ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 10 ภาคีแม่มดดำ โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

10 ภาคีแม่มดดำ

ก่อนที่แซลลี่จะต้องไปเยือนภาคีแม่มดดำ โจเซฟีนก็ได้แวะมาหาเธออีกครั้ง พร้อมกับชุดสีแดงตามความประสงค์ แซลลี่หัวเราะออกมาทันทีที่เห็นชุดของเธอ เพราะความจริงเธอรู้รสนิยมการแต่งกายของเหล่าแม่มดดำอยู่แล้ว การเลือกชุดสีแดงนั้นมันจะทำให้เธอโดดเด่นที่สุดในภาคี

“ข้าขอเตือนไว้เลย พรุ่งนี้เจ้าจะเหมือนจุดสีแดงท่ามกลางความดำทะมึน” โจเซฟีนเตือน แต่เธอรู้ดีว่าคำเตือนนั้นไม่ได้ทำให้แซลลี่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“มันสวยมาก ของเธอเหรอ?” แซลลี่ละสายตาจากชุด แล้วเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย

“เปล่า ข้าไม่เคยมีชุดสีแดง” โจเซฟีนส่ายหน้า “มันถูกตัดมาเพื่อเจ้า”

แซลลี่หุบยิ้มแทบไม่ได้ เธอรู้สึกพอใจกับชุดยาวกรุยกรายนี่เอามาก ๆ เธอฝันอยากใส่ชุดสวยอลังการแบบตัวละครในหนังแฟนตาซีมานานแล้ว “สานฝันสุด ๆ”

“ฝันอะไร” โจเซฟีนยิ้มถาม

“ฝันว่าอยากใส่ชุดสวย ๆ แบบนี้ไง”

“ข้าดีใจที่เจ้าชอบ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ช่วงสาย ๆ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ท่าน้ำ”

“ได้ ไว้เจอกัน”

หลังจากที่โจเซฟีนกลับไปแล้ว แซลลี่จึงเดินกลับเข้ามาในกระท่อม โมนาที่นั่งเล่นอยู่คนเดียวจึงร้องทักขึ้นมา เมื่อเห็นชุดสีแดงที่คล้องอยู่บนแขนของเธอ

“ท่านเลือกสีแดง เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าแม่มดที่ภาคีแต่งตัวกันอย่างไร”

แซลลี่ยิ้ม แล้วยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปาก ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กหญิง “อันที่จริง ฉันพอจะรู้จักคนที่นั่นอยู่บ้างแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อย่างที่รู้ ตอนนี้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย”

“แม้ว่าแม่มดโดเลอร์จะดีต่อท่าน แต่แม่มดในภาคีจำนวนไม่น้อย ต้องกำลังสงสัยในตัวท่านอยู่แน่ ๆ ฉะนั้นท่านต้องระมัดระวังคำตอบของตัวเอง” โมนาเตือน

“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ เพราะสองจอมเวทนั่นก็พยายามหาคำตอบนั้นอยู่เหมือนกัน พอไม่ได้ผลก็คงส่งคนอื่นมาสืบแทน” เธอหยุดแล้วทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามความเห็น จากผู้ที่สามารถมองเห็นกาลข้างหน้า “แล้วมันจะเป็นยังไง ถ้าฉันบอกความจริงกับพวกเขา”

“เดิมที่ผู้คนจากโลกทั้งสองฝั่งก็ไม่เคยพบเจอกันอยู่แล้ว และหากมีวันนั้นมันคงเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่น้อย เพราะความแตกต่างระหว่างพวกเราและพวกเขา มันถูกกำหนดไว้แบบนั้น” โมนาจ้องหน้าหญิงสาว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วอธิบายต่อ ด้วยเหตุผลที่เธอได้จากการวิเคราะห์สิ่งที่เธอมองเห็นในอนาคต “ส่วนท่าน ท่านเป็นมากกว่านั้น ท่านคือดวงตาที่มองเห็นพวกเราทุกคน หากพวกเขารู้ว่าท่านเป็นใคร ความโกลาหลจะต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ”

“สักวันฉันต้องอกแตกตายแน่ ๆ” แซลลี่บ่น

“ท่านพูดกับข้าได้เสมอ” โมนาบอกด้วยรอยยิ้มใสซื่อ แซลลี่จึงยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด

“ฉันขอโทษนะโมนา เพราะฉันแท้ ๆ ชะตาชีวิตของเธอเลยต้องเป็นอย่างนี้”

เด็กหญิงโน้มตัวเข้าไปกอดแซลลี่เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับเธอ “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า หรือใครทั้งนั้น ท่านจงใช้ชีวิตของท่านให้ไปถึงตอนจบที่น่าประทับใจเถอะ”

“ในตอนจบของฉัน ทั้งเธอ และคุณยายจะต้องมีความสุข”

แซลลี่และโมนานั่งกอดกันกลม ในเวลานี้โมนาเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ แซลลี่จึงสัญญากับตัวเอง ว่าจะปกป้องเด็กคนนี้ให้เท่าชีวิต

 

วันนี้แซลลี่ตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะเธอต้องใช้เวลาในการแต่งตัว และทำผมเผ้าให้เป็นทรงสวยงาม หลังจากที่เธอไม่ได้ใส่ใจที่จะจัดทรงให้มันมาร่วมเดือน เธอสวมชุดยาวกรุยกรายสีแดง แล้วเดินหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจก โดยมีโมนายืนมองอย่างไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมแซลลี่จึงดูชื่นชอบมันได้ขนาดนั้น

“มันก็เหมือนชุดทั่ว ๆ ไป ทำไมท่านต้องตื่นเต้นกับมันขนาดนั้น”

“เพราะมันทำให้ฉันดูเหมือนนางเอกหนังแฟนตาซีไง” แซลลี่บอก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับกระจก “ถ้าได้แต่งหน้าสักหน่อยก็คงดี”

“ของที่เอามาแต่งแต้มใบหน้าแบบนั้น ข้าเคยเห็นท่านแม่ใช้ ท่านลองถามเพื่อน ๆ ท่านดูสิ”

“จริงด้วย ไว้จะลองถามเคล็ดลับหน้าผ่องจากโจเซฟีนดู แต่ตอนนี้เราต้องไปกันแล้ว เธอต้องไปอยู่กับคริสก่อน เสร็จธุระแล้วฉันจะรีบไปรับ”

เมื่อตกลงกับเด็กสาวตัวน้อยได้แล้ว ทั้งจึงออกจากกระท่อมมา โดยแซลลี่ไม่ลืมที่จะพกดาบของเกลนมาด้วย จากการที่ล็อกลินเพิ่งผ่านการบุกรุกของลอร์มาได้ไม่กี่วัน มันทำให้ทิวทัศน์ของหมู่บ้านไม่ได้สวยอย่างเคย ผู้คนยังต้องช่วยกันซ่อมแซมบ้านเรือน และยังร่วมกันไว้อาลัยให้แก่ผู้คนที่เสียชีวิต ในทุก ๆ คืนจะมีแสงเทียนส่องสว่างอยู่ทั่วทะเลสาบ และคืนนี้แซลลี่ก็ตั้งใจว่าจะร่วมไว้อาลัยให้ผู้คนเหล่านั้นเช่นกัน

“สงสัยเจ้าต้องหาชุดสวย ๆ ให้นางอีกสักสี่ห้าชุดแล้วล่ะ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย” คริสเอ่ยกับโจเซฟีน เมื่อแซลลี่มาถึงจุดนัดหมาย

“นั่นปากเหรอ” แซลลี่ว่าด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายคนตรงหน้า

“ข้าแค่หยอกเล่น เจ้าสวยทุกวันอยู่แล้ว” คริสชม แววตาของเขากรุ้มกริ่มเสียจนแซลลี่ต้องเบ้ปากใส่

“ดูแลโมนาให้ดีแล้วกัน” แซลลี่ว่า หลังจากที่เด็กสาวพุ่งตัวเข้าไปหาคริส โดยที่เขาไม่ต้องเรียก

“ขอรับ นายหญิงผู้พิชิต ข้าจะดูแลโมนาให้เป็นอย่างดี”

“บอกแล้วว่าอย่างเรียกแบบนั้น” แซลลี่กัดฟันบอกกับอีกฝ่าย เพราะมันทำให้เธอรู้สึกอายทุกครั้งที่ได้ยิน

“มันเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว ดูสิ ชุดเอย ดาบเอ่ย เหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”

แซลลี่รู้สึกอายกว่าเดิม เมื่อได้ยินที่โจเซฟีนกล่าว แต่เมื่อสายตาของเธอหันไปเห็นเทียน่าที่กำลังเดินตรงเข้ามา นั่นทำให้แซลลี่รู้ว่าคนที่คู่ควรกับคำนั้น น่าจะเป็นเธอคนนั้นเสียมากกว่า

“โน่น คนสวยที่แท้จริง”

สองคนที่เหลือหันไปมองตามสายตาของแซลลี่ คนที่ดูตะลึงงันกว่าใครคงจะไม่พ้นจอมเวทผู้มากเสน่ห์ คริสมองเทียน่าค้างไว้ราวกับต้องมนตร์สะกด ชุดสีดำเฉกเช่นสีผมของเธอยิ่งทำให้เทียน่าดูเป็นแม่มดผู้ทรงพลัง ริมฝีปากแดงราวกับผลเชอร์รีขยับยิ้มเล็กน้อย เมื่อเธอเห็นพวกเขาทั้งสาม

“เจ้าเชื่อในเสน่ห์ของแม่มดไหม” โจเซฟีนกระซิบถามกับแซลลี่

“อย่างสุดหัวใจ” แซลลี่ยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะแม้ผู้หญิงอย่างเธอเอง ก็ยังรู้สึกได้ถึงความสวยสง่าของหญิงสาวอีกคน

“ขอโทษที่ทำให้รอ” เทียน่าเอ่ยโดยมีความรู้สึกผิดปนอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“โอ้ ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง ไม่ยักรู้ว่าเธอจะไปกับเราด้วย” แซลลี่ว่าพลางหันไปหาโจเซฟีน เพราะแม่มดสาวไม่ได้บอกเธอไว้ก่อนล่วงหน้าว่าเทียน่าจะไปภาคีแม่มดดำด้วยอีกคน

“นางเป็นอีกคนที่เราสนใจ หากฝึกปรือเรื่องเวทมนตร์อีกสักนิด เทียน่าอาจจะมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมภาคีแม่มดดำ”

“ว้าว” แซลลี่ทำตาโต และเธอไม่แปลกใจเลยหากมันเป็นเช่นนั้น เพราะในตอนท้ายของหนัง เทียน่าได้เข้าร่วมภาคีที่ว่านี่อยู่แล้ว

“เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงกล้าใช้เวทมนตร์” เทียน่าว่า และส่งยิ้มให้แซลลี่อย่างเป็นมิตร

“นั่นคือเรื่องที่ข้าสงสัย เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่ารู้เรื่องเวทมนตร์ของนาง กับเรื่องคำทำนายนั้นได้อย่างไร”

คริสถาม แววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้เทียน่า และโจเซฟีนอยากรู้เรื่องนั้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน แซลลี่นิ่งไปราวกับถูกไฟช็อต ในตอนนั้นเธอพูดออกไปด้วยความขุ่นเคือง และคิดว่าเมื่อจบเรื่องแล้วเธอคงจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบัน เธอจึงไม่ได้คิดคำตอบไว้รับมือกับความสงสัยของพวกเขาเอาเลย

“ข้าบอก” จู่ ๆ โมนาก็พูดขึ้น “ข้าเป็นคนบอกนางเอง”

แซลลี่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมีคนออกรับแทน ถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นเด็กผู้หญิงหกขวบก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเด็กหกขวบที่สามารถมองเห็นอนาคต เธอจึงหวังว่าทั้งสามจะเชื่อ

“เจ้ารู้จริง ๆ เหรอ” คริสถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“จริงสิ ข้าเป็นคนบอกเรื่องของนางกับท่านแม่ นางจึงได้ดาบเล่มนั้นมา”

“ทำไมเจ้าถึงไว้ใจที่จะบอกเรื่องพวกนี้กับนางล่ะ” คริสนั่งลงถามโมนา

“ข้าไม่รู้ รู้เพียงแค่ต้องบอก”

“อย่าพยายามหาคำตอบกับเรื่องพวกนี้เลย” โจเซฟีนพูดขึ้น “เรื่องของเวลาและญาณวิเศษนั้น เป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินจะเข้าใจ หากมันเป็นดั่งที่เจ้าหนูนี่บอก ก็แปลว่ามันคือโชคชะตาของนาง” 

