ถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
แฟนตาซี,ผจญภัย,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ANOTHER PART OF LOCKLYNถ้าบทบาทของนางเอกมันจะเหนื่อยขนาดนี้นะ...
มันจะมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ แซลลี่ เลนนี่ มักจะดูมันซ้ำ ๆ
จนจำบทสนทนาของตัวละครได้เกือบทั้งหมด
วันหนึ่ง แซลลี่ได้ประสบอุบัติเหตุที่เธอคิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ ๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเธออยู่ที่ ล็อกลิน ซึ่งเป็นดินแดนในหนังเรื่องโปรดของเธอ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจ แซลลี่จะต้องดำเนินชีวิตไปให้ถึงตอนจบของหนังเรื่องนั้น
โดยการเดินตามเนื้อเรื่องที่เธอจำได้เป็นอย่างดี
แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อแซลลี่เข้าไปยุ่งกับเส้นเรื่องเดิม
ทุกการกระทำของตัวละครในหนังได้ต่างออกไป อีกทั้งเธอยังได้กลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แซลลี่ต้องพบกับเหตุการณ์ใหม่ ๆ และตัวละครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอต้องดำเนินชีวิตในล็อกลิน โดยที่มิอาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้น
และในท้ายที่สุด แซลลี่จะกลับไปสู่โลกความจริงได้ไหมนั้น
ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในเส้นเรื่องใหม่...ที่เธอเป็นผู้กำหนด
#แซลลี่ผู้พิชิต
แซลลี่สะดุ้งตื่นราวกับถูกตั้งเวลาไว้ มันเป็นเช้าที่เธอรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย หญิงสาวค่อย ๆ พลิกตัวขึ้นนอนหงาย นั่นทำให้เธอได้เห็นว่าเพดานห้องห้องนอนไม่คุ้นตาอย่างที่ควรเป็น เสียงคุยจอแจที่ดังอยู่ไกล ๆ นั้นก็เป็นบรรยากาศที่ต่างจากทุกวัน อาการพะอืดพะอมที่เกิดขึ้นในอกทำให้เธอต้องกวาดสายตามองรอบตัวช้า ๆ กระทั่งมั่นใจว่าไม่ได้นอนอยู่ในห้องของตนเอง
หญิงสาวอยากดีดตัวลุกขึ้นให้เร็วเหมือนสปริง แต่ทำได้แค่ค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เพราะหากรีบร้อนอาจทำให้สิ่งที่จ่ออยู่แถวคอหอยพุ่งออกมาได้ แต่ในขณะที่ยังมึนงงอยู่นั้นเธอก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงของผู้ชายที่เอ่ยทักขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ”
เมื่อแซลลี่หันไปมองก็พบว่าเป็นคาซที่ดูเหมือนยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย เธอตาค้างจ้องเขาด้วยความสับสนและพยายามประมวลผลหาคำตอบว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวลองขยับตัวเล็กน้อยเพื่อสำรวจว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอหรือไม่ แต่ดูเหมือนทุกอย่างยังคงปกติดี เว้นแต่อาการปวดหัวและความรู้สึกที่อยากอ้วกอยู่ตลอดเวลา
“ได้โปรดอย่าอ้วกใส่ข้าอีก” เขาชี้นิ้วสั่งเธอด้วยรอยยิ้มขบขัน
“อีก?” เธอทวนคำพูดของคาซ “อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน...”
