ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 12 นักเวทฝึกหัด โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

12 นักเวทฝึกหัด

หลังกลับมาจากเอโมรี แซลลี่ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเล็ก ๆ ของเธอ คำทำนายนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนแบกของหนักไว้บนอกอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวนอนลืมตามองเพดาน ภาวนาซ้ำ ๆ ให้มันถล่มลงมา เผื่อว่ามันจะช่วยส่งเธอกลับไปยังโลกปัจจุบัน หรือไม่ก็ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่นั่นก็ได้แค่คิด

แซลลี่ยังไม่ได้หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน เธอนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงจนตะวันโด่ง เธอคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เลวาน่าได้ทำนายไว้ แต่คำทำนายนั้นมันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเป็นเธอ ในระหว่างที่จมอยู่ในภวังค์ความคิด อยู่ ๆ แซลลี่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยสภาพที่ราวกับไร้วิญญาณ

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ทามาร่าถาม เมื่อเห็นว่าแซลลี่ยังไม่ออกจากห้องทั้งที่สายมากแล้ว

“หนูไม่เป็นไรค่ะ แค่ยังไม่ได้นอน”

“เกิดอะไรขึ้นที่หอคอยแม่มดขาว เล่าให้ข้าฟังได้ไหม” ทามาร่าถามราวกับรู้ได้ถึงสาเหตุการนอนไม่หลับของเธอ

“ไม่ใช่เรื่องดีแน่” โมนาตะโกนมาจากในครัว

“ขอหนูหลับให้ได้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะ หนูสัญญา”

เธอไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ในเวลานี้เธอต้องบังคับให้ตัวเองนอน เพื่อกอบกู้สติสัมปชัญญะของตัวเองให้กลับมาเสียก่อน เพราะหากต้องเล่าในทันที เธอเกรงว่ามันจะกลายเป็นการคร่ำครวญแทน

“เช่นนั้นดื่มชาร้อน ๆ สักถ้วย มันจะทำให้เจ้าหลับสบาย”

หญิงชราว่าก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าครัวไป แซลลี่รู้ ชาที่ว่านั้นต้องไม่ใช่ชาธรรมดาแน่ ๆ เธออยู่กับแม่มดยอดนักปรุงยาจนรู้ทันไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามมันก็ดีกว่าที่เธอจะต้องนอนมองเพดานไปจนถึงบ่าย

ฤทธิ์จากชาทำให้แซลลี่หลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นเรื่องคำทำนายยังคงตามเข้าไปรบกวนเธอถึงในฝัน เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะที่ดังมาจากหน้าต่างที่อยู่เหนือหัวเตียง แซลลี่กะพริบตาถี่ ๆ ความฝันอันแสนยุ่งเหยิงทำให้เธอรู้สึกเหมือนยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเคาะหน้าต่างยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เธอจึงเอี้ยวตัวไปเปิดมันทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้น

“ขอบคุณสวรรค์ ข้านึกว่าวิญญาณเจ้าออกจากร่างไปเสียแล้ว”

แซลลี่พ่นลมออกจากปาก ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเป็นคริส

“เป็นงั้นได้ก็ดี”

“ไม่เอาน่า” เขาลากเสียง แล้วชะโงกหน้าเข้ามาหาเธอ “ข้าได้ยินเรื่องคำทำนายจากโจเซฟีนแล้ว และคิดว่าตอนนี้น่าจะรู้กันทุกมุมเมืองแล้วล่ะ”

“อือ แล้วไงต่อ” แซลลี่พูดเสียงเนือย ๆ

“ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังของดินแดนเราแล้วแซลลี่”

“จะบอกอะไรให้” หญิงสาวดีดตัวขึ้นมามองหน้าคริส “ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวัง ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ๆ จะเอาอะไรไปสู้กับพวกที่เสกคาถาระเบิดตูมตามได้ ครั้งก่อนฉันไม่ตกภูเขาตายก็ดีเท่าไรแล้ว”

