พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก,ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทพ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทย์
Record the recipe of the Royal chef
หมวดหมู่ : แฟนตาซี ทำอาหาร การแข่งขัน ต่อสู้(นิดหน่อย)
__________________________
การเป็นพ่อครัววังหลวงนั้นเป็นความฝันและเป้าหมายชีวิตของเหล่าพ่อครัว เหล่านักสร้างความอร่อยให้กับโลกใบนี้ การเป็นพ่อครัววังหลวงที่หลายปีจะเปิดรับพ่อครัวรุ่นใหม่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำฤดูทั้งสี่ และหนึ่งผู้จะเข้าชิงตำแหน่งนั้นคือ ‘เพรา’ พ่อครัวจากเมืองเล็กๆแห่งนั้น แรงปรารถนาของเขาอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือความสุขสบาย สิ่งที่เขาต้องการแค่ ความจริง
“แค่เป็นเหมือนนายให้ได้ใช่ไหม แล้วชั้นจะรู้ความจริง…” - เขียวใบไม้
“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ มาจะช่วยเติมเต็มได้จริงเหรอ?” - แดงเนื้อสัตว์
“การเป็นพ่อครัววังหลวง มันจะแสดงให้ตระกูลเห็นว่าเราเองก็มีค่า” - ม่วงเปลือกมังคุด
“อยากให้คุณอยู่เห็นความสำเร็จของคุณจังเลย …ที่รัก” - ครามทะเล
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ กำลังใจของพวกนาย” - กลิ่นน้ำมันเครื่อง
_____________________________
เวลาของการทำอาหารเริ่มเหลือน้อยลงไปทุกนาที หลายคู่เริ่มทยอยส่งอาหารให้คณะกรรมการ แต่ยังไม่มีคู่ไหนที่ทำคะแนนได้ถึง 50 คะแนน ที่ใกล้เคียงที่สุดนั้นยังคงเป็นคู่ลู่เสียนที่ทำคะแนนได้ 48 คะแนน เวลาที่เหลือไม่ถึงสิบห้านาทีทำให้ว่าที่พ่อครัวทั้งหลายเร่งเครื่องกันจนให้ความรู้สึกว่าครัวแห่งนี้ร้อนเป็นไฟ
พัมพีนั่งรอชิมอาหารจานต่อไปได้รู้สึกง่วงหาวหนาวนอนเพราะรู้สึกเบื่อไม่มีอาหารอันไหนเข้าลิ้นของเขา “ไม่น่ามาเลย มีที่อร่อยจริงๆ ไม่ถึงสี่จาน ตอนรอบคัดคนรอบแรกพวกแกน่าจะคัดให้มันผ่านสนามแค่สี่คนพอ จะได้ไม่ลำบากแบบนี้ ง่วงขึ้นมาจริงๆแล้วสิ” เปลือกตาของพ่อครัววังหลวงค่อยๆ ลดลง แววตาของเขาดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
เพื้ยะ
เสียงของกะโหลกหัวหน้าพ่อครัววังหลวงและฝ่ามือของรองหัวหน้ากระทบกัน เสียงนั้นดังจนทำให้ว่าที่ฯ หลายคนนั้นตกใจ มานึลมองทั้งสองกรรมการที่กำลังทะเลาะกัน ต้องถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้สึกอยากให้ทั้งสองคนทำตัวนิ่งๆ ให้สมเป็นพ่อครัววังหลวงสักไม่กี่นาทีก็ยังดี แต่รู้สึกมันยากเกินไปสำหรับพวกเขาแน่นอน
“พวกคุณ หยุดทำตัวเป็นเด็กกันได้แล้วนะครับ คุณพัมพี จานของเพรามาแล้วครับ” มานึลสะกิดชิม่อนและกระซิบกับทั้งสองคน เพื่อเตือนสติแล้วเรียกทั้งคู่มาตัดสินอาหารของเพราและฮาว
