กาลเวลาพิสูจน์คน แล้วความรักต้องใช้อะไรมาพิสูจน์กันนะ?
หญิง-หญิง,รัก,ดราม่า,ตลก,ผู้ใหญ่,ควอง,kwong,ยูริ,GL,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
waiting for love • รอรักกาลเวลาพิสูจน์คน แล้วความรักต้องใช้อะไรมาพิสูจน์กันนะ?
คนเราจะรอใครสักคนได้นานแค่ไหน ความรู้สึกที่ไม่เปลี่ยนไป รักที่มั่นคง คนที่ใจเฝ้ารอมันมีจริงใช่ไหม?
💙
นิยายเรื่องแรก เป็นแบบ 16 ตอนจบ ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งจินตนาการของนักเขียน และเรื่องราวบางช่วงที่เกิดขึ้นจริงกับนักเขียนเองที่ได้นำมาถ่ายทอดในนิยาย รูปภาพศิลปินที่ใช้ บุคลิก และพฤติกรรมของตัวละครในนิยายที่นำมาใช้อ้างอิง นักเขียนไม่ได้มีเจตนาทำให้ศิลปินต้องได้รับความเสียหาย และมีเนื้อหาบางตอนที่ไม่เหมาะสม
หากเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้ทำให้คนอ่านรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าควรปรับตรงไหน นักเขียนยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นที่ส่งมา
สุดท้ายนี้หากทำอะไรผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่สนับสนุนงานเขียน หวังว่าทุกคนจะชอบ และสัมผัสความรู้สึกไปกับตัวละครในนิยายอย่างที่ทุกคนจินตนาการ
ฉันนั่งตะลึงพรึงเพริดกับตัวหนังสือที่บอกจำนวนเงินที่คงหา
ทั้งชาตินี้ก็ไม่ได้ นี้ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม
“หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน…. 10,000,000 บาท!”
“ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก สิบล้าน”
ชายวัยกลางคนผู้เป็นทนายในการดำเนินเรื่องการตายของพ่อฉันเอ่ยขึ้นมา หลังจากที่ฉันได้อ่านจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้
“พ่อของคุณได้ทิ้ง สิบล้านนี้ไว้ให้คุณ”
“เงินมากมายขนาดนี้ เขาไม่มีทางมีเงินเยอะได้ขนาดนี้แน่”
“สิบล้านที่ผมพูดถึง คือหนี้สินที่พ่อคุณทิ้งไว้ให้เป็นมรดก”
อึ้ง มือไม้มันสั่น หน้าฉันซีดเหมือนคนจะวูบให้ได้นี่มันบ้าไปแล้ว ฉันก็คิดว่าลาภลอย ที่ไหนได้หนี้ลอยมาอยู่ตรงหน้าสะงั้น ตายไปดีๆ ไม่ได้สินะ ยังทิ้งมรดกหนี้ที่ฉันไม่ได้ก่อไว้ให้อีก
“ไม่ ฉันไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น 26 ปี ที่ผ่านมา เขา… พ่อไม่เคยดูดำดูดีฉันเลยสักนิด ทำไมฉันต้องมารับผิดชอบด้วย”
“เพราะว่าคุณคือ ทายาทคนเดียวของเขา อย่างน้อยๆ คุณก็ได้ใช้หนี้แค่ 5 ล้านเท่านั้น เพราะส่วนที่เหลือพ่อคุณได้จ่ายเป็นความตายไปแล้ว”
ทนายหน้าเลือดพูดออกมาอย่างง่ายๆ ทำเหมือนกับว่ามันก็แค่ 5 บาท
“คุณเป็นทนายฝั่งพ่อฉัน ทำไมไม่ช่วยต่อรองหรือหาวิธีที่มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง?”
