พ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
ผจญภัย,แฟนตาซี,ครอบครัว,ไทย,ตะวันตก,ดราม่า,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,อาหาร,ผจญภัย,เวทมนต์,มอนสเตอร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทพ่อครัววังหลวง คือผู้ทำอาหารให้กับเหล่าผู้คนชั้นสูงในวัง เป็นตำแหน่งของพ่อครัวที่ใครๆก็อยากไต่ไปถึง และหนึ่งในนั้นต้องเป็น 'เพรา' คลื่นลูกใหม่แห่งวงการพ่อครัวจอมเวทย์ที่พร้อมกระตุ้นความอร่อยด้วยมือเขา
บันทึกสูตรว่าที่พ่อครัวจอมเวทย์
Record the recipe of the Royal chef
หมวดหมู่ : แฟนตาซี ทำอาหาร การแข่งขัน ต่อสู้(นิดหน่อย)
__________________________
การเป็นพ่อครัววังหลวงนั้นเป็นความฝันและเป้าหมายชีวิตของเหล่าพ่อครัว เหล่านักสร้างความอร่อยให้กับโลกใบนี้ การเป็นพ่อครัววังหลวงที่หลายปีจะเปิดรับพ่อครัวรุ่นใหม่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้นเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำฤดูทั้งสี่ และหนึ่งผู้จะเข้าชิงตำแหน่งนั้นคือ ‘เพรา’ พ่อครัวจากเมืองเล็กๆแห่งนั้น แรงปรารถนาของเขาอาจจะไม่เหมือนใคร เพราะเขาไม่ต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หรือความสุขสบาย สิ่งที่เขาต้องการแค่ ความจริง
“แค่เป็นเหมือนนายให้ได้ใช่ไหม แล้วชั้นจะรู้ความจริง…” - เขียวใบไม้
“การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ มาจะช่วยเติมเต็มได้จริงเหรอ?” - แดงเนื้อสัตว์
“การเป็นพ่อครัววังหลวง มันจะแสดงให้ตระกูลเห็นว่าเราเองก็มีค่า” - ม่วงเปลือกมังคุด
“อยากให้คุณอยู่เห็นความสำเร็จของคุณจังเลย …ที่รัก” - ครามทะเล
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ กำลังใจของพวกนาย” - กลิ่นน้ำมันเครื่อง
_____________________________
ภายในห้องครัวในรถบ้าน เพรานั่งลงข้างนอททัมอย่างเงียบๆ เขาใช้ผ้าพันแผลพันรอบต้นแขนนอททัมอย่างตั้งใจ ไฟในครัวส่งแสงอบอุ่น สะท้อนให้เห็นความอ่อนโยนในแววตาของเพรา ขณะเดียวกัน กลิ่นของ ‘ฟองดูเนื้อแกะ’ จากมื้อเย็นยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ ทว่า บรรยากาศกลับเงียบเหงาอย่างผิดสังเกต เพราะคืนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้นั่งทานข้าวด้วยกัน
นอททัมมองเพราด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความห่วงใย การกระทำของน้องชายคนนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราดูสงบนิ่งและเงียบขรึมมากขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้นอททัมอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราพบเจออะไรมาระหว่างภารกิจ
“ว่าแต่ภารกิจเป็นยังไงบ้างครับน้องเพรา?” นอททัมเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า “แต่ผมมั่นใจว่าน้องต้องสำเร็จอยู่แล้วล่ะ ไม่เคยพลาด”
เพราสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม คำถามนั้นทำให้เขาเลิกพันผ้าชั่วครู่ และหลบสายตาเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงคำตอบที่ตรงไปตรงมา “ก็...แค่ไปนั่งดูพระจันทร์เต็มดวง เก็บดอกมูนเบลล์ แล้ว...ก็ทำขนมปัง แค่นั้นเอง” เขาตอบอย่างคลุมเครือ ราวกับไม่อยากเล่ารายละเอียดมากนัก มือยังคงจับผ้าพันแผลอยู่เหมือนใช้มันเป็นข้ออ้างที่จะไม่สบตาพี่ชาย “พี่กับเมลเลกทำงานสนุกไหม?” เพราพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“เด็กๆ ซนมาก แต่ว่า...” นอททัมพูดไป หัวเราะเบาๆ พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ต้องขอบคุณคุณเมลเลกที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ ว่าแต่คุณฮาวยังไม่กลับมาอีกเหรอครับ?” นอททัมหันไปถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ก่อนที่เพราจะตอบ เสียงประตูรถห้องครัวเปิดออกมา เป็นฮาวาร์ติที่เดินเข้ามาในสภาพเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล มือข้างหนึ่งยกขึ้นทักทายเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เย็น “โห พวกเจ้าดูสบายกันดีนี่” ฮาวพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า เขาหยิบน้ำอัดลมจากตู้เย็นและดื่มเข้าไปด้วยความหิวโหย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าตู้เย็นแบบหมดแรง
นอททัมฟังแล้วรู้สึกเห็นใจ “ฟังดูอันตรายมากเลยครับ แล้วพวกที่ไปด้วยกันปลอดภัยไหมครับ?”
