พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก,ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทพ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทย์
Record the recipe of the Royal chef
หมวดหมู่ : แฟนตาซี ทำอาหาร การแข่งขัน ต่อสู้(นิดหน่อย)
__________________________
การเป็นพ่อครัววังหลวงนั้นเป็นความฝันและเป้าหมายชีวิตของเหล่าพ่อครัว เหล่านักสร้างความอร่อยให้กับโลกใบนี้ การเป็นพ่อครัววังหลวงที่หลายปีจะเปิดรับพ่อครัวรุ่นใหม่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำฤดูทั้งสี่ และหนึ่งผู้จะเข้าชิงตำแหน่งนั้นคือ ‘เพรา’ พ่อครัวจากเมืองเล็กๆแห่งนั้น แรงปรารถนาของเขาอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือความสุขสบาย สิ่งที่เขาต้องการแค่ ความจริง
“แค่เป็นเหมือนนายให้ได้ใช่ไหม แล้วชั้นจะรู้ความจริง…” - เขียวใบไม้
“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ มาจะช่วยเติมเต็มได้จริงเหรอ?” - แดงเนื้อสัตว์
“การเป็นพ่อครัววังหลวง มันจะแสดงให้ตระกูลเห็นว่าเราเองก็มีค่า” - ม่วงเปลือกมังคุด
“อยากให้คุณอยู่เห็นความสำเร็จของคุณจังเลย …ที่รัก” - ครามทะเล
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ กำลังใจของพวกนาย” - กลิ่นน้ำมันเครื่อง
_____________________________
ต้องใช้เวลาเกือบเจ็ดชั่วโมงในการเดินทางมาถึงวิหารเนเรียเก่า สำหรับระยะเวลาของการเดินทางนั้นคือการพักผ่อนและซึมซับบรรยากาศข้างทาง แต่สำหรับทั้งสี่คนนั้นเหมือนกำลังรอความเครียดเข้าหาตัวเอง
นอททัมและเพรานั่งด้วยกันที่ด้านคนขับ มองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป นอททัมใช้เวลานั่งวางแผนกับเพราเกี่ยวกับเนื้อต่างๆ ที่จะเข้ากับซุปชนิดไหน ทั้งสองพยายามหาความสมดุลระหว่างวัตถุดิบและรสชาติ เพราพูดคุยอย่างกระตือรือร้น แต่แววตาของนอททัมแฝงด้วยความวิตกกังวล
“ซุปแครอทครีม ที่วิหารอาจจะมีแครอทถ้ำอยู่บ้าง”
นอททัมคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “นั้นสินะครับ แต่เราจะหาเนื้อแดงได้ใช่ไหมครับ”
ในทางกลับกันภายในห้องครัว เมลเลกและฮาวาร์ติใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเปิดหลักสูตรเรียนทำขนม เช่น การบูมเจลาติน ความแตกต่างของผงฟู และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้เมลเลกไม่มีเวลามานั่งคิดจานเรียกน้ำย่อยของตัวเอง