แม่มดสาวพูดพร้อมกับหันมามองแซลลี่ นั่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนรอดตายได้อย่างหวุดหวิด หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้กับโมนาอย่างรู้สึกขอบคุณ

“ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่มันก็ทำให้ล็อกลินไม่เสียหายไปมากกว่านี้ ทั้งยังทำให้ข้าได้ลองใช้เวทมนตร์อีกด้วย” เทียน่าพูด แววตาของเธอดูชื่นชมแซลลี่เป็นอย่างมาก

“ก็สมแล้วกับฉายา...”

“หยุด!” แซลลี่ยกมือขึ้นห้ามคริสที่กำลังจะอ้าปากพูดคำที่ทำให้เธอรู้สึกอาย “เอาเป็นว่า ไม่ว่าฉันจะเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ขอให้รู้ไว้ ว่าฉันหวังดีกับผู้คนที่นี่เสมอ” แซลลี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และหวังว่าทั้งสามจะเข้าใจ โดยเฉพาะคริส

“เอาเถอะ ข้าว่าเราต้องไปกันแล้วล่ะ” โจเซฟีนพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเธอทั้งสามต้องเข้าไปที่ภาคี

“ไว้ตอนเย็น ข้าจะพาโมนาไปส่ง” คริสว่า

“เสร็จธุระแล้วฉันมารับกลับเองก็ได้” แซลลี่บอก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของเขาไปมากกว่านี้

“ไม่เป็นไร เจ้าไปศึกษาวิถีแม่มดให้เต็มที่เถอะ เผื่อว่าล็อกลินต้องพึ่งพาเจ้าอีก”

คริสยิ้มให้ ก่อนเขาจะอุ้มโมนาขึ้นด้วยแขนเพียงข้างเดียวแล้วเดินออกไป แซลลี่ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้ม โจเซฟีนที่สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

“ระวัง”

“ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ ขอให้หยุด และไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันรู้จักเขาดี เสน่ห์วิบวับในดวงตาของเขา ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” 

“โอ้ เจ้าน่าจะเป็นสตรีนางแรก ที่พูดเช่นนี้ อันที่จริงข้ายังไม่เคยเจอใคร ที่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาเลย”

“ผู้พิชิตไม่หวั่นไหวกับอะไรง่าย ๆ หรอก”

เสียงหัวเราะของหญิงสาวทั้งสามดังขึ้นเมื่อแซลลี่พูดจบ พวกเธอพากันเดินไปยังท่าเรือ แล้วพายเรือมุ่งตรงไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ โดยเป็นฝั่งที่ไร้ซึ่งบ้านเรือนของผู้คน เพราะเป็นฝั่งของที่ทำการของผู้พิทักษ์ดินแดนจากหลายฝ่าย ทั้งที่ทำการของจอมเวทประจำล็อกลินก็อยู่ฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน แต่คริสและเคนเนธจะแบ่งเวลารักษาการ ซึ่งเมื่อคริสยังอยู่อีกฝั่ง ในเวลานี้ก็คงเป็นเคนเนธที่รักษาการอยู่ฝั่งนี้

เมื่อเรือมาถึงฝั่ง แซลลี่ก็ได้เห็นปราสาทหินสีดำทะมึนตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โจเซฟีนเป็นผู้เดินนำเข้าไปยังภาคีแม่มดดำ แซลลี่เดินยืดตัวตรงโดยอัตโนมัติ แม้ใจจะเต้นแรง แต่ก็ยังเชิดหน้าราวกับว่าไม่ได้รู้สึกกลัวถิ่นแม่มดแต่อย่างใด เธอกำลังก้าวเข้ามาในสถานที่ที่มีแต่เหล่าสตรีผู้เก่งกาจในเรื่องเวทมนตร์ ในขณะที่เธอมีเพียงดาบหนึ่งเล่มเท่านั้น

