พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา

บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท - เมนูที่ 26 บุหลันดั้นเมฆ โดย คอคิจ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก,ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์

รายละเอียด

พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา

ผู้แต่ง

คอคิจ

เรื่องย่อ

บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทย์

Record the recipe of the Royal chef

หมวดหมู่ : แฟนตาซี ทำอาหาร การแข่งขัน ต่อสู้(นิดหน่อย)

__________________________

 

การเป็นพ่อครัววังหลวงนั้นเป็นความฝันและเป้าหมายชีวิตของเหล่าพ่อครัว เหล่านักสร้างความอร่อยให้กับโลกใบนี้ การเป็นพ่อครัววังหลวงที่หลายปีจะเปิดรับพ่อครัวรุ่นใหม่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำฤดูทั้งสี่ และหนึ่งผู้จะเข้าชิงตำแหน่งนั้นคือ ‘เพรา’ พ่อครัวจากเมืองเล็กๆแห่งนั้น แรงปรารถนาของเขาอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือความสุขสบาย สิ่งที่เขาต้องการแค่ ความจริง 

“แค่เป็นเหมือนนายให้ได้ใช่ไหม แล้วชั้นจะรู้ความจริง…” - เขียวใบไม้

“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ มาจะช่วยเติมเต็มได้จริงเหรอ?” - แดงเนื้อสัตว์

“การเป็นพ่อครัววังหลวง มันจะแสดงให้ตระกูลเห็นว่าเราเองก็มีค่า” - ม่วงเปลือกมังคุด

“อยากให้คุณอยู่เห็นความสำเร็จของคุณจังเลย …ที่รัก” - ครามทะเล

“ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ กำลังใจของพวกนาย” - กลิ่นน้ำมันเครื่อง

 

_____________________________

 

 

สารบัญ

บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 1 สลัดสไลม์ทอด,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 2 สตูว์เนื้อ,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 3 แซนด์วิชทงคัตสึหมูโคลน,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 4 ฟาฮิตาไก่,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 5 ปูถ่านหิน,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 6 เค้กปูแบบพอดีคำ,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 7 แพนเค้กนุ่มฟู,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 8 ไข่ผำบนหลังแมงป่อง,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 9 ปลากะพงย่างพาสต้าไข่ผำซอสเพสโต้,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 10 คุณกระต่ายว่ายน้ำนม เบอร์ 2,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 11 นมถั่วพิตาชิโอ้,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 12 ขนมพระพาย,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 13 สไลม์ผลไม้,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 14 ระบำจิ้งจอกม่านหมอกเพลิง,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 15 คาเนลโลนีทุเรียนซ่อนแอบ,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 16 หมึกต้นไม้,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 17 โอโคโนมิยากิหมึกต้นไม้,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 18 ยำเห็ด ซุปเห็ด สเต๊กเห็ด และพุดดิ้ง,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 19 เจ้าปลามีขา,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 20 ดอกบัวเงือกหวาน,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 21 ช่อม่วงไส้กุ้ง,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 22 เคลพีสามทาง,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 23 สตรอเบอร์รี่ ครีมชีส พาร์เฟต์,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 24 เข็มกลัดว่าที่พ่อครัววังหลวง (ชั่วคราว),บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 25 ไก่ผัดเมล็ดวินลัท,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 26 บุหลันดั้นเมฆ,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 27 แกะขนทราย,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 28 ปอเปี๊ยะสด,บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวท-เมนูที่ 29 ป๊อปคอร์นวาซาบิ

เนื้อหา

เมนูที่ 26 บุหลันดั้นเมฆ

  

เริ่มต้นเช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับภารกิจสำคัญในการตามหาดอกมูนเบลล์ เพรากำลังก้มมองบ่อน้ำเก่า เผื่อว่ายังพอมีน้ำให้ตักใช้ได้บ้าง แต่ดูเหมือนบ่อน้ำนี้จะแห้งสนิทมานานแล้ว เขาหันไปจะพูดคุยกับสาวปริศนาเรื่องการหาน้ำสำรองระหว่างวัน แต่กลับเห็นเธอในสภาพอันน่ารักของสาวที่กำลังตื่นนอน ทรงผมที่ฟูฟ่อง หน้าตาแสนงัวเงีย เธอขยี้ตาก่อนจะทำมือเป็นลูกบอล มือทั้งสองข้างบิดสลับหมุนไปมา ตรงกลางระหว่างฝ่ามือเริ่มมีหยดน้ำก่อตัวขึ้นมาจากหยดเล็กๆ เริ่มกลายเป็นก้อนน้ำที่ใหญ่ขึ้น

“เธอใช้เวทน้ำได้เหรอ” เพรารู้สึกประหลาดใจเพราะเขาพึ่งเคยเห็นการสร้างน้ำจากความว่างเปล่าเป็นครั้งแรก

เธอมองเพราด้วยตาปรือจากการที่พึ่งตื่นนอน “หือ? อ๋อ...ฉันเคยจากเรียนโรงเรียนเวทมนตร์เห็นแบบนี้ฉันเป็นคนที่ใช้ได้หลายแขนงธาตุนะ” เธอพูดพลางใช้ลูกบอลน้ำลูบบริเวณผมของเธอ เพื่อเป็นการสระผมในยามเช้า