“นายจะต้องตั้งสตินะ ฉันรู้ของหวานไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ทำไม่ได้ตอนนี้นายจบแน่” เมลเลกเตือนฮาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
ฮาวาร์ติถอนหายใจ “เลิกกดดันได้ไหม แค่เนี่ย ข้าจะบ้าตาย”
“ทั้งสองคน พวกเรามาถึงวิหารเนเรียแล้วนะครับ” นอททัมเปิดประตูห้องครัวเรียกทั้งสองคน
เมื่อทั้งสี่ได้ลงมาจากรถ ภาพที่พวกเขาเห็นเป็นวิหารเนเรียเก่า ซึ่งเป็นวิหารสีขาวธรรมดาๆ พื้นที่ลานหน้าวิหารเต็มไปด้วยหญ้าขึ้น น้ำพุกลางลานมีแต่น้ำขังนอนก้น เสาหินที่สวยงามพังทลายเกือบหมด คาดว่ามาจากการเสื่อมสลายตามเวลาและถูกมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ทำพัง
นอททัมเป็นคนแรกที่เข้าไปในตัววิหาร ข้างในค่อนข้างกว้างประมาณสนามกีฬาขนาดใหญ่ ด้านในสุดมีประติมากรรมของหญิงสาวสวมอาภรณ์นักบวชคาดว่าเป็นเทพเนเรีย ตรงกลางของวิหารพื้นยุบตัวพังทลายหายไปทำให้เห็นชั้นด้านล่าง เมลเลกเดินตามนอททัม เธอสังเกตเห็นป้ายโลหะแผ่นหนึ่งกำลังพลิกคว่ำอยู่ข้างประตูทางเข้า เธอจึงขอให้นอททัมพลิกให้
แผ่นเหล็กแผ่นนั้นเป็นแผนที่ของวิหาร “ชั้นสี่? ทำไมแผนที่ชั้นสี่ถึงอยู่ตรงนี้ แต่จากที่ ทั้งประตูทางเข้า อนุสาวรีย์ของเทพ จุดเดียวกัน แปลกจัง”
“คนที่สร้างวิหาร อาจจะนับจากชั้นที่ลึกที่สุดของวิหารเป็นชั้นที่หนึ่งก็ได้นะ ดูตรงบันไดนั้นสิ มีเขียนทางขึ้นชั้นห้าด้วย” เพราเดินดูรอบๆ ของวิหาร แล้วเขาชี้ที่ป้ายข้างบันได “ขึ้นได้อย่างเดียวนะ ถ้าจะลงคงต้องลื้อเศษหินเศษไม้”
“ข้าว่าส่วนมากมอนสเตอร์จะต้องอยู่ตั้งแต่ชั้นสามลงไปแน่ พวกเจ้ามาดูสิชั้นสามเหมือนจะมีน้ำด้วย” ฮาวเรียกทั้งสามมาดูบริเวณพื้นกลางวิหารที่พังทลาย ทำให้เห็นห้องด้านล่าง เป็นเหมือนพื้นที่ลานกว้างขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการเป็นที่อยู่อาศัยของมอนสเตอร์น้ำหลายชนิด “ข้าว่าชั้นสามน่าจะเดินได้ ข้าจะลงไปดู” ฮาวกล่าวก่อนจะกระโดดลงไปทันที เขาไม่ได้ฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีมคนไหน
“เจ้าปลาเป็นไงบ้าง” เพราตะโกนถามฮาว
“น้ำไม่ลึกมาก ครึ่งหน้าแข้งของข้า เจ้าน่าจะประมาณหัวเข่านะเพรา” คำตอบของฮาวเหมือนจะไม่มีนัยแฝงอะไรแต่ทำให้เพรารู้สึกอยากกระโดดเตะปากคนข้างล่าง “รีบลงมาได้แล้ว ข้ารู้สึกแปลกบอกไม่ถูก”
ทั้งสี่จึงวางแผนกันโดยเมลเลกจะสำรวจชั้นห้าและรอรับพวกเพื่อนๆ ขึ้นมาจากชั้นสามด้วยเส้นด้ายของเธอ ส่วนเพรา นอททัม และฮาวจะเริ่มสำรวจจากชั้นสามลงไปเพื่อตามหาวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร เพราทิ้งสัมภาระทุกอย่างไว้ที่ชั้นสี่ พกไปแค่อาวุธ ตะเกียง และถุงหนังขนาดใหญ่สำหรับเก็บวัตถุดิบ พวกเขาหมดเวลาไปเกือบเจ็ดชั่วโมง และต้องแบ่งเวลาสำหรับขากลับ และตอนทำอาหาร ทำให้ทั้งสี่ตกลงว่าอีกหกชั่วโมงจะมาเจอกันที่ตรงนี้