ฮาวและเพรา มองพ่อครัววังหลวงทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกไม่สบอารมณ์ “ตีกันต่อก็ได้ อาหารจะได้เย็น ขึ้นอืด กินง่ายดี” เพราพูดจาประชดประชัน
“เจ้าเด็กเพรา ปากแจ๋วจัง อย่าให้รู้นะว่าใครสอนมันมา รีบวางสิ” ชิม่อนชำเลืองมองพัมพี
พ่อครัวคู่หูทั้งสองมองจานอาหารสองจานไว้บนโต๊ะ “ข้าไม่ชอบชื่อของเจ้าเพรา ข้าเลยตั้งใจจะเรียกจานนี้ว่า คาเนลโลนีทุเรียนซ่อนแอบ” ฮาวไม่ได้แค่แนะนำชื่อเมนูเท่านั้น เขาใช้มือทั้งสองทำท่ากล้องส่องทางไกลประกอบชื่ออาหารอีกด้วย เพราหันไปมองเพื่อนร่วมทีมได้แค่ถอนหายใจ
พัมพีคิดในใจว่า ‘คนรอบตัวเจ้าเพรามันมีคนปกติไหมเนี่ย’
ชิม่อนที่รู้สึกไม่ชอบหน้าเพรา แล้วยิ่งมาดูจานอาหารที่เพราทำนั้นหน้าตาดูธรรมดามากยิ่งทำให้ตัวเขา รู้สึกแค้นใจที่ตัวเองโดนทิ้งไปเกือบปี ต้องมารับคำสั่งจากจดหมายบ้าง นกส่งสารบ้าง จะโผล่ให้เห็นแค่เดือนละครั้งแถมบางเดือนไม่โผล่หัวออกมาเลย เนี่ยนะผลงานของคนที่ทำให้พัมพีต้องเสียเวลา ชิม่อนมองเพราด้วยสายเคียดแค้น เพราที่รู้สึกแรงอาฆาตนี้แต่เขาเข้าใจว่าชิม่อนเป็นคนหัวร้อนง่ายแค่พูดจาประชดประชันนิดเดียวจะต้องมาแค้นอะไรขนาดนั้น
ด้วยความวุ่นวายหลายอย่างทำให้ทั้งสามกรรมการจึงต้องรีบตัดสินอาหารจานนี้ ชิม่อนมองดูเส้นพาสต้าทรงกระบอกยาวขนาดใหญ่ยัดไส้ข้างในที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดสองเส้น เป็นสีเขียวเหมือนกับเปลือกของทุเรียน ถูกห่อหุ้มด้วยซอสครีมขาวข้นที่เนียนนุ่ม ชิม่อนค่อยๆ ใช้มีดกับส้อมหั่นตรงกลางของพาสต้าคาเนลโลนี ไส้ตรงกลางนั้นเป็นสีเหลืองทองประกายราวกับเนื้อทุเรียนสุกแถมมีก้อนเม็ดคล้ายกับข้าว แต่ถ้าสังเกตดีๆและดมกลิ่นของมัน นั้นคือชีสหลากชนิด กุ้งหั่นเต๋า และเนื้อสไลม์ทุเรียนคลุกเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน กลิ่นหอมของคาเนลโลนีที่สุกใหม่ๆ ก็ลอยเข้ามาปะทะกับกลิ่นเนื้อทุเรียนแสนหนาวหอมละมุน
[1] พาสต้าคาเนลโลนี เป็นประเภทหนึ่งของพาสต้าอิตาเลียนที่มีลักษณะเป็นท่อกลมและใหญ่ นิยมใช้ทำอาหารโดยการยัดไส้ข้างในด้วยส่วนผสมต่าง ๆ
กรรมการกำลังจะชิมอาหารของทั้งสองแต่ถูกเพราพูดคัดมาก่อน “เดี๋ยวก่อน กรรมการอาจจะไม่สังเกต พวกผมมีถ้วยเล็กๆวางอยู่ข้างจานด้วย ก่อนกินอยากให้โรยครัมเบิ้ลก่อนครับ” เพราชี้ไปที่ถ้วยขนาดเล็กเหมือนกับถ้วยน้ำจิ้ม ข้างในมีบิสกิตอันเล็ก ๆ สีเขียว ที่แตกละเอียด สิ่งนั้นเรียกว่า ‘ครัมเบิ้ล’