“สาบานว่ามันจะเป็นความลับระหว่างเรา” เขาพูดพลางใส่เสื้อให้ตัวเอง
“เรื่องไหน” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ติดห้วน
“เรื่องที่เจ้าอ้วกใส่ข้า”
“แค่นั้น?” แซลลี่ถามอย่างไม่แน่ใจว่ามีเรื่องอื่นที่เธอควรรู้อีกหรือไม่
“จะเอาแค่ไหนล่ะ” เขายิ้มกวน
“เมื่อคืนคุณโผล่มาตอนไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” แซลลี่ถาม เพราะสมองของเธอไม่ได้บันทึกคาซและเรื่องราวตอนออกจากโรงเตี๊ยมไว้ในความทรงจำเลย
“ไหนลองทบทวนดูซิ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
คาซยิ้มแล้วยืนเท้าเอวรอคำตอบ แซลลี่นั่งนิ่งพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยม เธอจำบทสนทนากับเพื่อนอีกสี่คนได้เกือบทั้งหมด แต่พยายามคิดยังไงก็ไม่มีคาซอยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
“จำไม่ได้” เธอสารภาพไปตามตรง
“อย่าทำแบบนี้อีก” อยู่ ๆ สีหน้าและน้ำเสียงของเขาก็จริงจังขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เจ้าดื่มได้ แต่ต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนั้น”
“แล้วสรุปฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“จอมเวทสหายเจ้าฝากให้ข้าไปส่ง แต่สติสัมปชัญญะของเจ้ามีไม่มากพอที่จะบอกทาง” เขาบอกและนั่นทำให้แซลลี่ต้องทำให้แหย ๆ ออกมาด้วยความอาย
“แล้ว...นี่ห้องคุณเหรอ” หญิงสาวถามไม่เต็มเสียง
“แล้วจะให้เป็นห้องใคร” คาซย้อนถาม
“แล้วเมื่อคืนคุณนอนยังไง” แซลลี่ถามด้วยความสงสัย เพราะจากที่พิจารณาดูแล้วพบว่าในห้องไม่มีที่ไหนจะนอนได้ เว้นเตียงที่เธอนอนอยู่
“นอนยังไงน่ะเหรอ” คาซหัวเราะเบา ๆ หลังทวนคำถามของเธอ “ข้าง ๆ เจ้านั่นไง”
แซลลี่ไม่รู้เลยว่าเธอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่สิ่งที่รู้คือหัวใจของเธอเต้นแรงราวกับว่ามันจะทะลุออกมาจากอก เธอไม่ได้กังวลว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงที่นอนเตียงเดียวกับเขามาทั้งคืน แต่กลับรู้สึกเขินเสียมากกว่า
“ผิดผี” เธอว่า
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร จะให้เจ้านอนบนพื้นมันก็ดูใจร้ายเกินไป อีกอย่างที่โรงเตี๊ยมไม่มีห้องว่างเหลือเลย” คาซอธิบาย
“นี่เราอยู่ที่โรงเตี๊ยมเหรอ”
“ใช่” เขาพยักหน้า
“ฉันนึกว่าคุณพักที่หอฝึก”
“เคนเนธเคยเสนอเช่นนั้น แต่ไม่ล่ะ หากเป็นอย่างนั้นมันจะดูเหมือนจองจำกันเกินไป”
“แล้ว...เรานอนด้วยกันจริง ๆ เหรอ” แซลลี่ถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ เพราะเธอคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะพูดอำเธอเล่น
“จริงสิ”
คาซยืนยัน นั่นทำให้เธอทำหน้าเหวอจนเขาต้องหัวเราะออกมา เขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“สบายใจได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าหรอก”
สิ้นประโยคของชายหนุ่มความคิดร้ายกาจในหัวของแซลลี่จึงได้หายไปสิ้น และอาการต่อปากต่อคำของเธอก็ได้กำเริบขึ้นมาทันที “ว้า เสียดายจัง”
“อยากให้ข้าทำเหรอ” คาซเองก็สู้ไม่ถอย นั่นทำให้แซลลี่เงียบไปพร้อมกับหน้าที่แดงปานผลมะเขือเทศ “ข้าอนุญาตให้เจ้าหยุดพักได้อีกหนึ่งวัน รวมกับเมื่อวานที่เจ้าหยุดซ้อมไปโดยไม่ได้ขออนุญาต”
“เมื่อวาน...” หญิงสาวมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย เพราะเธอไม่แน่ใจว่าคาซรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบมากน้อยแค่ไหน “ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ”
“เจ้าคิดว่าคนในหมู่บ้านปิดเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบได้มิดขนาดนั้นเชียว”