“เจ้าปฏิเสธคำทำนายไม่ได้หรอกนะ”

“ฉันทำไม่ได้ ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” เธอส่ายหน้ารัวไม่ยอมรับ

“เจ้าเคยทำได้แล้วแซลลี่ จอมปีศาจที่ว่าชั่วร้ายยังต้องพ่ายเจ้า”

“คริส นั่นเรียกว่าฟลุก” แซลลี่พูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเบื่อที่จะสนทนาเรื่องนี้เต็มที

“ถึงปากเจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก” คริสว่า เขากอดอกพิงร่างลงกับขอบหน้าต่างแล้วจ้องเธอ “ข้ารู้ว่าคำทำนายนั่นทำเจ้าลำบากใจ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเชื่อมันมากน้อยแค่ไหน แต่เราทุกคนที่นี่เชื่อในคำทำนายของเลวาน่า และข้าเชื่อในตัวเจ้า”

แซลลี่ถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกหนักใจ เธอรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องเกินตัวสำหรับเธอ และมันคงเป็นเรื่องที่บ้ามาก เมื่ออยู่ ๆ สาวออฟฟิศจะต้องออกไปสู้รบทำสงครามกับใครที่ไหนก็ไม่รู้

“แม้ข้าจะเป็นจอมเวทที่ใครต่อใครบอกว่าเก่งหนักหนา แต่ผู้ที่จะปกป้องดินแดนนี้มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นแซลลี่”

ประโยคนั้นทำเอาหญิงสาวต้องตวัดตาขึ้นมองคริสราวกับว่ามันเป็นคำต้องสาป แซลลี่เบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วคว่ำปาก เพราะคำพูดที่ชายหนุ่มได้เอ่ยออกมานั้นเป็นประโยคในหนังที่เขาใช้พูดกับเทียน่า แซลลี่ห้ามตัวเองไม่ให้ต่อบทนั้นที่เธอจำได้ดี เพราะแค่นึกว่าคริสคือพระเอกของเส้นเรื่องนี้ มันก็ทำให้เธอหน้ามืดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“ใช่ที่ไหน แค่เดินขึ้นลงเนินเขานี่ยังเหนื่อยเลย จะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับพวกตัวร้ายรอบดินแดน”

“ข้าให้เจ้าสู้คนเดียวที่ไหนล่ะ เราทุกคนจะสู้ไปกับเจ้า ข้าก็ด้วย” 

คริสบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาอ้อนวอนเธอผ่านทางแววตา มันทำให้แซลลี่รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเธอบางราวกับกระดาษ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เปิดเข้ามาเลยค่ะ” 

เธอตะโกนบอกเพราะเข้าใจว่าเป็นทามาร่า แต่คนที่โผล่หน้าผ่านประตูเข้ามานั้นกลับเป็นเทียน่าแทน

“เอ่อ ขออภัยที่มารบกวน” หญิงสาวพูดติดขัด พลางมองเธอสลับกับคริส

ทางด้านจอมเวทหนุ่มเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา “ไม่กวนหรอก นางตื่นสักพักแล้ว”

“มีอะไร?” แซลลี่เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติทั้งคู่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันสักเท่าไร นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เทียน่ามาหาเธอถึงกระท่อม

“ข้าคิดว่าเรื่องเมื่อวานคงทำให้เจ้าไม่สบายใจสักเท่าไร วันนี้ข้าก็เลยทำอาหารมาให้ เผื่อมันจะทำให้เจ้าสบายใจขึ้นบ้าง” แม่มดสาวกล่าว เธอดูประหม่าเสียจนแซลลี่สามารถสังเกตได้ “ทามาร่าบอกว่าเจ้าเพิ่งจะได้นอนเมื่อช่วงสาย ๆ ตอนนี้เจ้าน่าจะหิวแล้ว...ใช่ไหม”

ท่าทีของเทียน่าทำให้แซลลี่ต้องยิ้มออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “พอเธอพูดฉันก็หิวขึ้นมาเลย”