ชิม่อนส่ายหน้าแสดงอาการไม่ชอบใจ เขารู้สึกว่าทั้งสองคนยังไม่มืออาชีพพอ กรรมการโรยครัมเบิ้ลเข้าไปในตัวอาหาร พวกเขาได้กลิ่นของหอมของอาหารมากขึ้นไม่ว่างจะเป็นกลิ่นสมุนไพรจากครัมเบิ้ล กลิ่นของไส้ที่มาจาก เนื้อทุเรียน ชีส กระเทียมและหัวหอมที่ผัดเข้ากับเนื้ออย่างลงตัว และรวมไปถึงกลิ่นของซอสครีมขาวข้น แค่คำๆหนึ่งของชิม่อนที่ได้ชิมเข้าไป เขาได้เข้าสู่ภวังค์อาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศของหนุ่มสาว ชิม่อนมองไปรอบๆ ตัวเองทุกอย่างเป็นสีดำ ข้างหน้าของตัวเองนั้นมีแต่พัมพียืนอยู่ ชิม่อนเห็นภาพตรงหน้าเขาถึงเข้าใจเพราะนี่คือศึกตัดสินระหว่างผู้ที่ได้เป็นพ่อครัววังหลวงและคนธรรมดา ‘ยินดีด้วย พัมพี เธอคือพ่อครัววังหลวง’ เสียงดีใจของเพื่อนๆ ร่วมการแข่งขันดังขึ้น มานึล ฮันนี่บี และคนอื่นๆ กำลังกระโดดกอดดีใจกับพัมพี ส่วนชิม่อนเดินออกมาไร้คนปลอบโยน ชิม่อนมองหาที่สงบใจบนเกาะลอยฟ้า เขานั่งมองดูพระอาทิตย์ตกอยู่ขอบเกาะลอยฟ้า เขามัวแต่คิดโทษตัวเอง เพราะมันเป็นก้าวสุดท้ายที่ก้าวพลาด
“อยู่นี่เอง ขอนั่งด้วยคน” พัมพีเดินมานั่งข้างชิม่อน เขาถือกล่องอาหารแบ่งให้กับชิม่อน “ลองกินไหม เจ้ากระต่ายทำมาแจก ทุเรียนชีสเผา”
พัมพียื่นทุเรียนกำลังร้อนๆ มีชีสไหลออกมาจากข้างใน กลิ่นหอมของทุเรียนที่ร้อนและชีสที่หลอมละลายเข้ากันได้อย่างลงตัว กลิ่นหอมหวานและความร้อนแรงของทุเรียนทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น “ไม่เอา ไม่กิน ทำไมแกไม่ไปฉลองกับกระต่ายยูละ”
“แล้วจะปล่อยเพื่อนคนสำคัญนั่งผิดหวังหรือไง รีบเอาไปได้แล้ว ร้อนมือ” พัมพียัดทุเรียนใส่มือของชิม่อน “เข้าไปข้างในเหอะ ไปดูรอบตัดสินฤดูหนาวกัน”
“ดูไปแล้ว เราจะได้ทำงานในวังหรือไง ไม่เอาอะ” ชิม่อนตอบด้วยเสียงเศร้า แววตาของเขาดูหดหู่
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ก็แจ้งคุณวิกค์ไปแล้วว่าจะเอา แกเป็นรองหัวหน้า คุณวิกค์บอกให้มาถามเนี่ย”
“จริงเหรอ จะให้เราเป็นรองจริงเหรอ” แววตาของชิม่อนเป็นประกายอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของพัมพี
“เออสิ รีบกินทุเรียนแล้วเข้าไปข้างในกัน” รอยยิ้มของหนุ่มว่าที่รองหัวหน้าพ่อครัววังหลวงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิม่อน เขากินทุเรียนด้วยน้ำตาแห่งความสุข รสชาติหวานมันของทุเรียนเข้ากันได้ดีกับชีสร้อนๆ ที่ไหลออกมา ต้นมินท์ที่อยู่ข้างๆ ส่งกลิ่นหอมสดชื่นเข้ามาปะทะกับกลิ่นหอมหวานของทุเรียนและชีส ทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เขารู้สึกดีจริงๆ ที่ได้แบ่งปันช่วงเวลานี้กับเพื่อนสนิทของเขา
ชิม่อนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เขาชิมอาหารด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข “ทุเรียนกับชีสที่เป็นตัวไส้ทำออกมารสชาติดีมาก การนำเสนอให้ตัวคาเนลโลนีมีสีสันเหมือนทุเรียน ถือว่าเป็นไอเดียที่ดี 18 คะแนน” คะแนนที่ชิม่อนให้นั้นเป็นคะแนนสูงที่สุดตั้งแต่สอบแข่งขันรอบนี้มา ทำให้สายตาหลายคู่นั้นจับตามองทั้งสองคน
