อย ๆ พลิกตัวเขาเพื่อที่จะได้เห็นมันได้ชัดขึ้น  และความสงสัยนำพาให้แซลลี่ได้เห็นสิ่งที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา นั่นคือรอยสักรูปอีกาสยายปีกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ

          หญิงสาวละความสนใจจากรอยสัก ก่อนจะเปลี่ยนมาเช็ดใบหน้าให้กับเขา ครั้งนี้เธอต้องคอยระวังเป็นพิเศษ เพราะใบหน้าของคาซเต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งมันอาจจะทำให้เขาเจ็บได้ แต่ถึงแม้แซลลี่จะเบามือสักแค่ไหน ก็ไม่วายทำให้อีกฝ่ายตื่นจนได้ เพราะอยู่ ๆ คาซก็คว้ามือเธอเอาไว้

          “เจ็บเหรอ” แซลลี่ถาม เมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองเธอ

          “นิดหน่อย” คาซตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

          “น้ำไหม?” แซลลี่ที่ไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติกับผู้บาดเจ็บอย่างไร ได้แต่ถามออกไปตามการคาดเดาของตัวเอง และเมื่อชายหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ แซลลี่จึงรีบหันไปแจ้งกับทามาร่า “ขอน้ำหน่อยค่ะ”

          “เขาตื่นแล้วเหรอ”

          “หนูคงมือหนักไปนะ” เธอหัวเราะเจื่อนในลำคอ

          “ถ้าอย่างนั้นให้เขากินอะไรเสียก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทายาเจ้าเตรียมอาหารมาด้วยหรือเปล่า” ทามาร่าถามพลางชะโงกหน้ามองไปที่ย่ามสัมภาระของแซลลี่

          “เตรียมมาค่ะ”

          แซลลี่พยักหน้าแล้วรับแก้วน้ำมาจากหญิงชรา เธอหันกลับมาพยุงคาซให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วจึงค่อยส่งแก้วน้ำให้กับเขา แต่เมื่อเธอเห็นมือที่สั่นเทาของอีกฝ่าย นั่นทำให้แซลลี่คิดว่าน้ำในแก้วคงไปไม่ถึงปากเขาแน่ ๆ หญิงสาวจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อช่วยประคองแก้วน้ำในมือคาซ

          “ขอบคุณ” เขาเอ่ย ก่อนจะหลับตาลงแล้วถอนหายใจช้า ๆ

          “ดูเหมือนตานั่นจะทำคุณน่วมไปทั้งตัวเลยนะคะ”

         แซลลี่พูด ก่อนจะหันไปหยิบอาหารที่เตรียมมาออกจากย่าม เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากลำคอของชายหนุ่ม เมื่อหญิงสาวตวัดตาขึ้นมอง ก็พบว่าเขากำลังมองเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

         “ข้าเชื่อว่าเขาทำได้มากกว่านั้น”

         “ถ้าคุณตอบคำถามเขาดี ๆ ก็คงไม่เป็นอย่างนี้”

         “ก็ข้าไม่ชอบคำถามของเขา”

         “แค่ชื่อก็ตอบไม่ได้เหรอ”

         “ข้าตอบไปแล้วนี่” เขาว่า และแซลลี่ก็ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มบนมุมปากของเขา

         “ทิโมธี ชาลาเมต์นั่นนะ” เธอส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขำขัน

         “ชื่อนั้นมีความหมายยังไงกับเจ้า ข้าเห็นเจ้าหัวเราะแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เขาถามด้วยความสงสัย

         “เปล่า มันไม่ได้มีความหมายอะไร แค่สงสัยว่าทำไมไม่ตอบเขาไปตามตรงอย่างที่คุณบอกฉัน” แซลลี่ว่าก่อนจะขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เขา

         “ก็แค่ไม่อยากตอบ”

         หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนจะป้อนซุปที่ยังอุ่นอยู่ให้กับชายหนุ่ม ระหว่างนั้นไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ แซลลี่ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะขั้นตอนการทายาที่เธอต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าความมือหนักของเธอ อาจจะทำให้ชายหนุ่มเจ็บตัวมากกว่าเดิม

         คาซให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี เขาไม่ได้ต่อต้าน หรือทำตัวงี่เง่าเหมือนตัวละครบางตัว ที่มักปฏิเสธการรักษาทั้งที่ตัวเองปางตาย เขาปล่อยให้เธอและทามาร่าทำอะไร ๆ ได้อย่างไม่ลำบากเลย

         “ถ้ายังขยันดื่มยาอย่างนี้ อีกสองสามวันก็คงดีขึ้น” ทามาร่าบอกทำนองเดียวกันกับที่เคยพูดกับแซลลี่