เมลเลกกับนอททัมเข้าใจแผนงานของพวกเขา ทั้งหมดเริ่มแยกย้ายกันสำรวจวิหารเก่า นอททัมอุ้มเพรากระโดดตามฮาวลงไปชั้นสาม ฉันนี้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีของลัทธิ มีการทำลวดลายกระจกให้เป็นรูปท่านเนเรีย ของตกแต่งต่างๆ ถูกพืชจำพวกมอสส์ขึ้นเกือบหมด กลิ่นสาบน้ำจืดคลุ้งทั่วห้อง
ส่วนเมลเลกที่สังเกตการณ์อยู่ด้านบนเห็นว่าทั้งสามลงได้อย่างปลอดภัย เธอได้เริ่มสร้างเส้นด้ายถูกไว้กับเสาหินและหย่อนลงไปเป็นเชือกสำหรับปืนขึ้นมา กรณีที่ทั้งสามกลับมาก่อนเธอ
“ข้างล่างแปลกจริงด้วย ไม่ชอบกลิ่นสาบน้ำจืดเลย” เพราเดินถือตะเกียงมองพื้นวิหาร “เหมือนวิหารนี้ยังมีคนใช้งานหรือไม่ก็เป็นพวกสัตว์มีขาอาศัยอยู่ที่นี่” เพราชี้ไปที่พื้นบางส่วนที่ไม่มีตะไคร่ขึ้น มันเป็นรอยขีดยาว บางจุดเป็นรอยเท้าเหมือนกับพวกเป็ด
“เป็ดเหรอครับ รอยเท้าแบบนี้ หรือเป็นมอนสเตอร์...” นอททัมพูดไม่ทันจบเสียงปริศนาก็ดังขึ้น
แป๊ะ แป๊ะ
เสียงปริศนาดังขึ้น เสียงของบางสิ่งบางอย่างกระทบกับพื้นน้ำ ทั้งสามหันไปมองต้นเสียงสิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์หรืออมนุษย์เผ่าอื่น ภายในเงามืดที่มืดหลังซากหินที่พังทลาย มีแสงจากชั้นที่สี่ส่องผ่านสะท้อนกับเกล็ดสีเงินฟ้า สิ่งมีชีวิตนั้นคือปลาที่มีขาสองข้างยื่นออกมาจากด้านล่างของลำตัว อยู่รวมกันสามตัว พวกมันกำลังมองเหล่าพ่อครัวด้วยความหวาดกลัว
เพรากับฮาวมองหน้ากันเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาเตรียมพร้อมล่า ฮาวเดินอย่างระมัดระวังในพื้นที่น้ำขัง ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงน้ำที่กระเด็นยิ่งสร้างความกลัวให้กับเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนั้น มนุษย์เงือกคิดว่าถ้าเขาเลือกการตะล่อมจะไม่เป็นผลแน่ และยิ่งเป็นการกระโจนเข้าไปจับด้วยวิหารมีน้ำขังอยู่ทั่วทำให้พื้นลื่นถ้าเขาพลาดท่าอาจจะเป็นการปล่อยเหยื่อไป
การตัดสินใจที่ดีที่สุดของเขาได้เริ่มขึ้น เขาใช้มือวักน้ำขึ้นมาสาดใส่ปลามีขา ด้วยความสามารถเปลี่ยนน้ำเป็นของแหลมคม การตีน้ำของฮาวก็ไม่ต่างจากการสร้างกระสุนน้ำออกมา ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าของกระสุนน้ำทำให้ทะลุผ่านปลามีขาหนึ่งตัว ส่วนอีกสองตัวที่รอดจากกระสุนน้ำ พวกมันพ่นน้ำใส่ฮาวและว่ายหนีหายไป