“สำหรับผมนะ โดยรวมอร่อยมากครับ ตัวซอสทำเป็นชาวเดอร์ซุป [2] รสเข้มข้นมาก แต่ด้วยความที่ทุกอย่างเป็นครีมและนม มันทำให้เลี่ยนง่าย ถ้าลองปรับซอสให้เบากว่านี้จะดีมากครับ 15 คะแนน” ด้วยการให้คะแนนของมานึลนั้น ตัดความสุขของเพราอีกครั้ง เพรารู้สึกถึงการถูกท้าทาย แต่ก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของมานึล
[2] ชาวเดอร์ซุป คือ ซุปที่มีความเข้มข้นและมักมีส่วนผสมของนมหรือครีมเป็นหลัก มีวัตถุดิบหลักเป็นอาหารทะเล เช่น หอยลาย กุ้ง ปลา
“ครัมเบิ้ลมิ้นท์มันดี แต่รสอ่อนไปหน่อย ถามว่าอร่อยไหม... อร่อยโคตร 15 คะแนน” พัมพีแสดงความชื่นชมด้วยการยิ้มกว้าง เพราเห็นความภาคภูมิใจในสายตาของพัมพี
ด้วยคะแนนที่ได้มานั้นทำให้เพราและฮาวขึ้นอันดับร่วมกับคู่ของลู่เสียน ทั้งสองพ่อครัวชนหมัดให้กันไม่คิดว่าคู่ที่ไม่อยากคู่ที่สุดกลับมาเป็นจ่าฝูงของเหล่าว่าที่พ่อครัววังหลวงในรอบนี้ได้ เพรายิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มสุข เขาเห็นว่าพัมพีก็ยิ้มยินดีให้เขา พร้อมกับทำรูปปากเป็นคำว่า ‘เก่งมาก’
การสอบครั้งนี้ยังไม่จบเพราะยังมีอีกหลายคู่กำลังต่อแถวรับคำตัดสินจากคณะกรรมการทั้งสามท่าน หลายคู่ผ่านไปโดยเฉลี่ยคะแนนของพวกเขาอยู่ที่สามสิบคะแนน มีไม่กี่คู่ที่สามารถทำคะแนนได้ถึง 40 หรือมากกว่านั้น แถมยังมีอีกหลายคู่ที่ทำคะแนนไม่ถึงสามสิบคะแนนก็มี บรรยากาศในครัวเริ่มเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อเวลาการแข่งขันลดลง เหล่าว่าที่พ่อครัวต่างก็พยายามทำสุดความสามารถเพื่อให้ผลงานของตนเองโดดเด่น
“จานของพวกเราคือ ‘ชุดเต้าหู้รมควันเนื้อ’ ค่ะ” นอททัมและเมลเลกถือกล่องเบนโตะสีดำมาวางไว้ตรงหน้าของกรรมการ พวกเขาทำเป็นชุดข้าวหนึ่งสำหรับ
“ผมนอททัมครับ พวกเราได้เป็นวู้ดเวิร์ดเปลือกกลิ่นเนื้อ เราใช้เปลือกของวู้ดเวิร์ดเป็นวัตถุดิบครับ ด้วยตัววัตถุดิบเป็นพืช พวกเราเลยคิดว่าจะนำเสนอในรูปแบบกล่องเบนโตะมังสวิรัติ”
มานึลมองไปที่กล่องเบนโตะเป็นชุดอาหารสี่ช่องที่น่าสนใจ เริ่มต้นด้วยข้าวสวยร้อนๆ เม็ดข้าวเรียงตัวอย่างสวยงาม มีงาดำตัดสีขาวของข้าว ช่องต่อไปเป็นพระเอกของจานนี้อย่างเต้าหู้รมควันสีทองกรอบ มีทั้งหมดสามชิ้นเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ น้ำซอสสีน้ำตาลเข้มที่ราดอยู่บนเต้าหู้ส่งกลิ่นหอมหวานชวนน่าลิ้มลอง เพิ่มรสชาติกลมกล่อมด้วยต้นหอมซอยสีเขียวสด ตัดกับสีทองของเต้าหู้และสีเข้มของซอส กลิ่นของเต้าหู้นั้นแตกต่างจากเต้าหู้ธรรมดาทั่วไปเพราะมีกลิ่นของเปลือกไม้รมผสมไปกับตัวเนื้อเต้าหู้ อีกหนึ่งช่องเป็นสลัดส้มโอสีแดงที่ถูกจัดมาอย่างสวยงามตามสไตล์การทำอาหารของเมลเลก ตัวเนื้อส้มโอถูกวางเรียงสลับกับเปลือกไม้วู้ดเวิร์ด เปลือกไม้ของวู้ดเวิร์ดเป็นหนึ่งในเปลือกไม้ที่สามารถทานได้ รสชาติของมันจะเหมือนกับการกินหมูทุบรสจืดและแห้ง ช่องสุดท้ายเป็นคัสตาร์ดไข่สีเหลืองทองตัดกับสีน้ำตาลของคาราเมล