         “คราวนี้เวลาจอมเวทนั่นถามอะไร ก็ตอบเขาไปเถอะ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าฉันคงต้องเปลี่ยนหน้าที่ไปขุดหลุมฝังศพให้คุณแทน” แซลลี่ว่า นั่นเรียกรอยยิ้มจากคาซได้เป็นอย่างดี

         “นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ”

         “เปล่า แต่คิดว่าเขาทำแน่”

         “เขาไม่ทำหรอก” เขาพูดเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจในน้ำเสียงนั้น

         “เอาเถอะ หน้าที่ของฉันกับคุณยายมีแค่นี้ นอกเหนือจากนั้นเป็นหน้าที่ของเขา แต่มันคงดีกว่า ถ้าคุณจะกลับไปในที่ของคุณอย่างปลอดภัย”

         พูดจบแซลลี่ก็ช่วยทามาร่าเก็บข้าวของ คาซจึงค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง และเมื่อหญิงสาวเก็บสัมภาระของตัวเองเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงออกมาจากกระท่อมพร้อมกับหญิงชรา ก่อนจะพบว่าเคนเนธมายืนรอหน้ากระท่อมอยู่ก่อนแล้ว

         “คริสไม่ได้มาด้วยเหรอ” แซลลี่ถาม เมื่อเห็นว่าเคนเนธมาที่นี่เพียงลำพัง

         “คงจะพาโมนาไปนั่งเรือเล่นน่ะ”

         “โอ้ ช่างคิด โมนาคงสนุก” แซลลี่ยิ้ม แล้วส่งย่ามสัมภาระให้เคนเนธที่ยื่นมืออาสาทันทีที่เธอเดินออกมา

         “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” เคนเนธถาม และแซลลี่ก็รู้ได้ทันที ว่าเขาต้องการคำตอบแบบไหน

         “เจ็บหนักพอตัว แต่ยังตอบโต้ได้ดี”

         “เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

         “รู้น่า ว่าอยากรู้อะไร” แซลลี่ว่า นั่นทำให้เคนเนธยิ้มออกมาเมื่อถูกจับได้ “เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย แต่ฉันเห็นรอยสักของเขา ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไรหรือเปล่า”

         “รอยสักอะไร” เคนเนธถามด้วยสีหน้าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

          “มันเหมือนนกอะไรทำนองนั้น หรืออาจจะเป็นอีกา เพราะมันเป็นสีดำ ฉันก็ไม่แน่ใจ”

          เคนเนธพยักหน้าเมื่อพอจะรู้คำตอบ “เขาอาจจะเป็นพวกซาคาร์”

          “คืออะไร” แซลลี่ขมวดคิ้วสงสัย

          “อีกาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มซาคาร์ พวกเขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่มีใครรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงในการมีอยู่ของคนกลุ่มนี้” เคนเนธอธิบาย

          “แล้วเขามาที่นี่ทำไม” แซลลี่ทำหน้าสงสัย

          “นั่นแหละคำถาม”

          “หรือเขามากับพวกลอร์” หญิงสาวคิดเดาไปต่าง ๆ นานา

          “อาจเป็นไปได้ หรืออาจจะไม่ใช่เลย เพราะอย่างที่บอก พวกนั้นไม่เข้ากับฝ่ายใด การมาที่นี่ของเขาอาจมีเหตุผลอื่น และเราต้องหาคำตอบจากเขาให้ได้ อย่างน้อยก็ให้แน่ใจ ว่าจะไม่มีใครเข้ามาโจมตีล็อกลินอีก โดยเฉพาะในเวลานี้”

          “ก็จริง ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก เราตายแน่” แซลลี่ว่า

          “อย่างไรก็ตาม เจ้ากับทามาร่าควรระวังเขาไว้ให้ดี แม้ในตอนนี้เขายังคงทำอะไรได้ไม่มาก แต่เมื่ออาการเขาดีขึ้นแล้วข้ามิอาจคาดเดา”

          “อือ”

         แซลลี่พยักหน้ารับ จากการบอกเล่าของเคนเนธนั้น มันทำให้เธอเกิดความสงสัยกับกลุ่มคนที่ว่า เพราะตั้งแต่ดูหนังเรื่องนี้มา เธอยังไม่เคยได้ยินชื่อกลุ่มซาคาร์อะไรนี่เลยสักครั้ง แซลลี่จึงคิดว่าที่คาซและกลุ่มซาคาร์โผล่มานั้น ต้องเป็นเพราะผลจากการกระทำของเธอ ที่ส่งผลต่อเส้นเรื่องอย่างแน่นอน และเธอจะต้องหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้ เพราะนี่อาจจะเป็นหนทางให้เธอได้กลับไปสู่โลกปัจจุบัน