พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก,ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทพ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทย์
Record the recipe of the Royal chef
หมวดหมู่ : แฟนตาซี ทำอาหาร การแข่งขัน ต่อสู้(นิดหน่อย)
__________________________
การเป็นพ่อครัววังหลวงนั้นเป็นความฝันและเป้าหมายชีวิตของเหล่าพ่อครัว เหล่านักสร้างความอร่อยให้กับโลกใบนี้ การเป็นพ่อครัววังหลวงที่หลายปีจะเปิดรับพ่อครัวรุ่นใหม่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำฤดูทั้งสี่ และหนึ่งผู้จะเข้าชิงตำแหน่งนั้นคือ ‘เพรา’ พ่อครัวจากเมืองเล็กๆแห่งนั้น แรงปรารถนาของเขาอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือความสุขสบาย สิ่งที่เขาต้องการแค่ ความจริง
“แค่เป็นเหมือนนายให้ได้ใช่ไหม แล้วชั้นจะรู้ความจริง…” - เขียวใบไม้
“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ มาจะช่วยเติมเต็มได้จริงเหรอ?” - แดงเนื้อสัตว์
“การเป็นพ่อครัววังหลวง มันจะแสดงให้ตระกูลเห็นว่าเราเองก็มีค่า” - ม่วงเปลือกมังคุด
“อยากให้คุณอยู่เห็นความสำเร็จของคุณจังเลย …ที่รัก” - ครามทะเล
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ กำลังใจของพวกนาย” - กลิ่นน้ำมันเครื่อง
_____________________________
ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน สามพ่อครัวหัวป่าก์ พวกเขาได้เริ่มมีสติอีกครั้งหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากทำอาหาร คนแรกที่ลืมตาตื่นคือเพรา เขาพยายามขยับร่างกายลุกขึ้นยืนแต่ไม่สามารถทำได้เพราะแขนอันหนักอึ้งของนอททัมกำลังพาดตัวและที่เท้ามีเจ้าปลามีขากำลังนอนกอดเท้า นอกจากขยับร่างกายไม่ได้ เพราพ่อครัวจมูกดีต้องมาได้กลิ่นเหงื่อของนอททัมแต่สิ่งนี้เพราเริ่มชินกับกลิ่นแล้วแต่กลิ่นอีกหนึ่งอย่างทำให้เขาเริ่มทนไม่ได้คือ กลิ่นตัวของฮาวาร์ติ กลิ่นของมนุษย์เงือกที่มีแต่ความคาวปลา
“เหม็นคาวปลา!” เพราบ่นออกมาแล้วใช้เท้าอีกข้างเขี่ยมือมนุษย์เงือกให้ออกจากขาของเขา
“ที่รัก ข้าขอเวลานอนอีกหน่อยสิ” ฮาวละเมอพูดขึ้นและยิ่งกอดรัดขาเพรามากขึ้น น้ำเสียงงัวเงียและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความง่วงเหงาหาวนอนทำให้เพรายิ่งหงุดหงิด
“เอ๊ะ อรุณสวัสดิ์น้องเพรา เช้าแล้วเหรอครับ” นอททัมตกใจตื่นขึ้นเพราะเสียงของเพรา ขากะพริบตาหลายครั้งพยายามปรับสายตาให้ชัดเจน
“ตอนนี้บ่ายแล้วพี่ เรานอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง โอ๊ย ไอ้นี่ก็เกาะขาจัง” เพราพยายามแกะมือฮาวออกจากขาของเขา ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
โกร๊ก!