ฮาวถอนหายใจยาว ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มอีกครั้ง “เหนื่อยเป็นบ้า ใครมันบ้าคิดภารกิจล่ากุ้งหมัดระเบิด นี่แค่ให้จับหนึ่งตัวช่วยกันตั้งห้าคนยังเกือบไม่รอด แถมโดนสวนกลับอีก โคตรบ้าเลย” ฮาวพูดจบแล้วฟุบหัวลงบนเข่าของตัวเองอย่างหมดแรง
“ฟังดูอันตรายจังครับ แล้วคนอื่นปลอดภัยไหมครับ” นอททัมถามด้วยความเป็นห่วง
“มีสองคนต้องพักฟื้นอยู่ที่ศูนย์รักษาในวังหลวง ส่วนภารกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า...” ฮาวตอบเสียงหงุดหงิด “มีอะไรกินบ้าง ข้าหิวมาก ไม่ได้กินอะไรมาเกือบวันเต็มๆ แล้ว”
“ก็ยังมีบีฟฟองดูเนื้อแกะอยู่ แต่เรียนเชิญลุกไปทำเองนะ”
ฮาวลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเดินไปที่หม้อฟองดู มองมันอย่างหิวโหย “ว่าแต่...เมลเลกไม่ได้กลับมาพร้อมนอททัมเหรอ? ชูร์ก็ด้วย ข้าไม่เห็นสองคนนั้นเลย”
เพราตอบแทน “เมลเลกบอกว่าต้องไปงานเลี้ยงที่บ้าน ส่วนชูร์... น่าจะอยู่ที่สมาคมนักประดิษฐ์ล่ะมั้ง เห็นบอกว่าจะลองทำเครื่องมือใหม่ๆ อยู่”
คฤหาสน์เอเดน
ในยามค่ำคืน คฤหาสน์เอเดนถูกประดับด้วยไฟระยิบระยับราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แสงไฟอันอบอุ่นส่องประกายบนโต๊ะอาหารยาวเหยียดที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีซึ่งถูกจัดอย่างวิจิตร แขกเหรื่อมากหน้าหลายตากำลังสนทนาเบา ๆ เสียงหัวเราะคิกคักคลอเคลียไปกับเสียงไวโอลินที่บรรเลงอย่างนุ่มนวล เป็นงานเลี้ยงของ สวนแห่งปัญญา หนึ่งในกลุ่มผู้นำประเทศที่ทรงอิทธิพล
ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหรูหรา บุคคลผู้มีชื่อเสียงแห่งวงการต่างๆ ปรากฏตัวในชุดหรูหราที่ต่างสะท้อนฐานะและบารมีของแต่ละคนอย่างชัดเจน เครื่องเพชรพลอยวับแวมเมื่อกระทบแสง ทำให้ทุกย่างก้าวของพวกเขาดูสง่างามและทรงอำนาจ
แต่ทว่า... ไม่มีใครสามารถดึงดูดสายตาไปมากกว่าการปรากฏตัวของตระกูล เฟรุนเธ หนึ่งในสี่ผู้นำหลักของกลุ่มสวนแห่งปัญญา
เอมโป เฟรุนเธ ผู้นำตระกูลในชุดราตรีสีม่วงเข้มตัดกับผิวขาวนวล ราวกับราชินีที่ยืนอยู่บนบัลลังก์ ด้านหลังของเธอคือลูกสาวทั้งสี่คน ที่ถูกจับตามองในฐานะผู้นำคนต่อไป โดยเฉพาะ แจคกี้ ลูกสาวคนที่สามที่หลายคนเชื่อว่าเธอจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่สิ่งที่กลับทำให้ผู้คนในงานต่างก็แอบกระซิบกระซาบกันคือ เมลเลก ลูกสาวคนสุดท้องที่มักถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวทุกคน จนไม่อาจหลบหนีเงาที่คอยกดทับตัวตนของเธอได้
“อ้าว เอมโป วันนี้สวยเป็นพิเศษเลยนะ” เสียงทักทายแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศที่งดงาม เจ้าของเสียงคือ ลิคซ์ หนึ่งในสมาชิกของสมาคมนักประดิษฐ์