“ผมช่วยคุณได้เท่านี้แหละ จากสิบล้าน เหลือห้าล้าน ก็นับว่าดีที่สุดแล้วนะ”
ทนายจ้องมาที่ฉันอย่างคาดคั้น ให้ฉันยอมรับข้อตกลงนี้ให้ได้
“ฉันไม่มีทางเลือกแล้วสินะ หึ น่าขำดีนะ 26 ปี ที่ผ่านมาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับฉัน แต่พอตายขึ้นมากลับอยากมามีส่วนร่วมกับชีวิตฉันสะงั้น”
“ถือว่าคุณตกลงแล้วนะ ถ้ายังไงผมจะส่งเอกสารแจ้งรายละเอียดการชำระหนี้ให้ทราบทีหลัง”
ทนายลุกขึ้น แล้วมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาที่ฉันเห็นแล้วอยากตะบันหน้าให้ไปกองอยู่กับพื้นเลย
“อย่างคุณ ถ้าอยากให้ห้าล้าน หมดเร็วๆ ให้ผมแนะนำคนใหญ่คนโตให้รู้จักเอาไหม หน้าตาคุณก็ใช่ว่าจะไปเป็นเด็กแก้ขัดไม่ได้สะที่ไหน”
“ลองดูไหม ผมเป็นลูกค้ารายแรกให้ได้นะ”
หลังจากที่ฉันนั่งฟังทนายนั้นพล่ามจนจบประโยค สิ่งที่ฉันคิดไว้มันก็ออกมาในรูปแบบการ กระทำมากกว่าคำพูด
“อ๊อค…. ตุ๊บ!…”
ฉันลุกพรวด แล้วถีบเข้าไปกลางอกทนายหน้าหมานั้นเต็มๆ จนล้มลงไปกองกับพื้น ยัง ยังไม่พอ ตอนนี้เท้าฉันมันเตะเข้าไปที่เป้าอย่างสุดแรง
“อุ๊ก... อ๊ากก…”
“คิดว่าเป็นใครหะ! พูดออกมาได้ กล้ามาก! ที่มาดูถูกคนอย่างฉัน”
"ก็เห็นข่าวมาเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะมาโดนกับตัวแบบนี้ ดีแล้วที่มาเจอคนอย่างฉัน ไอ้ใบวิชาชีพที่ได้มานี้ซื้อมาหรือไงหะ? หัดเป็นทนายดีๆ ซะบ้าง ถ้าเป็นไม่ได้ก็เลิกซะ อย่าทำสถาบันทนายเขาเสื่อมเสีย!"
“เอานี่ไป ถือว่าเป็นค่ารักษา หนอน น้อยละกันไอ้คุณทนายหน้าหมา ไม่สิ หมายังดีกว่าอีก!”
ฉันหยิบเงินก้อนที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ จากในกระเป๋า Ducati ปาใส่หน้าทนายนั้นอย่างแรง แล้วเดินจากไปอย่างคนชนะ ตอนนี้ภายนอกฉันดูโคตรคลู โคตรเท่ แต่หายนะมันกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
< บริษัท MUS >
บริษัทเอกชน ที่มีสโลแกนว่าเราอยู่กันเป็นครอบครัว คงรู้ใช่ไหมว่าเป็นยังไง? หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น ฉันก็ต้องดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไป โดยที่มีหนี้สิน 5 ล้าน ค้ำคอฉันอยู่ทุกวัน
“ไม่มี กระจิตกระใจทำงานเลย”
“ฉันจะเอายังไงต่อดี”
“ลาออกเลยดีไหมนะ ไหนๆ ชีวิตมันก็ไม่ได้ดีอะไรอยู่แล้ว”
“บีม”
เสียงของหัวหน้าที่เรียกฉัน ทำให้ดึงสติฉันกลับมา
“เหม่อไปไหน ทำงานๆ เดียวก็หมดไปอีกวันแล้ว”
“ค่ะ”
นั้นสิเดียวก็หมดไปอีกวันแล้ว มันช่าง น่า เบื่อ จริงๆ นี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ต้องมานั่งทำงานเหนื่อยให้คนอื่นเขารวย
ทำไมฉันไม่สู้ออกไปเหนื่อยเอง รวยด้วยตัวเองละ ใช่ฉันต้องลงมือทำตอนนี้เลย
“ฉันขอลาออกค่ะ”
“อะไรนะคะ?”
“วันนี้ฉันขอทำงานเป็นวันสุดท้ายนะคะ”
หลังจากที่ฉันคิด ฉันก็ตัดสินใจเดินมายังห้อง HR เพื่อแจ้งลาออก บีม คนจริง ทำจริงใช้แค่อารมณ์กับความรู้สึกล้วนๆ
“ฟู่ว~”
ฉันถอนหายใจออกมา ตอนนี้มันเบามาก เหมือนสิ่งที่ทำลงไปทำให้ฉันเด็ดขาดมากขึ้น มันดีอย่างนี้เอง
-อิสระโคตรๆ -
“ต่อไปก็ต้องหาหนทางให้มีเงินเข้าทุกวันให้ได้ แล้วจะไปหาทางนั้นที่ไหนก่อน?”