“เออ ๆ นั่นแหละ ลาป่วยค่ะ” เธอบอกส่ง ๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าดาบไม่ได้อยู่กับตัว “แล้วดาบฉันล่ะ”
“โน่น” คาซว่าพลางหันไปยังดาบที่แขวนอยู่บนผนัง
“แล้วไป” แซลลี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อีกเดี๋ยวข้าต้องไปหอฝึก เจ้าจะนอนต่ออยู่ที่นี่ก็ได้ ไว้ดีขึ้นค่อยกลับ”
“ไม่ล่ะ อยากกลับเลย” แซลลี่ว่าพร้อมทำท่าจะลุกจากเตียง
“งั้นเดี๋ยวข้าไปส่ง”
คาซพูดไม่ทันขาดคำแซลลี่ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนก็เซจะล้ม เขารีบพุ่งตัวเข้าไปพยุงเธอไว้ และนั่นทำให้ใบหน้าของเธอซุกอยู่บนแผงอกของเขา แซลลี่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยปากพูดกับเขา
“อ้วกใส่อีกรอบจะโกรธไหม”
“มีอีกครั้งข้าโยนเจ้าลงทะเลสาบแน่”
“ใจร้าย” เธอว่าพลางถอยห่างออกจากชายหนุ่ม
“ถ้าใจร้ายจริงเจ้าคงได้นอนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมจนเช้า”
“จ้า ใจดีก็ได้”
“เจ้าเดินไหวแน่นะ” เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ไหว” แซลลี่ยืนยันเสียงหนักแน่น
“ข้าไม่อุ้มนะ” คาซพูดเย้าแหย่ นั่นทำให้แซลลี่ต้องหันกลับมาทำตาขวางใส่
“ค่ะ ฉันถึกและบึกบึนกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน”
แซลลี่ออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างทุลักทุเลกว่าที่คิด เธอรู้สึกโคลงเคลงทุกย่างก้าว แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ไม่ให้อีกคนรู้ และแทนที่เธอจะรู้สึกสลดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอกลับเผลอยิ้มออกมาเพราะอดจินตนาการถึงภาพที่คาซนอนอยู่ข้าง ๆ เธอไม่ได้เลย
“ยิ้มอะไร” คาซถามหลังจากสังเกตมาตลอดทาง
“อากาศดี ยิ้มไม่ได้หรือไง” หญิงสาวแกล้งตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อถูกจับได้
“ข้าแค่ถามเฉย ๆ”
แซลลี่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหมายจะให้ถึงกระท่อมไว ๆ แต่ออกมาไม่เท่าไรก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อทั้งสองหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นคริสที่เดินตามพวกเขามา
“เจ้าสองคนมาทำอะไรแถวนี้แต่เช้า” คริสถามก่อนจะสังเกตเห็นว่าแซลลี่ยังคงสวมชุดเดิมมาตั้งแต่เมื่อวาน “อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเจ้าไม่ได้กลับบ้าน”
“ข้าบอกให้ก็ได้ เมื่อคืนนางไม่ได้กลับ” คาซเป็นฝ่ายตอบแทน
“แล้ว...” คริสจ้องหน้าแซลลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และดูเหมือนว่าเธอจะเดาเรื่องที่เขาสงสัยออกเสียด้วย
“ก็นอนนี่” แซลลี่ว่าแล้วหันไปหาคาซ
“หา!?” คริสอ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำตอบ
“เมา จำอะไรไม่ได้เลย” แซลลี่รีบบอก
“หลังจากที่แยกกับพวกเจ้า นางก็สลบเหมือดเสียตรงนั้น” คาซเล่าเสริม
“ให้ไปส่งตั้งแต่ทีแรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” คริสบ่นพึมพำ
“ถ้าไปส่งฉันแล้วคุณจะเอาเวลาไหนไปทำคะแนนกับสุดสวยล่ะคะ”
เหมือนคริสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องบอกกับเธอ เขาชำเลืองมองคาซพลางหาเรื่องกำจัดอีกคนออกไป “เจ้าไม่ต้องรีบไปที่หอฝึกหรอกเหรอ”
“ข้าจะไปส่งนางก่อน” คาซตอบ
“ข้าไปส่งเอง”
น้ำเสียงของคริสเหมือนสั่งเสียมากกว่าอาสา นั่นทำให้แซลลี่ต้องตวัดตาขึ้นมองจอมเวทหนุ่ม เธอพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องอยากคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน แซลลี่จึงหันไปบอกคาซพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
“คุณไปเถอะ”
“พรุ่งนี้อย่าขาดซ้อมล่ะ” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จ้า ๆ ถ้าหายเมาค้างนะ”