เอมโปยกพัดขึ้นมาปิดปากอย่างสง่างาม “ลิคซ์ ดิฉันคิดว่าพวกสมาคมนักประดิษฐ์จะอยู่เงียบ ๆ เสียอีก ไม่นึกเลยว่าคืนนี้จะได้เจอ”
“สวัสดีค่ะ คุณลิคซ์” ลูกสาวทั้งสี่ของเอมโปก้มทักทาย
ลิคซ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปทักทายลูกสาวของเอมโป “หวัดดีๆ ฉันขอยืมตัวแม่เธอนะ เอาล่ะ เอมโป ไปหาเรื่องสนุกๆ คุยกันเถอะ” ลิคซ์ทักทายทั้งสี่สาวแล้วหันไปโอบไหล่เอมโป ชวนเธอไปคุยเล่นเป็นการส่วนตัว
เหล่าดอกไม้งามทั้งสี่ต่างแยกย้ายไปทักทายแขกภายในงานเลี้ยงที่หรูหรานี้ แม้เมลเลกจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในใจลึกๆ เธอไม่ได้ชื่นชอบงานแบบนี้เลย บรรยากาศงานที่ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเพียงการพบปะพูดคุยประจำปีของสวนแห่งปัญญา แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยการแสดงอำนาจ แขกแต่ละคนพยายามประกาศความยิ่งใหญ่และชื่อเสียงของตน ข่มขวัญตระกูลที่ด้อยกว่าทุกวิถีทาง
เมลเลกแอบถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่เธอเดินผ่านเหล่าผู้เข้าร่วมงาน “น่าเบื่อ...”
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยสนใจงานเลี้ยงแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะดึงดูดใจเธอได้ก็คืออาหาร อย่าง กาเลตต์เดอรัวส์ แต่ชุดราตรีรัดรูปพร้อมคอร์เซ็ทที่สวมใส่อยู่ทำให้เธอไม่กล้าจะรับประทานอะไรเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้น เสียงคุ้นเคยกระซิบข้างหูของเธอ “ไม่หิวเหรอ?” เมลเลกหันไปมองคนต้นเสียง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก มานึล รองหัวหน้าพ่อครัววังหลวง เขามักจะอยู่ข้างเธอในเวลาที่เธอรู้สึกอึดอัดในงานเลี้ยงเช่นนี้ “กาเลตต์เดอรัวส์ [1] ของโปรดไม่ใช่เหรอ” มานึลกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
[1] กาเลตต์เดอรัวส์ (Galette des Rois) : ขนมอบสไตล์ฝรั่งเศสที่มีลักษณะเป็นพายชั้น (puff pastry) ที่บรรจุไส้อัลมอนด์ครีมด้านใน
เมลเลกกลอกตาเล็กน้อยก่อนตอบด้วยเสียงที่แฝงความประชด “เป็นผู้ชายก็พูดได้สิ ลองใส่คอร์เซ็ทแล้วกินดูสิว่าเป็นยังไง”
มานึลหัวเราะ “จริงอย่างที่ว่า... งั้นอย่างน้อยดื่มอะไรหน่อยแล้วกัน น้องบริกรสาว ขอแชมเปญให้สุภาพสตรีท่านนี้ด้วยครับ”
บริกรหญิงที่กำลังหันหลังอยู่พอได้ยินเสียงเรียกก็หันกลับมา ทันทีที่เห็นหน้าเธอ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ “เอ๋!” บริกรสาวอุทานออกมา เมลเลกและมานึลเองก็ต้องผงะเช่นกัน เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่ใครอื่น... เป็น ชูโรส
สายตาของทั้งสามสบกันนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่มานึลจะกะพริบตาและพูดขึ้น “เพื่อนของเมลเลกนิ นี่เธอ...ทำงานที่นี่งั้นเหรอ?”