<คอนโด ORP>
ฉันลาออกมาได้หลายอาทิตย์แล้ว เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหน งานก็ไม่ได้หา ทำตัวไร้ค่า ไม่มีเป้าหมาย จนฉันเริ่มทนกับความคิดที่งี่เง่าของตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ
ซู่~ เสียงน้ำที่ไหลจากฝักบัวผ่านตามร่างกายฉันเหมือนกับกำลังเล่นเอ็มวีเพลงอกหักยังไงยังงั้น
“แล้วจะทำยังไงละทีนี้ เงินก้อนนั้นที่ฉันรอคอยมาเป็นปี ทนทำงานหลายตำแหน่งแต่เงินเดือนน้อยนิด”
ฉันทำไปแล้ว นี้ฉันโยนเงินโบนัสที่ได้ครั้งแรก ใส่หน้าทนายนั้นไปได้ไง เงินก้อนที่ฉันเก็บไว้ไปผ่อนค่าคอนโด ค่ารถ เดือนแรก หลังจากวางเงินดาว์ได้แล้วแท้ๆ
แถมสิ่งที่ฉันทำไป ฉันติดคุกได้แน่ๆ ก็มันเป็นทนาย ส่วนฉันคนธรรมดาที่ไม่รู้กฎหมายอะไร แล้วก็ทำเป็นเท่ ลาออกจากงานที่กว่าจะหาได้โคตรยาก
ตอนนี้ยังมาว่างงานทำตัวติสท์แตก ทำไมทำอะไรใจร้อนไปหมด ชีวิตดิ่งลงยิ่งกว่าหุ้นอีก
-หมดกัน-
“คนที่ยังอยู่กลับอยู่เหมือนตาย ส่วนคนตายกลับเหมือนยังอยู่ไม่ได้จากไป เพราะทิ้งไว้แต่เรื่องราวให้เราต้องเจ็บปวด”
“ขายไตได้จริงๆ ไหมนะ หรือฉันจะทำตามที่ไอ้ทนายนั้นเสนอมาดี”
“ไม่ คนอย่างบีมไม่ยอมทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองเด็ดขาด”
ฉันยืนพูดกับตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกในห้องน้ำ เพื่อตอกย้ำให้เชื่อมั่น ตั้งใจ ทำได้
“ฉันคือ บีม ผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรทั้งนั้น นอกจาก... เงิน”
ในที่สุดวันนี้ฉันก็ต้องออกมาจากห้องเพราะเสบียงที่ฉันมีมันหมดแล้ว เลยต้องหอบสภาพสาวเซอออกมาเดินห้าง
ระหว่างเดินผ่านตามร้านค้าต่างๆ ทำเอาใจฉันกระตุกไปหลายที นั้นมันของที่ฉันอยากได้นิ เอะนั้นของที่ฉันกะจะซื้อตอนเงินเดือนออกนี้นะ คอลเลคชั่นใหม่มาแล้วหรอ? มองไปมองมาก็เริ่มรู้สึกสมเพชตัวเอง
"ชีวิต มัน ตลก"
ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วรีบเดินหนีกิเลสที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นๆ ไป ในที่สุดฉันก็มาถึงซูเปอร์มาร์เก็ตของห้างสักที
แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไป ก็เอะใจกับฝูงชนที่มายืนมุงดูอะไรกันสักอย่าง แต่ละคนถือมือถือถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอกันไม่หยุด
"ขอโทษนะคะ นี้เขามุงดูอะไรอยู่หรอคะ"
"อ่อ พอดีมีดาราที่กำลังดังในตอนนี้มาโปรโมทซีรี่ย์นะ"
"คนดัง หล่อไหมคะ?"
"ไม่"
"ไม่หล่อ?"
ฉันทำหน้างงใส่จนเขาหลุดขำออกมา
"ที่ว่าไม่หล่อ ก็เพราะเธอสวยมากกว่าไง ดาราผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย คุณไม่รู้จักหรอ?"