“ภาคีแม่มดดำเป็นเหมือนตัวแทนเหล่าสตรีที่เก่งกล้าไม่แพ้บุรุษ แม้ภายนอกของพวกเราจะดูบอบบางเหมือนกลีบดอกไม้ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าพวกเรานั้นเป็นดอกไม้ที่มีทั้งหนาม และพิษ” โจเซฟีนกล่าว ระหว่างที่พวกเธอกำลังเดินผ่านโถงทางเดินเข้าไปข้างใน 

“พูดก็พูด ฉันเป็นพวกประเภทที่มีความเชื่อว่า ถ้าไม่มีผู้หญิง โลกนี้คงล่มสลายไปนานแล้ว” แซลลี่ว่า ก่อนทั้งสามจะยิ้มให้กันอย่างรู้ความหมายของประโยคนั้นโดยไม่ต้องพูดกันให้มากความ

“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าสองคนเข้าไปข้างใน ตอนนี้ทุกคนน่าจะอยู่ในนั้นกันแล้ว”

เมื่อแซลลี่และเทียน่าพยักหน้าตอบรับ โจเซฟีนจึงผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออก ทำให้แซลลี่ได้เห็นห้องโถงที่โอ่อ่าตระการตากว่าในหนังหลายเท่า แม่มดนับสิบคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางล้อมเป็นวงกลม และเป็นอย่างที่โจเซฟีนว่า ในตอนนี้แซลลี่ดูเหมือนจุดสีแดงท่ามกลางผ้าสีดำผืนใหญ่ สีสันของเสื้อผ้าที่ตัดกันกับคนส่วนใหญ่ภายในห้อง ทำให้ทริซ่าผู้ซึ่งเป็นผู้นำภาคีอดทักขึ้นไม่ได้

“สีแดงช่างเหมาะกับเจ้า”

“ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ”

แซลลี่ว่าพร้อมกับยกยิ้มอย่างมั่นใจ นั่นทำให้ใบหน้าที่บึ้งตึงของเหล่าแม่มดต้องเปื้อนรอยยิ้มให้กับความมั่นฝจของเธอไปตาม ๆ 

“ข้าทริซ่า ในนามผู้นำภาคีแม่มดดำ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้พบกับเจ้าทั้งสอง หากไม่มีพวกเจ้า ข้าคงมิอาจจินตนาการถึงอนาคตของล็อกลินได้เลย”

รอยยิ้มอันน่าเกรงขาม ถูกส่งให้กับหญิงสาวทั้งสอง แต่นั่นไม่ได้ทำให้แซลลี่รู้สึกประหม่าแต่อย่างใด เพราะเธอคิดว่าทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ ต่างเป็นนักแสดงที่เธอคุ้นตาทั้งนั้น ต่างกับเทียน่า ที่เอาแต่ก้มหน้างุดด้วยความหวั่นเกรงในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แม้ว่าทริซ่ากำลังเอ่ยชมเธออยู่ก็ตาม

“ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้ร่วมปกป้องล็อกลิน” แซลลี่กล่าว

“ข้าก็เช่นกัน” เทียน่าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบา

“แต่เท่าที่ข้าได้รู้มา พวกเจ้าทั้งสองต่างก็ไม่ใช่ชาวล็อกลิน”

แซลลี่คิดไว้แล้วต้องมีคำพูดทำนองนี้ และคิดว่าแม่มดพวกนั้น คงมีเรื่องราวที่อยากถามมากมายแน่ ๆ หญิงสาวจึงกวาดสายตามองหาประตูหน้าต่าง เพราะคิดว่าหากคำถามมันยากเกินกำลังที่จะตอบ เธอจะแก้ปัญหาด้วยการกระโดดหนีออกไปเสียเลย

“ข้ามาจากหุบเขาไฮรัม” เป็นเทียน่าที่เอ่ยขึ้นก่อน “พวกลอร์บุกไปที่นั่น แล้วเข่นฆ่าแม่มดทั้งหมู่บ้านอย่างไร้ความปรานี แม่ข้าจึงพาข้าหนีมาที่นี่”

“และเพราะเจ้าเป็นแม่มดในคำทำนาย พวกมันจึงตามเจ้ามาที่นี่” ทริซ่าพูดขึ้นมา นั่นทำให้เทียน่าต้องก้มหน้าต่ำอย่างรู้สึกผิด

“นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ข้าเฝ้าโทษตัวเองอยู่เสมอ หากข้าไม่มาที่นี่ ผู้คนในล็อกลินก็คงไม่เดือดร้อนกันเช่นนี้” น้ำเสียงของเทียน่าเริ่มสั่น แซลลี่จึงยื่นมือออกไปบีบมือของอีกฝ่ายเบา ๆ

“ถึงวันนั้นเจ้าไม่มาที่นี่ แต่วันใดวันหนึ่งพวกนั้นก็ต้องมา ลอร์ไปทุกที่ที่มีแม่มด และล็อกลินเองก็มีแม่มดอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นเจ้าอย่าได้โทษตัวเองไปเลย” ทริซ่าบอกกับเทียน่าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันมาหาแซลลี่ “แล้วเจ้าล่ะ เป็นใครมาจากไหน”

แซลลี่คลี่ยิ้ม พร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ “ฉันไม่รู้ แม้แต่ความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ที่นี่ ฉันยังจำไม่ได้เลย”

“แต่จอมเวทโกเบอร์บอกกับข้า ว่าเจ้าเป็นคนบอกเทียน่าว่านางมีเวทมนตร์ อีกทั้งยังรู้วิธีใช้ดาบนั่นด้วย”

แซลลี่ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง อีกทั้งยังเป็นพวกประเภทที่โกหกได้ไม่เนียน เธอจึงหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วใช้เสี้ยววินาทีที่มีอยู่คิดหาคำตอบ

แต่ดูเหมือนบทประพันธ์ใหม่ได้กำหนดไว้แล้ว ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เธอจะต้องพูดความจริง เพราะอยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง

“ขออภัยที่ขัดจังหวะ”

“มีอะไร” ทริซ่าถาม

“มีจดหมายมาจากเอโมรี พวกเขาฝากส่งคำเชิญมาถึงพวกนางด้วย” ผู้หญิงคนนั้นบอกพร้อมกับหันมาหาแซลลี่และเทียน่า

“พวกนางอย่างนั้นเหรอ” ทริซ่าทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ใช่ เพื่อร่วมฟังคำทำนายใหม่จากเลวาน่า”

แซลลี่พ่นลมออกจากปากอย่างโล่งใจ เธอเริ่มเชื่อแล้วว่าสีแดงเป็นสีนำโชคของเธอ แล้วเมื่อหันไปหาโจเซฟีน อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มให้ เป็นเชิงบอกว่าเธอรอดแล้ว

“เข้าใจแล้ว” ทริซ่าพยักหน้าเบา ๆ แล้วเมื่อแม่มดผู้มาส่งข่าวเดินออกจากห้องไป ทริซ่าจึงหันกลับมาหาเทียน่า “เอาเป็นว่า ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน และภาคีของเราก็ได้ลงความเห็นกันแล้วว่า ควรให้เจ้าฝึกควบคุมเวทมนตร์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่ในอนาคตเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของภาคีแม่มดดำ”

เทียน่ายิ้มออกมาด้วยความดีใจที่เธอไม่ต้องปกปิดความสามารถของตัวเองอีกต่อไป ในขณะที่แซลลี่นั้นภาวนาขอให้ทริซ่าปล่อยเธอกลับไปนอนเล่นที่กระท่อมไว ๆ

“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างดี” เทียน่ากล่าว

“ส่วนเจ้า” ทริซ่าหันมาหาแซลลี่ “ไว้หาคำตอบได้ ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน แล้วค่อยว่ากันอีกที”

“เอ่อ...อันที่จริง ปล่อยให้ฉันเป็นแค่หญิงความจำเสื่อมแบบนี้ต่อไปมันอาจจะดีกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญ มันเป็นแค่สัญชาตญาณการเอาตัวรอด ถ้าให้พูดตามตรงเลยคือ ฉันไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับภาคี หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของล็อกลิน แค่ช่วยคุณยายทามาร่าปลูกสมุนไพร ทำงานบ้าน กับเลี้ยงเด็กหกขวบ ฉันคิดว่าคงไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอย่างอื่นแล้ว” 

เสียงหัวเราะของเหล่าแม่มดดังขึ้นเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ทริซ่ามองแซลลี่แล้วยิ้มกว้างกว่าเก่า เธอรับรู้มาตลอดว่ามีแม่มดจำนวนมากที่พยายามฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของภาคี แต่แซลลี่กลับปฏิเสธตั้งแต่เธอยังไม่ทันจะเอ่ยชักชวนเสียด้วยซ้ำ