เสียงท้องร้องของฮาวดังขึ้น พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลง “ข้าหิวแล้ว เมื่อเช้าก็ไม่ได้กิน ตอนนี้เลยข้าวเที่ยงแล้วด้วย”
“นั้นสิชวนคุณชูร์กับคุณเมลเลกด้วยดีไหม” นอททัมลุกขึ้นเดินข้ามไปเคาะประตู ‘ห้องชูร์’ เคาะประมาณสองสามรอบแต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา “นอนอยู่เหรอครับ ขออนุญาตนะคุณชูร์ครับ” นอททัมพูดกับประตูห้อง เปิดประตูห้องชะโงกดูคนที่อยู่ข้างในแต่ก็ว่างเปล่า
“พี่ไม่อยู่เหรอ อยู่ห้องครัวกับเมลเลกหรือเปล่า”
นอททัมปิดประตูแล้วหมุนลูกบิดไปที่ห้องครัว “ไม่มีใครอยู่เหมือนกันครับ เอาไงดีน้องเพรา” นอททัมหันไปถามเพราด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ข้าว่าเมลเลกกับชูร์อาจจะไปหาอะไรกินก่อนพวกเราก็ได้นะ” ฮาวพูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจเพราะสองสาวไม่ชวนไปกินข้าวด้วย
“งั้นพวกเราไปหาอะไรกินบ้างเหอะ แยกย้ายไปล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยไปหากิน”
เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสามพ่อครัวหัวป่าก์ ทำความสะอาด แต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมที่หาทานข้าวเที่ยงของวัน เพรา นอททัมและฮาวเริ่มเดินตามตลาดเขตปกครองที่หก มีร้านอาหารหลากหลายหน้าตา ทั้งคาวหวานครบครัน ด้วยความชอบที่แตกต่างกันทำให้พวกเขาเลือกร้านไม่ได้สักที
เพราอยากจะลองกินร้านอาหารสำหรับมังสวิรัติ แต่ฮาวาร์ติได้ยินว่าเป็นร้านอาหารไร้เนื้อสัตว์ก็รีบคัดค้านทันทีและเสนอเป็นร้านแซนด์วิชยาวร้านที่เคยกินกันครั้งที่แล้ว เพรารู้สึกไม่เห็นด้วยเพราะนานๆ ที พวกเขาจะได้เปิดประสบการณ์ทานอาหารใหม่ๆ แล้วทำไมต้องเลือกร้านเดิม
นอททัมเดินตามหลังทั้งสองคนได้แต่คิดและสงสัยว่าเพรากับฮาวที่จริงแล้วสนิทกันหรือเปล่า บางเหตุการณ์ทำงานกันได้เข้าคู่เหมือนรู้จักกันมานาน บางเหตุการณ์ก็เป็นแบบที่เห็นเถียงกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือสิ่งนี้สินะที่เรียกว่าเพื่อน
“กินอาหารทะเลไหมครับ” นอททัมเสนอด้วยความหวังว่าจะช่วยยุติข้อโต้แย้งของทั้งสอง
“อาหารทะเลให้ข้าทำดีกว่า” ฮาวหันมาตอบทันทีเมื่อเป็นเรื่องอาหารทะเล น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของท้องทะเล
คำตอบของฮาวทำให้เพราเริ่มมีอารมณ์โมโหมากขึ้น “แล้วจะกินอะไร อันนี้ไม่เอาอันนู้นไม่เอา” เขาตวาดใส่ฮาวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็ร้านที่ข้าเสนอ เจ้าก็ไม่เอาไม่ใช่เหรอ ใครกันแน่ที่เรื่องมาก!” ฮาวไม่ยอมแพ้ตะคอกกลับทันที
“ใจเย็นครับทั้งสองคน ถ้าเป็นร้านนี่ได้ไหมครับ!” นอททัมพยายามห้ามทั้งสองโดยการชี้ไปที่หนึ่งในร้านแถวนั้นเพื่อเปลี่ยนความสนใจของทั้งสองคน
เพราและฮาวมองไปตามปลายนิ้วของนอททัม “ร้านติ่มซำ เข้าท่านิ งั้นเลือกร้านนี่” ทั้งสองเห็นด้วยกับร้านที่นอททัมเลือกและเดินเข้าไปในร้านทันที ปล่อยให้ชายร่างใหญ่ยืนงงอยู่หน้าร้าน
‘ติ่มซำ คืออะไร’ นอททัมคิดในใจ