"ไม่รู้ค่ะ ฉันมองไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไร"
หลังจากได้คำตอบเขาก็กดโทรศัพท์เพื่อเปิดภาพให้ฉันดู
"คนนี้ไง สวยมากๆ เลยแหละ แถมยังรวยมากด้วยนะ ครบไปหมดแบบนี้ ถ้าใครได้ไปเป็นแฟนนะ ผมบอกได้เลยสบาย"
"คุณ คุณ คุณเป็นอะไรรึเปล่า?"
ฉันเห็นภาพถ่ายที่เขายื่นโทรศัพท์ให้ฉันดู ฉันถึงกับอึ้งไปเลยที่อึ้งไม่ใช่เพราะความสวยนะแต่นั่นเป็น เธอ ที่ฉันเคยตบหน้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เธอ ที่ฉันเคยมีอะไรด้วยในฐานะที่คลุมเครือ แต่ต้องทิ้งกันไปเพราะฉันเอง ฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างกับเธอได้อีกต่อไป
"ขอบคุณค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ"
ฉันเดินเลี่ยงฝูงชนที่พากันรุมถ่ายภาพอย่างบ้าคลั่ง เข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต
- กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้เจอกันเลย เราต่างกันแบบสุดๆ เกินเอื้อมมาก ฉันไม่มีอะไรที่จะเข้าไปถาม เข้าไปหาได้เลย ก็ดูสภาพฉันตอนนี้สิ -
ฉันคิดแล้วมองไปที่กระจกแถวชั้นเครื่องสำอาง หัวฟู่เหมือนสิงโตนาร์เนีย เสื้อยืดคอย้วย กางเกงยีนขาดๆ รองเท้าแตะ พร้อมหน้าสดแถมสิวที่บังอาจขึ้นบนหน้าใสๆ ของฉันได้
- โคตรโทรม -
- ชีวิตที่ฉันเลือกเอง มันโคตรห่วยเลย -
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อออกไป แล้วเดินไปล็อกอาหารสำเร็จรูป ต่อด้วยล็อกขนม ล็อกนม และล็อกสุดท้าย เป็นล็อกที่ทำให้ฉันตาลุกวาวเป็นประกาย ล็อกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
"วันนั้นลองวอดก้าตัวนี้ไปแล้ว งั้นวันนี้ขอเปลี่ยนแนวเป็นไวน์ขาวบ้างละกัน"
"คุณดื่มไวน์ด้วยหรอ?"
"คะ?"
ฉันหันไปมองคนถามอย่างงงๆ
"เราถามว่าคุณดื่มไวน์เป็นด้วยหรอ? ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่เห็นสภาพแบบนี้ดูไม่น่าดื่มอะไรแบบนี้เป็น แบบมีคลาสนะ"
"..."
-เป็นอะไร? ไอ้ที่พูดนี้ คือว่าฉันจนสินะ ภายนอกฉันไม่น่าดื่มพวกนี้ได้ว่างั้น? -
"แต่ถ้าคุณอยากดื่มเดียวเราซื้อให้ก็ได้นะ เราก็จะซื้ออยู่พอดี... คุณ..."
ฉันไม่รอให้เขาได้พูดจบประโยคก็หยิบขวดไวน์แล้วเดินออกมาอย่างเฉยชา ทำเป็นว่าคนที่พูดอยู่เป็นอากาศ ไม่มีตัวตน
ช่องชำระเงินดันเต็มทุกช่อง เลยต้องไปจุดที่ชำระเงินด้วยตัวเอง ฉันหยิบของออกมาสแกนจนเสร็จ แล้วเดินกลับไปยังลานจอดรถ
ขณะที่กำลังเดินไปที่รถ สายตาดันเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนสวยที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอกันด้วยสถานการณ์แบบนี้
"พี่กัส พี่จะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมแน่ ถ้าพี่ยังติดต่อยัยนั้นอีกละก็ ต่อไปเงินทุกบาททุกสตางค์ ฉันก็จะไม่ให้พี่ ไอ้แมงดา!"
"เฮ้ย! มันจะมากเกินไปละนะ"
ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งเตรียมง้างมือที่จะตบหน้าอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังข่มอารมณ์เอาไว้
"นี้คิดจะตบฉันหรอ? กล้าทำร้ายร่างกายฉันเพราะอีนั้นเนี่ยนะ"
"พอกันที ฉันจะไม่ยอมทนไอ้แมงดา หน้าตัวเมียอย่างมึงอีกแล้ว ไอ้หน้าห..."
เพียะ!