“ไว้รอฟังคำทำนายเสียก่อน เดี๋ยวก็คงได้รู้ ว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบบนเนินเขานั่นหรือไม่”

แซลลี่ทำเพียงแค่ส่งยิ้มตอบกลับไป เธอได้แต่คิดว่าจะไม่เอาตัวเองไปแขวนไว้บนคำทำนาย ไม่ว่าคำทำนายนั้นจะเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ก็ตาม

กว่าการสนทนาภายในภาคีเสร็จสิ้นก็เกือบเย็น เมื่อออกมาจากปราสาทสีดำ แซลลี่กับเทียน่าก็เตรียมกลับไปอีกฝั่ง ในขณะที่โจเซฟีนกำลังพาทั้งสองมาที่ท่าเรือ พวกเธอก็ได้พบกับเคนเนธที่กำลังจะข้ามไปอีกฝั่งพอดี ชายหนุ่มลอบมองเทียน่า ก่อนจะแสร้งหาเรื่องคุยกับโจเซฟีน

“สำเร็จหรือเปล่าล่ะ” เขารู้ดีว่าส่วนหนึ่งที่ภาคีเชิญแซลลี่มา นั่นก็เพื่ออยากสืบสาวเรื่องราวของเธอ

โจเซฟีนหันไปมองแซลลี่ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่”

“บอกแล้วว่าให้เลิกพยายาม เพราะถึงไม่มีอะไรมาขัดขวาง ฉันก็ไม่มีอะไรจะตอบอยู่ดี” แซลลี่ว่า นั่นทำให้เคนเนธหัวเราะออกมา

“ข้ากำลังจะไปอีกฝั่งอยู่พอดี มานั่งกับข้าสักคนไหม โจเซฟีนจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก” โจเซฟีนว่า

แต่แซลลี่ที่รู้ดีว่าเคนเนธรู้สึกอย่างไรกับแม่มดอีกคน และเธอเองก็อยากให้เขาได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเทียน่า “จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอไปกับเขา” แซลลี่หันไปพูดกับเทียน่า นั่นทำให้แม่มดสาวชะงักไป แซลลี่จึงบอกเหตุผลไปอย่างข้าง ๆ คู ๆ “พอดีฉันมีเรื่องต้องปรึกษากับโจเซฟีนนิดหน่อย มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอธิบายยาก หวังว่าเธอจะเข้าใจ”

“กะ ก็ได้” เทียน่าพยักหน้า แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม 

“ฝากด้วยนะ” แซลลี่ยิ้มร่าพร้อมโบกมือให้กับทั้งสอง

“ปรึกษาอะไรของเจ้า?” โจเซฟีนถาม เมื่อทั้งสองขึ้นมานั่งประจำที่บนเรือของตนเอง

“ไม่มี” แซลลี่ยิ้มแฉ่ง

“อ้าว แล้ว...”

“เหอะน่า เดี๋ยวสักวันเธอก็จะรู้เอง”

แม้โจเซฟีนจะไม่เข้าใจ แต่เธอก็ไม่ได้รบเร้าเอาคำตอบกับอีกฝ่าย ทั้งคู่คุยสัพเพเหระจนกระทั่งมาถึงอีกฝั่ง 

เมื่อแยกกับโจเซฟีนแล้ว แซลลี่เห็นว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือก่อนที่จะมืดค่ำ เธอจึงถือโอกาสร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ในคืนก่อน หญิงสาวหยิบเทียนดอกไม้ที่ชาวบ้านเตรียมไว้ขึ้นมาจุดไฟ ก่อนจะอธิษฐานแล้วปล่อยเทียนให้ลอยไปในทะเลสาบ แซลลี่ยืนมองเทียนของเธอลอยห่างออกไปจากฝั่งด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ล็อกลินคงเสียหายน้อยกว่านี้หากเธอตัดสินใจแจ้งใครสักคนไปตั้งแต่แรก แต่กว่าเธอจะคิดได้ มันก็สายเกินจะแก้ไข