“ข้าก็หิวเหมือนกัน”

คริสพูดเสียงหวาน อีกทั้งส่งสายตาแพรวพราวให้กับแม่มดสาว นั่นทำให้แซลลี่ต้องหันไปขึงตาใส่ ก่อนจะลุกขึ้นไปผลักร่างสูงให้พ้นทางแล้วปิดหน้าต่างใส่ด้วยความหมั่นไส้

“ข้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้า”

เมื่อแซลลี่พยักหน้าให้เทียน่าจึงเดินออกไปหาทามาร่าที่อยู่ในครัว แซลลี่ที่เดินตามหลังออกมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะหันไปมองคริสที่กำลังเดินเข้ามา เธอเห็นแววตาที่ชายหนุ่มใช้มองเทียน่าและเธอไม่ได้คิดไปเองว่าเขาดูหลงใหลในความงามของแม่มดสาวจนแทบละสายตาไม่ได้ แซลลี่รู้ดีว่าในท้ายที่สุดทั้งสองต้องได้ครองรักกันอย่างมีความสุข นั่นทำให้เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แม้อยากจะเป็นก้างขวางคอแทบตายก็ตาม

“ครั้งก่อนที่เลวาน่ากล่าวคำทำนาย ท่านแม่รู้ดีว่าข้าคือหญิงคนนั้น นั่นทำให้เราต้องระหกระเหินย้ายถิ่นฐานอยู่หลายครา” เทียน่าเล่าพลางเตรียมอาหารไปด้วย “ข้าคิดว่าหุบเขาไฮรัมน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ ข้าไม่เคยคิดที่จะใช้เวทมนตร์แม้แต่น้อย เพราะข้าไม่เก่ง จึงไม่กล้า ข้ากลัวว่ามันจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน จึงได้แต่เก็บซ่อนมันไว้ จนมาเจอเจ้า”

“ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย” แซลลี่ยิ้ม ลึก ๆ ก็รู้สึกเขินอยู่ไม่น้อยที่ถูกกล่าวถึง

“เจ้าอาจจะพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร หรืออาจคิดว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูดเล็กน้อย แต่ในช่วงเวลาแบบนั้น เมื่อเจ้าบอกว่าต้องพึ่งเวทมนตร์ของข้า มันทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ นั่นจึงทำให้ข้ากล้าที่จะใช้เวทมนตร์ ถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าไร แต่อย่างน้อย...ข้าก็ได้ทำ”

แซลลี่หัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อได้ยินที่เทียน่าบอก ทั้งทามาร่าและคริสเองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย หญิงสาวมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อคิดว่านี่คงจะเป็นของแทนคำขอบคุณจากเทียน่า

“โธ่เอ๊ย” แซลลี่เปล่งเสียงออกมาด้วยความเอ็นดู

“และนั่นไม่ต่างจากสิ่งที่ข้ากำลังพยายามบอกเจ้า” คริสว่า

“เจ้าจะหนีไปก็ได้” จู่ ๆ ทามาร่าก็พูดแทรกขึ้นมา “หนีไปให้ไกลเท่าที่เจ้าคิดว่ามันจะปลอดภัย เวลานี้เรื่องราวของผู้พิชิตกำลังเป็นที่เล่าขาน อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นที่รู้จักของคนทั้งดินแดน” หญิงชราว่าก่อนรอยยิ้มบาง ๆ จะจางหายไปจากใบหน้า “แม้คาเรย์สลายกลายเป็นเศษธุลีด้วยน้ำมือเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าความชั่วร้ายจะหมดไป ทุกครั้งที่มีผู้กล้าปรากฏกาย ผู้นั้นมักถูกพวกมารตามล่าเสมอ ในเวลานี้เจ้าคือสตรีผู้พิชิต อีกทั้งยังมีดาบฮาโรลด์ไว้ในครอบครอง วันหนึ่งเจ้าจะถูกตามล่า หากเจ้าเลือกที่จะหนี เจ้าก็ต้องหนีไปชั่วชีวิต”