เสียงตบที่ดังก้องในลานจอดรถ ทำเอาผู้คนที่เดินอยู่แถวนั้นหันมาสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงรปภ. ที่คอยอำนวยความสะดวกแถวนั้นก็เดินมาเฝ้าระวังเหตุการณ์ด้วย
-ตอนนี้ฉันรู้สึกหน้าชา เหมือนโดนฉีดยาตอนผ่าฟันคุด รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนที่ทะเลาะกันอยู่
หัวสมองมันบอกอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเลย แต่ขานี้สิวิ่งมารับแรงตบแทนคนหน้าสวยอย่างรวดเร็ว เดอะแฟลชยังต้องแพ้อะบอกเลย-
"มาจากไหนวะเนี่ย"
"ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะตบคุณนะ คุณโอเคไหม"
"โอเคไหม? หึ"
ฉันจ้องตาผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดือดดาลแล้วใช้หลังมือเช็ดเลือดจากมุมปากออก
"เดียวนะ คุณคือคนที่จะซื้อไวน์ให้ฉันนิ"
"อ้า จริงด้วย ยัยโลว์คลาสนี้เอง"
"แล้วคนที่มีคลาสเขาทำตัวกันแบบนี้หรอ?"
"กล้าดียังไงมาตบผู้หญิงแบบนี้"
"หะ?"
"คุณเป็นผู้ชายทำไมถึงต้องใช้กำลังกับผู้หญิงด้วย ถึงแม้เธอจะด่าคุณแรงไปก็จริง แต่คุณก็ไม่ควรลงไม้ลงมือนะ"
"อีกอย่างเธอก็เป็นถึงคนดัง ถ้าหน้าเธอมีแผลหรือเสียหายขึ้นมา คุณรับผิดชอบไว้หรอ?"
-ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย เสือกเรื่องเขาไม่พอยังมีหน้ามายืนด่าเขาอีก จะออกไปจากตรงนี้ยังไงก่อน-
รปภ.ที่เห็นท่าไม่ดีก็เข้ามาระงับเหตุให้ แต่ดูผู้ชายจะไม่ยอมง่ายๆ
"ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ ค่อยๆ คุยกันดีกว่า"
"อย่ามายุ่ง!"
"นี่คุณรู้จักกับแฟนผมด้วยหรอ? ทำไมดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแฟนผมจังเลย"
"ไม่ต้องมาอยากรู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วก็ ฉันไม่ใช่แฟนมึงอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป ต่อไปอย่ามาให้เห็นหน้าอีก นี้ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่มาขวางไว้ละก็..."
คนหน้าสวยพูดอย่างเอาเรื่อง
"เออ กูไปแน่ กูก็เบื่อมึงมากเหมือนกัน มีดีแค่หน้าตากับเงิน คบกันก็บ่นกูได้ทุกวัน แค่กูไม่ทำงานแค่นี้ก็ดูถูกกูสารพัด ที่กูคบด้วยก็เพราะเงินของมึงนั่นแหละ ดาราดังแต่นิสัยขี้หวีน ขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจแบบนี้กูไปดีกว่า ลาขาด!"
"ที่ผ่านมาไม่เคยรักกูจริงๆ เลยใช่ไหม!"
คนหน้าสวยตะโกนไล่หลัง อย่างสุดเสียง ผู้ชายหยุดเดินต่อแล้วหันกลับมาตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"ไม่! แค่หลงในรูปลักษณ์ของมึงเท่านั้นแหละ"
สิ้นเสียงพูดของผู้ชายคนนั้น คนหน้าสวยถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น
-นี้หรอดาราดังที่ใครก็ต่างชื่นชอบ มันดูไม่เท่ ไม่คลูเลยสักนิด น่าหงุดหงิดชะมัด-
ฉันมองสภาพคนสวยที่อยู่ตรงหน้า แล้วถึงกับต้องกำหมัดแน่นแล้วถอนหายใจออกมา ฉันวิ่งไปหาผู้ชายใจร้ายนั้นก่อนที่เขาจะเดินไปไกลกว่านี้ แล้วจับไหล่เขาให้หันมาเผชิญหน้ากันพร้อมกับปล่อยหมัดขวาออกไปอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
พลั่ก!