แซลลี่โบกมือไล่ คาซจึงได้แต่มองเธอสลับกันกับคริสก่อนจะยอมแยกตัวออกไป หญิงสาวมองร่างสูงที่กำลังจะลับตาด้วยความรู้สึกเสียดายที่เกิดขึ้นในใจ นั่นทำให้เธอต้องรีบหันกลับมามองตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องแยกจากชายหนุ่มอีกคนเร็วกว่าที่คาดหวังไว้
“อะไร”
“เดินไปก่อน”
เมื่อคริสว่าอย่างนั้นทั้งคู่จึงเดินไปด้วยกัน บทสนทนาระหว่างทางไปกระท่อมของทามาร่านั้นเป็นการพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของแซลลี่เสียมากกว่า ตลอดการสนทนาจึงมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเรื่อย ๆ กระทั่งทั้งคู่มาถึงกระท่อม และคริสเริ่มสารภาพบางอย่างกับแซลลี่ เสียงหัวเราะเมื่อครู่จึงเกือบจะได้เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องแทน
“อะไรนะ! คุณจูบเทียน่างั้นเหรอ!” แซลลี่อุทานออกมาเสียงดัง จนคริสต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเธอเอาไว้
“จะเสียงดังทำไมเล่า”
“แล้วเธออนุญาตให้คุณทำแบบนั้นเหรอ” แซลลี่เค้นเสียงถาม
“ไม่แน่ใจ” คริสตอบเสียงอ่อย นั่นยิ่งทำให้แซลลี่อยากขยุ้มหัวจอมเวทหนุ่มเสียให้ได้
“โดนตบไหมล่ะ”
“เปล่า” เขาส่ายหน้า
“ทำไมไม่โดนวะ” แซลลี่กัดฟันบ่น
“เจ้าก็รู้ เมื่อคืนมันดีมาก เราสนุกกันมาก แล้วข้าก็ได้มีโอกาสอยู่กับนางตามลำพัง อารมณ์มันพาไปน่ะ”
“ควบคุมเวทมนตร์เป็นก็ลองหันควบคุมอารมณ์ตัวเองเสียบ้าง ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะพึงใจกับการฉวยโอกาสของคุณ”
คริสถอนหายใจ ก่อนจะหันไปเห็นดอกไม้ที่แซลลี่ปลูกไว้จนเต็มสวนเล็ก ๆ ของเธอ “ดอกไม้พวกนั้นข้าขอสักหนึ่งกำมือได้ไหม”
“จะเอาไปทำอะไร” เธอถาม แต่ก็พอเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายออก “จะเอาไปง้อ? ขายค่ะ!” เธอบอกอย่างฉุนเฉียว
“เท่าไร” คริสถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่ คุณคริส โกเบอร์” แซลลี่เรียกชื่อจอมเวทหนุ่มพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าเอว “ถ้าชีวิตไม่ได้คิดจะจริงจังกับใครก็เว้นเทียน่าไว้สักคนเถอะ เธอแสนดีเกินกว่าที่จะต้องเสียใจเพราะคุณ”
“ใครบอกว่าข้าไม่จริงจัง”
แซลลี่เดินเข้าไปใกล้ ๆ ร่างสูงพร้อมกับหรี่ตามองเขาอย่างไม่เชื่อ “โกหกขอให้ตกเขาตาย”
“สาบาน” คริสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ตกเขาตายแน่” แซลลี่กดเสียงขู่
“ข้าจริงจังกับนางจริง ๆ”
แซลลี่รู้อยู่เต็มอกว่าท้ายที่สุดคนที่จะได้ลงเอยกับเทียน่านั้นต้องเป็นคริส แต่เขาไม่ใช่คนที่เธอจะเอาใจช่วย คริสอาจจะเป็นเพื่อนที่ดี แต่จะให้คบหาในฐานะอื่นอาจจะต้องใช้เวลาคิดก่อนสักพัก
“ถ้าเธอร้องไห้เพราะคุณเมื่อไร ฉันจะเอาดาบนี่กะซวกท้องคุณแน่”
หลังจากที่บ่นคริสไปพักใหญ่ในช่วงสาย แซลลี่ก็ได้นอนต่อจนถึงบ่าย แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้อาการเมาค้างสร่างลงเลย อีกทั้งยังต้องมาเห็นสายตาของโมนาที่มองเธอนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงอย่างน่าสังเวช
“ทามาร่าควรปรุงทำยาถอนพิษให้ท่านดื่ม”
“เกินไป ฉันแค่เมาค้าง” แซลลี่พูดด้วยเสียงอู้อี้
“ดูเหมือนท่านจะสนุกกับชีวิตที่ล็อกลินนะ” โมนาว่าพลางกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงของแซลลี่
“ใครบอก” แซลลี่ค้านทันควัน “ไม่ได้อยากทำอะไรแบบนี้เลย อยากนอนมากกว่า ตอนแรกคิดว่ามาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน แต่นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ”
“แล้วท่านหนีอะไรมา”
“หัวหน้า” แซลลี่บอก น้ำเสียงของเธอแฝงความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย
“ใครคือหัวหน้า” โมนาถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้าเปรียบหัวหน้าดั่งทหารในสนามรบ เขาก็คงเป็นกับแม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพที่พาทหารไปตาย”
“แล้วท่านเป็นใครในสนามรบนั้น”
“เป็นทหารที่ตายตั้งแต่ยังไม่ทันลงสนาม”
แซลลี่บอกกับเด็กหญิงก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความเวทนาชีวิตก่อนหน้านี้ของตนเอง และแม้ว่าตอนนี้ภาระหน้าที่ที่เธอได้รับนั้นมันยิ่งใหญ่กว่างานออฟฟิศหลายร้อยเท่า แต่แซลลี่กลับรู้สึกดีกับมันมากกว่า เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่า
“อยู่ที่นี่ท่านได้เป็นมากกว่าแม่ทัพเสียอีก แค่เริ่มต้นท่านก็ได้เป็นผู้พิชิตแล้ว จอมเวทหญิงคนแรกคงไม่ไกลเกินเอื้อม” โมนาว่า
“เรื่องนี้มันจะจบลงยังไง เธอรู้ไหม” แซลลี่ถาม
“ขึ้นอยู่กับท่าน”
แซลลี่จ้องหน้าเด็กหญิงค้างไว้ และเธอพอจะเข้าใจในคำตอบของโมนา “ขึ้นอยู่กับฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ท่านอยากกลับไปที่ของท่านหรือเปล่า”
“ถ้าให้พูดตามตรงก็อยาก ถึงชีวิตอีกด้านของฉันมันจะเส็งเคร็งมากก็ตาม แต่ที่นั่นมีคนที่ฉันรักรออยู่” แซลลี่บอก และนั่นทำให้เธอคิดถึงครอบครัวขึ้นมาจับใจ
“แล้วที่นี่ไม่มีคนที่ท่านรักเลยเหรอ” โมนาถามด้วยแววตาใสซื่อ
“มีสิ” แซลลี่คลี่ยิ้ม “คุณยายทามาร่า แล้วก็เธอไงยัยเด็กจิ๋ว”
“ถ้าท่านได้กลับไป ท่านจะคิดถึงเราไหม”
โมนาถามเสียงอ่อน นั่นทำให้แซลลี่รู้สึกเศร้าขึ้นมาจับจิตเมื่อคิดว่าวันหนึ่งหากเธอได้กลับไปโลกความเป็นจริง นั่นหมายความว่าเธอจะต้องจากผู้คนที่นี่ไปตลอดกาล และล็อกลินจะเป็นเพียงสถานที่ในหนังเรื่องหนึ่งเท่านั้น
“ถ้าฉันไม่อยู่ที่แล้ว ทุกอย่างจะยังคงดำเนินต่อไหม” แซลลี่รู้สึกชาวาบในหัวใจระหว่างที่ถามโมนา “เธอจะโตขึ้นหรือเปล่า แล้วคุณยายจะยังอยู่ที่กระท่อมหลังนี้ไหม”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กน้อย “ขึ้นอยู่กับท่าน”
“ยังไง?” หญิงสาวผงกหัวขึ้นถาม
“ล็อกลินในขณะนี้คือจินตนาการของท่าน ผู้คนที่นี่รวมถึงข้ามีชีวิตได้เพราะท่าน”
แซลลี่เงียบไป เธอรู้สึกเหมือนความเศร้ากำลังก่อตัวขึ้นในอก หากภารกิจจบลงแล้วเธอจะต้องกลับไปยังโลกที่จากมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ก็จะเป็นเพียงแค่เรื่องราวในจินตนาการ เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเธอ รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เธอรู้จักก็จะหายไป เพียงแค่คิดว่าทุกอย่างจะเลือนหายไปน้ำตาของแซลลี่ก็พานจะไหล
“แล้วถ้าฉันเลือกอยู่ที่นี่ต่อล่ะ”
“มันมีตอนจบอย่างทุกครั้งที่ผ่านมานั่นแหละ”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องเล็ก ๆ เมื่อสิ้นคำพูดของโมนา เธอเข้าใจที่เด็กหญิงบอกเป็นอย่างดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้คงไม่ต่างจากหนังเรื่องหนึ่งที่ต้องมีตอนจบ
“วันนี้ไม่ออกไปเล่นข้างนอกเหรอ” แซลลี่ถาม เพราะโดยปกติโมนามักจะออกไปเล่นเด็กคนอื่นที่อยู่ละแวกบ้าน
“กำลังจะไป” โมนาบอกก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ แซลลี่ “ข้าแค่จะแวะมาบอกว่า ช่วงนี้อย่าห่างจากดาบ”
“เอาอีกแล้วเหรอ” เธอรู้ได้ทันทีว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ศึกของท่านใกล้จะเริ่มต้นเต็มที พึงระวังเสียงนกเสียงกา”
“ทำไม มีใครนินทา” แซลลี่ถาม
“หาได้หมายความว่าอย่างนั้น”