นอททัมเดินเข้าร้านไปแบบไม่รู้เลยว่าร้านอาหารร้านนี่ขายอะไร ภายในร้านตกแต่งด้วยสีแดงเป็นสีหลัก อากาศข้างในค่อนข้างร้อน นอททัมนึกว่าที่ร้อนมาจากที่เพราปล่อยความร้อนออกมา แต่ที่ไหนได้มาจาก ไอน้ำร้อนจากการนึ่ง เขาเดินมองภาพอาหารหน้าตาค่อนข้างสนใจกับ เสี่ยวหลงเปา ที่เคยเจอในหนังสือของเพรา แถมยังมีหน้าตาหลากหลาย
“พี่นอททัมกินอะไร” เพราดึงแขนของนอททัมที่กำลังเดินเลยโต๊ะ
“เสี่ยวหลงเปา พี่อยากลองกินมันเหมือนในหนังสือน้องเพราไหม” นอททัมถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“หน้าตาเหมือนกัน แต่รสชาติน่าจะต่าง งั้นผมสั่งให้เลยนะ พี่พนักงานครับ ผมเอาเสี่ยวหลงเปา 2 เข่ง ฮะเก๋ากุ้ง 2 เข่ง ไข่เยี่ยวม้า บะกุ๊ดเต๋ [1] ปอเป๊าะทอด ซาลาเปาไส้ครีม อย่างละหนึ่งครับ อ๋อ เอาชาจีนร้อนหนึ่งที่ กับชามะลิเย็นหนึ่งนะครับ” เพราพูดพร้อมกับยิ้มให้พนักงานที่ยืนจดออเดอร์ แล้วหันไปมองหน้าฮาว
[1] บะกุ๊ดเต๋ แกงแบบจีนฮกเกี้ยนและจีนแต้จิ๋ว ประกอบด้วยซี่โครงหมูอ่อนตุ๋นในน้ำต้มสมุนไพรและเครื่องเทศ
“ข้าเอาหมั่นโถวทอดสาม สาหร่ายทรงเครื่องสาม ไข่เยี่ยวม้าเพิ่มเป็นสอง ขนมจีบกุ้งห้าเข่ง ไม่สิเจ็ดเข่ง เครื่องดื่มเป็นน้ำเปล่า” ฮาวที่สั่งเยอะจนทำให้พนักงานต้องมองหน้าเขา ส่วนเพราส่ายหัวเบาๆ กับปริมาณที่ฮาวสั่ง
พนักงานพยักหน้ารับออเดอร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “หมั่นโถวทอดต้องรอสักครู่นะคะ กำลังทอดอยู่ อาหารจะมาในอีกห้านาทีค่ะ” เธอก้มหัวก่อนจะเดินจากไป
เพรามองบรรยากาศของร้านพลางถามฮาวไปด้วยความสนใจ “เจ้าปลาเคยกินติ่มซำด้วยเหรอ”
“แถวบ้านเกิดข้าก็มีร้านแบบนี้แหละ ข้าชอบกินขนมจีบกุ้งมาก” ฮาวตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ทางนี้ไม่เคยกินต้นตำรับเลย ได้แต่กินเสี่ยงหลงเปาของพัมพี”
“กินฝีมือพ่อครัววังหลวง มันไม่ดีกว่าเหรอน้องเพรา” นอททัมถามด้วยความสงสัย
“กินต้นตำรับต้องดีกว่าอยู่แล้วสิ นั้นไงมาแล้ว”
เพราพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นพนักงานคนเดิมเดินถือถาดอาหารที่เต็มไปด้วยเข่งมากมาย ทยอยวางตรงหน้าของทั้งสามคน ไอน้ำกับกลิ่นหอมของอาหารเรียกน้ำลายของนอททัม เขาเห็นเพื่อนทั้งสองกำลังถืออุปกรณ์สำหรับทานอาหารที่ชื่อว่า ‘ตะเกียบ’ อย่างถนัดมือ ทำให้นอททัมพยายามจับตะเกียบอย่างเพื่อนทั้งสอง แต่ด้วยความไม่เคยชินทำให้ตะเกียบตกลงพื้นไปหลายคู่ พนักงานสาวรู้สึกเอ็นดูนอททัมจึงเข้าไปในครัวหยิบส้อมมาให้นอททัมแทนตะเกียบ
สิ่งแรกที่นอททัมสนใจคือเสี่ยวหลงเปา เขาใช้ส้อมจิ้มเข้าไปแล้วน้ำซุปไหลออกมา “อ้าวมีน้ำด้วยเหรอครับ” นอททัมพูดด้วยความแปลกใจ
เพราเห็นท่าทางของนอททัมแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ “ดีนะพี่ไม่เอาเข้าปากเลย ไม่งั้นลิ้นลวกแน่ อะใช้ช้อนกินเสี่ยวหลงเปาน่าจะง่ายกว่า” เขาหยิบช้อนให้กับนอททัมก่อนจะอธิบายให้ฟัง “เสี่ยวหลงเปามันจะมีน้ำซุปจากการเคี่ยวหนังสัตว์แล้วพักให้เย็นจนแข็งตัวเป็นวุ้นแล้วค่อยห่อด้วยแป้ง จำไว้ก็ดีนะเพื่อเป็นเทคนิคทำอาหาร”