และนี้ก็เป็นผู้ชายคนที่ 2 ต่อจากทนายนั้นที่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยฝีมือของฉันเอง ยัง มันยังไม่พอคนล้มแล้วก็ต้องซ้ำเพราะถ้ามันลุกมาได้ ฉันนอนไอซียูแน่ๆ ฉันเลยขึ้นคร่อมแล้วดึงคอเสื้อให้รับหมัดฉันได้ถนัดขึ้น
"หมัดแรก สำหรับที่นายตบหน้าฉัน"
"ส่วนหมัดที่สอง สำหรับที่นายกล้าทำกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ไอ้หน้าไม่อาย!"
คนหน้าสวยที่เห็นการกระทำของฉัน รีบลุกขึ้นมาห้ามฉันไว้ด้วยการล็อกเอวแล้วลากฉันให้ออกมา ส่วนรปภ. ก็ช่วยเข้าไปดูอาการของผู้ชายที่นอนมึนงงอยู่ แต่ก็ยังปากดีพูดต่อออกมาได้
"กูจะแจ้งความ กูไม่ยอมแน่ๆ"
"เออ แจ้งก็แจ้งสิ ฉันก็โดนเหมือนกัน ไม่ใช่คุณคนเดียวที่โดนสักหน่อย แจ้งมาแจ้งกลับเอาดิ"
"ช่างแม่ง! กูไปละ อย่าได้เจอกันอีกเลย ไอ้พวกผู้หญิงบ้าปากเสีย"
สุดท้ายเขาก็เดินโซซัดโซเซขึ้นรถแล้วขับออกไป ปล่อยให้คนหน้าสวยยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มจำหน้าดาราดังได้
"เดินไหวไหม?"
คนหน้าสวยถามฉันพร้อมกับโอบเอวฉันไว้ ฉันตอนนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ ไม่ใช่เพราะแผลโดนตบนะ แต่ความใกล้ชิดระดับ 4k แถมกลิ่นน้ำหอมจากตัวมันทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
"ฉัน... ฉันเดินได้ คุณรีบโทรหาใครให้มารับดีกว่านะ ทุกคนถ่ายรูปคุณเต็มไปหมดแล้ว"
คนหน้าสวยมองไปรอบๆ แล้วรีบเอามือบังหน้า
"มานี้"
ฉันถือวิสาสะจับมือคนหน้าสวยแล้วจูงไปที่รถฉันอย่างเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงผู้คนที่ยังถ่ายรูปกันอยู่
ฉันเปิดประตูฝั่งคนนั่งแล้วเอามือบังหัวคนหน้าสวยไว้ พร้อมกับปิดประตู แล้วรีบเดินไปยังฝั่งคนขับ ต้องรีบออกจากที่นี้ก่อนที่จะมีนักข่าวมากัน
"นี่ เราจะไปไหนกัน?"
คนหน้าสวยที่นั่งเงียบมาตลอดทางทักขึ้น
"ไม่รู้เหมือนกัน ฉันรอให้บอกทางอยู่"
"แล้วทำไมไม่ถามละ?"
"ก็... ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงมันรู้สึกแปลกๆ"
"นั้นสิ ก็เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ก็ต้องรู้สึกแปลกๆ อยู่แล้ว"
ฉันได้ยินประโยคนั้นถึงกับหักพวงมาลัยจอดเข้าข้างทางทันที คนหน้าสวยที่หันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่สามารถเดาได้เลยว่า ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงกันแน่
ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งรึเปล่า หรือ รู้สึกไม่น่ามาเจอกันอีกเลยกันแน่ เราสบตากันสักพัก และสุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ต้องเบือนหน้าหนี
"บีม"
ฉันได้แต่นั่งนิ่งเหมือนโดนสาบ แค่เสียงเรียกชื่อฉัน ทำไมมันถึงมีอิทธิพลกับฉันได้มากขนาดนี้
"เป็นอะไร? ทำไมไม่พูด"
"แล้วนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงเข้ามารับแทนแบบนั้น เจ็บมากใช่ไหม"
คนหน้าสวยเอื้อมมือจะมาสัมผัสที่หน้า แต่ฉันกลับสะดุ้งแล้วเขยิบตัวออกมา
-ทำตัวไม่ถูกเลย เอายังไงดี ขืนอยู่แบบนี้ฉันหัวใจวายได้แน่ๆ -
"รังเกียจเราหรอ?"
"เปล่า"
"แล้วเป็นอะไร?"
"เปล่า"
"ไม่ชอบเราหรือโกรธอะไรเรา?"