เพราเดินกลับมาที่แคมป์ไฟที่ยังดับไม่สนิท “ดูท่าทางที่เป็นผู้ใช้เวทที่เก่งนะเนี่ย เราก็มีเพื่อนแขนงเวทน้ำแต่หมอนั้นแค่เห็นน้ำให้เป็นของมีคมได้เอง”

“บ้า แค่นั้นก็เก่งแล้วนะ การคงสภาพของธาตุน้ำ มันยากนะ ยิ่งถ้าเป็นของมีคม ฉันบอกเลยว่านะว่ายากมาก” เธอพูดพร้อมกับสะบัดมือเพื่อเป็นยกเลิกการคงสภาพลูกบอลน้ำให้กลายเป็นน้ำธรรมดา “เรื่องน้ำ นายไม่ต้องห่วงนะ ตอนเช้าแบบนี้อากาศค่อนข้างชื้น ฉันปั้นน้ำได้หลายแก้วแน่นอน”

เพราที่ได้ยินแบบนั้นเขาเริ่มตั้งกระทะและค้นหาของในกระเป๋า “งั้นช่วยเติมน้ำประมาณครึ่งลิตรให้หน่อย”

“นายต้องทำข้าวเช้าด้วยเหรอ ไม่มีของที่กินได้เลยหรือไง”

“อาหารมันต้องทำสดๆ สิถึงจะอร่อย รีบเติมน้ำ เราจะได้กินข้าวเช้ากัน” เพราหยิบห่อกระดาษที่ใส่ข้าวโอ๊ตเอาไว้

“เรา? ไม่ต้องๆ ฉันมีเจ้านี่อยู่” เธอล้วงไปในแขนเสื้อของเธอและหยิบฟักทองระฆังออกมา “มีเจ้านี่อยู่ เดี๋ยวก่อนนายจะทำอะไร”

เพราที่เห็นฟักทองระฆังก็หยิบจากมือสาวปริศนาทันที และเริ่มใช้มีดปอกเปลือกอย่างชำนาญมือ “มีของดีก็ไม่บอก ใส่น้ำได้แล้วเราจะกินข้าวเช้ากัน”

เธอมองหน้าเพราด้วยความไม่พอใจแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของพ่อครัว เธอเริ่มทำท่าเหมือนเดิมค่อยปั้นน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้น เพราปอกเปลือกฟักทองระฆังเสร็จ เขาใช้ใบมีดเฉือนเอาเนื้อฟักทองออกเป็นแผ่นบางๆ ลงไปในหม้อ แม่มดสาวมองดูการขยับข้อมือและนิ้วที่เชี่ยวชาญทำให้เธอรู้สึกประทับใจจนลืมตั้งสมาธิกับลูกบอลน้ำตรงหน้า ทำให้บอลน้ำตกลงใส่หน้าตักเธอ

“เปียกเลย ฉันนี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ” เธอยิ้มแก้เขิน

รอยยิ้มนั้นทำให้เพราเสียจังหวะในการแล่เนื้อฟักทอง จนมีดบาดนิ้วของเขา “หึ! มีดบาดเหรอ ไม่ได้โดนแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย” เพรามองดูนิ้วชี้ที่มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

“ว้าย เลือดไหล ต้องปฐมพยาบาล นายมียาฆ่าเชื้อไหม ไม่สิต้องปั้มหัวใจ ต้องผายปอดด้วยไหม” แม่มดเห็นเลือดที่ปลายนิ้วของเพรา ทำให้เธอลนลานจนทำตัวไม่ถูก

เพรายิ้มให้กับความลุกลนของแม่มดที่ดูน่ารัก “ดูใหม่ๆ เลือดหยุดไหลแล้วบาดนิดเดียวเอง ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ รีบเติมน้ำเดี๋ยวไม่ได้กินกันพอดี”

“ได้เลยค่ะ ท่านพ่อครัวตัวน้อย” เธอทำท่าท่าวันทยหัตถ์แล้วค่อยๆ ปั้นบอลน้ำอีกครั้ง

สาวปริศนาเติมน้ำลงในกระทะ จากนั้นเพราจับตัวกระทะเพื่อเร่งความร้อนเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำเดือดได้ที่และเนื้อของฟักทองสุก ค่อยๆ เติมข้าวโอ๊ตเข้าไป คนไปจนกว่าทุกอย่างจะสุกปิดท้ายด้วยผงชินาม่อน

“โจ๊กข้าวโอ๊ตฟักทอง มีน้ำผึ้งด้วยนะ เธออยากเติมหวานก็บอกนะ” เพราหยิบช้อนไม้ให้กับหญิงสาวตรงหน้า

เธอรับช้อนมาจากเพรา “ฉันหวานอยู่แล้วไม่ต้องเติมก็ได้” สาวปริศนาพูดด้วยรอบยิ้มที่สดใส

เพราอมยิ้มหัวเราะ “ครับ แล้วแต่เลยครับ”

หลังจากเตรียมอาหารเช้าเสร็จ เพราและสาวปริศนานั่งลงทานโจ๊กโอ๊ตฟักทองต้นไม้ใหญ่กลางลานกิจกรรม แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านใบไม้ลงมาเป็นลำแสงอ่อน ๆ อาหารร้อน ๆ กับช่วงเช้าที่อบอุ่นเป็นการรวมตัวของสิ่งวิเศษที่ทำให้อาหารอร่อยมากขึ้น โจ๊กข้าวโอ๊ตเนื้อเนียน หอมกลิ่นชินาม่อน ความหวานของฟักทองกำลังละมุน น้ำผึ้งอาจจะไม่ต้องเติมเข้าไปแล้วก็ได้

