ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 11 ความจริง ความฝัน ความตาย โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

11 ความจริง ความฝัน ความตาย

เช้าวันต่อมา แซลลี่ตื่นขึ้นมาพบว่าทามาร่ากำลังขะมักเขม้นกับการโยนสมุนไพรลงหมอต้ม เธอจึงเดินเข้าไปหาหญิงชราด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงอย่างคนเพิ่งตื่น แล้วชะโงกหน้ามองด้วยท่าทีสงสัย

“ของใครอีกล่ะคะ”

“ของพ่อหนุ่มคนนั้นนั่นแหละ”

“อ้าว เมื่อเย็นวานหนูเห็นเขาถูกพาตัวไปอีกฝั่ง นึกว่าคุณยายไม่ต้องตามไปดูแลเขาแล้ว”

“กลับมาแล้ว มาเมื่อคืน จอมเวทโกเบอร์ส่งคนมาแจ้งข้าตั้งแต่เช้าตรู่”

“หมายความว่า คุณยายยังต้องไปรักษาเขาอย่างเดิมใช่ไหมคะ แล้ว...เขาได้แผลใหม่มาอีกหรือเปล่า” แซลลี่อดคิดไม่ได้เลยว่าฝั่งจอมเวทจะเค้นข้อมูลจากคาซด้วยวิธีรุนแรงหรือเปล่า

“ไม่มีหรอก เขาไม่ได้บาดเจ็บกลับมา ข้าแค่จะเอายาที่เขาควรจะกินอย่างต่อเนื่องไปให้น่ะ”

แซลลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้น หนูเอาไปส่งให้ก็ได้ค่ะ คุณยายจะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”

“เอางั้นเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกัน”

แซลลี่ยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบจากหญิงชรา เธอเดินไปหลังกระท่อมเพื่อล้างหน้าล้างตา แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าดอกไม้ที่ปลูกไว้ในสวนเริ่มออกดอกเบ่งบาน แซลลี่ยิ้มออกมาราวกับว่าการปลูกดอกไม้พวกนั้นคือความสำเร็จสูงสุดในชีวิต เพราะในโลกความเป็นจริงเธอคงไม่มีเวลาที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ แค่ต้องออกจากบ้านไปทำงานนั่นก็เหมือนว่าเธอต้องใช้พลังชีวิตไปมหาศาลแล้ว ชีวิตที่ล็อกลินจึงเป็นชีวิตที่แสนสุข แม้ว่าจะมีเรื่องระทึกขวัญเกิดขึ้นบ้าง และแม้ว่าการที่ต้องเอาตัวรอดในโลกของหนังแฟนตาซีนี้จะสาหัสยิ่งกว่าการถกเถียงกับหัวหน้าแผนก แต่แซลลี่ก็แทบจะไม่ได้คิดถึงชีวิตในโลกก่อนหน้านี้ของเธอเลย

 

แซลลี่มาที่กระท่อมกลางป่าเพียงลำพัง เธอพบว่าวันนี้มีคนเฝ้าอยู่ข้างนอกเพียงสองคน จากเดิมที่มีกันมากกว่านี้ และทำราวกับว่าคาซเป็นผู้ก่อการร้าย

“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะ” ชายหนึ่งในสองพูดขึ้น

“ทำไมล่ะคะ”

“เขาจะย้ายไปอยู่กับนักเวทฝึกหัด”

“แล้วนักเวทฝึกหัดพักที่ไหนกันคะ” แซลลี่ถาม เธอกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่หายดีหากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

“อยู่บนเนินเขาทางตะวันตก แต่เจ้าคงไม่ต้องไปหาเขาแล้วล่ะ ที่หอนักเวทมีคนดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว”

“อ๋อค่ะ”