พูดจบโมนาก็เดินออกจากห้องไปแซลลี่จึงพลิกตัวนอนหงายอีกครั้ง เธอสอดมือเข้าไปใต้ฟูกเพื่อตรวจสอบว่าดาบฮาโรลด์ยังอยู่ดี หญิงสาวถอนหายใจยาวเมื่อคิดว่าจากนี้เธอต้องไปสู้รบตบมือกับใครบ้างก็ไม่รู้ แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ได้ทำให้เธอรู้สึกอัศจรรย์ใจกับตัวเองอยู่ไม่น้อย เพราะเธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้หญิงที่วัน ๆ คิดแต่จะนอนอย่างเดียวจะได้มีโอกาสมาทำอะไรเช่นนี้
อาการเมาค้างยังคงอยู่กับแซลลี่มาจนถึงมืดค่ำ เธอทำได้แค่นอนอยู่ในห้องโดยมีทามาร่าคอยดูแล จนหญิงสาวต้องสาบานอยู่ในใจว่าจะไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก เพราะขณะที่เธอพยายามข่มตาหลับ แต่มันกลับรู้สึกเหมือนนอนอยู่บนเรือที่ลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ อีกทั้งยังทำให้เธอกินอะไรไม่ได้เลยทั้งวัน
แซลลี่ไม่รู้เลยว่าผ่านมาจนกี่โมงกี่ยามแล้ว แต่จากการที่ไม่ได้ยินเสียงของโมนาและทามาร่าจากข้างนอก นั่นหมายความได้ว่าถึงเวลาเข้านอนของสองคนนั้นแล้ว และความเงียบสงบยามราตรีของล็อกลินก็ได้ช่วยให้เธอได้เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะหลับสนิท เสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินรอบ ๆ กระท่อมก็ได้ทำให้แซลลี่ต้องลืมตาขึ้นราวว่าร่างกายของเธอได้ตั้งระบบเตือนภัยเอาไว้ มือบางสอดลงไปใต้ฟูกเพื่อหยิบดาบฮาโรลด์ออกมาโดยที่ยังนอนอยู่ในท่าเดิม กระทั่งเสียงฝีเท้านั้นมาหยุดข้างหน้าต่างเหนือหัว แซลลี่จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงมายืนอยู่ในความมืด
หน้าต่างที่ลงกลอนไว้อย่างดีถูกสะเดาะจากบุคคลที่อยู่ข้างนอก แซลลี่ไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนหรือเปล่า เธอตั้งท่ายกดาบขึ้นจ่อไปข้างหน้า ในขณะที่บานหน้าต่างค่อย ๆ ถูกเปิดออก เงาตะคุ่มสูงใหญ่พยายามแทรกตัวผ่านหน้าต่างเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แล้วในตอนนั้นเองที่แซลลี่นึกขึ้นได้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่เธอจะได้ทดลองพลังที่เธอเพิ่งได้รับมาจากเจ้าแห่งทะเลสาบ
“แกเป็นใคร”
สิ้นคำถามอีกฝ่ายก็กระโจนเข้ามาหาแซลลี่ทันที ครั้งนี้หญิงสาวตั้งรับได้เป็นอย่างดี เธอยกดาบขึ้นฟันอีกฝ่ายทันทีโดยไม่มีลังเล แต่สิ่งที่ทำให้แซลลี่ต้องเหวอคือร่างสูงใหญ่นั้นสลายกลายเป็นนกบินว่อนไปทั่วทั้งห้อง และเมื่อพวกมันบินออกไปจากห้องของเธอ แซลลี่ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่รอบ ๆ กระท่อมมากกว่าหนึ่งคน หญิงสาวจึงรีบสาวเท้าออกจากห้องของตัวเองไปยังห้องของทามาร่า เธอเคาะประตูเรียกหญิงชราก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่ห้องของโมนา เพื่ออุ้มเด็กหญิงออกมาจากห้อง
“เกิดอะไรขึ้น” ทามาร่าเดินถือตะเกียงเข้ามาหาแซลลี่
“คุณยายพาโมนาเข้าไปหลบอยู่ในห้องก่อนนะคะ”
“แล้วเจ้าล่ะ” ทามาร่าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เดี๋ยวมาค่ะ”
แซลลี่บอกแล้วหันหลังทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะทามาร่าเรียกเอาไว้เสียก่อน
“แซลลี่” มือเหี่ยวย่นของทามาร่าคว้ามือของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ “มันอันตรายนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นางเอกเรื่องนี้ต้องไม่ตาย”
แซลลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มบนมุมปากแล้วปล่อยให้ทามาร่ายืนงงกับประโยคนั้นเพียงลำพัง ในขณะที่ตัวเธอนั้นรีบวิ่งออกมาจากกระท่อม ก่อนจะพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งยืนล้อมเธอไว้หมดแล้ว พวกนั้นใช้ผ้าพันใบหน้าเหลือเพียงแค่ลูกตา แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่ได้มีทีท่าจะทำร้ายเธอแต่อย่างใด
“ข้าว่าเราเจรจากันได้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น