“ฉันไม่ได้กินข้าวเช้าอร่อยๆ แบบนี้มานานมากเลย ขอบคุณนะ” สาวปริศนาพูดพลางยิ้มหวาน ทำให้เพราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขิน

"ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นไม่กี่อย่างที่เราทำออกมาได้ดี" เพราตอบพร้อมกับยิ้มรอยเล็ก ๆ

สาวปริศนาวางช้อนลงหลังจากกินเสร็จ เธอยืดตัวขึ้นและยิ้มกว้าง “ฉันอิ่มแล้ว เดี๋ยวฉันทำความสะอาดให้” เธอเรียกลูกบอลน้ำที่ดูเหมือนมีชีวิต วิ่งตามกระทะและช้อนดูดซับคราบอาหารต่าง ๆ เข้าไว้ในตัวมัน

ส่วนเพราเก็บข้าวของสำหรับปรุงอาหารใส่กระเป๋า “เธอพอรู้ทางไปหาดอกมูนเบลล์ไหม”

สาวปริศนาหัวเราะเบา ๆ พลางชี้ไปทางเพรา “นั้นไง ฉันคิดไว้ไม่มีผิด นายต้องมาหาดอกมูนเบลล์แน่นอน” เธอยิ้มอย่างชอบใจ “รู้สิ ฉันมาที่นี่หลายรอบแล้ว”

“งั้นไปนำไปเลย แลกกับข้าวเช้าที่กินไป”

“แหม นายบังคับให้ฉันกินเองนะ”

ณ เรือนคริสเซนทีมัม

หนึ่งในเรือนเล็กของวังหลวง มีชื่อเสียงว่าเป็นเรือนเล็กที่สวยที่สุดในแผ่นดินเพราะได้นักออกแบบฝีมือดีจากกลุ่มสวนแห่งปัญญาออกแบบเอาไว้ ตอนนี้ภายในห้องครัวพ่อครัววังหลวงฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะจัดชุดสำรับของว่าง เป็นของทานเล่นและชุดน้ำชา

พัมพีเข็นรถสำหรับเสิร์ฟอาหารลวดลายสวยงามสีทองแดงมาหยุดอยู่หน้าห้องพัก ทหารยามทั้งสองคนที่เฝ้าหน้าประตูทักทายพัมพีอย่างเป็นมิตร

“ขยันทำงานจริงนะ พัมพี ไม่สมเป็นนายเลย” หนึ่งในทหารเฝ้ายามเดินเข้ามาตรวจสอบอาหารและเครื่องดื่ม

พัมพียิ้มกว้างพลางหยิบของว่างใส่จานเล็กสองใบยื่นให้กับทหารยาม “ช่วงนี้โดนเจ้าชิม่อนบ่นมาก็เลยขยันให้มันหน่อย” พัมพีก้มลงหยิบแก้วน้ำชาจากรถเข็นชั้นล่าง “พวกนายชิมขนมได้เลย แล้วจะรับน้ำชาเพิ่มไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

“ไม่ดีกว่าครับ คุณพัมพี พวกผมทำตามหน้าที่แค่ชิมตรวจยาพิษแต่พวกผมเชื่อใจคุณพัมพีอยู่แล้ว” เขาพูดพลางหยิบจานขนม

“เชิญครับ ท่านรูเบลไลท์กำลังรออยู่” เขาพูดพลางเปิดประตูให้กับพัมพี

พัมพีเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องพักผ่อนของเจ้าของเรือน ภายในห้องตกแต่งสีอ่อน ๆ สบายตา กำแพงหนึ่งฝั่งเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้มองเห็นสวนดอกไม้สีขาวสวยงาม ตรงกลางห้องมีหญิงสาวที่มีอายุแต่ใบหน้ายังเป็นสาวสวยกำลังนั่งเล่นเกมกระดานคนเดียว ทางด้านหลังของเธอมีองครักษ์หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทำหน้าถมึงทึงเมื่อเห็นพัมพีกำลังเข้ามา

พัมพีโค้งคำนับ “ของว่างช่วงบ่ายมาแล้วครับ” เขาพูดพลางเข็นรถมาจอดเทียบด้านข้างโต๊ะของเจ้าของเรือนที่กำลังเล่นเกมกระดานอยู่

รูเบลไลท์เงยหน้าขึ้นยิ้มทักทายพัมพี ทำให้เห็นใบหน้าแสนหวาน “ขอบคุณนะพัมพี วันนี้มีอะไรมาเซอร์ไพรส์” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“วันนี้เป็นของโปรดของนายหญิงครับ ‘บุหลันดั้นเมฆ’ กับ ‘ชากุหลาบมูนเบลล์’ ไม่ทราบว่าคุณองครักษ์จะรับด้วยไหมครับ” พัมพีหันไปถามด้วยรอยยิ้มแสนกวน

องครักษ์หญิงด้านหลังตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าไรนัก “ดิฉันเคยบอกไปแล้วนะคะ คุณพ่อครัววังหลวง ว่าดิฉันไม่โปรดของหวาน” เธอพูดพลางมองพัมพีด้วยสายตาที่จริงจัง