แซลลี่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านชายคนนั้นขึ้นไปบนกระท่อม เธอค่อย ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปข้างใน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับอยู่ เมื่อแซลลี่เดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้าของคาซจางลงไปมากแล้ว ใบหน้าคมคายยามหลับใหลทำให้แซลลี่เผลอหยุดมองราวกับถูกสะกด สันจมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยัก เมื่อประกอบรวมกับคิ้วหนาเหนือดวงตาคม ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย แล้วเมื่อจินตนาการภาพยามเจ้าของริมฝีปากนั้นยกยิ้ม มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แซลลี่เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

แซลลี่หยิบยาสมุนไพรที่ทามาร่าเป็นคนปรุงออกมาจากย่าม โดยมีทั้งแบบกินและแบบทา และยังไม่ลืมที่จะเอาอาหารเช้าติดย่ามมาด้วย เธอพยายามวางทุกอย่างลงอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รบกวนเวลานอนของอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่วายทำให้คาซตื่นอยู่ดี

“อรุณสวัสดิ์ไคลีย์”

“แซลลี่” เธอรีบพูดแก้ “ว่าแต่เช้านี้เป็นไงบ้างล่ะ ทิ-โม-ธี” เธอเอาคืนเขาด้วยการเรียกอีกชื่อหนึ่ง

“อยากเรียกอะไรก็ตามสบายเลย” คาซพูดตามด้วยหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีที่คล่องแคล่วกว่าวันก่อน

“คุณไปได้ชื่อนั้นมาจากไหน” แซลลี่ถามด้วยความอยากรู้

คาซครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อยู่ ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวตอนจอมเวทนั่นถาม อันที่จริงข้าจะตอบเขาไปตามตรงก็ได้ แต่เรื่องอะไรล่ะ ได้ปั่นหัวหมอนั่นมันสนุกออก”

“อย่างนี้นี่เอง” แซลลี่พยักหน้าเบา ๆ ขณะที่นำสำรับที่เตรียมไว้ออกมาจัดวางไว้ตรงหน้า “ว่าแต่ เมื่อวานเขาพาคุณไปไหน”

“ก็แค่เปลี่ยนสถานที่สอบสวน”

“แล้วคุณบอกเขาเหรอ”

“เจ้ารู้?” คาซเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“ดูจากการที่ไม่ได้เจ็บตัวเพิ่ม ก็แปลว่าคำตอบคงเป็นที่น่าพึงพอใจ”

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ ข้าบอก”

“บอกว่าไง?” แซลลี่ถามต่อ

“เขารู้อยู่แล้วว่าข้ามาจากกลุ่มซาคาร์” คาซพูดพลางจ้องหน้าแซลลี่ นั่นทำให้เธอต้องหลุบตาลงต่ำเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุ “ข้าแค่บอกเขาว่า ข้าลี้ภัยจากคนพวกนั้นจนมาถึงที่นี่ แต่คิดว่าพวกจอมเวทคงยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไร พวกเขาจึงจะส่งข้าไปอยู่กับพวกนักเวทฝึกหัด”

“แล้วเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เรื่องที่คุณบอกเขา”

“แล้วเจ้าเชื่อข้าหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำถามอย่างแผ่วเบา

“ตอบไม่ได้หรอก ฉันยังไม่รู้จักคุณขนาดนั้น” แซลลี่ว่าก่อนจะผายมือไปยังอาหารที่อยู่ตรงหน้า “กินซะ แล้วก็อย่าลืมกินยาด้วย จะได้หายเร็ว ๆ และจะได้มีแรงหนีไปจากที่นี่” เธอว่าแล้วยิ้มขัน

“ข้ายังไม่มีแผนที่จะไปจากที่นี่”

“แล้วจะเอาไงต่อ จะเข้าร่วมกับพวกนักเวทของล็อกลินงั้นเหรอ”

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้จอมเวทคนนั้นสนใจในตัวข้า ก็คือวิชาการต่อสู้ที่ข้าฝึกฝนมาตั้งแต่อยู่กับพวกซาคาร์ เขาอยากให้ข้าฝึกเด็ก ๆ พวกนั้น แลกกับการได้อยู่ที่นี่”

“แล้วคุณก็รับข้อเสนอนั้น?”

