ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 14 มีอยู่จริง โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง

เนื้อหา

14 มีอยู่จริง

 

ความเงียบใต้ผืนน้ำ ทำให้แซลลี่ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง เธอรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องพยายามตั้งสติและจะยอมให้ความกลัวทำภารกิจพังไม่ได้ หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพบกับความมืดมิด เธอมองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งความเวิ้งว้างใต้ทะเลสาบ ร่างอันบอบบางของแซลลี่ค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ใต้ทะเลสาบราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงร่างกายของเธอเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับวันนั้น วันที่เธอตกสะพาน ในตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนถูกดึงให้จมลงสู่ห้วงน้ำลึก รู้ตัวอีกทีโผล่มาที่ล็อกลินแล้ว

การเดินทางที่มีเพียงความเงียบงันทำให้มีอีกความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของแซลลี่ หากทะเลสาบเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกทั้งสอง และหากเธอกลับขึ้นไปบนผิวน้ำแล้วพบว่าเป็นโลกปัจจุบันของเธอ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้เธอกลับไปยังโลกของตนเอง แต่ความคิดเป็นตุเป็นตะเกือบทำเธอเสียสมาธิ แซลลี่เกือบจะพาตัวเองขึ้นไปเหนือผิวน้ำหากไม่ได้ยินเสียงแปลก ๆ ขึ้นมาเสียก่อน ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าลงมาลึกเท่าไรแล้ว สิ่งที่รู้คือเธอเกือบจะหมดลมที่จะกลั้นใจเต็มที

ในตอนนั้นเอง เธอได้เห็นแสงสีเขียวสว่างเรืองมาจากด้านใต้ มันยิ่งสว่างขึ้นเมื่อร่างของเธอดำลึกลงไปเรื่อย ๆ เสียงที่เธอแว่วได้ยินเมื่อครู่ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเช่นกัน แซลลี่รู้ได้ทันทีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงบทเพลงที่ขับร้องโดยเหล่าไซเรน แม้ในหนังจะไม่มีฉากการปรากฏตัวของพวกเธอ แต่ก็มีการกล่าวถึงไซเรนอยู่บ้าง

เงาตะคุ่มที่เวียนว่ายอยู่ใต้น้ำเหมือนหยุดชะงักมองเธอ แซลลี่ไม่รู้ว่านั่นเป็นภาพหลอนที่เกิดขึ้นจากการที่เธอกำลังจะขาดลมหายใจหรือไม่ แต่แล้วก็มีฟองอากาศจำนวนมากพุ่งขึ้นมา และเหมือนว่ามันได้ทำให้ร่างของเธอดิ่งลงไปข้างใต้ได้เร็วกว่าขึ้น แซลลี่หลับตาปี๋ด้วยความกลัวก่อนทุกอย่างจะหยุดนิ่ง แล้วเมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องประหลาดใจ เมื่อตอนนี้เธอสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน และสิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือในตอนนี้แซลลี่ไม่ต้องกลั้นหายใจอีกต่อไป เพราะเธอกำลังหายใจได้ไม่ต่างจากตอนอยู่บนพื้นดิน 

หญิงสาวแอบอมยิ้ม เมื่อจินตนาการว่าตัวเองเป็นเงือกสาว เธอทำท่าว่ายน้ำเลียนแบบชาวเงือก แต่เมื่อหมุนตัวกลับมาก็แทบช็อก เมื่อพบว่าไซเรนสาวทำตาเขม็งใส่เธออยู่ ผิวของเธอขาวซีดตัดกับผมสีเขียวของตะไคร่น้ำ และเริ่มว่ายวนรอบตัวเธอ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงหวานเสนาะหู ไม่สมกับความดุดันของสายตา

“เจ้าเป็นใคร แล้วลงมาข้างล่างนี่ทำไมกันแม่สาวน้อย”

“แซลลี่ เลนนี่” เธอแนะนำตัว “ฉันมาตามหาผู้คุ้มครองชลธารตามคำทำนาย”

“โอ้...คำทำนาย” ไซเรนสาวว่าก่อนจะว่ายน้ำออกห่างจากแซลลี่ “เจ้าคือแซลลี่ผู้พิชิตอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของไซเรนสาวยามเธอขยับปากพูดกับแซลลี่

“เรื่องนั้นดังมาถึงก้นทะเลสาบเลยเหรอ”

“เรารู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นข้างบนนั้น แม่สาวน้อย” เธอว่าแล้วว่ายเข้ามาหาแซลลี่อีกครั้ง “อีกเรื่องที่เจ้าควรรู้ นี่ยังไม่ถึงก้นทะเลสาบ”