แซลลี่นั่งเงียบ เธอรู้ดีว่าหากเธอเลือกทำตามที่ทามาร่าแนะ นั่นแปลว่าเธอจะต้องระเหเร่ร่อนไปตามลำพัง ซึ่งเธอทำไม่ได้แน่ แซลลี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดินแดนที่เธออยู่ในตอนนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ลำพังแค่ในล็อกลินเธอยังไปมาไม่กี่ที่ หากจะต้องท่องไปทั่วทั้งดินแดน สู้กระโดดลงทะเลสาบไปเสียยังดีกว่า

หญิงสาวก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือ เธอรู้สึกเหมือนสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ เมื่อไม่ได้อยู่ในมุมมองคนดูแซลลี่ถึงได้รู้ว่าชีวิตในโลกหนังแฟนตาซีไม่ได้สนุกอย่างที่คิด

“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย”

เสียงของโจเซฟีนดังมาจากหน้าประตูกระท่อม ทำให้แซลลี่ต้องเงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นว่าบ้านโดเลอร์มากันทั้งพี่ทั้งน้อง

“สถานการณ์ดูตึงเครียดไม่สมกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะเลย” เคนเนธว่า

“เรากำลังพูดถึงเรื่องนั้น เรื่องที่เจ้ารู้” คริสว่า และมองแซลลี่ด้วยแววตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อย

ทามาร่าเดิมอ้อมโต๊ะเข้าไปกอดแซลลี่ เมื่อเห็นดวงตากลมโตของเธอมีฝ้าน้ำจาง ๆ รื้นขึ้นมา “ข้ารู้ว่ามันฟังดูใจร้ายที่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ให้เจ้าเลย แต่ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้ากับโมนาอย่างแน่นอน”

หญิงชราให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นั่นทำให้น้ำใส ๆ พรูลงมาอาบแก้มของแซลลี่ เทียน่าได้แต่บีบมือแซลลี่เบา ๆ ในขณะที่คนที่เหลือนั้นต่างมองเธอด้วยความเห็นใจ

“อย่าเพิ่งกังวลไปเลย ข้าว่ายังมีเวลาอีกมากโข อย่างน้อยก็พอให้เจ้าได้กินอะไรเสียก่อน” คริสว่าพร้อมกับตักอาหารใส่จาน แล้วส่งมันให้กับเธอ

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกแซลลี่ พวกเราไม่ให้เจ้าไปสู้โดยที่ไม่รู้อะไรหรอก” โจเซฟีนพูด

“รู้หรอกว่าเธอจะพูดอะไร” แซลลี่ว่าพลางปาดน้ำตา แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ขอทำใจก่อนได้ไหม ลำพังแค่คิดจะขยับตัวออกกำลังกายฉันยังขี้เกียจเลย” เธอร้องครวญ นั่นทำให้คนที่เหลือต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างเอ็นดูปนโล่งใจ

“ไหน ๆ เราก็ต่างก็ได้เป็นหญิงในคำทำนายกันทั้งคู่แล้ว ข้าจะฝึกเป็นเพื่อนเจ้าเอง” เทียน่ายิ้มกว้าง

“นั่นแปลว่าเจ้าต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าเลยนะเทียน่า อย่าลืมว่าเจ้าต้องฝึกเวทมนตร์ด้วย” โจเซฟีนเตือน

“ข้ายินดี” เทียน่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“งั้นข้าสอนให้” คริสเสนอตัว

“ไม่เอา” แซลลี่ตอบกลับทันควัน

“อ้าว ทำไมล่ะ ข้าเป็นถึงจอมเวทผู้พิทักษ์นะ เจ้าอย่าลืมสิ”