“เป็นบุหลันดั้นเมฆที่สีสวยมากเลยนะพัมพี สีน้ำเงินดอกอัญชันจากสวนของฮันนี่บีเหรอ”

พัมพีพยักหน้า “ใช่ครับ ต้องขอบคุณชิม่อนนะครับที่ไปขอมาได้ นี้ครับน้ำชา” เขาพูดแล้วยื่นถ้วยชาให้

รูเบลไลท์มองถ้วยชาพร้อมรอยยิ้ม “กุหลาบมูนเบลล์ จริงสิ วันนี้วันจันทร์เต็มดวงนึกถึงที่หมู่บ้านกุหลาบสีจางเลย” เธอพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

พัมพีเงยหน้ามองเธอด้วยความสนใจ “คุณนายเคยไปที่นั่นด้วยเหรอครับ ถ้าคุณนายชอบผมจะเอามาฝากเพิ่มนะครับ พอดีมีเด็กใหม่กำลังทำภารกิจที่นั่นด้วย”

รูเบลไลท์ยิ้มพลางมองไปยังท้องฟ้า “ไม่เป็นไรพัมพี แค่นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งเฉยๆ”

ณ ป่าหิ่งห้อย

ป่าขนาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างหมู่บ้านกุหลาบสีจาง จะเรียกว่าตั้งอยู่ใกล้ๆ อาจจะไม่ถูกต้อง ต้องบอกว่าป่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน เพราะระหว่างทางธรรมชาติของป่าแห่งนี้เริ่มกลืนกินสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มีบ้านบางหลังที่ถูกเหล่าพืชพรรณคลุมทั้งบ้านก็มี การยึดพื้นที่ของป่านั้นอาจจะไม่ค่อยแปลกใจมากเท่ากับสิ่งมีชีวิตภายในป่า เพราะว่าไม่มีสัตว์ดุร้ายอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ มีแค่แมลงจำพวกผีเสื้อ เต่าทอง และหิ่งห้อย พวกสัตว์จะเป็นจำพวกนกน้อย กวาง และอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นสัตว์ไม่ดุร้าย

“เธอช่วยเดินช้าๆ หน่อยได้ไหม” เพราที่ต้องแบกกระเป๋าสัมภาระและถือกระทะคู่ใจรู้สึกเหนื่อยเป็นสองเท่ากว่าปกติ เขาหยุดยืนพัก จับเข่าหอบ ท่าทางเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

สาวปริศนาหันหลังมามองเขาพลางหัวเราะ “อ้าว ก็นายบอกเองนิว่าให้รีบเดินทาง แล้วทำไมมาบอกว่าช้า” เธอยิ้มขบขันเมื่อเห็นเพราดูเหนื่อย “ทนอีกนิดจะถึงที่หมายแล้ว”

เพรายืดตัวขึ้น พยายามเก็บแรงและตอบกลับ “ก็ได้ๆ”

หลังจากเดินทางผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยพืชพรรณและดอกไม้ในป่าหิ่งห้อย ทั้งสองมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่เป็นหัวใจของป่า ต้นหิ่งห้อย ต้นไม้ที่มีลำต้นสูงใหญ่และใบสีส้มอมแดงเข้มปกคลุมกิ่งก้านเป็นวงกว้าง รอบๆ ต้นหิ่งห้อยนั้น มีดอกกุหลาบมูนเบลล์สีขาวที่กำลังจะเบ่งบานในค่ำคืนนี้

“ถึงแล้ว!” สาวปริศนาเดินเข้าไปกอดใกล้ต้นไม้ใหญ่

เพรามองไปรอบๆ เห็นแสงหิ่งห้อยที่เริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ในยามเย็น แสงหิ่งห้อยนับร้อยนับพันเริ่มส่องประกายระยิบระยับในอากาศ ราวกับดวงดาวเล็กๆ ที่โบยบินอยู่รอบตัว เขาหันมาสบตากับสาวปริศนา “สวยจัง” เขาพูดออกมาอย่างประทับใจ ขณะที่แสงหิ่งห้อยเริ่มส่องสว่างมากขึ้น เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง

สาวปริศนานั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ มือของเธอสัมผัสกับรากใหญ่ของต้นไม้อย่างอ่อนโยน รากที่ดูเหมือนเป็นทางเดินแห่งชีวิตที่เลี้ยงดูต้นไม้มาหลายร้อยปี เธอหันมามองเพราด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับแสงหิ่งห้อยที่เห็นชัดมากขึ้นกำลังบินรอบตัวของทั้งสอง ความสวยงามของป่าแห่งนี้ทำให้เขาหลงใหลในความเงียบสงบและความงามที่เป็นเอกลักษณ์ ดอกกุหลาบมูนเบลล์สีขาวที่กำลังจะเบ่งบานยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับบรรยากาศ

“อย่างกับภาพวาดในนิทาน” เพรามองไปรอบๆ พยายามจะคว้าหิ่งห้อยที่ลอยลงบริเวณหน้าของเขา พอจับจากแสงหิ่งห้อยกลายเป็นแสงหิ่งห้อยตัวเล็กหลายตัว “อ้าวมันไม่ใช่หิ่งห้อยเหรอ”