“นี่ก็ว่าลึกมากแล้วนะ” แซลลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างรู้สึกตะลึงกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก

“ยังไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ” ไซเรนสาวบอก สายตาของเธอดูมีเลศนัยไม่น่าไว้วางใจ

“แล้วสรุปเจ้าแห่งทะเลสาบมีอยู่จริงไหม”

“หากเจ้าไม่เชื่อ แล้วเจ้าจะลงมาถึงนี่ทำไมกัน” ไซเรนสาวกรีดยิ้ม “สิ่งที่ไม่เคยเห็น ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง”

“ฉันอยากเจอเขา ฉันจำเป็นต้องเจอเขา”

“เพื่ออะไรล่ะ การที่จะเข้าพบเจ้าแห่งทะเลสาบได้นั้น เจ้าต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ”

“เพื่อชาวล็อกลินและผู้คนในดินแดนแห่งนี้”

“เพื่อผู้อื่นอย่างนั้นเหรอ” ไซเรนสาวย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อแซลลี่สักเท่าไร

“ไหนว่ารู้เรื่องคำทำนายไง”

“ก็รู้ แต่ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะยอมทำเพื่อผู้อื่น” หญิงสาวผู้มีร่างกายเป็นครึ่งคนครึ่งปลาว่ายวนเวียนรอบตัวแซลลี่อีกครั้ง เธอประเมินแซลลี่ด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรขึ้นบนใบหน้า และยอมให้แซลลี่ได้ทำตามความประสงค์ “เจ้าต้องลงไปอีกลึกโข หากเจ้าประสงค์ดีดั่งปากว่า เจ้าจะได้เจอนาง แต่ถ้าไม่...”

“พูดแบบนี้มีอสุรกายรออยู่ชัวร์” แซลลี่พูดแทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน

“ไม่ว่าจะเจออะไร เจ้าจะผ่านไปได้ หากเจ้าคู่ควรที่จะลงไปข้างล่างนั่น”

ไซเรนสาวว่าแล้วว่ายดิ่งหายไปในความมืดโดยที่แซลลี่ไม่ทันได้ถามต่อ หญิงสาวหมุนรอบทิศเพื่อหาทางไปต่อ ในตอนนี้เธอเห็นเพียงความเวิ้งว้างและกอสาหร่ายที่พลิ้วไหวตามกระแสของสายน้ำ แต่จากที่อีกฝ่ายบอกว่าหนทางที่จะได้พบเจ้าแห่งทะเลสาบต้องลงไปลึกกว่านี้ แซลลี่จึงว่ายไปทางเดียวกันกับที่ไซเรนสาวว่ายไปเมื่อครู่ ก่อนเธอจะพบกับหลุมลึกดูแล้วเหมือนเป็นหนทางสู่ภพภูมินรกมากกว่าจะเป็นที่สถิตของเจ้าแห่งทะเลสาบ และคนฉลาด ๆ คงไม่มีทางเสี่ยงลงไปอย่างแน่นอน

“นี่ฉันต้องดูโง่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอเนี่ย”

แซลลี่บ่นพึมพำ เธอชั่งใจอยู่นานว่าจะไปต่อตอนนี้เลยหรือขึ้นไปสั่งเสียกับสองคนนั้นก่อนดี หญิงสาวเท้าเอวจ้องผาลึกนั้นนิ่ง ๆ มีเพียงเส้นผมของเธอที่กำลังขยับพลิ้วสยาย แซลลี่บอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมลงไปข้างล่างนั่นทั้งที่มองอะไรไม่เห็นแน่ ๆ หญิงสาวกวาดสายตามองหาอะไรที่พอจะเป็นแสงสว่างนำทางให้กับเธอ และแน่นอนว่าไม่พบอะไรเลย

พลันแซลลี่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอได้พกดาบติดตัวมาด้วย ครั้งหนึ่งมันเคยส่องแสงสว่าง แต่นั่นต้องแลกมาด้วยเลือดของเธอ แซลลี่พ่นฟองอากาศออกจากปากพร้อมกับเหลือกตามองบนเมื่อคิดว่าอาจจะต้องสละเลือดเพื่อภารกิจอีกครั้ง

เธอเอื้อมมือไปด้านหลังก่อนจะดึกดาบออกมา แต่ไม่ทันที่แซลลี่จะได้ทำอะไร จู่ ๆ ก็เกิดแรงดันขึ้นมากระทบที่ฝ่ามือ แซลลี่ตาเหลือกด้วยความตกใจ พร้อมกับมีแสงสว่างเรืองออกมาจากดาบ ราวกับมันรับรู้ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังต้องการสิ่งใด