“ถ้าต้องฝึกกับคุณ ให้ฉันไปฝึกที่ภาคีเถอะ” แซลลี่พูดส่ง ๆ

“ข้ากำลังคิดว่าจะให้เจ้าไปฝึกกับนักเวทฝึกหัด” เคนเนธพูดขึ้น นั่นทำให้แซลลี่ถึงกับหูผึ่งแล้วหันไปหาเขาด้วยความสนใจ “มันเหมาะสำหรับคนที่จะต้องเริ่มจากพื้นฐานอย่างเจ้า”

“ก็ได้” แซลลี่ตอบรับอย่างว่าง่าย

“อ้าว” คริสร้องอย่างไม่เข้าใจ เป็นอีกครั้งที่แซลลี่เชื่อฟังโดยที่เคนเนธไม่ต้องพูดให้มากความ

“ข้าว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าดีนะ” โจเซฟีนเห็นด้วยกับความคิดของผู้เป็นพี่ “ไม่แน่ เจ้าอาจจะได้เป็นนักเวทหญิงคนแรกก็เป็นได้” 

“ทำไมล่ะ ไม่มีนักเวทผู้หญิงเหรอ”

“ในดินแดนเราจะมีนักเวทและแม่มดที่มีพลังที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีการเรียกใช้งานพลังต่างกัน อย่างที่เจ้ารู้ สตรีที่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์คาถา เราจะเรียกกันว่าแม่มด พวกนางมีพรสวรรค์เหล่านั้นกันตั้งแต่เกิด ในขณะที่นักเวทต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักถึงจะเป็นได้ และมีเพียงแค่เหล่าบุรุษเท่านั้นที่จะเข้ารับการฝึกเป็นนักเวทได้” เคนเนธอธิบาย ก่อนจะหันไปมองโจเซฟีนเพื่อให้เธอได้อธิบายต่อ

“จากการที่พินิจพิเคราะห์ดูแล้ว เจ้าไม่มีพรสวรรค์ของแม่มดเลยสักนิด แม้ในช่วงเวลาคับขันก็ไม่มีเวทมนตร์ใดสำแดงฤทธิ์ออกมาให้เห็น จะมีก็เพียงแต่ความกล้า เจ้ากล้าที่จะอาบเลือดให้ดาบฮาโรลด์ อีกทั้งคำทำนายก็ได้บอกไว้ ว่ายังมีบางสิ่งที่ยังไม่ถูกเปิดเผย” โจเซฟีนมองหน้าแซลลี่ค้างไว้ก่อนจะพูดต่อ “ไม่แน่อาจจะไม่ใช่แค่นักเวท แต่สิ่งนั้นอาจจะทำให้เจ้าได้กลายเป็นจอมเวทหญิงเลยก็ได้”

“ไปกันใหญ่” แซลลี่พูดตัดบทก่อนจะตักอาหารเข้าปาก ทำราวกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน

“ก็ไม่แน่” โมนาที่เพิ่งกลับมาจากเล่นข้างนอกพูดขึ้นลอย ๆ 

“รู้อะไรพูดออกมาเลย เจ้าเด็กดื้อ” แซลลี่ทำเสียงขู่

“ไม่รู้ แค่พูดว่าก็ไม่แน่” พูดจบโมนาก็เดินหายเข้าไปในห้องของเธอ

“ข้าไม่รู้หรอกว่าอนาคตเจ้าจะเป็นอะไร แต่ฮาโรลด์เลือกเจ้าของเสมอ”

คริสว่า และนั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่เกี่ยวกับภารกิจในอนาคตของแซลลี่  เพราะหลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไป อย่างน้อยเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารก็ทำให้แซลลี่คลายความกังวลลงได้บ้าง แม้จะเพียงชั่วขณะก็ตาม

 

สองจอมเวทให้เวลาแซลลี่พักเตรียมใจอยู่ราวสัปดาห์ ก่อนเธอจะต้องเข้าร่วมฝึกวิชาการต่อสู้กับนักเวทฝึกหัด และเพราะเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าไปยังหอนักเวทในฐานะนักเวทฝึกหัด มันจึงทำให้เธอถูกพูดถึงไปทั่วทั้งล็อกลิน