สาวปริศนามองดูเด็กน้อยที่กำลังไล่จับหิ่งห้อย “ไม่ใช่ๆ มันเป็นอณูเวทมนตร์ที่มาจากพลังเวทที่เกินจากต้นหิ่งห้อย”

“เธอดูมีความเรื่องพืชดีจัง”

“ฉันรู้เยอะกว่าที่นายคิดอีก แบบเช่น…” เธอเด็ดดอกกุหลาบมูนเบลล์สองดอก ดอกแรกมาทัดหู แล้วลุกขึ้นเดินไปหาเพราเสียบดอกกุหลาบอีกดอกไว้ในกระเป๋าเสื้อ “เมื่อก่อนที่นี่เป็นสถานที่แสดงความรักกันโดยการเต้นรำไปกับแสงจันทร์ มานี่สิ” สาวปริศนาเดินจูงมือเพราให้มาตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกกุหลาบมูนเบลล์สีขาว

เพราตกใจเล็กน้อย มือข้างหนึ่งของเขากุมมือสาวปริศนา อีกหนึ่งข้างถูกจัดให้โอบเอวของเธอไว้ “แต่เราไม่เคยเต้นนะ จะเหยียบเท้าเธอเปล่าๆ เพลงก็ไม่มีจะเต้นยังไง”

“ลองหลับตาแล้วเธอจะได้ยิน” ทั้งสองหลับตาเสียงกระซิบของลมพัดผ่านใบไม้ เสียงของนกร้องแผ่วเบาจากที่ห่างไกล ทำให้เกิดเสียงคล้ายกับเสียงเพลงเบาๆ ทั้งคู่เริ่มขยับไปตามจังหวะของสายลม

สาวปริศนาเปิดตาขึ้นและมองไปที่เพรา ดวงตาของเธอเปล่งประกายแสงสะท้อนจากดอกกุหลาบมูนเบลล์ที่เริ่มมีแสงระยิบระยับ เพราลืมตาขึ้นพบกับดวงตาอ่อนโยน “สวยงามจริงๆ” เขาพูดเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายเริ่มแผ่ซ่านเข้าสู่ใจของเขา

“เป็นไง เหมือนฝันเลยใช่ไหม” สาวปริศนาพูดเบาๆ ขณะมองแสงหิ่งห้อยที่ส่องแสงวิบวับรอบตัว ดวงตาของเธอมีความเศร้าลึกซ่อนอยู่

“ใช่ แต่ทำไมเรารู้สึกเหนื่อยแปลก” เพราเริ่มรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ เขารู้สึกเหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร

สาวปริศนายิ้มแผ่วเบา ดวงตาของเธอสั่นระริก เธอค่อยๆ ปล่อยมือจากเพราแล้วถอยหลังออกไปสองก้าว “พลังเวทของนาย อร่อยเหมือนกันนะ อร่อยกว่าฝีมืออาหารของนายอีก” เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยขึ้น ดวงตาของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงินสว่างไสวสะท้อนกับแสงจันทร์

“อะไรนะ?” เพราเบิกตากว้าง

เขามองดูกุหลาบที่เธอถือไว้ มันเริ่มเบ่งบานอย่างผิดปกติ เปล่งแสงเจิดจ้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง ขณะที่ดอกมูนเบลล์รอบตัวพวกเขาเริ่มมีชีวิตขึ้นมา พวกมันกำลังดูดแสงหิ่งห้อยที่เคยสวยงามที่กลายเป็นแสงเวทมนตร์เข้มข้น เพราพยายามสูดลมหายใจลึก แต่รู้สึกได้ถึงความอ่อนแรงที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย มองดูกุหลาบมูนเบลล์ที่กำลังเรืองแสงท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเริ่มเข้าใจว่าสาวปริศนากำลังดูดซับพลังของเขา ไม่ใช่แค่จากเวทมนตร์ของตนเอง แต่จากพลังเวทที่แฝงอยู่ในดอกมูนเบลล์ด้วย

“นายมันเด็กอ่อนต่อโลกมาเลยรู้ไหม ไม่สงสัยเลยเหรอว่าทำไมที่นี้ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย นายไม่สงสัยหน่อยเหรอว่าพื้นที่ห่างไกลผู้คนแบบนี้ยังมีแม่มดสาวน่ารักเดินทางตัวคนเดียว ไม่สิต้องถามว่าไม่มีใครเตือนแกเลยหรือไง เรื่องแม่มดต้องสาปกุหลาบสีจาง!”

“ต้องสาป…”

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดต่อ สาวปริศนาพลันพุ่งตัวเข้าหาเขาด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ น้ำไหลวนรอบร่างของเธอราวกับสายลมที่ชุ่มฉ่ำ เธอยิงกระสุนน้ำจากไม้คทาของเธอ กระสุนน้ำพุ่งตรงเข้าหาเพรา เฉียดเฉือนต้นแขนและข้อเท้าของเพรา

“ทำบ้าอะไรของเธอ!” แววตาเขียวมรกตกำลังสับสนไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แต่ตั้งท่าป้องกัน

“เหยื่อคนก่อนยังสู้สนุกกว่านายอีก ช่วยตายแบบที่ทำให้ฉันสนุกได้ไหม คุณนักสำรวจ”

แม่มดต้องสาปกุหลาบสีจางร่ายมนตร์พร้อมยิงกระสุนน้ำอีกครั้ง เมื่อปลายไม้คทาของเธอตวาดลง กระสุนน้ำทั้งสามนัดได้พุ่งตรงเข้าหาเพราอีกครั้ง แต่การยิงครั้งนี้ไม่เกิดผลอะไรกระสุนน้ำ กลายเป็นไอระเหยที่ลอยขึ้นสู่ฟ้า ไอความร้อนเริ่มแพร่กระจายออกมาจากพ่อครัวหนุ่ม

“นายคิดว่าจะปกป้องตัวเองด้วยไฟได้เหรอ?”

เพราไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่หลับตาลงชั่วขณะ พยายามควบคุมลมหายใจให้มั่นคง เขารู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกจากตัวเอง กระจายไปทั่วพื้นที่รอบตัวเขา ทันทีที่เขาลืมตา แววตาเขียวมรกตของเขาส่องประกายเข้มขึ้น พลังเวทความร้อนเริ่มโอบล้อมร่างกายของเขาไว้

แม่มดต้องสาปหัวเราะเบาๆ “จะขู่ฉันเหรอ พวกธาตุไฟไม่บริสุทธิ์อย่างนาย อย่างเก่งก็แค่ปรับความร้อนรอบตัวเท่านั้นแหละ”

เพรายกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนที่กระแสความร้อนจะพุ่งออกไปปะทะกับเธอ ร่างของแม่มดต้องสาปสั่นสะเทือนเล็กน้อย แต่เธอก็ยังยิ้มอยู่ ท่ามกลางความร้อนที่โอบล้อม เธอยังคงร่ายมนตร์ต่อไป “น้ำจะดับไฟได้เสมอ” เสียงของเธอกังวานในอากาศ กระสุนน้ำพุ่งออกจากไม้คทาอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้น รวดเร็วขึ้น เพราพยายามตั้งรับ ควงกระทะคู่ใจเพื่อวาดอากาศความร้อนเป็นเกาะเพื่อสกัดกระสุนน้ำเหล่านั้น แต่ด้วยความที่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงจากการถูกดูดกลืนพลังงานและการควบคุมความร้อนอย่างต่อเนื่อง การป้องกันก็เริ่มลดประสิทธิภาพลง

“ฉันไม่ได้ต้องการต่อสู้กับเธอ!” เพราตะโกนและพยายามรักษาสมดุลของพลังตนเอง แต่แม่มดต้องสาปไม่สนใจ เธอร่ายมนตร์ต่ออย่างไม่หยุดยั้ง พลังของเธอยังคงเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่แสงจันทร์สัมผัสกับผิวของเธอ

“จะตายอยู่แล้วยังไม่คิดจะสู้ นายนี่มันโง่ขั้นสุดเลยนะ”

เพราตระหนักได้ว่าหากเขายังตั้งรับอยู่เช่นนี้ เขาจะไม่มีวันเอาชนะเธอได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการทำร้ายเธอเช่นกัน ‘เจ็บหน้าอก ไอ้ดอกไม้บ้านั้นทำเจ็บหน้าอกไม่หมด ทำไงดีเพรา คิดสิ...ต้องมีทาง...’ เขากัดฟันกุมมือพยายามทำลายดอกไม้เข้าปัญหา

เพราพยายามหาทางหยุดการต่อสู้โดยไม่ทำร้ายแม่มดต้องสาป ร่างกายเขาอ่อนล้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพลังเวทของเขาถูกดูดออกไปเรื่อยๆ ผ่านดอกกุหลาบมูนเบลล์ที่ฝังรากลึกเข้าที่ปกเสื้อของเขา มันแทงรากลงไปในกระแสพลังเวทของเพราอย่างไม่ปรานี ถึงจะพยายามถอนออกก็ทำไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น มันทนต่อความร้อนจากเพราด้วย เพราะมันใช้แหล่งพลังงานเดียวกัน

“รู้ตัวช้าไปหน่อยไหม เหยื่อคนก่อนยังฉลาดกว่านายอีกนะ” แม่มดต้องสาปยิ้มเยาะ ดวงตาสีเงินของเธอเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ จากนั้นเธอก็ยกไม้คทาขึ้น ฟาดลงในอากาศทันที เกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่รอบๆ ตัวเธอ ทันใดนั้นน้ำก็พุ่งออกจากวงน้ำวนเป็นเส้นหนาหลายสาย มันหมุนวนรอบตัวเพราเหมือนงูที่จะรัดเหยื่อเข้าหากันทุกขณะ

เพราพยายามปล่อยพลังความร้อนเพื่อระเหยน้ำ แต่ทุกครั้งที่ทำได้เพียงเล็กน้อย ดอกกุหลาบที่ปกเสื้อก็เร่งการดูดพลังของเขาจนทำให้เขาเหนื่อยล้ามากขึ้น ต่างจากแม่มดสาว เธอนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก สายน้ำยังคงล้อมรอบตัวเขา พร้อมจะท่วมทับเมื่อใดก็ได้

“เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ชีวิตคนเรามีค่ามากขึ้นการที่เธอมาฆ่าเป็นของเล่นนะ?” เพราเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วแต่จริงจัง

แม่มดต้องสาปหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่จะยิ้มเย้ยหยัน “เพื่ออะไรน่ะเหรอ? เพราะถ้านายตาย ฉันจะได้เป็นอิสระจากคำสาปนี้เสียที นายไม่รู้หรอก ว่าคนที่ต้องมาโดนคำสาปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดมันเป็นยังไง”

“คำสาป? แล้วทำไมต้องฆ่าฉัน? มีหนทางอื่นอีกไหม? เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้... ฉันจะช่วยเธอหาวิธีอื่น ถ้าเราหาวิธีที่ไม่ต้องมีใครตาย...”