“เรื่อง?” แซลลี่ถาม แต่ยังคงยกดาบขึ้นจ่อไปหาอีกฝ่าย
“ดาบฮาโรลด์”
“ดาบทำไม” เธอถามด้วยน้ำเสียงห้วน
“ส่งมันมาให้ข้า แล้วเราจะไม่ทำร้ายเจ้า”
“ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ” แซลลี่กระตุกยิ้ม “ของของคนอื่นจะมาขอกันง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง”
“ง่ายต่อเราทั้งสองฝ่าย ทั้งเจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องสู้กัน แค่เจ้าส่งดาบนั่นให้ข้า”
“ไม่ให้” เธอบอกเน้นเสียง
“เจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องครอบครองดาบนั่นสาวน้อย”
“มีหรือไม่มีฉันก็ไม่สะดวกจะยกมันให้ใครทั้งนั้น อีกอย่างฉันเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้แล้ว จะเอามันไปได้ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน” แซลลี่จ้องตาอีกฝ่ายในขณะที่พูด
“ดื้อด้านไปก็รังแต่จะทำให้เจ้าเจ็บตัวเสียเปล่า ๆ” ชายปริศนากล่าว ในขณะคนที่เหลือนั้นได้เดินเข้ามาหาเธอ
“งั้นขอคิดก่อน” แซลลี่ว่าพลางลดดาบลง
“เพื่อสันติระหว่างเรา ข้าให้เวลาเจ้าได้เสมอ”
แซลลี่หลุบตามองต่ำแล้วกัดริมฝีปากอย่างคิดหนัก เธอไม่รู้ว่าจะใช้พลังที่ได้มาจากอีเธอลินได้อย่างไร แต่หากจะสู้ด้วยดาบและทักษะการต่อสู้ที่มีอยู่น้อยนิด เมื่อประเมินจำนวนคนของอีกฝ่ายแล้วก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร
ขณะแซลลี่กำลังกวาดสายตาประเมินกำลังคนของอีกฝ่าย จู่ ๆ ก็มีเสียงกระซิบดังแทรกขึ้นในหัวของเธอ มันเป็นเสียงเล็ก ๆ ของโมนา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงอีเธอลิน
‘ขึ้นอยู่กับเจ้า...แซลลี่’
รอยยิ้มเล็กปรากฏขึ้นบนมุมปากของหญิงสาว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะยกดาบขึ้นจ่อไปที่คนตัวสูงกว่าอีกครั้งด้วยแววตาที่กล้าหาญกว่าเดิม
“สันติระหว่างเราคือพวกคุณไม่ควรมายุ่งกับฉัน”
“ไม่เอาน่า” ชายตัวสูงว่าแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาแซลลี่ “ฮาโรลด์คงจะไร้ประโยชน์ หากอยู่ผิดที่ผิดทาง”
“ใครบอกแก”
พูดจบแซลลี่ก็ยกดาบขึ้นแกว่งไปกลางอากาศ พลังที่เธอส่งผ่านดาบปะทะร่างของคนตรงหน้า รวมถึงบรรดาสมุนของเขาที่ต้องล้มลุกคลุกคลานไปตาม ๆ กัน นั่นจึงเป็นโอกาสที่แซลลี่จะหนีออกมาจากตรงนั้นได้ เธอคิดว่ามันดีว่าถ้าจะออกมาให้ห่างจากกระท่อม ทามาร่าและโมนาจะได้ปลอดภัย เพราะพวกนั้นสนใจเพียงแค่ดาบที่อยู่ในมือเธอ
แซลลี่พยายามวิ่งลงมาจากเนินเขา เธอภาวนาให้มีใครสักคนเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนนี้ แต่ระหว่างทางก็ต้องสู้กับพวกนั้นไปด้วย เธอใช้ทักษะการต่อสู้ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างคล่องแคล่ว แต่ในส่วนของเวทมนตร์เธอกลับใช้มันได้ไม่ดีสักเท่าไร แซลลี่จึงต้องใช้ดาบและกำลังของเธอเสียมากกว่า
แซลลี่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนเท่าไร แต่มันก็มากเกินกว่าที่เธอจะตั้งรับได้ ความลาดชันของเนินเขาทำให้แซลลี่เสียหลัก เธอรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วว่าจะต้องเจ็บตัวอย่างแน่นอน หากโชคร้ายฝ่ายศัตรูอาจจะชิงดาบไปจากเธอได้สำเร็จ
แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ล้มลง จู่ ๆ ได้มีบางคนช้อนร่างบางให้ยืนตั้งหลักได้เสียก่อน แม้จะสงสัยแต่เธอต้องสู้กับศัตรูที่กำลังปรี่เข้ามาหาเสียก่อน เมื่อเธอยกดาบขึ้นเหนือหัวก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่พัดผ่านตัวเธอไป และสิ่งนั้นก็ได้ทำให้ศัตรูที่มุ่งตรงมาหาเธอนั้นกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