ยังไม่ทันที่จะเริ่มฝึกก็เริ่มมีเหตุให้เธอหงุดหงิด นั่นคือการตื่นเช้า เธอต้องตื่นเช้ากว่าปกติ ยิ่งวันนี้เป็นวันแรกที่เธอต้องเข้าไปที่หอนักเวท แซลลี่จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเดินขึ้นไปยังหอฝึกที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงทางทิศตะวันตกของล็อกลิน เธอจำเป็นต้องมีเคนเนธเป็นผู้นำทางเพราะบุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้โดยลำพัง

“ถ้าได้ยินใครพูดอะไร ขอให้เจ้าอย่าได้เก็บเอามาคิดมาก” เคนเนธพูดระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินขึ้นเนินเขา

“หมายความว่าไง” แซลลี่ถาม น้ำเสียงของเธอเริ่มหอบขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมฝึกเป็นนักเวท นั่นอาจมีบางคนที่พูดอะไรออกมาโดยไม่ทันคิด”

“อ๋อ พวกปากแจ๋วสินะ” 

“ข้าไม่อยากให้คำพูดพวกนั้นทำให้เจ้าเสียสมาธิ”

“จะพยายามก็แล้วกัน” เธอว่าแล้วสูดลมเข้าปากก่อนจะปล่อยมันออกมาแรง ๆ “แค่เดินขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว แทบไม่มีแรงเหลือไว้ให้ฝึกแล้วเนี่ย”

“ขึ้นลงทุกวันเดี๋ยวก็ชินไปเอง” จอมเวทหนุ่มว่าตามด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ

“แค่นี้ก็เริ่มท้อแล้ว” เธอโอดครวญ เรื่องใช้กำลังทางกายไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัดเอาเสียเลย

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงสัปดาห์แรก ข้าอยากให้เจ้าอดทนไว้ ไม่อยากพูดให้เสียขวัญ การฝึกในแต่ละวันอาจทำให้เจ้าล้า แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว” เคนเนธว่า

“โอ๊ย ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หญิงสาวบ่นพลางกระแทกเท้าลงกับพื้นอย่างเสียไม่ได้ 

“เอาน่า ข้าอยากเห็นเจ้าเป็นนักเวทหญิงคนแรกนะ”

ทั้งคู่คุยสัพเพเหระมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงหอนักเวท ถึงจะยังเช้าอยู่แต่ก็มีเสียงฝึกซ้อมดังมาจากข้างในรั้วกำแพงหนา และแม้ว่าเคนเนธจะพาเธอเดินผ่านเข้าประตูมาอย่างง่ายดาย แต่ยังมิวายที่แซลลี่จะถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ 

บรรยากาศภายในหอฝึกต่างกับภาคีแม่มดดำโดยสิ้นเชิง เวลานี้เป็นช่วงที่เหล่าบรรดานักเวทฝึกหัดออกมายืดเส้นยืดสายก่อนจะลงมือซ้อมจริง พวกเขาส่งเสียงโหวกเหวกตามประสาชายหนุ่มวัยคึกคะนอง บางคนก็ส่งเสียงผิวปากเมื่อแซลลี่เดินผ่าน นั่นทำให้เธอพอเดาออกแล้วว่าจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างระหว่างที่ต้องฝึกอยู่ในคอกแห่งนี้

“นี่สำหรับเจ้า” เคนเนธพูดพร้อมกับยื่นดาบที่เขาพกติดตัวมาด้วยให้กับเธอ

“ของฉัน?” เธอชี้นิ้วเข้าหาตัว

“ใช่ ข้าให้ไว้ใช้ระหว่างฝึก” เขาพูดพร้อมยัดดาบใส่มือหญิงสาวที่มัวแต่มองมันด้วยความลังเล “ไม่ต้องกังวลหรอก ที่นี่มีคนเก่ง ๆ รอคอยที่จะสอนเจ้าอยู่ เดี๋ยวเจ้าต้องใช้มันได้คล่องแน่ ๆ”

เคนเนธพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะพาแซลลี่เดินมายังลานกว้างกลางหอฝึก และในตอนนั้นเองที่แซลลี่ได้เจอคาซอีกครั้ง ตอนนี้ใบหน้าของเขาไร้ร่องรอยของบาดแผล การรักษาด้วยยาสมุนไพรของแม่มดทำให้เขาหายเป็นปกติได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

“ไม่เจอกันแค่สัปดาห์เดียว เจ้าคิดถึงข้าจนต้องมาถึงนี่เลยเหรอ” คาซเอ่ยในขณะที่เดินเข้ามาหาเธอและเคนเนธ

“ช้าก่อนพ่อหนุ่ม” แซลลี่เอ่ยพลางยกยิ้ม “ให้โรคสำคัญตัวเองเป็นของคริส โกเบอร์เพียงคนเดียวเถอะ”

“แบบนี้ข้าคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว” เคนเนธพูดขึ้นมา เมื่อได้ยินที่ทั้งสองทักทายกัน

“วางใจได้เลยท่านจอมเวท ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” คาซว่า แล้วชำเลืองมองแซลลี่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มันทำให้เธอตงิดใจว่าครูฝึกคนนี้คงจะไม่ออมมือให้เธอแน่ ๆ

“ว่าแต่เจ้าเถอะ อยู่ที่นี่สบายดีใช่ไหม” เคนเนธถาม

“ดีกว่าอยู่ที่กระท่อมนั่นเยอะเลย” น้ำเสียงของคาซแฝงความประชดประชันเอาไว้ แซลลี่จึงหลุดขำออกมา 

“เป็นฉันคงหนีไปแล้ว”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้” ชายหนุ่มส่ายหน้า

“นับตั้งแต่วันนี้นางจะมาฝึกที่นี่ทุกวัน” เคนเนธเน้นตรงคำว่าทุกวัน “ฝึกนางในระดับเดียวกันกับเด็กฝึกคนอื่น ๆ”

“ได้ ข้าจะฝึกนางให้เก่งพอที่จะไปตะบันหน้าจอมเวทโกเบอร์”

“นี่จะยืมมือฉันไปล้างแค้นงั้นเหรอ” เธอรู้ว่าคาซต้องเหม็นขี้หน้าคริสอยู่ไม่น้อย แต่ก็พูดให้เป็นเรื่องขำขันไปอย่างนั้น

“ฝึกนาง แล้วข้าจะเชื่อว่าเจ้าอยู่ข้างเรา”

แม้เคนเนธจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความแข็งกร้าว แซลลี่รู้ดีว่าการที่คาซได้มาประจำการอยู่ที่หอฝึกนักเวทนี้เป็นเพราะเงื่อนไขที่สองจอมเวทได้มอบให้

“นางจะเก่งขึ้นอย่างแน่นอน ท่านคอยดูได้เลย ผู้พิชิตแห่งล็อกลินจะได้เป็นนักเวทหญิงคนแรกอย่างที่ท่านคาดหวัง”

“ถามฉันหรือยัง” แซลลี่ทำปากมุบมิบ

“ข้าเชื่อในความสามารถเจ้า” เคนเนธที่ขึงหน้าตึงเมื่อครู่หันมาส่งยิ้มให้กับแซลลี่ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจได้สักเท่าไร “เจ้าทำได้อยู่แล้ว”

พูดจบจอมเวทหนุ่มก็เดินออกไป แซลลี่ยืนมองจนแผ่นหลังกว้างของเขาหายลับไปจากกำแพงหอฝึก ในตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่เธอและคาซ เมื่อแซลลี่หันกลับมาก็ได้พบกับรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของชายหนุ่ม แววตาที่เขาจ้องมองมา มันทำให้เธอปั้นหน้าไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“ข้าขอเดาว่าเจ้าคงไม่มีพื้นฐานเรื่องการต่อสู้มาก่อน” เขาว่า