เมื่อแม่มดสาวได้ยินคำถามของเพรา ยิ่งทำให้ความโกรธตื่นขึ้นมา “คิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอ พระเอกนวนิยาย? เจ้าชายน้อย? ความคิดนายมันเหมือนเด็กโลกสวยมากเลยรู้ตัวไหม” แม่มดต้องสาปกล่าวด้วยความเจ็บปวด

“แล้วถ้าไม่ต้องฆ่าล่ะ? ถ้าเราหาวิธีอื่นได้ล่ะ คำสาปมันแก้ได้หลายวิธีนะ ฉันสัญญา ฉันจะช่วยเธอ ถ้าเธอหยุดตอนนี้ เราจะหาทางออกด้วยกัน”

แววตาของแม่มดต้องสาปเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นทันที “สัญญา? เป็นคำที่ลวงโลกที่สุด อย่าพูดคำพูดสวยหรูพวกนั้นให้ฉันฟังอีก! คนอื่นเคยพูดแบบนายมาแล้ว ตั้งหลายสิบปี...แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งฉันไป ไม่มีใครกลับมา และเธอคนนั้น... ผู้หญิงที่มีดวงตาสีมรกตเหมือนนายไง”

เพราถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินถึงคนที่แม่มดต้องสาปพูดถึง “ดวงตาสีมรกต?”

“ใช่! เธอก็เคยสัญญาเหมือนนาย แต่เธอก็หายไปจากชีวิตฉันหลายสิบปี ไม่มีทางที่ฉันจะเชื่อในคำสัญญาใดๆ อีกต่อไปแล้ว!” พลังของแม่มดต้องสาปทวีความรุนแรงขึ้นทันทีที่เธอกล่าวจบ กระแสน้ำที่เคยล้อมรอบตัวเธอพลันก่อตัวเป็นสายน้ำที่รุนแรงกว่าเดิม เธอระดมพลังเวทใส่เพราอย่างไร้ปรานี สายน้ำพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า

เธอตวัดคทาขึ้นอีกครั้ง สายน้ำหมุนวนรวดเร็วขึ้นจนดูเหมือนพายุที่พร้อมจะกวาดล้างทุกสิ่ง เพราไม่อาจตอบโต้ด้วยพลังเวทได้ตรงๆ

เพราเริ่มวางแผนในใจ ขณะที่แม่มดต้องสาปยังคงควบคุมพลังน้ำอย่างดุเดือด รากกุหลาบที่ฝังแน่นอยู่ที่ปกเสื้อของเขาเริ่มดูดซับพลังเวทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้าลงทุกที แต่เพราไม่ยอมแพ้ เขามองไปยังสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยสายตาที่คมกริบ หวังจะหาทางใช้ประโยชน์จากมัน

รอบตัวเขามีต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ถูกแสงจันทร์ส่องผ่าน และใกล้กับลำธารเล็กๆ ที่ล้อมรอบหมู่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยหินร้อนที่เขาเคยสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ เพราฉีกยิ้มจางๆ ขึ้น เขามองหาโอกาสสุดท้ายที่จะพลิกเกมนี้

“ฉันขอร้องช่วยหยุดเถอะ ความตายมันไม่ช่วยเธอได้จริงๆ หรอก”

แม่มดต้องสาปยิ้มเยาะ ขณะที่พายุสายน้ำรอบตัวเธอหมุนวนอย่างรวดเร็ว “ไม่มีใครเคยเข้าใจฉัน และก็ไม่มีใครจะมาเข้าใจตอนนี้! ฉันต้องการอิสรภาพ!” เธอยังโจมตีราวกับห่าฝนลูกใหญ่ ส่วนเพราตั้งรับและค่อยๆ ถอยหลังออกมา

เพราตั้งท่า สายตาของเขาจับจ้องไปที่หินร้อนที่กระจัดกระจายอยู่ตามลำธารนั้น เขาควบคุมพลังความร้อนของตัวเอง จนทำให้หินเหล่านั้นเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทีละน้อย ไอร้อนจากหินเริ่มประสานกับพลังความร้อนของเพรา ส่งผลให้น้ำในลำธารเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยการปะปนของพลังงานเวทไฟ น้ำลำธารนั้นยากต่อการควบคุมน้ำของแม่มด

ทำให้แม่มดต้องเข้าใกล้ลำธารมากขึ้นเพื่อง่ายต้องการใช้พลัง พอเธอเคลื่อนที่ตามเขามาใกล้ลำธาร ร่างของเธอถูกรายล้อมไปด้วยไอน้ำร้อนที่ลอยขึ้นจากลำธาร เพราใช้พลังความร้อนเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดแรงดันในไอน้ำที่กระจายอยู่รอบๆ แม่มด ไอร้อนที่ลอยฟุ้งในอากาศเริ่มบดบังการมองเห็น เพรายังคงควบคุมพลังความร้อน พยายามรักษาระดับความร้อนให้สูงพอที่จะสกัดกั้นการโจมตีของแม่มด แต่ไม่ถึงขั้นทำอันตรายถึงชีวิต แต่ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น ไอร้อนที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อการหายใจของทั้งสองคน

เพราเริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ติดขัด เขาหอบหายใจลึกเพื่อสูดอากาศที่ยังหลงเหลือในม่านหมอกที่กำลังล้อมรอบตัว ขณะที่เขาเดินถอยหลังเข้าไปใกล้ลำธาร ไอน้ำร้อนลอยขึ้นสูงจนปกคลุมไปทั่ว เขารู้ว่าต้องจบการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไอร้อนจะทำให้ร่างกายเขาอ่อนแรงมากกว่านี้

แม่มดต้องสาปเองก็ไม่ต่างกัน เธอสูดหายใจแรง ใบหน้าของเธอเริ่มแดงจากความร้อนที่แผ่ซ่านในอากาศ รอบตัวเธอน้ำที่เธอควบคุมเริ่มระเหยกลายเป็นไอ และเธอเริ่มสูญเสียการควบคุมพลังของตัวเอง “นาย...กำลังคิดจะทำอะไร?” เธอถามด้วยเสียงหอบพลางใช้แขนป้องปาก หวังจะหยุดการหายใจในอากาศที่ร้อนระอุนี้

เพราเห็นว่าเธอเริ่มหมดพลัง เขาจึงฉวยโอกาสนี้สร้างความกดดัน “ไอร้อนพวกนี้จะทำให้เธออ่อนแรงลงอีกเรื่อยๆ ยิ่งเธอใช้น้ำโจมตี ไอน้ำก็จะมากขึ้น และมันจะทำให้เราหายใจลำบากขึ้นทั้งคู่”

เพราพยายามต่อรองอีกครั้ง “ฟังนะ... ตอนนี้เธอกำลังถูกคำสาปบีบบังคับ เธออาจรู้สึกว่าทุกอย่างมันไร้ทางออก แต่ยังมีวิธีอื่นที่จะช่วยเธอได้ เราไม่จำเป็นต้องฆ่ากัน...”

แม่มดต้องสาปเบ้ปาก ไม่ยอมรับคำพูดสวยหรูของเพรา เธอยิงกระสุนน้ำออกมาอีกครั้ง แม้ว่าพลังของเธอเริ่มอ่อนลง ไอน้ำที่ลอยขึ้นกลับยิ่งทำให้การหายใจยากขึ้นกว่าเดิม แต่ในใจเธอก็เริ่มสั่นคลอนจากคำพูดของเขา ความคิดที่เคยแน่วแน่เริ่มสั่นไหว

แต่เพรายังคงสงบนิ่ง เขามองเห็นว่าเธอกำลังอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว “เธอจะต้องเชื่อคนอื่นสักครั้ง...”

ท่ามกลางไอร้อนที่หนาทึบ แม่มดสาวเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ไอน้ำที่เกิดจากการปะทะกันของเวทมนตร์ทั้งสองฝ่ายทำให้เธอหายใจติดขัดมากขึ้น ร่างของเธอสั่นเครือในขณะที่พลังเวทเริ่มลบเลือน “ฉัน...” เสียงแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากของเธอ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดตอบกลับ ร่างของเธอก็ทรุดลง สลบไปท่ามกลางหมอกไอน้ำหนาทึบ

ดอกกุหลาบที่ปกเสื้อของเพรา ซึ่งเคยฝังรากลึกลงในกระแสเวทมนตร์ของเขา เริ่มเหี่ยวเฉาและหลุดออกไป ความร้อนที่เขาควบคุมได้กลับมาอีกครั้ง แต่พลังงานในร่างกายของเขาก็ถูกดอกไม้ดูดกลืนไปเกือบหมดเช่นกัน ร่างของเขาหนักอึ้ง ทรงตัวไม่อยู่ ก่อนที่เพราจะได้ก้าวไปหาเธอ เขาก็หมดสติลง ท่ามกลางความเงียบสงบ

เมื่อแสงอรุณแรกของวันใหม่สาดส่อง เพราตื่นขึ้นมา เขานอนอยู่ใต้ต้นหิ่งห้อยที่เคยส่องแสงงดงามยามค่ำคืน ในมือของเขามีกุหลาบมูนเบลล์ช่อหนึ่ง แสงจากดอกไม้ดูสว่างไสวราวกับถูกหล่อเลี้ยงด้วยเวทมนตร์อันอ่อนโยน แต่รอบตัวนั้นเงียบสงัด ร่องรอยของแม่มดต้องสาปที่ต่อสู้กับเขาก่อนหน้านี้หายไปโดยไร้คำบอกลา

เขาลุกขึ้น ยืดกายออกเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการต่อสู้ เดินทอดน่องออกจากพื้นที่ด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ ก้าวย่างช้าๆ ราวกับจะปล่อยให้สายลมพัดผ่านไปรอบตัว

แต่เบื้องหลังของเขา ท่ามกลางเงาของต้นไม้หิ่งห้อย แม่มดต้องสาปยืนมองเขาจากที่สูง ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์ แต่ในแววตากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งและยากจะอธิบาย เธอไม่ได้ขยับหรือกล่าวอะไร แค่เพียงเฝ้ามองพ่อครัวหนุ่มเดินจากไป...

‘แบบนี้เรียกอกหักไหมนะ’ เพราคิด