แซลลี่หันหลังกลับไปมองที่มาของเวทมนตร์นั้น เธอจึงได้พบกับชายปริศนาที่มีดวงตาสีฟ้า หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้พบเขาอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชายคนดังกล่าวได้บุกมาหาเธอด้วยความประสงค์ที่ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มนั้น
“ไม่ให้” แซลลี่พูดพร้อมกับซ่อนดาบไว้ด้านหลัง
“ไม่ได้จะมาเอาดาบ แต่มาช่วยคุณ”
สำนวนการพูดที่คล้ายคลึงคนในยุคเดียวกันทำให้แซลลี่ตัวแข็งทื่อ ชายผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้ารีบคว้าแขนของแซลลี่ ก่อนทุกอย่างรอบตัวจะมืดลงพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนได้ยืนอยู่กลางพายุทอร์นาโดที่เกิดขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะเมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือแซลลี่ก็ล้มลงอย่างหมดท่า
“โอ๊ย” หญิงสาวส่งเสียงร้อง แล้วเมื่อผงกหัวขึ้นมองเธอจึงได้เห็นกระท่อมที่รู้สึกคุ้นตา แต่มันไม่น่าสนใจเท่ากับคนตรงหน้า “คุณเป็นใคร”
ดวงตาสีฟ้าจ้องเธอโดยไม่ได้ตอบคำถาม ชายหนุ่มร่างสูงหันหลังให้เธอแล้วก้าวยาว ๆ ไปยังกระท่อม เพียงเขาดีดนิ้วคบไฟก็สว่างไสว แต่ถึงอย่างนั้นแซลลี่ก็ยังคงเห็นได้แค่เพียงดวงตาของเขา เพราะอีกฝ่ายยังคงซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าสีดำ เธอลุกขึ้นยืนด้วยความทุลักทุเลพร้อมกำดาบแน่นเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร”
“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอก”
“ก็บอกสิ จะได้รู้จัก” แซลลี่ว่าโดยที่พยายามจะไม่แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เจอเขา
“ไม่ต้องรู้จักหรอก” เขาบอกด้วยเสียงเรียบ
แซลลี่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความฉงนสงสัย รูปลักษณ์ภายนอกของเขาไม่ได้พ้องต่อสำนวนการพูดของเขาเลย เธอแน่ใจว่าในหนังศึกพิภพมันตราไม่ได้มีตัวละครนี้ และไม่มีตัวละครใดที่พูดด้วยสำนวนคนในยุคปัจจุบัน
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ฉันจะกลับแล้ว” แซลลี่พูดพลางหันหลังทำท่าจะเดินออกไป
“ยังไปไม่ได้” เขาเอ่ยรั้งไว้ตามที่แซลลี่คาด
“ฉันจะไม่อยู่ตามลำพังกับคนที่ฉันไม่รู้จัก” เธอว่าแล้วปักปลายดาบลงบนดินเพื่อพักมือไว้บนด้ามของมัน
“อย่างน้อยผมก็อันตรายเท่าคนพวกนั้น”
แซลลี่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนรอยยิ้มนั้นจะหายไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกนั้นอาจจะย้อนกลับไปหาทามาร่ากับโมนา “ฉันต้องกลับไป ฉันต้องกลับไปช่วยคุณยายก่อน”
“ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก เด็กคนนั้นรู้ว่าต้องทำยังไง”
“เด็กคนนั้น? คุณรู้เหรอว่ามีใครอยู่ในกระท่อม” เธอถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ผมรู้จักคุณมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก”
“ไม่แฟร์เลย” หญิงสาวหมุนตัวแล้วยกดาบขึ้นพาดไว้บนบ่า
“หลังทุกอย่างคลี่คลาย หวังว่าเราจะได้รู้จักกัน” เขาเงียบไป แต่แซลลี่ก็สังเกตได้ว่าเขาลอบถอนหายใจเบา ๆ “แต่คงไม่ใช่ที่นี่”
“หมายความว่าไง” เธอหันกลับมาถามชายหนุ่ม
“คงต้องรอให้หนังเรื่องนี้จบเสียก่อน”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายพูด แต่มันก็ทำให้แซลลี่ต้องอ้าปากค้าง เพราะขนาดโมนาที่รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นใครมาจากไหนยังเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยคำว่าหนังออกมาตรง ๆ แต่เขาคนนี้กลับพูดคำนั้นออกมา นั่นจึงทำให้แซลลี่คิดว่าเขาอาจจะเป็นใครสักคนที่มาจากโลกเดียวกันกับเธอ