“แม่นมาก” เธอพยักหน้ายอมรับ

“ฉะนั้นวันนี้ข้าจะให้เจ้าทำอะไรง่าย ๆ เช่นการยืดเส้นยืดสาย เพราะสิ่งที่เจ้าจะต้องเรียนหลังจากนี้นั้นต้องใช้กำลังร่างกายเยอะพอสมควร”

แซลลี่เบือนหน้าไปทางอื่นแล้วถอนใจออกมา เธอรู้สึกหมดแรงตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม ตลอดชีวิตเธอสามารถนับจำนวนครั้งที่ออกกำลังกายได้ด้วยมือข้างเดียว ในตอนนี้เธอไม่อาจหลบเลี่ยงกิจกรรมออกแรงได้อีกต่อไป แซลลี่จึงได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจและยอมทำตามที่คาซสั่งแต่โดยดี

“คาซ เช้านี้เจ้ายังไม่ได้ดื่มยาเลยนะ”

แซลลี่หันขวับไปหาต้นเสียงทันทีเมื่อมีเสียงบุคคลที่สามดังมาจากหน้าประตู และนั่นทำให้เธอได้เห็นหญิงสาวนางหนึ่ง เธอมีรูปร่างผอมบางผิวพรรณผุดผ่องสะอาดตา ดวงตาเฉี่ยวคมราวจิ้งจอกสาว ริมฝีปากชมพูระเรื่อ เมื่อได้ประกอบกันบนใบหน้ามันจึงทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาไปจากเธอ แม้กระทั่งแซลลี่เองยังต้องชะงักและอดที่จะมองค้างไว้ไม่ได้

เธอเดินยิ้มร่าตรงมาหาคาซพร้อมกับถ้วยยาที่อยู่ในมือ ดวงตาคู่สวยของเธอมองเพียงแค่คาซ และทำราวกับว่าแซลลี่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น

“ข้าไม่ได้ลืม แค่ขอทำธุระให้เสร็จก่อน เจ้าไม่เห็นต้องเข้ามาเลย” คาซว่า แต่ก็รับถ้วยยาขึ้นมาดื่มโดยดี

“ข้าแค่หวังดี อยากให้เจ้าหายเร็ว ๆ”

คาซยกยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาว ก่อนจะหันกลับมามองแซลลี่ที่ยืนกอดอกมองพวกเขาสลับกันไปมา

“นี่เอ็มม่า เป็นแม่มดประจำที่นี่ นางคอยดูแลทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม เจ้าอาจจะต้องฝากตัวกับนางไว้ เผื่อมีอะไรผิดพลาดระหว่างฝึก” คาซแนะนำหญิงสาวอีกคนให้แซลลี่ได้รู้จัก

“คุณลืมไปแล้วเหรอว่าแม่มดคนแรกที่บดยาให้คุณกินคือใคร” เธอพูดแล้วยกดาบขึ้นพาดไว้บนไหล่

“อ้อ จริงด้วย ข้าลืมไปว่าเจ้าอาศัยอยู่กับแม่มดทามาร่า” 

“เจ้าคงจะเป็นแซลลี่ผู้พิชิตสินะ” เอ็มม่าว่าพร้อมกับมองแซลลี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

แววตาเมื่อครู่ทำให้แซลลี่ตั้งแง่กับอีกคนทันที เธอเชิดหน้าจ้องเอ็มม่าและตั้งใจทำให้อีกคนรู้ว่าเธอไม่พอใจด้วยการไม่ตอบอะไรกลับไป

“ฉันจะวิ่งรอบลานนี่สักสามสี่รอบก็แล้วกัน”

แซลลี่พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมา แววตาของเธอมุ่งมั่นยิ่งกว่าตอนสังหารคาเรย์เสียอีก นับตั้งแต่นี้เธอจะไม่ให้สมญานามนั้นเป็นแค่คำพูดตลก ๆ อีกต่อไป อย่างน้อยก็จะต้องไม่มีผู้ใดมองเธอด้วยสายตาเช่นนั้นอีก

 

#แซลลี่ผู้พิชิต