“ไม่รับก็บ้าแล้ว มันดีกว่าที่ที่ข้าจากมาเยอะเลยล่ะ”

“ก็ดี อย่างน้อยก็มีที่ให้ซุกหัวนอน” แซลลี่ยักไหล่ “เหมือนฉัน”

“เหมือนเจ้า?” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันไม่ใช่คนที่นี่เหมือนกัน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามาจากไหน พวกเข้าเจอฉันลอยเหมือนศพอยู่ในทะเลสาบ โชคดีได้คุณยายทามาร่ารับเลี้ยงไว้”

“ไม่ต่างกันจริง ๆ ด้วย” คาซว่า มุมปากของเขาขยับยิ้ม

“คุณกินข้าวเถอะ ฉันจะกลับแล้ว อ้อ กินยาเสร็จแล้ว อย่าลืมทาด้วย” แซลลี่ว่าก่อนจะเลื่อนกระปุกยาไปหาชายหนุ่ม

“แล้วข้าจะทาเองได้อย่างไร” เขามองหน้าหญิงสาวนิ่ง ๆ 

“โอเค ฉันทาให้ก็ได้”

เธอบอกอย่างจำยอม ก่อนจะหยิบกระปุกยาขึ้นมาเปิดมันออกแล้วขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เขา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงไปที่รอยช้ำบนใบหน้าอย่างเบามือ ดวงตาคมจดจ้องอยู่กับใบหน้าของหญิงสาว ทำเอาแซลลี่เริ่มหายใจผิดจังหวะ

“ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหน” เธอว่าก่อนจะวางกระปุกยาลงที่เดิม

“ขอบใจ” เขากล่าว

“ฉันไปล่ะ” แซลลี่บอกพลางทำท่าจะลุกเดินออกไป

“เดี๋ยว” เสียงของคาซดังขึ้นรั้งหญิงสาวไว้กับที่

“หืม?” 

“เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า คือ...ข้ายังไม่รู้จักใครอื่น”

“ไม่รู้สิ ถ้าไม่มีธุระฉันไม่ค่อยชอบออกไปไหน แต่ถ้าอยากเจอก็ไปหาฉันได้ที่กระท่อมคุณยายทามาร่า ถามคนในหมู่บ้านได้ ทุกคนรู้จักคุณยาย” แซลลี่บอก

“เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างไม่แน่ใจ

แซลลี่คลี่ยิ้ม “ได้สิ”

“ไว้เจอกัน”

แซลลี่ยิ้มตอบรับก่อนจะเดินออกมาจากกระท่อม และเธอไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มค้างเติ่งอยู่บนใบหน้าของเธอนานแค่ไหน

 

แล้ววันนัดหมายที่แซลลี่จะต้องเดินทางไปยังเอโมรีก็มาถึง เพราะแซลลี่ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ในตอนนี้เธอจึงมานั่งสัปหงกอยู่บนรถม้า โดยมีเทียน่านั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนโจเซฟีนนั้นก็อยู่บนรถม้าอีกคันกับทริซ่า

กว่าแซลลี่จะตื่นเต็มตาก็ตอนที่ตะวันโผล่พ้นยอดภูเขา สายหมอกยามเช้าโอบผืนป่าเป็นบริเวณกว้าง มาถึงตอนนี้แซลลี่เพิ่งได้เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการเดินทางออกนอกเขตล็อกลิน อีกทั้งยังนึกขึ้นได้ว่าในหนังนั้นชื่อของเลวาน่าเพียงแค่ถูกเอ่ยขึ้นลอย ๆ นั่นทำให้เธอยังไม่เคยได้เห็นหน้าแม่มดผู้พยากรณ์เลยสักครั้ง

“เธอเคยเจอแม่มดเลวาน่าไหม” แซลลี่ถามหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“ไม่เคย ได้ยินว่านางจะไม่ปรากฏตัวหากไม่มีคำทำนาย คนที่พบเจอนางได้ก็มีเพียงคนที่อยู่รอบตัวนางเท่านั้น ข้ายังรู้สึกแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมนางถึงเชิญเรา”

แซลลี่ยิ้มแห้ง ๆ เมื่อได้ยินที่เทียน่าบอก การที่ถูกเชิญไปพบใครสักคนที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถทำได้ มักไม่ใช่เรื่องดี เธอคิดว่าสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ ต้องวุ่นวายไม่มากก็น้อย

“แล้วไปฝึกกับภาคีมาเป็นยังไงบ้าง” แซลลี่ถาม

“ก็ดี ที่นั่นทำให้ข้าได้ใช้เวทมนตร์ได้ตามที่ต้องการ” เธอก้มหน้ายิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าแซลลี่ “แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามีเวทมนตร์หรือไม่”

“คิดว่าไม่” แซลลี่ส่ายหน้า

“หรือเจ้าแค่จำไม่ได้ว่าเคยมี” เทียน่าสันนิษฐาน เพราะเธอไม่คิดว่าผู้หญิงที่ฆ่าจอมปีศาจอายุหลายร้อยปีได้ จะเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา

“ไม่รู้เลย ไม่เคยรู้สึกถึงอะไรแบบนั้นเลย”

“ถ้าไม่มีเวทมนตร์เลย ถือว่าเจ้าเป็นสตรีที่มีใจเด็ดเดี่ยวนักแซลลี่ คาเรย์เป็นจอมปีศาจที่มิมีผู้ใดเทียบเทียม แต่เจ้าฆ่าเขาได้ด้วยดาบเพียงเล่มเดียว”

“แค่โชคช่วยน่ะ” แซลลี่ยิ้มน้อย ๆ และอยากผ่านบทสนทนานี้ไปเร็ว ๆ เพราะเธอกลัวตัวเองจะเผลอบอกความจริงกับอีกฝ่ายว่าเธอรู้วิธีจัดการตัวร้ายได้อย่างไร

“เรื่องคืนนั้นทำให้ข้ารู้สึกนับถือในตัวเจ้า ข้าอยากบอกกับเจ้าหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเสียที ข้าอยากกล้าหาญให้ได้สักครึ่งของเจ้า”

แซลลี่รู้สึกเขินอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ นางเอกของเรื่องอย่างเทียน่า โรสจะมาพูดอะไรแบบนี้กับเธอ ทั้งที่อีกฝ่ายนั้นมีเวทมนตร์ที่ใคร ๆ ต่างแสวงหา “รู้อะไรไหม ฉันไม่ได้เป็นคนกล้าหาญอะไรหรอก ฉันอยากอยู่เฉย ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพราะเหตุการณ์มันพาไป ถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่างคุณยายกับโมนาคงแย่แน่ และฉันก็ยังไม่อยากตาย” เธอถอนหายใจ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันทำลงไปเพราะคิดว่าทุกอย่างจะจบ ฉันคิดว่ามันจะจบลงแค่นั้น”

“มันจบแล้วล่ะ”

เสียงหวานของเทียน่าเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพร้อมด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ไม่ต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป แซลลี่ได้แต่เหม่อมองวิวข้างทาง ทั้งที่อยากพูดแย้งอีกฝ่ายว่ามันยังไม่จบ เพราะหากมันจบจริงดังว่า เธอคงไม่มานั่งอยู่บนรถม้าเพื่อไปลุ้นคำทำนายเช่นนี้

 ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่ารถม้าที่เคลื่อนมาจากล็อกลินจะมาถึงเอโมรี รถม้าลดความเร็วลงเมื่อเข้าเขตชุมชน แซลลี่ชะเง้อมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ นั่นทำให้เธอได้เห็นความเจริญของเอโมรี ตึกรามบ้านช่องสวยงามตามสถาปัตยกรรมของยุคกลาง แซลลี่รู้สึกปลาบปลื้มกับบรรยากาศที่เห็นเสียจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เพราะในชีวิตจริงเธอไม่รู้เลยว่าจะพบบรรยากาศเช่นนี้ได้จากที่ไหน