นอททัมพยักหน้ารับคำอธิบายด้วยความสนใจ แล้วลองชิมเสี่ยวหลงเปา เขาเคี้ยวช้าๆ แล้วดวงตาก็เบิกกว้าง “อร่อยจริงๆ น้องเพรา” ความหอมของน้ำซุปอุ่นๆ เนื้อแป้งเหนี่ยวนุ่มกำลังดี ไส้หมูนุ่มเด้งเค็มกำลังพอดี
“เลิกหาสาระความรู้ได้ไหม เรามากินข้าวนะ ง่ำๆ" ฮาวบ่นพลางหยิบขนมจีบกุ้งเข้าปาก เขากินไปอย่างเอร็ดอร่อย หมดไปเป็นเข่งที่สามแล้ว “นอททัมลองกินกับจิ๊กโฉ่วอร่อยนะ ง่ำๆ”
“เคี้ยวให้หมดก่อนได้ไหม แค่จะเพิ่มสาระเล็กๆน้อยๆ ทำมาบ่น” เพราคีบไข่เยี่ยวม้าพลิกไปพลิกมาอย่างสงสัย “เจ้าปลา ไข่เยี่ยวม้า นายเคยกินใช่ไหม มันคือไข่ของอะไร”
“ไข่นก ส่วนมากจะเป็นไข่นกที่ไข่แดงมันกว่าไข่ไก่ แบบพวกเป็ด เป็นไงข้าฉลาดไหม”
เพราหัวเราะในลำคอ “เออเก่งๆ นอททัมแบ่งคนละครึ่งไหม ลองชิมกัน” นอททัมใช้ส้อมจิ้มไข่เยี่ยวม้าของเพรา ทั้งคู่กำลังจะชิมพร้อมกัน ใบหน้าของฮาวแอบอมยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อย
นอททัมเคี้ยวไข่เยี่ยวม้าก่อนจะทำหน้าตกใจ “แค่กๆ รสชาติมันแปลกมากเลยน้องเพรา” เขาปิดปากตัวเพราะกลัวสำลักไข่ออกมา
“นั้นสิ แค่กๆ เจ้าปลาทำไมไม่บอกว่ามันฝาดแบบนี้” เขารีบหยิบชาร้อนขึ้นมาจิบเพื่อช่วยให้กลืนไข่ลงคอได้ง่ายขึ้น แล้วมองหน้าฮาวอย่างแค้น
ฮาวยิ้มอย่างผู้ชนะ “ถ้าบอกแล้วข้าจะได้เห็นภาพแบบนี้เหรอ” เขาขำพร้อมหยิบกระดาษทิชชูให้นอททัม “ขออวดความรู้หน่อยละกัน ไข่เยี่ยวม้า เป็นการถนอมอาหารรูปแบบหนึ่ง โดยนำไข่ไปหมักใบชาดำ และอีกหลายอย่าง มันของหมักอะนะ กลิ่นรสอาจจะไม่ถูกปาก ข้าเตือนช้าไปไหมนะ”
เพราเริ่มมีอารมณ์โกรธ พร้อมจะกระโดดเตะหน้าฮาว นอททัมที่เห็นแบบนั้นรีบห้ามทันที แต่ไม่อยากทำอะไรที่ดูเด่นในร้านเกินไป จึงเกิดกระบวนท่าใหม่ ‘โอบข้างห้ามน้อง’ นอททัมที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราใช้มือของเขาโอบตัวให้ชิดกับเพราเพื่อไม่ให้เขาดิ้นไปไหนได้
“ทำไมชอบมีปัญหากันตลอดเลยนะทั้งสองคน ยิ่งตอนคุณเมลเลกกับคุณชูร์ไม่อยู่เนี่ย” นอททัมพูดพลางถอนหายใจ เขามองไปที่ฮาวและเพราด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
…
ทางด้านของสองสาวเมลเลกและชูโรส พวกเธออยู่ในคาเฟ่น้ำชา และกำลังรับประทานของว่างอย่างของตัวเองอย่างเพลิดเพลิน เมลเลกทานเปอตีฟูร์ขนมเค้กรสผลไม้กับชากุหลาบ ส่วนชูโรสทานสตรอเบอร์รี่ ครีมชีส พาร์เฟ่ [2] ไซต์สำหรับสี่คน คนในร้านต่างมองชูโรสรับประทานพาร์เฟ่อย่างเอร็ดอร่อย กระตุ้นทำให้ลูกค้าในร้านอยากทานพาร์เฟ่เหมือนกัน แต่ลูกค้าบางคนที่เห็นเมลเลกก็อยากสั่งชุดขนมน้ำชาเพราะเห็นวิธีรับประทานที่งดงามมาก
[2] พาร์เฟ่ (parfait) ขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส ประกอบด้วยฉันของครีมจืดหรือโยเกิร์ตที่มีรสชาติหวานและเค็ม เคลือบด้วยน้ำตาลทรายและอาจมีฉันของผลไม้หรือขนมปังกรอบ
เมลเลกวางแก้วน้ำชาบนแก้วรอง มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ “สรุปเรื่องของเพรา เธอจะไม่เล่าให้ฟังจริงเหรอ?”
ชูโรสยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบ “แหม เธอจะจีบน้องชายฉัน ก็จีบโดยตรงสิ ไม่ต้องมาผ่านฉันหรอก”
เมลเลกขมวดคิ้ว “เห็นเรื่องมันตลกเหรอคะ ตอนแรกไม่อยากยุ่งเรื่องนี้หรอกแต่ถ้าไม่ไปได้ยิน วิศวะสาวกับพ่อครัววังหลวง คุยกันหน้ารถบ้านเมื่อวันนั้น”
“อย่ามาๆ วันนั้นเธอทำไอ้ขนมหมึกไรนั้นไม่ใช่เหรอ” ชูโรสตอบปัดคำตอบของเมลเลก
เมลเลกยิ้มอย่างมีเลศนัย “นั้นไงจริงด้วย พวกเธอแอบคุยกันถึงจะได้ยินไม่ชัดหรอก แต่ชูโรสเธอควรจำไว้นะว่า ด้าย สามารถเป็นตัวผ่านของเสียงได้” เธอประกบมือแล้วกางออกให้เห็นเส้นด้ายในมือ
ชูโรสหน้าซีดเล็กน้อย สายตาเธอล่อกแล่กไม่กล้ามองหน้าเมลเลกโดยตรง “ไม่ได้จริงๆ เมลเลก เรื่องของเพรา ไม่ควรมีคนรู้เรื่องนี้เพิ่มอีก”
เมลเลกตบโต๊ะ “นั้นไง แสดงว่านอกจากคุณสองคน แล้วยังมีคนอื่นอีกใช่ไหม มานึลรู้เรื่องนี้ไหม ถ้ารู้ฉันจะไปถามเขา”
“ทำไมเธอต้องอยากรู้เรื่องของเพราขนาดนั้น” ชูโรสถอนหายใจ
“อยากฟังทฤษฎีแปลกๆ ของฉันไหม”
ชูโรสรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีแต่ต้องทำตัวใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน “ว่ามาสิจ๊ะ”
เมลเลกยิ้มและเริ่มอธิบาย “ฉันสนิทกับมานึล ทำให้พอรู้มาบ้างว่าพ่อครัววังหลวงต้องเป็นพ่อครัวประจำตัวให้คนเบื้องบน และฉันรู้ด้วยว่าพัมพีเป็นพ่อครัวให้ใคร คนที่เคยหายตัวไปเมื่อยี่สิบปีก่อน พอคำนวณดูก็พอๆ กับอายุของเพรา... ความสัมพันธ์ เบื้องบน พัมพี และเพราดูเป็นสามเหลี่ยมดีเธอว่าไหม” เมลเลกมองหน้าชูที่เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
“คนเบื้องบนหายตัวไป ไม่เคยเห็นได้ยินข่าวแบบนี้เลยนะ เธอนั่งเทียนเขียนเองใช่ไหม” ชูโรสตอบด้วยเสียงสั่น
“แล้วที่นั่งตรงหน้าคุณชูร์ ไม่ใช่คนเบื้องบนเหรอ ถึงจะเป็นเบื้องบนปลายแถวแต่เบื้องบนก็คือเบื้องบนนะ” เมลเลกยิ้ม เธอรู้สึกเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
ชูร์พยายามจะลุกขึ้นเดินหนีเมลเลก แต่เธอพึ่งรู้ว่าร่างกายนั้นถูกด้ายควบคุมทั่วร่างกาย “ถ้าเธอรู้แล้ว เธอหยุดพวกฉันไหม”
เมลเลกถอนหายใจ “สองจิตสองใจ เอาจริงนะฉันเป็นห่วงพวกเธอมากกว่า ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอกับพัมพีวางแผนอะไรไว้แต่เบื้องบนไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรอกนะ ทำอะไรก็คิดให้ดีๆ เดี๋ยวฉันปลดพันธะการให้” เมลเลกประกบมืออีกครั้ง เพื่อคลายด้ายทั้งหมด “ทำอะไรก็คิดถึงผลกระทบด้วยนะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” เธอหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเตรียมจ่ายเงิน