“ค่อยสมกับที่เสียเลือดเสียเนื้อหน่อย”

แซลลี่ยิ้มให้กับดาบฮาโรลด์ที่อยู่ในมือ แล้วตัดสินใจกระโดดลงไปในเหวลึกนั่นทันที ร่างของเธอดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่ดูเหมือนไร้จุดหมาย ดาบฮาโรลด์ส่องแสงสว่างกว่าครั้งก่อน แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เธอได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้นี้

แซลลี่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอลงมาลึกแค่ไหนแล้ว หรือบางทีเธออาจจะลอยเคว้งอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางความมืด ก่อนที่เธอจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า แซลลี่ชักขาขึ้นแล้วลดดาบลงต่ำเพื่อมองหาสิ่งที่มาปะทะเท้าของเธอเมื่อครู่ แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด

ทันใดก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาชนเธออย่างจัง สิ่งนั้นรัดร่างกายของแซลลี่เอาไว้จนหายใจแทบไม่ออก และไม่ว่าเธอจะพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้เลย แสงจากดาบทำให้เธอพอมองเห็นว่าสิ่งที่รัดตัวเธออยู่นั้นมีเกล็ดคล้ายกับงู ขนาดความกว้างของลำตัวมันน่าจะใหญ่กว่าเอวของเธอเสียด้วยซ้ำ แซลลี่พยายามดิ้นอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแรงของสัตว์ร้ายที่รัดตัวเธอไว้นั้นมีมากกว่าเธอหลายเท่า นั่นเป็นอีกครั้งที่ทำให้แซลลี่คิดถึงความตาย เธอหยุดนิ่งอย่างไร้หนทางที่จะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้

แต่เหมือนดั่งสวรรค์ทรงโปรด เมื่อจู่ ๆ ดาบที่อยู่ในมือของเธอก็สั่นขึ้นมาเหมือนโทรศัพท์ตอนที่มีคนโทรเข้า แซลลี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาบของเธอ แต่มันทำให้สัตว์ประหลาดที่พันกายเธออยู่นั้นค่อย ๆ คลายตัวออก หญิงสาวรู้สึกเหมือนรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์ และเมื่อได้เป็นอิสระแล้วนั้น แซลลี่จึงได้เห็นว่าสิ่งที่รัดเธอเมื่อครู่นั้นเป็นตัวอะไร แน่นอนว่ามันคืองูตามคาด แต่เป็นงูประหลาด เพราะหัวของมันคล้ายมังกร มีฟันแหลมน่ากลัวโดยมิอาจนับจำนวนซี่ และมันกำลังจ้องเขม็งใส่แซลลี่

หญิงสาวยกดาบขึ้นจ่อไปทางงูประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายมัน อีกทั้งยังนึกถึงสิ่งที่ไซเรนได้บอกกับเธอเอาไว้ ว่าถ้าประสงค์ดีเธอจะพบเจ้าแห่งทะเลสาบ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแซลลี่จึงลดดาบลง

“ฉันไม่ได้มาเบียดเบียนใคร ฉันมีความจำเป็นต้องมาที่นี่” แซลลี่พูดพลางจ้องตาเจ้างูยักษ์ที่ดูเหมือนพร้อมพุ่งใส่เธออยู่ตลอดเวลา “ฉันมีภารกิจต้องทำ เพื่อจะได้กลับไปยังที่ที่ฉันจากมา”

แม้แซลลี่จะกลัวจนแทบอยากว่ายน้ำหนีกลับขึ้นไปข้างบน แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงต้องยอมทำเป็นใจดีสู้เสือ ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดนิ่งอยู่ในความมืด มีเพียงแสงรำไรจากดาบที่สว่างพอให้แซลลี่ได้เห็นท่าทีของงูนั่น ซึ่งหลังจากจ้องหน้ากันมาพักใหญ่ จู่ ๆ อสุรกายใต้น้ำลึกก็ค่อย ๆ อ้าปากออก หญิงสาวที่กลัวอยู่เป็นทุนเดิมนั้นจึงกระชับดาบที่อยู่ในมือ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นเธอคงต้องขอป้องกันตัวก่อนเป็นอันดับแรก