ชูโรสพยายามยิ้มออกมา แต่ความตกใจยังฉายชัดบนใบหน้า “เอ่อ... ใช่ค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกคุณที่นี่ ยังรับแชมเปญอยู่ไหมคะ”
เมลเลกยืนกอดอก สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชูโรสด้วยความไม่พอใจ "ตามฉันมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน...อย่างจริงจัง มานึล ฝากดูท่านแม่ด้วย ถ้าท่านหาฉันรีบมาเรียกเลยนะ"
เมลเลกพาชูโรสออกจากงานเลี้ยงไปสู่อากาศสดชื่นด้านนอก เธอเดินนำไปจนพ้นสายตาของแขกในงาน มองหามุมสงบก่อนที่จะเริ่มต้นการสนทนาอย่างที่เก็บไว้มานาน
"ตอนแรกฉันคิดว่าคงหลับหูหลับตากับเรื่องนี้ได้ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่ตอนนี้..." น้ำเสียงของเมลเลกเริ่มเข้มขึ้น "เธอล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ ชูโรส"
เมลเลกขยับเข้ามาใกล้จนหน้าทั้งสองใกล้ชิดกัน สายตาของเธอมองตาชูโรสอย่างจริงจัง “ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม? ชูโรส ช่วยคิดหน่อยได้ไหม ที่นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา มันอันตรายต่อคนนอกกว่าที่เธอคิด” ทันใดนั้นเมลเลกหันไปที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ "และหนูหมายถึงคุณด้วยนะ พัมพี ออกมาจากตรงนั้นได้แล้ว คนสวนที่นี่ไม่ชอบให้ใครเดินลัดสวน"
พัมพีที่แอบซุ่มอยู่โผล่ออกมาพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ "แหม แหม สมแล้วที่เป็นคุณหนูเมลเลกจริง ๆ ตาดีเกิน"
เมลเลกหันไปมองเขาด้วยความไม่พอใจ "โต ๆ กันแล้วนะ ทำอะไรก็รู้จักคิดกันหน่อย พัมพี คุณยิ่งต้องระวังตัวให้มากหน่อย ห้ามกันบ้าง ถ้าพวกคุณทำพลาดมันไม่ใช่แค่คุณสองคนนะที่จะเดือดร้อน ไหนจะเพรา นอททัม อาจจะถึงฮาวเลยก็ได้นะ"
พัมพีหัวเราะแห้ง ๆ พลางยกมือยอมรับ "เฮ้ ๆ รอบนี้ฉันห้ามแล้วนะ บอกชูโรสไปแล้วด้วย ว่าเธอคนนั้นไม่มาหรอก ส่งองครักษ์มาแทน"
เมลเลกหันไปมองชูโรสทันที "แล้วเธอจะเสี่ยงตายมาทำไม..."
ก่อนที่ชูโรสจะทันตอบ ออร่าความโกรธจากใครบางคนก็พุ่งขึ้นมา ชิม่อน เดินปรี่เข้ามาพร้อมผ้าแผลในมือ เขาปามันพันรอบตัวพัมพีแล้วลากเขากลับไปที่ครัว "พัมพี! เลิกอู้งานได้แล้ว ของหวานจะไม่ทำแล้วนะ!"