"เปล่า"
"โว๊ยยยย พูดเป็นแค่นี้หรือไง ถามอะไรก็ตอบแต่ เปล่าๆ จะเอายังไง จะให้ลงเลยไหม ชักจะหงุดหงิดละนะ"
ฉันหันขวับทันที นิสัยยังเหมือนเดิมจริงๆ ถึงภายนอกจะดูเปลี่ยนไป แต่นิสัยก็ยังเหมือนเดิม
เวลาที่เจ้าตัวรู้สึกเริ่มหงุดหงิดจะออกมาทางสายตาก่อนเลย สายตาดุๆ ขมวดคิ้ว พร้อมกับกัดฟันกรามเอาไว้
"ยัง ยังมาจ้องหน้าอีก เราไปก็ได้ ถ้าไม่อยากมาเจอกันตั้งแต่แรก จะเข้ามารับตบแทนเราทำไม"
คนหน้าสวยเปิดประตูลงจากรถ แล้วปิดประตูใส่หน้าฉันอย่างแรง ฉันนั่งดูเธอเดินไปบนทางเท้าแบบนางเอกเอ็มวีอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วขับรถแบบชะลอๆ พร้อมกับเปิดกระจกคุยกับคนหน้าสวย
"เธอ ขึ้นรถ"
"ไม่"
"อย่าดื้อได้ไหม เดียวก็เย็นแล้ว ฉันจะพาไปส่งที่บ้าน"
"พูดเป็นด้วยหรอ?"
"เอ้า ก็เป็น คน ก็ต้องพูดได้ป่ะ เห็นฉันเป็นแมวหรือไงละ จะได้ร้องเมี้ยวๆ"
"กวนตีน!"
"จะไปไหนก็ไปเลยไป เราไม่น่ามาเจอกันเลยด้วยซ้ำ ทิ้งเราไปกันให้หมดเลย ไม่มีใครอยากอยู่กับเราจริงๆ หรอก"
-เราไม่น่ามาเจอกันเลย-
หลังจากได้ยินคนหน้าสวยพูดตอกกลับมามันจุกนะ ฉันปิดกระจกพร้อมกับเหยียบคันเร่งแล้วขับออกไป แต่สายตามันก็หยุดมองกระจกข้างไม่ได้จริงๆ ฉันเห็นคนหน้าสวยนั่งลงก้มหน้ากับตัวเอง
"ทนมาได้ตั้งหลายปี ทนต่อไปอีกสักหน่อยสิความรู้สึก"
เอี๊ยดดดดด! ตุ๊บ
ฉันเหยียบเบรกเต็มตีน พร้อมกับดับเครื่องลงมาจากรถด้วยความโมโหตัวเองแบบสุดๆ
"จะนั่งอีกนานไหม?"
คนหน้าสวยเงยหน้ามองฉัน ขอบตาช้ำแดงจากน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ทำเอาฉันยิ่งโมโหเข้าไปอีก
"ไม่ต้องมายุ่ง"
"ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก"
"ลุกขึ้นมาได้แล้ว"
"ไม่ ไม่ต้องมาสนใจเรา"
"อย่าต้องให้พูดเป็นครั้งที่สองนะ"
"แล้วจะทำไหม มันจะอะไรกันนักกันหนา แค่เราเลิกกับแฟนมันยังแย่ไม่พออีกหรือไง ต้องมาเจอคนแบบเธออีก"
"ว๊าย! ปล่อยนะ บ้าหรือไง"
ฉันหมดความอดทนเต็มที ฉันเลยเข้าไปอุ้มคนหน้าสวยแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เธอเลยรีบเอามือโอบรอบคอฉันเอาไว้เพราะกลัวตก เห็นฉันตัวเล็กแบบนี้แต่แรงฉันก็มีนะ
"ถ้ากลัวตกก็อย่าดิ้น พูดดีๆ แล้วไม่ฟังก็ต้องโดนแบบนี้แหละ"
"ก็เธออะผิด เราไม่ผิดสักหน่อย"
"คนอะไรเปลี่ยนแต่ภายนอก ภายในหัดเปลี่ยนสะบ้างนะ"
"ทำไม เรามันทำไม พูดให้มันดีๆ ด้วย"
"ไม่เถียงด้วยแล้ว เหนื่อย"
ฉันอุ้มคนหน้าสวยจนมาถึงรถแล้วรีบยัดเจ้าตัวเข้ารถอย่างทุลักทุเล
"บอกมาจะให้ไปส่งที่ไหน"
"ไม่กลับบ้าน"
"กลับ บอกมาเร็วๆ มันมืดแล้ว"
"ไม่ กลับ"
"เอ๊ะ ถ้าไม่กลับบ้านแล้วจะไปอยู่ไหนหะ?"