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเจ้างูนั่นได้คายสิ่งที่คล้ายกับไข่มุกออกมา มันมีขนาดเท่ากำปั้น อีกทั้งมีแสงทำให้มันดูเหมือนดวงไฟกลม ๆ ที่ลอยไปลอยมาอยู่ระหว่างเธอและงูยักษ์ แซลลี่ค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะมัน ส่งผลให้มุกเม็ดนั่นส่องแสงสว่างขึ้นกว่าเดิม

ไข่มุกลอยวนอยู่รอบ ๆ ตัวแซลลี่ ในขณะที่งูยักษ์ตัวนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวหายไปในความมืด แซลลี่จึงดำดิ่งลงสู่ก้นบาดาลต่อ โดยมีไข่มุกคอยส่องแสงนำทาง แต่เพราะเธอไม่สามารถคาดคะเนความลึกของทะเลสาบนี้ได้ แซลลี่จึงไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของเธอนั้นจะจบลงตรงไหน

หญิงสาวยังคงดำน้ำตามดวงไฟจากไข่มุกไปเรื่อย ๆ และเธอสังเกตได้ว่ามันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้น จนเธอเริ่มตามมันไม่ทัน แล้วไม่นานนักแสงจากไข่มุกก็หายไป แซลลี่หยุดชะงักอยู่ในความมืด เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของทะเลสาบ แต่กังวลได้ไม่นานก็มีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้หญิงในร่างเปลือยเปล่า ผิวของเธอขาวราวกับสีของกระดาษ รวมทั้งเส้นผมและดวงตาก็เป็นสีขาวเผือกเช่นเดียวกัน นั้นทำให้แซลลี่ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ใจเย็นก่อน ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”

“คุณเป็นใคร” แซลลี่ถามด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่

“เจ้ามาหาใครล่ะ” อีกฝ่ายย้อนถาม

แซลลี่ชะงักและพินิจมองอีกฝ่ายให้ดี ๆ อีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าคุณคือเจ้าแห่งทะเลสาบ”

“แล้วข้าดูเหมือนเจ้าแห่งทะเลสาบหรือไม่”

“แล้วเจ้าแห่งทะเลสาบต้องลักษณะแบบไหนล่ะ ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคุณ ฉันก็จะไม่พูดอ้อมค้อมอะไรแล้วกัน เพราะตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” แซลลี่พูดรัว นั่นทำให้อีกฝ่ายแย้มรอยยิ้ม แต่มันออกจะน่ากลัวไปหน่อย

“อีเธอลิน” เธอกล่าวอย่างเชื่องช้าพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น เผยให้เห็นฟันแหลมคมซี่เล็ก ๆ คล้ายฟันปลา “นั่นคือชื่อข้า แต่ไม่เคยมีใครเรียกข้าด้วยชื่อนั้น”

“สรุปคุณคือผู้คุ้มครองทะเลสาบล็อกลินจริง ๆ ใช่ไหม”

“เป็นเช่นนั้น”

ฟองอากาศถูกปล่อยออกมาจากปากเมื่อแซลลี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หากไม่ใช่อีกเธอคงต้องเลิกล้มความตั้งใจแต่เพียงเท่านี้ เพราะเธอคงทนอยู่ใต้น้ำต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรคุณสักหนึ่งคำถาม ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องจริงจัง”

“ว่ามาสิ”

“ในคืนที่ทะเลสาบเปล่งแสง คุณได้ยินพรที่พวกเราขอหรือไม่”

อีเธอลินเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาขาวโพลนจ้องแซลลี่ ก่อนเธอจะเปิดปากตอบคำถาม “ได้ยินสิ”

แซลลี่ยกยิ้มฝืด เธอเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นความผิดหวังในแววตาของเธอ นั่นเป็นเพราะแซลลี่คิดว่าผู้คุ้มครองซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวล็อกลินมาอย่างยาวนาน ไม่ได้คุ้มครองพวกเขาได้ดีเท่าที่ควร

“มิใช่ทุกคนที่จะได้รับพรสมปรารถนา” อีเธอลินกล่าวพร้อมกับว่ายเข้ามาหาแซลลี่ “ข้าได้ยินคำขอของเจ้า และความกล้าหาญที่เจ้ามีนั่นแหละคือพรที่เจ้าได้รับในคืนนั้น”

“หมายความว่าไง” แซลลี่ถาม

“ข้าเป็นเพียงภูตที่มีหน้าที่ปกปักรักษาทะเลสาบแห่งนี้ แต่เจ้าทำได้มากกว่าข้า” อีเธอลินว่าก่อนจะยกมือประคองใบหน้าของแซลลี่อย่างแผ่วเบา “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร รู้ว่าเจ้ามาจากไหน และรู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

