ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ANOTHER PART OF LOCKLYN - 15 ความลับของฮาโรลด์ โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ANOTHER PART OF LOCKLYN

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ANOTHER PART OF LOCKLYN โดย ALICEZ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...

ผู้แต่ง

ALICEZ

เรื่องย่อ


มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น

และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด


#แซลลี่ผู้พิชิต

 

สารบัญ

ANOTHER PART OF LOCKLYN-1 สัมผัสความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-2 เรื่องต้องห้าม,ANOTHER PART OF LOCKLYN-3 น่าสงสัย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-4 เริ่มแล้ว,ANOTHER PART OF LOCKLYN-5 เลยตามเลย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-6 คำอธิษฐานที่ไม่เป็นจริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-7 ผู้พิชิต,ANOTHER PART OF LOCKLYN-8 ชายปริศนา,ANOTHER PART OF LOCKLYN-9 อีกาแห่งซาคาร์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-10 ภาคีแม่มดดำ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-11 ความจริง ความฝัน ความตาย,ANOTHER PART OF LOCKLYN-12 นักเวทฝึกหัด,ANOTHER PART OF LOCKLYN-13 เจ้าแห่งทะเลสาบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-14 มีอยู่จริง,ANOTHER PART OF LOCKLYN-15 ความลับของฮาโรลด์,ANOTHER PART OF LOCKLYN-16 รอหนังจบ,ANOTHER PART OF LOCKLYN-17 ทั้งวัน ทั้งคืน

เนื้อหา

15 ความลับของฮาโรลด์

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบ ทำให้โจเซฟีนและเทียน่าถูกสมาชิกภาคีแม่มดดำเรียกไปตำหนิตั้งแต่เช้าเพราะพวกเธอกระทำเรื่องนั้นโดยพลการ รวมถึงเรื่องพลังสัมผัสของเทียน่าที่เธอไม่ได้แจ้งให้สมาชิกภาคีได้ทราบ ทั้งสองจึงถูกสมาชิกภาคีสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะเค้นถามอย่างไร พวกเธอก็ตอบอะไรได้ไม่มากนัก

กลับกันแซลลี่ผู้รู้เห็นทุกสิ่งอย่างยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียง ทั้งที่หมอกยามเช้าจางไปจนเกือบหมดแล้ว แม้ว่าไซเรนจะช่วยให้แซลลี่หายใจในน้ำได้ แต่การดำดิ่งลงไปก้นทะเลสาบนั้นทำให้แซลลี่เหนื่อยอยู่ไม่น้อย เธอหลับสลบไม่สนแสงแดดที่ส่องผ่านช่องเล็ก ๆ ระหว่างบานหน้าต่าง กระทั่งมีเสียงเคาะดังรัวขึ้นเหนือหัวเตียง นั่นจึงทำให้แซลลี่สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

“อะไร!” หญิงสาวเปิดหน้าต่าง พร้อมกับตะโกนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” คริสบอก เขายืนเท้าเอวมองหญิงสาวที่ยังลืมตาไม่ขึ้น

“คนจะหลับจะนอน”

แซลลี่ว่าแล้วล้มตัวลงบนเตียงทำท่าจะนอนต่อ นั่นทำให้คริสต้องโน้มตัวเข้ามาในห้อง ทำให้เขาได้เห็นดาบฮาโรลด์ที่วางอยู่ข้างกายของหญิงสาว และเขาสันนิษฐานว่าเธอคงจะนอนกับมันตลอดทั้งคืน

“ถึงกับนอนกอดดาบ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“แค่ไม่ได้เก็บเฉย ๆ” แซลลี่เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง “คนมันเหนื่อยอะ อยากนอนเข้าใจไหม อยากนอน!”