ชูโรสรู้สึกทั้งโล่งอกและโอนเอนหลังจากเมลเลกคลายด้ายที่พันร่างของเธอ เธอยืนขึ้น หยิบกระเป๋าและเตรียมตัวจะออกจากคาเฟ่ “ฉันต้องไปแล้วเมลเลกวันนี้ฉันมีนัดกับคนที่สมาคมนักประดิษฐ์” เธอกำลังจะเดินออกจากร้าน หันไปคุยกับเมลเลกอีกครั้งก่อนจากไป “ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ฉันต้องทำในสิ่งที่ฉันเชื่อว่าควรทำ”
เมลเลกมองตามเพื่อนของเธอออกไปจากคาเฟ่ เธอถอนหายใจเบาๆ และนั่งกลับลงที่โต๊ะ “ทำไมฉันต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ด้วย” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วพูดกับลูกค้าที่นั่งอยู่ด้านหลัง “นายพอใจกับคำตอบของชูร์ไหม มานึล?”
มานึลขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ค่อยได้อะไรเลยครับ ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่จริงของพัมพีคืออะไร เราก็รับมือไม่ถูก”
“ถือว่างานฉันจบแล้วนะ ฉันไม่ขอร่วมเรื่องนี้อีกนะแค่นี้ก็รู้สึกอึดอัดใจกับชูร์แล้ว” เมลเลกเก็บของในกระเป๋าลุกขึ้นยืน “นายเองก็ระวังตัวด้วย” มานึลก้มหัวขอบคุณเมลเลก แล้วเธอเดินออกจากคาเฟ่ไป
เมลเลกเดินออกจากร้าน พร้อมกับความคิดในหัวที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เธอได้รู้มาจากมานึล ชูโรส และพัมพี เรื่องนี้มันหนักเกินไปสำหรับเมลเลก ตัวเธอไม่ควรจะต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้ ความเครียดของเธอจะได้รับการผ่อนคลายด้วยของหวานแสนอร่อย เมลเลกเดินไปตามเส้นทางเพื่อไปยังร้านเครื่องดื่มร้านโปรดของเธอ
‘ร้านชานมหนึบหนับ’
ร้านชานมไข่มุกร้านเล็ก ๆ ที่มีจุดเด่นของร้านเป็นชาที่หอมและไข่มุกเคี้ยวหนึบหนับ ใบหน้าของเมลเลกกำลังจะยิ้มแย้มสดใส แต่ใบหน้าอันสดใสกลับหายไปเมื่อเธอเห็นลูกค้าชายสามคนที่กำลังอยู่หน้าร้าน
“คุณฮาวอย่าแย่งสิครับ ก็คุณสั่งชาเสาวรสไม่ใช่เหรอ” นอททัมยกแก้วขึ้นสูงเพื่อไม่ให้ฮาวนำหลอดของเขามาปัก
“ก็ชานมของเจ้ามันดูน่ากินกว่า ของชิมไม่ได้เหรอ” ฮาวกระโดดพยายามคว้าแก้วชานมของนอททัม
“เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว เจ้าปลา”
“อ้าว นั้นไงยัยผู้หญิงที่ทิ้งพวกเราไปกินข้าวแค่สองคน” ฮาวที่กระโดดอยู่สายตาเข้าได้เห็นเมลเลกที่มองพวกเขาอยู่ และชี้ไปที่เธอ
‘โอ๊ย อยากจะบ้าตาย’ เมลเลกคิดในใจ ขณะที่เธอเดินเข้ามาใกล้กลุ่มชายหนุ่มนั้น
[คุยหลังครัว]
ตอนนี้ความตั้งใจคือต้องการความชิลสบาย การใช้ชีวิตทั่วไปของเหล่าหนุ่มๆ และจบด้วยความเครียดของสองสาว แถมสุดท้ายยังต้องมาเครียดกับสามหนุ่มอีกรอบ สงสารเมลเลกมากเลยตอนนี้