“เยี่ยมไปเลย” แซลลี่รู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่ไม่ต้องอารัมภบทให้มากความ เพราะเธอเองไม่ได้ถนัดที่จะอธิบายเช่นกัน

“ชาวล็อกลินมอบความเชื่อและแรงศรัทธาให้แก่ข้ามาช้านาน แม้ว่าข้าจะหลบอยู่ใต้ก้นบึ้งของทะเลสาบ แต่ใช่ว่าข้าไม่อยากปกป้องพวกเขา” อีเธอลินเงียบไป แซลลี่สัมผัสได้ถึงความเศร้าในดวงตาสีขาวคู่นั้น

“ทำไมล่ะ การที่จะปกป้องผู้คนบนนั้นมันเกินความสามารถของคุณหรือไง”

“ใช่” เธอยอมรับ “ข้าทำไม่ได้”

“เอาล่ะ ฉันเริ่มงงแล้วว่าคุณเป็นผู้คุ้มครองแบบไหนกันแน่” แซลลี่กอดอกมองอีกฝ่าย โดยลืมไปว่าภูตที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวล็อกลินนับถือมาเป็นเวลาหลายร้อยปี

“ข้าเป็นผู้คุ้มครอง เพราะพวกเขาเรียกข้าเช่นนั้น สิ่งที่ข้าทำมาตลอดคือรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทะเลสาบและพื้นที่โดยรอบเอาไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่อาศัยกันอย่างไม่ขาดแคลนสิ่งใด” อีเธอลินว่าแล้วขยับตัวถอยห่างออกไป ผมสีขาวพลิ้วไหวยามเมื่อเธอหันหลังให้กับแซลลี่

“ทำได้ดีแล้วค่ะ ความอุดมสมบูรณ์ที่คุณมอบให้ทำให้พวกเขาไม่ต้องเผชิญความแร้นแค้นอย่างแคว้นอื่น แม้การมาเยือนล็อกลินของฉันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่ฉันรู้สึกโชคดีที่ได้มาเห็นมันกับตา” แซลลี่กล่าวออกมาจากใจจริง นั่นทำให้อีกฝ่ายค่อย ๆ หันกลับมามองเธอ

“ข้าละอายใจเหลือเกิน ที่ทำได้เพียงทนฟังเสียงความเจ็บปวดของผู้คนอยู่ใต้บาดาลมืดนี่” อีเธอลินสารภาพอย่างไม่อาย

“ฉันก็เหมือนกัน ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น และหากฉันตัดสินใจเตือนพวกเขาเร็วกว่านั้นสักหน่อย พวกเขาคงไม่ต้องพบความสูญเสียขนาดนี้”

อีเธอลินคลี่ยิ้ม ก่อนจะแหวกว่ายเข้าไปใกล้ ๆ แซลลี่อีกครั้ง “เหมือนข้าได้เห็นตัวเองในร่างของเจ้า...แซลลี่ เลนนี่”

ทันทีที่ภูตผู้คุ้มครองทะเลสาบเอ่ยชื่อของเธอ แซลลี่ก็เชื่อสนิทใจแล้วว่าอีเธอลินรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ๆ เพราะจนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้แนะนำตัวกับอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

“อีกไม่นานล็อกลินจะกลายเป็นพื้นสงคราม ฉันคิดว่านั่นคือภารกิจที่ฉันต้องทำ คำทำนายกล่าวไว้ราวกับว่าฉันต้องเป็นคนปกป้องที่นี่ ปัญหาคือฉันไม่ใช่คนเก่ง ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง และแค่ความกล้าหาญคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่คำทำนายบอกไว้ว่าสายใยระหว่างเราจะทำให้ฉันมีพลัง นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่ อย่างน้อยก็ขอให้คุณช่วยชี้ทางสว่างให้ทีว่าฉันต้องทำอย่างไรต่อถึงจะมีแรงสู้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต”

“ตัวตนที่เจ้าเป็นอยู่นั้นคือสิ่งที่ข้าอยากมี ข้ามิอาจพบเจอแสงสว่าง แต่เจ้าได้เห็น ข้ามิอาจเผชิญหน้าศัตรู แต่เจ้าได้ทำ ข้าโดดเดี่ยวอยู่ใต้ทะเลสาบ แต่เจ้ามีมิตรสหาย” อีเธอลินกล่าวก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสดาบฮาโรลด์ “สิ่งเดียวที่ข้าเหนือกว่าเจ้า คือพลัง”