“เจ้าจะนอนไม่ได้”

คริสว่าพลางปีนหน้าต่างเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของห้อง นั่นทำให้แซลลี่กรีดร้องออกมาเมื่อถูกรบกวนเวลาที่เธอควรจะได้นอนพักผ่อน และเสียงโหวกเหวกโวยวายของเธอนั้นทำให้ทามาร่าต้องเร่งเปิดประตูเข้ามาสำรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วภาพที่หญิงชราได้เห็นคือแซลลี่กำลังใช้หมอนทุบจอมเวทหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านชอบเข้าทางหน้าต่างมากกว่าประตู” ทามาร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ หากแต่แววตาของหญิงชรานั้นดูเหมือนตำหนิการกระทำของคริสอยู่ไม่น้อย

“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงของคริสเจือไปด้วยความรู้สึกผิด

“บอกนาง ไม่ใช่ข้า” ทามาร่าว่าพลางชำเลืองมองไปที่แซลลี่

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องคุยกับนาง เมื่อคืนนางก่อเรื่องไว้ท่านรู้หรือไม่” คริสพูด

“เมื่อคืน?”

ทามาร่าทวนคำพูดของคริส แล้วนึกขึ้นได้ว่าที่กระท่อมของเธอเองก็มีเรื่องเกิดขึ้นเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่หญิงชราจะได้พูดอะไร แซลลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังคริสก็ได้ส่ายหน้าส่งสัญญาณบอกทามาร่าว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนั้น

“ใช่ เมื่อคืนแซลลี่ โจเซฟีน และเทียน่าไปทำอะไรบางอย่างกันที่ทะเลสาบ และข้าต้องการคำตอบ” คริสว่าก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าหญิงสาวที่ยังตื่นไม่เต็มตา

“ไม่บอกหรอก” พูดจบแซลลี่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าเอาไว้

“ไม่ได้ เจ้าต้องบอก” เขาพูดพร้อมกับดึงแขนทั้งสองข้างของเธอให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม

“อ่ะ ว่ามา”

แซลลี่ที่เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ ถามเสียงดัง ในขณะที่ทามาร่านั้นได้แต่มองทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และแน่นอนว่าหญิงชราอยากฟังคำบอกเล่าจากแซลลี่เช่นกัน

“เจ้าไปทำอะไรกันที่ทะเลสาบ แล้วแสงนั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร”

“แสงอะไรกัน” ทามาร่าถาม

“แสงสว่างของทะเลสาบที่เคยเกิดขึ้นปีละครั้ง เมื่อคืนมันได้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองของปี เคนเนธเล่าว่าช่วงระหว่างนั้นเขาพบเจ้าสามคนพายเรืออยู่กลางทะเลสาบ”

แซลลี่นั่งหลับตาอย่างใช้ความคิด เธอไม่อยากพูดโกหก แต่ก็ไม่สามารถเล่าเรื่องที่ได้พบอีเธอลินให้คนอื่นรู้ได้ แล้วในระหว่างนั้นเรื่องของชายหนุ่มปริศนาก็ได้แทรกเข้ามาในความคิดของเธอ หญิงสาวลืมตาขึ้นพร้อมกับความรู้สึกหวิวในอก

“ว่าอย่างไร?”

ความคิดของเธอถูกขัดจังหวะด้วยสีหน้าตั้งคำถามของคริส หญิงสาวทำปากคว่ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ

“สายใยของผู้คุ้มครองชลธาร จำได้ไหม?” แซลลี่ถาม

“คำทำนายของเจ้าน่ะเหรอ”

“อือ ไม่ได้จะกวนนะ แต่ฉันบอกได้แค่นี้”

“แล้วทำไมถึงบอกทั้งหมดไม่ได้” คริสเริ่มเสียงดังเตรียมโวยวายอีกครั้ง

“แล้วทำไมต้องรู้ทุกอย่าง”

“เพราะข้าคือจอมเวทผู้พิทักษ์ของล็อกลิน ข้ามีสิทธิ์รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่” คริสบอกเสียงแข็ง

“ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่บอกเหมือนกัน คุณจะทำไม”

ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง ทามาร่าที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาห้ามทัพก่อนที่เสียงถกเถียงของทั้งสองจะดังข้ามไปอีกเนินเขา

“เอาล่ะ ๆ ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้”