เมื่อแซลลี่เดินออกมาก็พบว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมายังท่าเรือ หนึ่งในนั้นมีคริสที่อุ้มโมนาไว้ในอ้อมแขน แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจนั่นคือพวกเขาคุมตัวคาซมาด้วย

“จะพาเขาไปไหนน่ะ” แซลลี่ถามคริสทันทีที่เขาเดินเข้ามาหาเธอ

“สอบสวน” เขาตอบสั้น ๆ

“อีกแล้วเหรอ” 

“เรามั่นใจแล้วว่าเขามาจากซาคาร์ และต้องรู้ให้ได้ว่าพวกซาคาร์มาทำอะไรที่นี่”

“ไม่ได้กะเอาถึงตายใช่ไหม” หญิงสาวเลิกคิ้วถามให้แน่ใจ

“นั่นขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา”

แซลลี่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำตอบของคริส เธอพักมือไว้บนดาบแล้วยืนมองกลุ่มคนที่กำลังพาคาซไปที่ท่าเรือ ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินผ่านหน้าเธอไป ชายหนุ่มร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองเธอ แล้วยกยิ้มมุมปาก แซลลี่ได้แต่เหลียวมองอีกฝ่าย โดยที่ทั้งสองไม่ได้เอ่ยทักทายกันสักคำ

“ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดล่ะ” แซลลี่ถาม

“ก็ค่อยว่ากันอีกที”

“แล้วจะชดเชยอย่างไร”

“เรื่องอะไร” คริสทำหน้างง

“ก็ที่คุณซ้อมเขาจนเยินนั่นไง”

“หาใช่ความผิดข้า เขาไม่ยอมตอบคำถามเอง” คริสตอบลอยหน้าลอยตา

“โอ้โห ลูกคนเล็กหรือเปล่าเนี่ย” แซลลี่พูดประชดประชันในเรื่องความเอาแต่ใจและไม่ยอมรับผิดของคริส

“เอาอะไรมาพูด ข้าเป็นลูกคนเดียว”

“ไม่ต่างกันเลย” หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนจะย่อง ๆ ลงเพื่อคุยกับโมนา “วันนี้ตานี่พาเธอไปผจญภัยที่ไหนมาบ้าง”

“ไปทั่วทั้งล็อกลิน แถมพาไปกินอะไรอร่อย ๆ เยอะเลย” โมนาตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

“ดีจัง” แซลลี่พูดกับโมนา แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมองหน้าคริส “ขอบคุณที่ช่วยดูแลโมนา”

“ไม่ได้ทำให้ฟรี ๆ หรอก” คริสว่าพร้อมด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

“จะเอาอะไร” เธอถามด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ

“ยังไม่รู้ ขอกลับไปคิดก่อน”

“คิดไปเถอะ เพราะฉันไม่ให้อะไรทั้งนั้น”

แซลลี่เชิดหน้าพูด นั่นทำให้คริสหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าพูดไปอย่างนั้นแหละ”

“ถึงพูดจริงก็ไม่มีอะไรจะให้”

“แต่ข้ามี” คริสว่าพลางยื่นถุงผ้าให้กับแซลลี่ หญิงสาวรับมันไป แล้วเปิดดูข้างในก็พบว่าเป็นพวกขวดที่บรรจุน้ำหลากสี กับตลับเล็ก ๆ สองสามชิ้น นั่นทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม “โมนาบอกกับข้า ว่าเจ้าบ่นถึงเครื่องประทินใบหน้า วันนี้เราสองคนผ่านร้านของพวกนี้พอดี พวกเขากำลังซ่อมแซมร้านอยู่ด้วย ข้าก็เลยถือโอกาสช่วยซื้อของพวกเขา”

แซลลี่ยิ้มจนแก้มแทบปริ แม้จะไม่ใช่ของแบรนด์เนม แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนซื้อของพวกนี้ให้กับเธอ อีกทั้งเหตุผลที่คริสซื้อมันมา เพราะต้องการอุดหนุนชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อน

“ขอบคุณ”

ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ที่ริมทะเลสาบ โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องพวกเขาทั้งสองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะแซลลี่ แม้ว่าเรือจะออกจากท่ามาห่างพอสมควรแล้ว แต่คาซก็ยังคงมองหญิงสาวชุดแดงอย่างไม่วางตา และไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่