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากมี” แซลลี่บอกไปตามตรง

“ดาบเล่มนี้ช่างจงรักภักดีต่อเจ้าของ” อีเธอลินหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ราวกับไม่ได้ฟังประโยคก่อนหน้าของแซลลี่ “มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าได้รับชัยชนะ แต่เจ้าจะหวังพึ่งมันฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ” อีเธอลินว่าแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับแซลลี่

“บอกสิ ฉันต้องทำยังไง”

“อย่างที่บอก ข้าเหมือนเห็นตัวเองในร่างของเจ้า และมันคงสมบูรณ์กว่านี้หากเจ้ามีพลังเช่นเดียวกับข้า”

แซลลี่รู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นโครมคราม ทุกครั้งที่ตัวละครลับเอ่ยประโยคทำนองนี้ มันมักเป็นเหมือนการส่งสัญญาณไปในทิศทางที่ดี และมันทำให้แซลลี่รู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะถ่ายทอดพลังให้กับเธอ

“แล้วคุณทำได้หรือเปล่าล่ะ ทำให้ฉันมีพลัง คุณรู้จุดประสงค์ของฉันแล้วนี่ ฉันจะใช้พลังนั้นทำในสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ ฉันจะขอเป็นตัวแทนปกป้องผู้คนที่อยู่เหนือทะเลสาบนั่นเอง”

อีเธอลินส่งยิ้มให้กับแซลลี่ มือขาวซีดยังคงจับดาบเอาไว้ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าทำไมเราทั้งสองถึงมีสายใยต่อกัน”

“ทำไม” แซลลี่ถาม เพราะเธอเองก็อยากรู้เช่นเดียวกัน

“เพราะเราต่างอยากมีในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี เพราะฉะนั้น...” อีเธอลินยกปลายดาบฮาโรลด์ขึ้นแล้วพูดต่อ “ทั้งเวทมนตร์ สัญชาตญาณ ไปจนถึงสติปัญญา ข้าขอแบ่งปันทุกสิ่งที่ข้ามีให้แก่เจ้า...”

 

แซลลี่ดำน้ำหายลงไปในทะเลสาบพักใหญ่แล้ว โจเซฟีนที่นั่งรออยู่บนเรือเริ่มกระวนกระวาย ในขณะที่เทียน่านั้นใช้พลังความสามารถของตนเองคอยตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใต้นั้นบ้าง อย่างน้อยเธอก็อยากทำให้แน่ใจว่าแซลลี่ยังปลอดภัยดี

“ได้ยินอะไรบ้างไหม” โจเซฟีนถาม

“ได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ เหมือนนางจะอยู่ไกลจากเรามาก ๆ”

“นี่ข้าปล่อยให้นางลงไปตามลำพังได้อย่างไรกัน” โจเซฟีนรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่

“นางไม่เป็นไรหรอกน่า”

เทียน่าพยายามปลอบใจอีกฝ่ายรวมทั้งตัวเธอเอง เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ยินเสียงใดจากใต้ทะเลสาบแล้ว แต่แม่มดสาวก็พยายามปกปิดความกังวลไว้ไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า มิเช่นนั้นทั้งเธอและโจเซฟีนคงกระโดดลงทะเลสาบไปโดยไม่มีใครห้ามใคร

“เทียน่า...” จู่ ๆ โจเซฟีนก็เรียกชื่อเธอ พลางชะโงกหน้าออกไปนอกเรือ

“มีอะไร”

เทียน่าว่าพลางมองตามสายตาของอีกฝ่าย นั่นทำให้เธอได้เห็นสิ่งผิดปกติจากก้นทะเลสาบ โดยปกติแล้วแสงสว่างจากทะเลสาบจะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนทะเลสาบที่มืดมิดได้มีลำแสงปรากฏมาจากข้างใต้ขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองจ้องแสงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะสว่างวาบขึ้นทั่วทั้งทะเลสาบ แต่สิ่งที่ทำให้สองแม่มดตกใจยิ่งกว่าคือเกราะเวทมนตร์ของโจเซฟีนได้ถูกทำลายไปด้วย

“แย่แล้ว!” โจเซฟีนพูดออกมาอย่างรู้ชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

“เร็วเข้าแซลลี่ รีบกลับขึ้นมา”

ในขณะที่สองสาวภาวนาให้แซลลี่กลับขึ้นมาเร็ว ๆ ผู้คนบนฝั่งต่างพากันออกมาดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งฝั่งที่เป็นที่ทำการของจอมเวทก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว ทั้งคู่อยากหนีขึ้นฝั่งเสียก่อนที่จอมเวทหรือแม่มดในภาคีจะมาเจอเข้า แต่ก็ติดตรงที่ทั้งสองมิอาจทิ้งแซลลี่ไว้เพียงลำพัง

“เทียน่า นั่น!”