“บอกเขาเถอะค่ะ” แซลลี่บอกเสียงสะบัด

“นางคงเหนื่อยมาก ให้นางพักผ่อนอีกสักหน่อยเถอะ”

“นางจะรู้หรือไม่ ว่าในระหว่างที่นางกำลังพักผ่อนสบายใจอยู่นั้น สหายของนางกำลังถูกภาคีสอบสวน” 

“โจเซฟีนกับเทียน่าเหรอ?” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม

“หรือเจ้าไปก่อเรื่องกับคนอื่นที่ไม่ใช่พวกนางล่ะ”

“โอ๊ย!แล้วจะให้ฉันบอกทุกคนยังไง” แซลลี่ร้องออกมาด้วยความขัดใจ

“ก็แค่พูดความจริง” เขาว่าแล้วจ้องแซลลี่ค้างไว้

“นี่คุณคริส โกเบอร์ คุณเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ น่าจะเข้าใจดีว่าบางอย่างรู้ได้เท่าที่ควรรู้ เรื่องเมื่อคืนนั้นฉันสาบานว่ามันเป็นประโยชน์มากกว่าโทษแน่นอน” แซลลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังกว่าทุกครั้ง “ฉันแค่พยายามทำตามคำทำนาย”

“เจ้าลงไปพบเจ้าแห่งทะเลสาบมาใช่หรือไม่”

ทามาร่าถึงกับยกมือขึ้นทาบอกเมื่อได้ยินคำถามของคริส ชาวล็อกลินทุกคนรู้กันว่าไม่เคยมีใครได้พบเจ้าแห่งทะเลสาบมาก่อน และหากเป็นจริงดั่งที่จอมเวทหนุ่มกล่าว สิ่งที่แซลลี่ทำลงไปนั้นนับว่าเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก

“อะไรที่เป็นความเชื่อ ขอให้มันเป็นความเชื่อต่อไป” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “บอกพวกเขาไปแบบนั้น”

แซลลี่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเมื่อพูดจบ ความอ่อนล้าของเธอถูกแสดงออกมาผ่านท่าทาง คริสจึงหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เธอ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าทีแรก

“ได้ ข้าจะไปบอกพวกเขา”

“รีบไปเถอะ เค้นถามสองคนนั้นไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า เพราะพวกเธอไม่รู้อะไรเลย”

คริสพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ทามาร่าที่เห็นดังนั้นจึงขยับตัวหลีกทางให้อย่างคาดหวังว่าจอมเวทหนุ่มจะกลับออกไปทางประตู

“ครั้งหน้าข้าจะเข้าทางประตู” คริสเอ่ยกับหญิงชราพร้อมรอบยิ้มบนมุมปาก

“ควรเป็นเช่นนั้น”

เมื่อคริสออกไปแล้ว หญิงชราจึงเดินเข้าไปหาแซลลี่ที่นั่งอยู่บนเตียง เธอส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับทามาร่าก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน

“เรื่องเมื่อคืนอย่าบอกใครนะคะ”

“เจ้ารู้เหรอว่าเขาเป็นใคร”

แซลลี่ส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่รู้ค่ะ”

“เจ้าไม่ใช่สาวน้อยความจำเสื่อมคนนั้นแล้วแซลลี่ ข้าเชื่อว่าโชคชะตาส่งเจ้ามาเป็นสตรีผู้พิชิต ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นนักเวทอย่างที่ใคร ๆ ต่างพูดถึง แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าประมาท ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บแม้แต่ปลายนิ้ว”

แซลลี่คลี่ยิ้มก่อนจะโน้มตัวไปกอดหญิงชรา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้แซลลี่รู้ว่าหนทางต่อจากนี้ไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน และเธออาจจะต้องนอนกอดดาบนั่นไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ

 