รถม้าเคลื่อนตัวผ่านชุมชนมาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่ง มันใหญ่โตและมีกำแพงสูงโอบล้อม ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้เลย เมื่อสองแม่มดลงจากรถม้าคันข้างหน้า แซลลี่จึงรู้ได้ทันทีว่านี่คงเป็นสถานที่อันเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้

“ถึงแล้วล่ะ” โจเซฟีนตะโกนบอกมาจากรถม้าคันแรก

“ที่นี่ที่ไหน” แซลลี่พูดขึ้นหลังจากที่เพิ่งลงมาจากรถม้า เธอเงยหน้ามองประตูบานใหญ่ด้วยความสงสัย 

“หอคอยแม่มดขาว ข้าได้ยินทริซ่าว่าอย่างนั้น” เทียน่าบอก

“แม่มดขาวงั้นเหรอ” แซลลี่พึมพำ ก่อนจะหันกลับมาหาเทียน่า “ต่างกับแม่มดดำยังไง”

“เป็นฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับแม่มดดำ เน้นใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ชอบรักษามากกว่าทำลาย แม่มดที่ทำสงครามส่วนใหญ่จึงเป็นแม่มดดำ เพราะศาสตร์การต่อสู้แข็งแกร่งกว่ามาก”

แซลลี่พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เมื่อกระจ่างแจ้ง และเมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกทั้งสองจึงเดินตามทริซ่าและโจเซฟีนเข้าไปข้างใน แซลลี่ทำตาโตเมื่อเห็นหอคอยสูงลิ่วตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บริเวณทางเดินโล่งโปร่งสะอาดตา อีกทั้งมีกลิ่นหอมจากกำยานฟุ้งกระจายอยู่รอบ ๆ ทุกสิ่งในหอคอยแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจไปเสียหมด เธอรู้สึกเหมือนได้มาทัศนศึกษา แต่เป็นการทัศนศึกษาที่คนธรรมดามิอาจไม่ได้สัมผัส และอาจพูดได้ว่าเธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนที่นี่ในฐานะคนที่หลุดเข้ามาอยู่ในโลกของหนัง

“ไม่เข้าใจเลย หอคอยสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ทำไมเราถึงมองไม่เห็นจากข้างนอกนั่น”

“ไม่มีใครเห็นหรอก มันถูกซ่อนไว้โดยเวทมนตร์” โจเซฟีนบอก

“ระหว่างที่อยู่ในนั้น ไม่ต้องพูดอะไรหากไม่มีใครถาม” ทริซ่าที่เดินนำอยู่ข้างหน้าพูดขึ้นบ้าง “หน้าที่ของเรามีแค่ฟัง”

ทั้งสี่คนเข้ามาภายในหอคอย โดยข้างในนั้นมีแม่มดที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวรอต้อนรับพวกเธออยู่แล้ว แซลลี่เดินขึ้นมาชั้นบน โดยไม่ได้นับว่าเธอมาหยุดอยู่บนชั้นที่เท่าไร แต่ห้องที่เธอถูกพาเข้ามานั้นเป็นห้องโถงกว้าง พื้นและผนังล้วนเป็นหินอ่อนสีขาว ข้างหน้ามีแท่นที่นั่งด้วยกันเจ็ดตำแหน่ง โดยส่วนที่เหลือนั้นเป็นพื้นที่โล่ง และมีคนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทุกคนในห้องโถงนี้ล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

ภายในห้องโถงเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ แซลลี่ยืนตัวแข็งทื่อและไม่กล้ากระทั่งจะคิดอะไร เพราะกลัวเสียงในหัวจะเล็ดลอดออกมา ในขณะเดียวกันนั้นคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยเข้ามาข้างใน โดยที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไร เพราะพวกเธอต่างรู้ข้อปฏิบัติกันเป็นอย่างดี