โจเซฟีนชี้ลงไปด้านล่างเมื่อเห็นว่าแซลลี่กำลังว่ายกลับขึ้นมา นับว่าเป็นวินาทีระทึกของพวกเธอเลยก็ว่าได้ ทั้งคู่โน้มตัวลงไปใกล้ ๆ กับผิวน้ำ แล้วเมื่อแซลลี่โผล่ขึ้นมาสองสาวก็รีบดึงตัวเธอขึ้นมาบนเรือทันที โดยที่โจเซฟีนนั้นได้รีบพายเรือหนีออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่รอช้า

“เกิดอะไรขึ้น” เทียน่าถามหน้าตาตื่นพลางหยิบผ้าขึ้นมาห่อตัวแซลลี่ไว้

“ขอฉันหายใจแป๊บ” แซลลี่พูดเสียงหอบแฮก

“มีอยู่จริงใช่ไหม”

เธอจ้องหน้าแซลลี่ แม้สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นแทบจะยืนยันได้เกินร้อยแล้วก็ตาม แต่กลับแซลลี่ไม่ตอบอะไร เธอรู้ความประสงค์ของอีเธอลินดี และเข้าใจว่าอีกฝ่ายเองก็คงอยากเป็นแค่ความเชื่อของชาวบ้านต่อไป

“แย่แล้ว”

โจเซฟีนพูดขึ้นเมื่อเห็นเคนเนธยืนอยู่ที่ท่าเรือ ภารกิจลับในค่ำคืนนี้พังพินาศอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะทันทีที่ก้าวขึ้นฝั่ง พวกเธอจะต้องถูกจอมเวทสอบสวนละเอียดยิบอย่างแน่นอน

“หยุด!”

แซลลี่ชี้หน้าสั่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าจะอ้าปากถามทั้งที่เรือยังไม่เทียบท่า เธอตะเกียกตะกายขึ้นมาจากเรือด้วยตัวที่สั่นเทา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทะเลสาบค่อย ๆ มืดลงและกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“เจ้าสามคนต้องตอบคำถามข้า”

“ไม่ใช่ตอนนี้”

แซลลี่พูดสวนกลับไปในทันที ขณะที่โจเซฟีนและเทียน่าได้แต่มองหน้ากัน พวกเธอรู้ดีว่าถึงแม้จะรอดจากตรงนี้ไปได้ แต่หากเรื่องไปถึงภาคีแม่มดดำยังไงพวกเธอก็ต้องถูกสมาชิกสอบสวนอยู่ดี

“โจเซฟีน” เมื่อเคนเนธเห็นว่าแซลลี่จะไม่ยอมปริปากพูดแล้วแน่ เขาจึงหันไปหาน้องสาวของตนเอง

“เชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้ารู้เท่าที่เจ้ารู้นั่นแหละ” โจเซฟีนชิงตอบโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ถาม

ทางด้านเทียน่าเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เธอรู้ว่าแซลลี่ยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามตอนนี้ และแม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้อะไรเลย แต่ก็เดินเข้าไปหาเคนเนธเพื่อเจรจา “เกิดอะไรขึ้นกับทะเลสาบนั้นมีเพียงคนเดียวที่รู้ แต่ในเวลานี้นางเหนื่อยเหลือเกินท่านจอมเวท ขอให้นางได้พักเสียก่อนเถอะ”

“อย่างน้อยก่อนจะทำการใด เจ้าทั้งสามก็ควรแจ้งข้าสักนิด” ยังคงมีความขึงขังอยู่ในน้ำเสียงของเคนเนธ

“เคนเนธ” แซลลี่หลับตาเรียกชื่ออีกคนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้”

พูดจบหญิงสาวก็เดินแทรกตัวออกไปโดยไม่สนใจว่าเคนเนธและนักเวทผู้ติดตามของเขาจะคิดยังไง โจเซฟีนได้แต่พยักหน้าเบา ๆ ให้กับผู้เป็นพี่ชาย ให้เขาได้เบาใจว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นภัยร้ายแรง แต่สิ่งที่ทำให้ท่าทีของจอมเวทหนุ่มนั้นอ่อนลงได้ เห็นจะเป็นรอยยิ้มของเทียน่าเสียมากกว่า