“โธ่โว้ย ทำไมพวกเจ้าไม่ตาม เว็บฟุต (Webfoot) สองตัวนั้นไป” ฮาวหันไปตวาดใส่ทั้งสองคนที่นิ่งเฉย หารู้ไหมว่าทั้งคู่ลื่นตะไคร่น้ำ นั่งนิ่งตั้งแต่ก่อนฮาวยิงกระสุนน้ำ “โธ่ พวกมนุษย์เท้าแบน” ฮาวเดินมาหาเพรา เขายืนมือดึงตัวพ่อครัวตัวน้อยลุกขึ้นยืน
“ขอบใจ ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตัวเองแบบนี้” เพรากล่าวพร้อมกับบิดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยน้ำ
“เจ้าเพรา หมายความว่าอย่างไร เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์” ฮาวถามด้วยความสงสัย
“เว็บฟุต ปลามีขา นายก็ปลามีขา ไม่ได้เป็นญาติกันเหรอ” เพราพูดติดตลก คำพูดยั่วโมโหของเพราทำให้มนุษย์เงือกเลือดขึ้นหน้า ฮาวพร้อมที่จะต่อยหน้าเพื่อนร่วมทีมอย่างเพราทันที
พ่อครัวตัวน้อยที่รู้ว่าฮาวกำลังจะอาละวาด เขาจึงใช้นอททัมเป็นโล่กำบังระหว่างเขาและฮาว นอททัมเหมือนกับตกกระไดพลอยโจนในศึกนี้ เขาพยายามแยกฮาวออกจากเพราให้ได้
“คุณฮาวใจเย็นสิครับ ทำไงดี อยากให้คุณเมลเลกมาอยู่ด้วยจัง” นอททัมพยายามพูดปลอบ
“ใช่แล้ว นอททัมพูดถูก เรามาที่นี่เพื่อทดสอบ ไม่ใช่เพื่อทะเลาะกันเอง” เมลเลกได้ยินเสียงของการต่อสู้จึงรีบเดินมาดู แต่พอเธอมองลงมาจากชั้นบนได้เห็นเหมือนกับเด็กทะเลาะกัน เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ เมลเลกพยายามใช้เสียงเรียบๆ ของเธอในการทำให้สถานการณ์สงบลง
ฮาวหยุดชะงัก หายใจลึกๆ ก่อนจะปล่อยมือจากนอททัม “ข้าแค่หงุดหงิดที่ปล่อยเว็บฟุตสองตัวนั้นหนีไปได้ แล้วดูไอ้เด็กเพราสิ ล้อข้าว่าเป็นเว็บฟุต”
“โอ๊ย ฉันไม่ใช่แม่พวกแกนะ เรามีเวลาน้อย ลงมือหาวัตถุดิบกันเถอะ”
พอแม่ครัวสาวสั่งสอนเพื่อนร่วมทีมของเธอ เมลเลกเริ่มทำตามแผนของเพรา เธอเดินสำรวจวิหารด้านบนถึงจะผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง เมลเลกเจอแต่สิ่งมีชีวิตทั่วไปตามธรรมชาติอย่างกระรอกหรือนกขนาดเล็กเท่านั้นเอง ยิ่งสำรวจหลายห้องมากขึ้นยิ่งสร้างความสงสัยให้แม่ครัวสาวเป็นอย่างมาก ร่องรอยของการมีอยู่ของพวกลัทธิมันเหมือนไม่ใช่การอพยพออกไปจากที่นี่แต่เหมือนพวกเขาโดนบุกรุกด้วยอะไรบางอย่าง ถึงเธอจะไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์แต่ก็พอรู้ว่าเมื่ออดีตลัทธิเนเรียค่อนข้างจะเป็นลัทธิที่สันติและผู้เยียวยาที่มีชื่อเสียงในอดีตหลายท่านมาจากลัทธิเนเรีย ทำให้เธอแปลกใจมาก ว่าใครหรือสิ่งใดเป็นผู้บุกรุกเหล่าสาวกของเนเรีย
‘เลิกสนใจเรื่องราวในอดีตเถอะ เรามาหาวัตถุดิบนะ เดี๋ยวนะอะไรอยู่ที่เท้าของเรา?’