ในเย็นวันเดียวกัน แซลลี่ถูกโจเซฟีนลากออกจากกระท่อมมายังโรงเตี๊ยม นับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนสถานที่แบบนี้ เพราะนอกจากตลาดในหมู่บ้านกับหอฝึกนักเวทแล้ว แซลลี่ก็ไม่ได้คิดจะเที่ยวเตร่ที่ไหนอีก เว้นเสียแต่ว่าจะมีความจำเป็นอย่างเช่นวันนี้

“นั่งหน้าสลอนกันเชียว ดูไม่ออกเลยว่าอยากรู้เรื่องของฉันขนาดไหน”

แซลลี่เอ่ยเมื่อเห็นว่าที่โต๊ะมีทั้งคริส เคนเนธ และเทียน่านั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอและโจเซฟีนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ แซลลี่หันไปมองรอบ ๆ ร้านอย่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มันเหมือนกับเธอได้มานั่งอยู่ในโรงเหล้ายุคกลางที่เคยเห็นในหนังไม่มีผิด

แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าสายตาสี่คู่ที่เต็มไปด้วยคำถามกำลังจับจ้องเธออยู่ แซลลี่พ่นลมออกทางจมูกอย่างเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างนั้นเธอรู้ดีว่าไม่มีวันที่จะหนีสี่คนตรงหน้าได้พ้นแน่ ๆ เธอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนโดยไม่รอคำถาม

“บอกไม่ได้” เสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวังดังพร้อมเพรียงกัน เว้นเสียแต่คริสที่ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา มันเป็นเพราะเขารู้คำตอบมาก่อนแล้ว เธอแย้มรอยยิ้มขำและรู้ว่าทั้งสี่คนคงพากันจินตนาการเรื่องเจ้าแห่งทะเลสาบกันไปไกล “แต่ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ”

“แปลว่าเจ้าแห่งทะเลสาบมีอยู่จริงใช่ไหม” โจเซฟีนถามหน้าตาตื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แซลลี่จึงหันไปขึงตาใส่ เพื่อเป็นการย้ำถึงคำพูดก่อนหน้าของเธอ

“ข้าจะไม่สงสัยแล้วก็ได้” เทียน่ากล่าว แต่เธอมั่นใจว่าการดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบของแซลลี่ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน “แล้วสำเร็จไหม”

แซลลี่หลุบตาลงมองต่ำ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก “ไม่แน่ใจ”

“เอาล่ะ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกเจ้ากำลังพูดถึงอะไรกัน ช่วยเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นเลยได้ไหม” เคนเนธพูดขึ้นหลังจากที่เป็นผู้ฟังมาตลอด

“เรื่องมีอยู่ว่า พวกเราเกิดสงสัยในคำทำนายของเลวาน่า ที่กล่าวไว้ว่าสายใยระหว่างนางและผู้คุ้มครองชลธารจะทำให้นางได้เป็นผู้พิชิตโดยสมบูรณ์ เราทึกทักกันไปเองว่าการที่จะเป็นผู้พิชิตที่สมบูรณ์แบบได้นั้น นางจะต้องมีเวทมนตร์ ซึ่งมันพ้องต้องกันกับคำทำนายอีกข้อหนึ่ง ที่บอกว่ายังมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ในตัวของผู้พิชิต” โจเซฟีนกวาดสายตามองทุกคนระหว่างที่พูดก่อนจะหยุดอยู่ที่แซลลี่

“ฉันก็เลยคิดว่า ถ้าได้เจอกับเจ้าแห่งทะเลสาบ นั่นน่าจะช่วยให้ฉันได้กลายเป็นผู้พิชิตที่เก่งกาจเสียที” แซลลี่ว่า

“แล้วเจอไหม” เคนเนธถาม แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากแล้วก็ตาม

“เจอไหมไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่เราควรสนใจคือฉันจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นผู้พิชิตที่สมบูรณ์แบบแล้ว”

“ก็ลองไปสู้กับพวกนักเวทฝึกหัดดูสิ” คริสว่า

“โอ๊ย บอกตามตรง ไม่อยากไปเลย” แซลลี่กลอกตาแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย

“ทำไมล่ะ คาซ ดราเวนสอนไม่ดีหรือไง” เป็นเคนเนธที่ถามขึ้น

“ไม่ใช่” เทียน่าพูดแทรกขึ้นมาทันที นั่นทำให้คนที่เหลือต้องหันไปจ้องแม่มดสาวเป็นตาเดียว และอยากให้เธอได้อธิบายรายละเอียดให้มากกว่านั้น เว้นแต่แซลลี่ที่กำลังเขม็งตาใส่ “ลองเปลี่ยนเป็นสู้กับเอ็มม่าดูสิ อาจจะสนุกกว่าสู้กับนักเวทเป็นไหน ๆ”

“เอ็มม่า? แม่มดประจำหอฝึกน่ะเหรอ ทำไมต้องเป็นนาง?” คริสทำหน้าฉงน

“โอ้ แม่มดคนนั้น” โจเซฟีนพึมพำ พร้อมกับหันไปมองคริส

“อะไร” จอมเวทหนุ่มทำหน้างง

“ก่อนที่เอ็มม่าจะเข้าไปประจำการที่หอฝึกนักเวท นางเคยพยายามเข้าร่วมภาคีแม่มดดำมาก่อน แต่ก็ไม่ผ่านการคัดเลือก หากมือใหม่อย่างเจ้าอยากได้นางมาเป็นคู่ซ้อม ข้าว่าสมน้ำสมเนื้อกันดี” โจเซฟีนออกความเห็น

“เจ้ามีปัญหาอะไรกับนางหรือเปล่า” เคนเนธถาม เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติระหว่างหญิงสาวทั้งสอง

“เปล่า” แซลลี่พยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แม้ในใจจะคันยุบยิบอยู่ก็ตาม

“แล้วคาซล่ะ” เคนเนธถามต่อ

“ก็ดี สอนเข้าใจง่ายดี”

“สอนดีขนาดที่ทำให้เจ้าพกดาบตลอดเวลาเลยเหรอ” เคนเนธว่าพลางชะโงกมองดาบที่แซลลี่สะพายไว้ด้านหลัง

“ไม่เกี่ยวหรอก แค่กลัวหาย”

“ใครจะขโมยดาบฮาโรลด์ไปจากเจ้าได้ ดาบนี่ถูกสาปมาให้ภักดีต่อเจ้าของ” คริสบอก

“หมายความว่าไง” แซลลี่ถามอย่างไม่เข้าใจ

“มันจะเปลี่ยนใจไปรับใช้คนอื่น ก็ต่อเมื่อเจ้าของเดิมตายไปแล้วเท่านั้น”

“เจ้าอาบเลือดให้มันแล้ว ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” เคนเนธพูดเสริม

“แล้วมันมีความพิเศษอื่นอีกหรือเปล่า” หญิงสาวถามเมื่อได้โอกาส เธออยากรู้ว่ามันสำคัญมากน้อยแค่ไหน ถึงได้มีคนลอบเข้าห้องของเธอเพื่อขโมยมัน

“ดาบฮาโรลด์เป็นดาบที่บรรพบุรุษนักรบใช้ต่อสู้กับพวกผู้ใช้เวทมนตร์มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าผู้นั้นจะแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดก็มิอาจต้านทานพลังของดาบได้” เคนเนธอธิบาย โดยคนที่เหลือนั้นตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแซลลี่ “แต่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะสมกับมัน ดาบเล่มนี้ถูกส่งต่อมาหลายมือแล้ว และมีเจ้าของที่ตายเพราะมันไปหลายคนแล้วเช่นกัน”

“แต่ดูเหมือนนางจะเข้ากับมันได้ดีนี่” โจเซฟีนว่า

“นั่นแปลว่ามันถูกใจเจ้าของคนใหม่” คริสพูด

“โอ้ใช่ เรื่องนั้นฉันยืนยันได้ มันแสนรู้กว่าที่พวกคุณคิดเลยล่ะ” แซลลี่ยืดอกพูดด้วยความภาคภูมิใจ แต่ในหัวของเธอนั้นยังคงคิดคำถามเกี่ยวกับมันอย่างไม่หยุดหย่อน “แล้ว...มันถูกใช้อยู่แค่ในหมู่นักรบเหรอ”

“ควรเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยดินแดนที่มีสงครามคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ดาบฮาโรลด์จึงเป็นที่ต้องการ มีช่วงหนึ่งที่ผู้ครอบครองดาบถูกสังหารคนแล้วคนเล่า ก่อนมันจะหายไป” เคนเนธเล่า ราวกับศึกษาเรื่องดาบมาเป็นอย่างดี

“จนพ่อของเด็กโมนาไปเจอมันอีกครั้งในสงครามครั้งที่แล้ว แต่เขาครอบครองดาบได้ไม่นานก็ตาย” คริสพูดเสริมต่อจากเคนเนธ

“เขาตายเพราะมันเหรอ” แซลลี่ถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

“เปล่าหรอก หลังจากเกลนได้ครอบครองดาบ มันทำให้เขาได้รับชัยชนะอยู่หลายครา แต่สุดท้ายก็ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว และถึงแม้จะหมดลมหายใจไปแล้วมือเขาก็ยังกำดาบไว้แน่น ไม่มีใครแยกมันออกจากเขาได้ ยกเว้นจูเลีย” 

“งั้นก็หมายความว่า ก่อนที่ดาบฮาโรลด์จะเป็นของแซลลี่ มันเคยเป็นของจูเลียมาก่อนใช่หรือไม่” เทียน่าเดา และเคนเนธก็ได้พยักหน้ายืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง

“ถ้าคืนนั้นคาเรย์ได้ดาบไป สถานการณ์คงแย่กว่าที่คิด”

เมื่อแซลลี่เอ่ยถึงจอมปีศาจ ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของคริสก็ได้เริ่มทำงานอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเลิกสงสัยไปแล้วด้วยซ้ำว่าแซลลี่เป็นใครมาจากไหน

“จริง ๆ แล้วเจ้าไม่ได้ความจำเสื่อมใช่ไหมแซลลี่” 

“ไม่เอาน่า” โจเซฟีนพยายามส่งสายตาปรามความอยากรู้ของอีกฝ่าย

“มาถึงตอนนี้แล้ว ข้าว่าไม่มีเหตุที่เจ้าจะต้องปิดบังตัวตนกับพวกเราแล้วนะ”

แซลลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอมองแก้วสุราที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด แม้ว่าเธอจะรู้สึกสนิทสนมกับทั้งสี่คนมากขึ้นแล้วก็ตาม แซลลี่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะเล่าความจริงให้พวกเขาฟัง แต่หากจะให้ยืนกรานว่าเธอจำอะไรไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาก็คงไม่เชื่อเธออีกแล้ว เพราะการเป็นผู้พิชิตของเธอนั้นมันค่อย ๆ เปิดเผยตัวตนของเธอมากขึ้นทุกวัน

“ฉันมาไกล” หญิงสาวเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนร่วมโต๊ะ “ไกลเกินกว่าที่จะอธิบายให้พวกคุณได้เข้าใจ แต่วางใจได้ ฉันไม่ใช่ไส้ศึกหรอกนะ ฉันเองก็รักที่นี่ไม่ต่างจากพวกคุณ”

“ดูก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่ไส้ศึก แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” เคนเนธถาม

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมา มันเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ฉันก็รู้สึกดีนะที่ได้มาที่นี่” แซลลี่คลี่ยิ้มพร้อมกับตวัดตาขึ้นมองทั้งสี่คน ก่อนรอยยิ้มบาง ๆ นั้นจะจางหายไป “แต่การสังหารคาเรย์ในคืนนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรทำ ฉันไม่ควรเอาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ สตรีในคำทำนายควรเป็นเทียน่า ผู้พิชิตควรเป็นเธอ” แซลลี่พูดพร้อมกับหันไปมองที่เทียน่าที่กำลังฟังเธออย่างตั้งใจ

“เรื่องนี้แค่ข้าไม่ได้หรอกแซลลี่ มันต้องเป็นเรา”