“ขออภัยที่เรามิอาจแจ้งท่านได้ทุกเรื่อง แต่เชื่อใจพวกเราเถอะ”

แซลลี่รีบสาวเท้าเพื่อกลับไปยังกระท่อม อากาศยามดึกทำให้เธอแทบจะยกขาก้าวขึ้นเนินไม่ได้ ในหัวของเธอคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นใต้ทะเลสาบ หากนี่เป็นหนังที่กำลังฉายอยู่จริง ๆ มันคงดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้ว ตอนนี้เธอมีครบทุกอย่าง เหลือเพียงจัดการความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นท้ายเรื่องให้จบสิ้นเพื่อจบภารกิจ และเธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริงเสียที

แซลลี่เปลี่ยนเป็นเดินย่องเมื่อมาถึงกระท่อม เธอเดินอ้อมไปด้านข้างของกระท่อมเพื่อปีนกลับเข้าไปทางหน้าต่างห้องนอนของเธอ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องแปลกใจ เพราะก่อนจะออกไปแซลลี่มั่นใจว่าเธอปิดหน้าต่างดีแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับแง้มออกมา จะว่าลมพัดก็คงไม่ใช่ หญิงสาวค่อย ๆ ดึงดาบออกมาอย่างเบามือ ก่อนจะใช้ปลายดาบเปิดบานหน้าต่างให้กว้างขึ้น

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีบุคคลปริศนาพุ่งกระโจนออกมาจากห้องของเธอ แซลลี่เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาหมายจะล็อกตัวเธอ แต่ความตัวเล็กทำให้แซลลี่ได้เปรียบเรื่องความว่องไว เธอหลบร่างสูงใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด พร้อมทั้งยกดาบขึ้นป้องกันตัวเองเอาไว้

แต่แล้วแซลลี่ก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวราวกับถูกไฟช็อต เมื่อได้เห็นดวงตาใต้ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ มันมีสีฟ้าประหลาดและเธอมั่นใจว่าเป็นดวงตาคู่เดียวกันกับที่เธอเคยเห็นในวันที่เธอตกสะพาน แซลลี่ที่มัวแต่ตกตะลึง ทำให้เจ้าของดวงตาคู่นั้นทำท่าจะแย่งดาบไปจากมือของเธอ แต่หญิงสาวยังมีสติพอที่จะขืนแรงอีกฝ่ายเอาไว้ได้ เธอยกขาขึ้นถีบเข้ากลางอกของอีกฝ่ายก่อนจะกลิ้งหลบออกมาอีกฝั่ง หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนแล้วจ่อปลายดาบไปหาฝ่ายที่เสียหลัก

“แกเป็นใคร!”

แซลลี่ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แต่ก็ไร้การตอบกลับของอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเอาแต่จ้องดาบฮาโรลด์ที่อยู่ในมือเธอ แซลลี่จึงรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นต้องการอะไร

“แซลลี่”

เสียงเรียกของทามาร่าดังมาจากข้างในกระท่อม และเมื่อแซลลี่เผลอหันไปมองชายปริศนาจึงได้โอกาสหลบหนี เขาวิ่งหายไปในความมืดอย่างว่องไว แซลลี่จึงได้แต่สบถออกมาอย่างรู้สึกโมโห

“โธ่เว้ย!”

“เกิดอะไรขึ้น” ทามาร่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพลางเร่งเดินเข้ามาหาแซลลี่ และเมื่อหญิงชราเห็นว่าเธอเปียกโชกไปทั้งตัวจึงยิ่งตกใจไปใหญ่

“คุณยายรีบกลับเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ข้างนอกนี้ไม่ปลอดภัยสักเท่าไร”

แซลลี่บอกก่อนจะประคองหญิงชรากลับเข้าไปในกระท่อม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สร้างความวิตกกังวลให้แซลลี่อยู่พอสมควร เพราะเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะย้อนกลับมาหาเธออีกหรือไม่ แล้วทำไมดาบฮาโรลด์จึงเป็นที่ต้องการของเขาผู้นั้น และมันคงเป็นเหตุผลที่โมนาเตือนให้เธอพกดาบออกไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นลึก ๆ แล้วแซลลี่กลับรู้สึกดีใจที่ได้เจอกับเขาอีกครั้ง เพราะจะว่าไปมันเหมือนเขาเป็นคนพาเธอมาที่นี่ และไม่แน่ว่าคนที่จะพาเธอกลับไปได้นั้นอาจจะเป็นเขา

 

#แซลลี่ผู้พิชิต