เมลเลกก้มลงไปมองรองเท้าของตัวเอง สิ่งมีชีวิตขนาดเท่ากำปั้นของมนุษย์ เปลือกของมันมีสีน้ำตาลเข้มและเต็มไปด้วยลวดลายกับวอลนัต พวกเรากำลังคานบนหน้าเท้าของเมลเลกด้วย เถาวัลย์สีเขียวสดยาวเรียวที่งอกออกมาจากด้านในของเปลือก สิ่งมีชีวิตนี้มีชื่อว่า เมล็ดวินลัท (Vinelut seed) สิ่งมีชีวิตประเภทเมล็ดพืช พวกมันคือตัวอ่อนของต้นวินลัท เหล่าเมล็ดกำลังเดินทางออกจากต้นแม่ของตัวเองเพื่อหาแหล่งเติบโตที่ใหม่
‘วินลัท เหรอ ไม่เคยกินด้วยสิเคยเห็นคนสวนที่บ้านกิน รสชาติประมาณถั่ววอนนัท น่าจะทำจานของเราไม่ก็ของฮาวได้’
เมลเลกใช้เส้นด้ายพันตัวของเถาวัลย์เอาไว้เพราะพวกมันมีพิษยาสลบแบบอ่อน ถือเป็นโชคดีของเธอที่ได้เมล็ดวินลัทเกือบสิบลูก โดยไม่ต้องเสียแรงหาหรือออกล่าเหมือนกับทั้งสามคน เธอยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าของเธอ
“ไม่ดีเลยนะครับ พึ่งรู้ว่าสาวกท่านเนเรียเป็นพวกรังแกธรรมชาติ” เสียงปริศนาดังขึ้นจากด้านหลังของเมลเลก
หัวใจของเมลเลกเต้นรัว เธอกระโดดไปข้างหน้าและหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก “นายเป็นใคร ต้องการอะไร”
ชายปริศนาที่ยืนอยู่ในเงามืด ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณแสดงการยอมแพ้ “เป็นการทักทายที่หยาบคายดีนะครับ คุณสาวกเนเรีย”
เมลเลกขมวดคิ้ว ดวงตาแสดงความสงสัยและไม่พอใจ “ฉันไม่ใช่สาวกเนเรีย บอกมานะว่านายต้องการอะไรและทำไม...” เมลเลกหยิบแท่งแหลมคมเหมือนกับไม้เสียบบาร์บีคิวออกจากที่ซ่อนลับ มือของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอพยายามรักษาความสุขุมในน้ำเสียงของเธอเพราะเมลเลกได้วางกับดักเอาไว้ตั้งแต่ทางเข้าวิหารและอีกหลายจุดเพื่อป้องกันแต่ชายปริศนาไม่โดนเส้นด้ายแม้แต่เส้นเดียว ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย “เดี๋ยวนะ นายเป็นทิฟลิง [1] เหรอ?”
[1] ทิฟลิง (Tiefling) เป็นเผ่าพันธุ์ในโลกแฟนตาซีที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างมนุษย์กับปีศาจ มีลักษณะภายนอกที่โดดเด่น เช่น มีเขา หาง ตาเรืองแสง และสีผิวที่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
ชายปริศนายิ้มเย้ยหยัน เขาเผยให้เห็นเขาและดวงตาเรืองแสงสีเขียวที่บ่งบอกว่าเขาเป็นทิฟลิง “ใช่สิครับ ตัวแดง มีเขาแบบนี้คิดว่าเป็นวัวกระทิงเหรอ” ทิฟลิงหนุ่มปริศนายิ้มแสยะ “เธอกำลังถ่วงเวลา ชวนคุยเพื่อสร้างกับดักด้ายมากขึ้นใช่ไหม ผมตาดีนะบอกไว้ก่อน ไม่งั้นผมหลบกับดักที่คุณผู้หญิงติดตั้งไว้ทั่ววิหารไม่ได้หรอกนะ”