ก่อนที่ตะคริวจะจับขาของแซลลี่ จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงต่างวัยหกคนเดินเข้ามานั่งประจำที่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้า แซลลี่ไม่รู้หรอกว่าพวกเธอเหล่านั้นเป็นใคร แต่ทั้งหกคนดูสง่าผ่าเผยจนน่าเกรงขาม แซลลี่กวาดสายตามองทุกคน แต่ก็ไม่คุ้นหน้ากับคนเหล่านั้นเลย นั่นทำให้เธอตระหนักได้ว่าการกระทำที่นำไปสู่การเปลี่ยนเส้นเรื่องในครั้งนั้น ทำให้มีคนใหม่ ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่เธอมิอาจคาดเดาได้เลย

เสียงประตูห้องโถงถูกปิดลง ทุกคนยืดตัวตรงมองไปข้างหน้า แซลลี่ที่แอบชำเลืองมองจากหางตาจึงได้เห็นว่ามีอีกคนกำลังเดินไปยังแท่นที่นั่ง เธอจึงเดาว่าอาจจะเป็นเจ้าของเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ยังว่างอยู่ แซลลี่จ้องแผ่นหลังบางที่ค่อย ๆ ขยับย่างเดินไปอย่างช้า ๆ และเธอคนนั้นก็มีผมสีขาวราวกับหิมะ  เมื่อเดินไปถึงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ หญิงคนดังกล่าวจึงหันหน้าออกมาเพื่อหย่อนตัวลงนั่ง ทำให้แซลลี่ได้เห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีสีผิวขาวซีด ใบหน้าอิดโรยราวกับไร้วิญญาณ จากประสบการณ์ที่ได้ดูหนังมาทั้งชีวิต บุคคลที่เปิดตัวได้เด่นดวงเช่นนี้ แซลลี่จึงเดาได้ว่าเธอผู้นั้นจะต้องเป็นเลวาน่าอย่างแน่นอน

“นับเป็นอีกครั้ง ที่แม่มดจากทั่วดินแดนมารวมตัวกัน เนื่องในวาระสำคัญ” หญิงหนึ่งในเจ็ดคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องกังวานไปทั้งห้องโถง “จากนี้ขอให้ทุกท่าน ร่วมรับฟังคำทำนาย”

แซลลี่ได้แต่สงสัยว่าเลวาน่าจะกล่าวคำทำนายได้อย่างไรในเมื่อเธอเป็นใบ้ แต่แล้วความสงสัยก็กระจ่าง เมื่อแม่มดทั้งเจ็ดคนลุกขึ้นยืนแล้วจับมือกัน โดยมีเลวาน่ายืนอยู่ตรงกลาง พวกเธอทั้งเจ็ดคนหลับตาลง ก่อนหกคนที่เหลือจะประสานเสียงพูดออกมาพร้อมกัน

“จากคำทำนายครั้งที่แล้ว ที่ได้กล่าวเอาไว้ ว่าจะมีสตรีนางหนึ่งเข้ามาหยุดสงคราม ในกาลนี้สตรีผู้นั้นได้ปรากฏกาย อีกทั้งยังหยุดสงครามได้ดั่งคำทำนาย”

ประโยคนั้นทำให้ทริซ่าและโจเซฟีนค่อย ๆ หันหน้าไปมองแซลลี่ ในขณะที่เจ้าตัวนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อรู้สึกเอะใจกับบางอย่างในคำพูดนั้น เดิมทีคำทำนายนั้นต้องเป็นของเทียน่า แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว เธอเป็นคนที่ฆ่าคาเรย์ ซึ่งส่งผลให้สงครามที่มีมาอย่างยาวนานได้จบลง

“แต่ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ยังมิได้ถูกเปิดเผย นั่นก็คือพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้พิชิต”

ถึงประโยคนี้ กลายเป็นแซลลี่ที่หันไปมองอีกสามคนที่เหลือ เธอพยายามทบทวนว่าตัวเองตีความประโยคนั้นผิดไปหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะคิดสักกี่ตลบ ผู้พิชิตที่ว่านั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่เธอ