"ก็ไปกับเธอไง เราไม่อยากกลับบ้าน ไอ้แมงดานั่นมันเคยอยู่ เราไม่กลับไปเด็ดขาด"
"ให้ตายสิ แล้วเธอจะไปกับเราได้ไง ใครเห็นหน้าเธอเดินขึ้นคอนโดไปกับเรา เดียวก็โดนถ่ายรูปอีก เมื่อกี้เรายังต้องมองซ้ายมองขวาตอนอุ้มเธอเลยกลัวใครจะเห็นเข้า"
"ไม่รู้แหละ เราไม่กลับบ้านเด็ดขาด!"
ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไม่ว่าจะสิบเอ็ดปีที่แล้วหรือตอนนี้ฉันก็ต้องยอมเธอตลอด
"ถึงแล้ว เธอ เดียวก่อน"
"อะไรอีก"
"เอานี่ หมวก ใส่ไว้จะได้ไม่เป็นจุดสนใจ"
"หึ ดูหนังมากไปไหม ไม่มีใครรู้หรอกรีบๆ เดินให้ถึงห้องก็ปลอดภัยแล้ว"
"เคยฟังกันบ้างไหม ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าให้พูดเป็นครั้งที่ สอง"
"ใส่ก็ได้ ยุ่งยากจริงๆ"
เราทั้งคู่เดินมาถึงหน้าลิฟต์ พอลิฟต์มาถึงก็รีบเข้าแล้วรีบกดปิดทันที ระหว่างที่เดินผ่านล็อบบี้คนแถวนั้นบางคนก็หันมามองเรา บางคนก็กระซิบกระซาบกันเหมือนจะจำได้ว่าคนข้างๆ ฉันเป็นดาราดัง
"อยู่ชั้นอะไร?"
"ชั้น 9"
"บีมอยู่ที่นี้นานแล้วหรอ?"
"เพิ่งมาอยู่"
"คอนโดดูแพงเหมือนกันนะ"
"แล้วทำงานอะไรอยู่"
ติ๊ง เสียงลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ฉันจะโดนสักประวัติไปมากกว่านี้ ฉันเดินนำหน้าพาเธอไปที่ห้องจนลืมไปว่ารหัสผ่านเปิดประตูที่ใช้อยู่ตอนนี้มันเป็นวันเกิดของคนหน้าสวย
-เอาไงดี กดแบบเร็วๆ คงไม่ทันเห็นหรอกมั้ง-
ติ๊ดๆ
3*0*9*
"เข้ามาสิ"
"เปลี่ยนรองเท้าก่อนได้นะ"
"อื้อ"
คนหน้าสวยหยิบรองเท้าหน้าหมีบราวน์มาใส่ แล้วเดินสำรวจห้องฉันอย่างกับอยากรู้อยากเห็นไปหมด
"กินกันไหม?"
"กินกันอะไร?"
"อะไร?"
"ก็อะไรละ"
"อย่าตอบคำถามด้วยคำถามได้ไหมเนี่ย"
"ก็มาพูดอะไร กินกันไหม อย่าคิดว่าเรามาห้องด้วย แล้วเราจะง่ายนะ"
"ฉันหมายถึงข้าว กินข้าวกันไหม ไม่หิวหรือไง?"
"ก็พูดให้มันเต็มๆ ได้ไหมล่ะ หิว หิวมากด้วยมีอะไรกินบ้าง"
"ไม่มี สั่งแอพกินเอานะ"
"ฉันไปอาบน้ำ ส่วนเธอก็นั่งอยู่นี้ อย่าเพิ่งซนเข้าใจไหม"
"รู้แล้วน่า จะนั่งดูทีวีอยู่ตรงนี้แหละ"
ฉันเดินเข้าห้องน้ำอย่างหวาดระแวงเพราะฉันไม่ชินกับการมีคนมาอยู่ด้วยแบบนี้ มันไม่เป็นส่วนตัวแถมอึดอัดแปลกๆ ต้องรีบอาบน้ำแล้วละ หิวชะมัด