เธอรู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มไหลลงมาตามแผ่นหลัง เมลเลกข่มความวิตกกังวลเอาไว้ “ฉันเบื่อจริง พวกเผ่าพันธุ์สายตาเฉียดคมแบบนี้ แต่ฉันไม่ปลดกับดักหรอกนะ จนกว่านายจะตอบคำถามของฉัน”
“ถ้าบอกจะปล่อยผมไหม คุณคนสวย” ทิฟลิงยังคงยิ้มแต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยปริศนาทำให้เมลเลกคาดเดาไม่ถูก
เมลเลกสูดหายใจลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองสงบ “ขึ้นอยู่กับคำตอบ แต่ถ้าตอบช้ากว่านี้รับรองนายไม่ได้ปากดีอีกต่อไปแน่” เส้นด้ายรอบตัวของทิฟลิงหนุ่มจากสีใสกลายเป็นสีแดงอมม่วงแสดงถึงความอันตรายที่มากขึ้น
“ผมเป็นช่างภาพ ได้ข่าวว่ามี เคลพี อาศับอยู่ที่วิหารก็เลยเดินทางมาถ่ายรูปน้องม้าตัวนั้นแหละครับ ที่นี่ปล่อยผมได้หรือยัง”
“ยังเรื่อง เคลพี ฉันพอเข้าใจ แต่นายมาตัวเปล่าไหนกล้องถ่ายรูป” เมลเลกยังคงไม่วางใจ
ทิฟลิงยกมือขึ้น ข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จัดวางเป็นรูปตัวแอลกลับด้าน ส่วนอีกข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ทำมุมฉากกับมือแรกจนเกิดเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ในมุมมองของเขานั้นกรอบครอบคลุมตัวของเมลเลกทั้งหมด ‘จับภาพ’ ทิฟลิงร่ายมนตร์ทำให้แสงสว่างขึ้นชั่วครู่ จากนั้นมีกระดาษหนึ่งใบออกมาจากนิ้วที่ทำเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยม ทิฟลิงใช้กระดาษแผ่นนั้นตัดเส้นด้ายทั้งหมดรอบตัวเขา
“สมัยนี่เขาไม่พกกล้องกันแล้วคนสวย ผมยกรูปนี่ให้นะ ปกติตากล้องมืออาชีพเขาคิดตังกันนะ” ทิฟลิงโชว์กระดาษแผ่นที่ถืออยู่ นั้นคือภาพถ่ายของเมลเลกหน้าตาตกใจตอนที่ทิฟลิงทำท่าถ่ายรูปเธอ
“นี่นายใครอนุญาต...ให้ถ่าย…รูป...” เมลเลกเมื่อเห็นรูปของเธอเอง ทำให้เมลเลกโกรษมาก เธอกำลังจะปาเหล็กแหลมพุ่งใส่แต่สักพักร่างกายของเธอเริ่มช้าลง เปลือกตาเริ่มลดลงจนปิดสนิท ร่างกายของเธอล้มลงไปทางด้านหน้าเหมือนคนกำลังจะนอนหลับ
“แย่จัง ลืมว่าใส่ฟิล์มนอนหลับเอาไว้ แดม่อน แดม่อน นายจะต้องเลิกนิสัยขี้ลืมได้แล้วนะ” ทิฟลิงมองดูเธอด้วยสายตาเสียใจเล็กน้อย เขาพูดกับตัวเอง ขณะเดินไปเก็บภาพถ่ายที่ตกอยู่บนพื้น “เก็บรูปเอาไว้ดีกว่า”
...