หน้าตาของพัมพีบ่งบอกถึงอาการเบื่อเมื่อได้ยินคำว่ามังสวิรัติ เขาไม่ได้มีปัญหากับการกินมังสวิรัติแต่เขาอยากกินเนื้อมากกว่า “เหอะๆ จานนี้ดูจืดมาก”
“เป็นกรรมการอย่าเลือกกินได้ไหม” ชิม่อนพูดเตือนพัมพี เขาค่อยๆใช้ส้อมตัดเต้าหู้ขึ้นมากิน ชิม่อนรู้สึกถึงรสชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความกรอบ หอม หวาน และเผ็ดอ่อน ๆ ของต้นหอม กินสลับกับสลัดส้มโอเปลือกไม้ที่มีความชุ่มฉ่ำ รสหวานและเผ็ดสลับกันไปในปากของเขา “ผมขอทานแค่สองอย่างนี้นะครับ เพราะข้าวก็คือข้าว แค่เห็นว่าหุงข้าวหน้าตาแบบนี้ก็แปลว่าข้าวคุณภาพดี ส่วนเต้าหู้ทำออกมาได้ดีกว่ามาตรฐานเต้าหู้ทั่วไป ตัวซอสใช้ได้ ที่น่าสนใจจริงๆคือ สลัดส้มโอเปลือกไม้ โดยรวมๆแล้วธรรมดามากนะครับ 11 คะแนน”
“โจทย์คือวู้ดเวิร์ด ผมคาดหวังว่าจะได้ชิมหัวใจวู้ดเวิร์ด แต่น่าผิดหวังจริงๆ พวกคุณสองคนเป็นตัวเก็งของสนามสอบคัดเลือกที่ผมเป็นคนเลือกมา แต่ทำออกมาได้ธรรมดามากครับ 11 คะแนน” มานึลชิมแค่คำสองคำถึงกับต้องวางส้อมเพราะตัวอาหารไม่ชวนให้รับประทานต่อเท่าไรนัก
“9 คะแนนที่จริงอยากให้ 7 นะ แต่ของหวานอร่อยดี”
นอททัมสังเกตว่ากรรมการทั้งสามคนกินอาหารของพวกเขาน้อยมาก และยิ่งได้ยินคะแนนของพวกเขาทำให้ทั้งคู่อยู่ในสภาวะเศร้าซึม นอททัมประคองตัวเมลเลกเดินกลับไปพื้นที่ทำอาหารของทั้งสองคน เพื่อยืนรอให้กรรมการชิมอาหารของทุกคู่ให้ครบ
นอททัมพูดให้กำลังใจกับเมลเลก “พวกเราพยายามแล้ว รอบหน้าแก้มือใหม่นะ” แต่ดูเหมือนคำพูดของนอททัมนั้นเหมือนไม่ได้เข้าไปยังหูของเมลเลกแม้แต่น้อย ตอนนี้จิตใจของเธอเหม่อลอยและฟุ้งซ่าน ไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง ร่างกายของเมลเลกเริ่มอ่อนแรง เธอย่อตัวคุกเข่า น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลหยดลงใส่เข่าของเธอจากหนึ่งหยด เป็นสองหยด จนตอนนี้น้ำตาของสาวน้อยไหลเป็นสายน้ำ เธอรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เธอรู้สึกแย่ที่ต้องดึงนอททัมมาปากเหวกับเธอ เมลเลกคิดว่าถ้านอททัมได้คู่กับเพรา น่าจะดีกว่า เธอผิดเองที่ต้องมาจับคู่กับนอททัม
“ฉันขอโทษนะ นอททัม ฉันอ่อนแอเกินไป” เมลเลกร้องไห้ไม่หยุด เธออยากให้น้ำตานี่หยุดไหลแต่ก็ทำไม่ได้
“กระดาษเช็ดหน้าครับ ใช้เช็ดน้ำตาดีกว่านะครับ คุณเมลเลกไม่เหมาะกับน้ำตาหรอก” นอททัมก้มลงยื่นกระดาษเช็ดหน้าให้กับเมลเลก เธอหันหน้ามองนอททัม เมลเลกเอาหน้าของไปซบตรงไหล่ของคู่หูเธอ นอททัมไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาใช้มือของเขาลูบหัวเบาๆให้กับสาวน้อย