“ในกาลอันใกล้นี้ สิ่งนั้นจะสำแดงเดช หากแต่มาพร้อมหายนะครั้งใหญ่ ศัตรูทั่วทั้งดินแดนจะมุ่งสู่แคว้นทะเลสาบ”

แซลลี่ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อได้ยินคำทำนาย สตรีทั้งหกยังคงพูดต่อไป ในขณะที่เลวาน่านั้นยืนหลับตาพริ้มนิ่งราวกับรูปปั้น

“แต่หากสตรีผู้พิชิตและบุรุษผู้พิทักษ์ใช้สติปัญญาต่อสู้ร่วมกัน สิ่งที่อุบัติขึ้นนั้นก็จะฝ่าฟันได้ไม่ยากเลย” 

เสียงประสานก้องกังวานเงียบลง แม่มดทั้งเจ็ดต่างแยกย้ายไปนั่งประจำที่ของตนเอง แต่แล้วจู่ ๆ เลวาน่าก็ยกมือขึ้นชี้มายังแซลลี่ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงจึงพากันหันมามองเธอพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

“แซลลี่ เลนนี่” แม่มดหนึ่งในเจ็ดคนเอ่ยขึ้น นั่นทำให้แซลลี่ถึงกับตาโต “เจ้าเดินทางมาไกลนักหนา ทั้งยังต้องใช้ความกล้าหาญ สู้กับความยากลำบากที่เจ้าได้เผชิญ”

นอกจากเสียงพูดของอีกฝ่ายแล้ว แซลลี่ยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงกว่าปกติ เธอกระจ่างแจ้งแล้วว่านี่คือบทประพันธ์บทใหม่ที่เธอจะต้องดำเนินมันไปนับตั้งแต่นี้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวชวนระทึกใจไม่แพ้เส้นเรื่องเดิมเลย และเหมือนเป็นการยืนยันว่าเธอได้กลายเป็นนางเอกของเรื่องอย่างเต็มรูปแบบ

“ความจริง ความฝัน ความตาย สิ่งเหล่านั้นนำพาเจ้ามาที่นี่ เจ้าจากความจริงมายืนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความตาย โดยมีความฝันคอยประคองเจ้าไว้มิให้หลงทาง แต่ในบางครั้งความฝันนั้นเหมือนจะเลือนราง มันอาจทำให้เจ้าสับสนไปบ้าง แต่ในเวลานั้นขอเจ้าจงเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วเจ้าจะได้กลับสู่โลกความเป็นจริงไปพร้อมกับความฝัน”

แซลลี่ขมวดคิ้วงงกับคำพูดของหนึ่งในแม่มด แต่เท่าที่ตีความได้ เธอคิดว่าสตรีทั้งเจ็ดที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้น อาจจะรู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน และถึงแม้ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่แซลลี่ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบผ่านทางสายตาของพวกเธอเหล่านั้น ก่อนทุกคนจะหันกลับไปเมื่อเสียงพูดดังขึ้นอีกครั้งโดยแม่มดอีกคน

“สายใยความผูกพันระหว่างเจ้าและผู้คุ้มครองชลธาร จะถักทอเป็นพลังให้เจ้าได้ทำหน้าที่ผู้พิชิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

แซลลี่รู้สึกเหมือนคำพูดพวกนั้น ได้เข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาไปแล้ว แต่ละอย่างที่พวกเธอกล่าวมาเป็นเหมือนสิ่งที่เข้ามาทำลายชีวิตอันแสนสุขของเธอไปเสียจนสิ้น ในตอนนี้แซลลี่เริ่มเข้าใจหัวอกอดีตผู้ดำรงตำแหน่งนางเอกของเรื่องแล้วว่าการแบกศึกพิภพมนตราไว้บนบ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทั้งสี่คนเดินออกมาจากหอคอยโดยไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น แซลลี่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวด และเอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนี้ แต่ดูเหมือนว่าโจเซฟีนนั้นก็อึดอัดใจไม่แพ้กัน เธอจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“สตรีในคำทำนายนั้นไม่ใช่เทียน่า”