เทียน่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งประโยคนั้นทำให้แซลลี่ถึงกับชะงัก เดิมทีเทียน่าต้องพูดประโยคนั้นกับคริส แต่ตอนนี้บทพูดในหนังถูกสลับตำแหน่งไปหมดแล้ว นั่นทำให้แซลลี่ถึงกับหลุดขำออกมา

“ขำอะไร” คริสถาม

“เปล่า” เธอส่ายหน้า

“จากความมุมานะ และการเสียสละความสุขสบายที่เจ้าแสดงให้เราได้เห็น ข้าเชื่อใจเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม” เคนเนธกล่าว รอยยิ้มบาง ๆ พร้อมด้วยแววตาที่จริงใจนั้น ทำให้แซลลี่เผยรอยยิ้มกว้างออกมา

“เจ้ากล้าหาญมากแซลลี่” โจเซฟีนว่าพลางวางมือลงบนเข่าของแซลลี่ แล้วออกแรงบีบมันเบา ๆ

“ก็ได้ทุกคนช่วยยุยงนี่ไง ไม่งั้นก็นอนสบาย ๆ อยู่ที่กระท่อมนั่นแหละ”

เสียงฮาครื้นดังขึ้นเมื่อแซลลี่พูดจบ พวกเขาพูดคุยหารือเรื่องอนาคตกันไม่นาน ก่อนช่วงเวลาที่เหลือจะกลายเป็นช่วงเวลาของการสังสรรค์ แน่นอนว่าการดื่มของมึนเมาไม่ใช่งานถนัดของแซลลี่ แต่เพราะบรรยากาศสนุกสนาน จึงทำให้เธอต้องดื่มเพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับบทสนทนา

กว่าทั้งห้าคนจะออกมาจากโรงเตี๊ยมก็ดึกมากแล้ว คนที่สิ้นสภาพมากที่สุดเห็นจะเป็นแซลลี่ เพราะเธอดื่มไปมากพอสมควร ในขณะที่โจเซฟีนนั้นยังพอประคองตัวเองได้ ส่วนเทียน่าที่แทบจะไม่เมาเลยเพราะดื่มน้อยที่สุด

“เดี๋ยวข้าไปส่ง” คริสเอ่ยปากอาสา

“ไม่ต้อง” แซลลี่ยกมือห้าม แล้วชี้ไปที่เทียน่า “โน่น คนที่คุณต้องไปส่ง”

“ไม่เป็นไร ข้ากลับเองได้” เทียน่าบอก

“ไม่ ๆ บ้านเธอไกลกว่าฉันเยอะ ให้เขาไปส่งแหละดีแล้ว” แซลลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“หรือให้ข้าสองคนไปส่งเจ้า” โจเซฟีนที่กำลังกรึ่ม ๆ บอกพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“บอกว่าไม่ต้องไง ฉันกลับเองได้”

“เดี๋ยวก็ตกเขาตายหรอก” โจเซฟีนพูดเสียงดังเพราะฤทธิ์เหล้า

“ถ้าฉันตกเขาตาย หนังเรื่องนี้คงจบโง่น่าดู” แซลลี่ว่าแล้วหัวเราะรวน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพูดอะไรออกมา แต่นับว่ายังโชคดีที่คนที่เหลือนั้นอยู่ในอาการมึนเมา จึงไม่ได้สนใจประโยคที่แซลลี่พูดสักเท่าไร เพราะกว่าสมองจะประมวลผลทันมันก็ถูกเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน “โน่น ๆ คาซ ดราเวน”

แซลลี่ตะโกนเรียกคาซที่กำลังเดินตรงมาทางโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหรี่ตามองด้วยความงุนงง แต่ก็ยอมเดินเข้ามาหาแซลลี่แต่โดยดี

“นี่พวกเจ้าเมาเหรอ” คาซถามพลางกวาดสายตามองทั้งห้าคน

“นางคนเดียว”