เวลาผ่านไปจนเสร็จสิ้นการให้คะแนนของคู่สุดท้าย หลายคู่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองที่คะแนนอยู่กลุ่มคะแนนจะไม่ได้ไปต่อแน่นอน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่คะแนนเกินสี่สิบ พวกเขาก็มั่นใจได้เลยว่าพวกเขานั้นได้ไปต่อแน่นอน ชิม่อนเปิดดูรายชื่อผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด “ฮะโหล่ เสียงดังไปไหม เอาละ พวกเราได้ตัดสินใจแล้วว่าอยากให้พวกอ่อนหัดออกไปเยอะๆ ฉะนั้น ใครคะแนน 30 หรือต่ำกว่า 30 กลับบ้านไปไอ้พวกอ่อน ที่เหลือ 16 คู่ 32 คน พวกแกได้ไปต่อ”
จบคำพูดของชิม่อนเสียงแห่งความดีใจของเหล่าผู้เข้ารอบดังก้องทั่วสำนักงาน และในทางเดียวกันน้ำตาของแพ้เริ่มไหลรินออกมา เมลเลกที่ยืนทำใจว่าตัวเองไปต่อไม่ได้แล้วถึงกับต้องประหลาดใจกับคำตัดสินของชิม่อน นอททัมดีใจ สวมกอดแม่ครัวสาวทันที เพราและเจ้าปลาเองเดินแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยอีกที พวกเขาทั้งสี่ดีใจกระโดดกอดคอกัน
“ฉันไม่คิดดีใจเท่านี้มากเกินเลย ขอบคุณนะนอททัม” เมลเลกพูดเสียงสะอื้น
“ข้าพึ่งรู้จักพวกเจ้าไม่นาน นึกว่าจะโดนทิ้งให้อยู่กับเจ้าเพราสองคน สะแล้ว”
นอททัมยิ้มกว้าง “อย่าพูดแบบนั้นสิคุณฮาว หัวใจเต้นแรงมากตอนนี้”
“พวกนายต้องขอบคุณ คัสตาร์ดไข่ ไม่งั้นคะแนนต่ำกว่าสามสิบแน่”
…
ระหว่างที่ทั้งสี่คนนั้นมีความสุข อีกด้านหนึ่ง ชูโรสพี่สาวของเพรากำลังเดินอยู่ในเขตปกครองกาโชรา เขตปกครองที่ 4 หัวใจแห่งอุตสาหกรรมของเมืองหลวงแห่งนี้ เธอเดินถือกระดาษแผ่นหนึ่งถามทางคนแถวนั้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ตึกแถวตึกหนึ่ง ชูโรสกดอ็อดหน้าบ้าน
“มาแล้ว มาแล้ว” เสียงของผู้ชายด้านหลังประตูได้เปิดออก เป็นเจ้าหน้าที่โมลาในชุดลำลองทั่วไป “มาเยี่ยมเพื่อนเก่าเหรอ ชูโรส”
“อย่ามาเล่นลิ้นนะ ฉันมาหานายเพราะ นายเขียนในกระดาษตอนนั้นว่า นายรู้เรื่องนั้นแล้ว”
“เรื่องไหนเหรอ พอดีทำงานราชการเรื่องในหัวมันเยอะ”
“เรื่องแม่ของเพราไง”
โมลานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “อืม เข้าใจแล้ว ตามฉันมาข้างในก่อนเถอะ” เขาพาชูโรสเข้าไปในบ้าน ปิดประตูอย่างระมัดระวังแล้วพูดต่อ “เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่เธอคิดน่ะ”
[เกร็ดความรู้หลังครัว]
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว มีที่มีรู้จักการทำอาหารด้วยการรมควันจะต้องเอะใจ แล้ว่า นอททัมเมลเลกนั้นรมครันกันเร็วจัง ปกติต้องใช้เป็นชั่วโฒงไม่ใช่เหรอ อะถูกต้องปกติใช้เวลานาน แต่ที่เมลเลกใช้นั้นจะเป็น Food Smoking Machine เป็นเหมือนครอบแก้วแล้วพ่นควันไปข้างใน ใช้เวลาอย่างน้อย 15 นาที ทำให้พวกเมลเลก ทำทัยเวลานั้นเอง