“เวทมนตร์ของเทียน่าเป็นพลังจากธาตุทั้งสี่ นั่นเป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลัง ต่อให้นางไม่ได้บอก ข้าก็คิดว่าสตรีในคำทำนายนั้นเป็นเทียน่าเช่นกัน” ทริซ่าว่า

“ใช่” จู่ ๆ แซลลี่ก็หยุดเดินแล้วหันหลังกลับมาหาทั้งสามคน “ผู้หญิงในคำทำนายนั้นควรเป็นเทียน่า แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว”

“เจ้าหมายความว่าไง” โจเซฟีนถามอย่างไม่เข้าใจและมองแซลลี่อย่างต้องการคำตอบ

แซลลี่หลับตาลงแล้วส่ายหน้าเบา ๆ แม้เรื่องจะมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่อยากบอกความจริงให้ใครได้ล่วงรู้ เธอจึงใช้ทักษะในการพรรณนาที่มีอยู่น้อยนิด สร้างเรื่องราวขึ้นมาให้อีกฝ่ายเชื่อ “คำทำนายอาจจะเป็นการบอกเหตุการณ์ในอนาคต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกแซงในระหว่างนั้น ถ้าคืนนั้นคนที่ฆ่าคาเรย์เป็นเทียน่า เธออาจจะยังเป็นสตรีตามคำทำนายอยู่ก็ได้”

“หรือไม่ มันก็อาจจะเป็นเจ้ามาตั้งแต่แรก” ทริซ่าบอก “ความจริง ความฝัน ความตาย คืออะไรข้าไม่รู้แน่ แต่ฟังแล้วทรงพลังไม่แพ้เวทมนตร์ที่เทียน่ามี”

“และหากข้าเข้าใจไม่ผิด แคว้นทะเลสาบที่พวกนางกล่าวถึงต้องเป็นล็อกลินอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าพวกเราจะตกอยู่ในอันตรายกันอีกครั้ง” เทียน่าพูดขึ้นบ้างหลังจากที่เป็นผู้ฟังมาตั้งนาน

“สตรีผู้พิชิตอยู่ที่นี่ แล้วบุรุษผู้พิทักษ์ล่ะอยู่ไหน หรือนางหมายถึงสองจอมเวทนั่น” โจเซฟีนครุ่นคิด

“เป็นใครคงไม่สำคัญเท่ากับพลังที่ยังไม่สำแดงเดช” ทริซ่าพูดพลางจับจ้องแซลลี่อย่างไม่วางตา

“ไม่ ๆ สาบานว่าฉันไม่มีพลังอะไรทั้งนั้น” แซลลี่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ก็มันยังไม่สำแดงเดชไง” โจเซฟีนว่า

“นางยังกล่าวถึงสายใยระหว่างผู้พิชิตและผู้คุ้มครองชลธาร ตรงนี้ข้าไม่เข้าใจเลย” เทียน่าว่า หลังจากพยายามคิดเท่าไรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย

“โอ๊ย หัวข้าจะระเบิด” โจเซฟีนว่าแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ

“เอาเป็นว่า” แซลลี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปมา ส่วนอีกข้างนั้นวางไว้บนเอว “ช่างแม่งไปก่อนได้ไหม”

คำพูดตัดบทของแซลลี่ ทำให้คนที่เหลือต้องหยุดบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายของเลวาน่า แต่เป็นแซลลี่เองที่ไม่ได้ปล่อยวางความคิดนั้นได้อย่างปากว่า หากการเป็นนางเอกจะต้องพาเธอไปพบกับหายนะตามคำทำนาย เธออยากสละตัวเองไปเป็นตัวประกอบที่วิ่งไปวิ่งมาเสียยังดีกว่า