คริสผายมือไปหาแซลลี่ ทั้งที่ใบหน้าของเขาและคนที่เหลือมีสีแดงก่ำไม่ต่างจากเธอ แต่จากการที่คาซประเมินสติของแต่ละคนแล้ว แซลลี่ดูจะมีสติสัมปชัญญะคงเหลือน้อยที่สุดอย่างที่คริสว่าจริง ๆ

“ไหน ๆ นางก็เป็นศิษย์ของเจ้าแล้ว ฝากเจ้าดูแลได้หรือไม่” เคนเนธถาม โดยที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่ปฏิเสธ

“ได้สิ” คาซตอบรับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนมุมปาก เมื่อเห็นว่าจอมเวททั้งสองนั้นมีคนที่ต้องดูแลเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น ข้าถือโอกาสแจ้งเลยว่าพรุ่งนี้นางไม่ตื่นไปฝึกเป็นแน่” เทียน่าแจ้งพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ

“ไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะขาดซ้อมเพื่อมาเมาหัวราน้ำอยู่ที่นี่” คาซว่าพลางจ้องหญิงสาวที่ยืนตรง ๆ แทบไม่ได้

“ไม่ได้ขาดซ้อมมาเมาจ้ะ อย่ามากล่าวหา นี่เลยจ้า” แซลลี่พูดพลางผายมือไปยังสี่คนที่เหลือ “ตัวต้นเหตุ”

“อย่ากล่าวโทษนางเลย” เคนเนธว่าในขณะที่พยายามพยุงโจเซฟีนให้ยืนตรง ๆ “ข้าฝากด้วย”

“เจ้ากลับเถอะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง” คาซบอก เมื่อเห็นแล้วว่าภาระหน้าที่ของเคนเนธเองก็ไม่ได้น้อยหน้าเขาเลย

“พรุ่งนี้ข้าฝึกเสร็จแล้วจะแวะไปหาที่กระท่อม”

แซลลี่พยักหน้าตอบกลับ โดยที่เทียน่าไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอบอกไปนั้นได้เข้าหัวอีกฝ่ายหรือไม่

“ไป ๆ กลับกันไปได้แล้ว”

ทั้งสี่แยกย้ายไปคนละทางหลังจากที่แซลลี่โบกมือไล่ คาซมองหญิงสาวพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ เธอหันมาฉีกยิ้มให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ

“ว่าไงสุดหล่อ”

“หึ” เขาส่งเสียงในลำคอ พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก

“ดึกดื่นไม่หลับไม่นอนหรือไง”

“เหมือนเจ้านั่นแหละ”

“แน่ะ! ยอกย้อนนักนะ” แซลลี่ว่าแล้วยกฝ่ามือขึ้นหมายจะตีต้นแขนอีกฝ่าย แต่ก็ทำได้เพียงแค่คว้าอากาศ

“ไปกันเถอะ ก่อนที่มันจะดึกไปกว่านี้” ชายหนุ่มว่า และหมายให้เธอเป็นฝ่ายเดินนำทาง

“เดี๋ยว” แซลลี่ยกมือขึ้นหยุดเขาไว้ ก่อนจะใช้มือข้างเดียวกันมาทาบบนอก “จะอ้วก”

พูดไม่ทันขาดคำหญิงสาวก็โก่งคออ้วกมันเสียตรงนั้น คาซทำเพียงแค่หลับตาลงแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแซลลี่ แล้วยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ

“ไหวไหม”

คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด หญิงสาวค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง แล้วยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ แซลลี่ก็หงายหลังนอนแผ่ไปกับพื้น พร้อมกับระบบสติที่ปิดทำการไปแล้วเรียบร้อย

ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย เขาถอนหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นมาอย่างง่ายดาย มันควบคุมง่ายยิ่งกว่าตอนที่เธอยังมีสติเสียอีก แต่แทนที่เขาจะพาเธอไปส่งที่กระท่อมของทามาร่า ชายหนุ่มกลับอุ้มเธอเข้าไปในโรงเตี๊ยมแทน...

 

#แซลลี่ผู้พิชิต