ทางด้านพ่อครัวหนุ่มทั้งสามคน กลังกจากที่นอททัมหยุดศึกของทั้งสองหนุ่มได้พวกเขาได้เดินตามล่องลอยของเว็บฟุตไปตามทางเดินทำให้พวกเขาได้เจอกับมอสเตอร์อื่นๆ นอกจากเว็บฟุตอีกด้วย สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่เจอเยอะมากคือ สไลม์น้ำ สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับสไลม์ผลไม้แต่อ่อนแอกว่าพวกมันถูกเพรา กระทะความร้อนสูงจี้ไปในร่างกายจนแห้ง กลุ่มต่อไปที่น่าสนใจกว่าอย่าง โกเลมสาหร่ายน้ำจืด หรือที่คนพื้นเมืองเรียกว่า โกเลมไก สิ่งมีชีวิตประเภทอาคม พวกมันเกิดมาจากวัตถุอาคมหลอมรวมกับธรรมชาติ ปกติโกเลมเป็นสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งเพราะส่วนมากพวกมันจะถูกหลอมรวมกับ หิน ดิน หรือศิลา แต่พอเป็นโกเลมสาหร่ายน้ำจืดค่อนข้างจะอ่อนแอและแพ้ทางเวทความร้อนของเพรามาก ทำให้ทั้งสามผ่านมาอย่างปลอดภัย
“ตอนนี้เรามี เนื้อสไลม์ สาหร่ายน้ำจืด ปลาเว็บฟุต มันก็พอจะทำเป็นอาหารได้แต่ติดตรงของหวานของเจ้าญาติเว็บฟุตนี่สิ” ทั้งสามยังเดินเข้าในตัววิหารลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ได้วัตถุดิบมาน้อยเกินไปแถมยังไม่มีอันไหนเหมาะสำหรับการทำของหวาน “คุณญาติเว็บฟุต คิดว่าจะตกรอบแน่นอนถ้ายังไม่เจอวัตถุดิบสำหรับทำของหวาน” เพราตะโกนถามหัวหน้าแถวของเขา
พวกเขาทั้งสามเดินเรียงหนึ่งโดยมีนอททัมเป็นคนกลาง ฮาวาร์ติได้ยินเพื่อนร่วมทีมของเขาเรียกคำว่าเว็บฟุตก็รู้สึกมีอารมณ์โมโหอีกครั้ง “ถ้ายังเรียกข้าว่า เว็บฟุต อีกทีละก็จะเท เนื้อเว็บฟุตกับเนื้อสไลม์ทั้งหมดที่อยู่กับข้าลงน้ำให้หมดเลย”
“หยุดตีกันได้ไหมครับ พวกเราต้องแข่งกับเวลานะครับ คุณฮาว เว็บฟุตครับเว็บฟุต” นอททัมหมุนหัวของฮาวให้เขาดูข้างหน้า
เว็บฟุตตัวเล็กหนึ่งตัวกำลังวิ่งหนีพวกนอททัม ฮาวที่กำลังหงุดหงิดจึงควักน้ำให้กลายเป็นกระสุนยิงใส่เว็บฟุต แต่ด้วยขนาดของเว็บฟุตตัวนี้ค่อนข้างเล็ก ทำให้กระสุนไม่โดนสักนัด ทั้งสามวิ่งไล่ตามเจ้าเว็บฟุตตัวน้อย เจ้าปลาสองขาวิ่งไปยังห้องโถงขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง มันกระโดดว่ายลงไปในหลุมขนาดใหญ่ตรงกลางห้อง
“ห้องสมุดเหรอครับ” นอททัมพูดขณะก้าวเข้าไปในห้องสมุดโบราณที่ถูกทิ้งร้าง
พื้นที่น้ำขังขึ้นมาถึงครึ่งเข่าของพวกเขา แต่ละก้าวที่เดินทำให้เสียงน้ำสาดกระเด็นก้องไปทั่วห้องที่เงียบสงบ เว็บฟุตที่เขาไล่ตามหายไปกับพื้นที่ตรงกลางที่เป็นหลุมลงไปชั้นสอง วิหารฉันใต้ดินแห่งนี้เต็มไปด้วยฉันหนังสือที่เริ่มผุพัง และมีแสงสลัวจากเพดานด้านบนที่พังทำให้แสงจากชั้นสี่เข้ามาถึงชั้นที่พวกเพราอยู่ นอททัมเริ่มดูรอบๆ ของห้องสมุด ส่วนเพรากับฮาวอยู่บริเวณกลางห้องที่มีหลุมใหญ่ที่น้ำขังอยู่
“เหมือนจะลงไปชั้นสองได้นะ เจ้าปลาคิดว่าจะลง...” เพรากำลังจะถามมนุษย์เงือกของทีมว่าสามารถดำลงไปได้ไหม
แต่ไม่ทันแล้วฮาวกระโดดลงไปในหลุมใหญ่ไปก่อน ด้านล่างชั้นสองของห้องสมุดเก่าเป็นเหมือนห้องสมุดอีกห้องหนึ่ง ทั้งสองห้องอาจจะเป็นห้องที่ทำมาเพื่อเชื่อมถึงกันเพราะฮาวสังเกตเห็นบันไดวนที่จมอยู่ ฮาวพยายามว่ายลงไปยังพื้นชั้นสองแต่เขาเริ่มสังเกตเห็นว่าขนาดของห้องชั้นสองมันสูงกว่าชั้นสามและชั้นสี่มากสูงกว่าประมาณเกือบสองฉันรวมกัน ตามชั้นวางหนังสือมีพวกเว็บฟุตส่วนตัวอยู่ ฮาวไม่รอช้าพุ่งเข้าไปจู่โจมเว็บฟุตด้วยเล็บอันแหลมคม ศพของเว็บฟุตกำลังลอยตัวขึ้นไปยังฉันด้านบน
กลิ่นคาวเลือดของเว็บฟุตเริ่มกระจายไปทั่วห้องสมุดชั้นสาม “เจ้านั้นคงสนุกเต็มที่ พี่นอททัมเก็บเว็บฟุตตัวที่ลอยมาก่อนดีกว่า” เพราก้มหยิบเว็บฟุตขึ้นมาดูเพื่อคัดตัวที่ใช้ทำอาหารได้ “เป็นอะไรหรือเปล่าพี่มอง หน้าผมมีอะไรติดหรือเปล่า”
นอททัมไม่ได้มองเพรา แต่เขากำลังมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกำลังเดินเข้ามาในห้องสมุดเก่าแห่งนี้ มันคือ เคลพี สิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายม้า แต่ผิวเป็นสีฟ้าอมเขียว ขนบนแผงคอเหมือนกับสาหร่ายน้ำจืด มีหางเป็นปลา เพราหันไปมองเคลพีด้านหลังของเขา มันกำลังเพราด้วยสายตาของนักล่า ความหิวโหย และความโกรธแค้น ปากของมันกำลังหายใจรุนแรง ทำให้เห็นฟันอันแหลมคม เจ้าเคลพีมองไปยังรังของเว็บฟุตที่มีศพของเว็บฟุตกำลังลอยขั้นมา ทำให้มันรู้ว่ากำลังมีคนกำลังทำลายรังอาหารจานหลักของมัน เคลพีขู่ร้องออกมาเสียงดัง
“น้องเพราระวัง!”
นอททัมใช้เศษหินปาไปบริเวณหัวของมัน ทำให้เคลพีนั้นเกิดอาการชะงัก เพราจึงใช้โอกาสนี่ฟาดด้วยกระทะไปบริเวณกกหูของมัน ก่อนที่จะกระโดดมาตั้งหลักข้างนอททัม การโจมตีของทั้งสองคนนั้นถึงจะดูรุนแรงแต่สำหรับเคลพีเป็นความรุนแรงที่สามารถทำได้แค่ให้มันรู้สึกมึนหัวเท่านั้น
“พี่นอททัม เราได้จานหลักของพี่แล้ว” เพราพูดอย่างมั่นใจ ขณะที่ทั้งสองคนเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้กับเคลพีที่ยิ่งใหญ่และดุร้ายกว่าเว็บฟุตมาก
[คุยหลังครัว]
รอบนี้ไม่ได้นำเสนอเกี่ยวกับการทำอาหารเพราะตอนนี้ไม่มีเลย เลยจะมาแนะนำวัตถุดิบหนึ่งอย่างที่พวกผู้ชายได้มา คือ ไก หรือ สาหร่ายไก ที่เป็นตัวตั้งต้นให้กับโกเลมสาหร่ายน้ำจืด และแผงคอของเคลพี
ไก เป็นภาษาเหนือ หมายถึง สาหร่าย ในภาษากลาง พวกมันเป็นพืขที่พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำสะอาดในภาคเหนือของประเทศไทย พวกมันจะโตเต็มที่และพร้อมให้เก็บในช่วงฤดูหนาว เมนูพื้นบ้านที่ชาวบ้านมักนิยมทำกันคือ แกงไก โดยจะนำเอาเครื่องแกง