พัมพีร้องโอดครวญขณะถูกลากกลับไป "ใจเย็นสิ ชิม่อน! หัวหน้าเองงงงง!"
เมลเลกมองตามสองพ่อครัวแล้วส่ายหัว "อะไรกันสองคนนั้น..." แต่เธอก็ยังไม่ทันได้หันกลับไปเค้นความจริงจากชูโรส มานึลก็เดินเข้ามาเรียกเธอ
“ท่านเอมโป กำลังตามหาตัวเธอ เห็นว่าเธอเชิญเพื่อนมางานด้วย”
เมลเลกเลิกคิ้วขึ้น "ถ้าเป็นคุณลิคซ์ ฉันเจอบ่อยแล้ว ไม่เป็นไรหรอก"
มานึลส่ายหัว "ไม่ ๆ ครั้งนี้ไม่ใช่ลิคซ์ เห็นว่าเป็นองครักษ์ประจำตัวของท่านรูเบลไลท์"
ทันทีที่คำว่า "องครักษ์ประจำตัวของท่านรูเบลไลท์" หลุดออกจากปากมานึล สายตาของชูโรสก็พลันเปลี่ยนไป เธอหันขวับไปมองที่งานเลี้ยง จับจ้องหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่สวมชุดองครักษ์งามสง่า ผมบลอนด์ทองส่องประกายอยู่ใต้แสงไฟ หัวใจของชูโรสเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเธอไม่อาจละไปได้แม้เสี้ยววินาที
'คุณแม่...' ความคิดแผ่วเบาผุดขึ้นมาในหัว ชูโรสยืนนิ่ง ความแค้นเก่าแก่ที่ฝังลึกในใจถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับไฟที่ไม่มีวันดับลง ความโกรธเคืองค่อยๆ แผ่ซ่านจนทำให้ร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้าน กระแสไฟฟ้าเล็กๆ ไหลเวียนไปตามแขนขาของวิศวกรสาว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากความสงบกลายเป็นเมฆหม่นหนาทึบ เมลเลกเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจปาเข็มเล็กๆ ใส่ชูโรสอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้
ร่างกายของชูร์ได้ล้มลงช้าๆ กับภาพที่เธอขึ้นค่อยมืดลงและภาพสุดท้ายที่เธอเห็นนั้นคือสายตาของปีศาจร้าย ผู้หญิงคนนั้นที่หันมามองเธอเพียงเสี้ยววิ
เช้าวันต่อมา
ชูโรสลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเอง หัวของเธอปวดหนึบคล้ายกับผ่านคืนที่หนักหนามา ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนล้า ความทรงจำสุดท้ายที่เธอจำได้คือภาพของเมลเลกวิ่งมาหาเธอเมื่อคืนก่อน
“โอ๊ย ปวดหัวจัง...” ชูโรสบ่นพึมพำเบาๆ พลางลุกขึ้นจากเตียง เธอหิวจนท้องร้อง เธอจึงจัดแจงตัวเองและเดินไปที่ห้องครัว หวังจะหาอะไรทานรองท้อง
ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา ความวุ่นวายในห้องครัวก็ปรากฏสู่สายตา เพราและฮาวาร์ติกำลังแย่งหม้อกันด้วยใบหน้าดุดันอย่างทุกที ส่วนเมลเลกกำลังเตรียมไข่ฝอยอย่างใจเย็น ในขณะที่นอททัมกำลังห่อวัตถุดิบด้วยความพิถีพิถัน ชูโรสมองภาพนี้แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ เหมือนภาพที่เธอเห็นได้หายไปจากเธอหลายวันได้กลับมาอีกครั้ง
“อ้าว คุณชูร์!” นอททัมทักด้วยน้ำเสียงสดใส “เมื่อคืนเป็นไงบ้างครับ หายเมาค้างหรือยัง?”
คำถามนั้นทำเอาชูโรสงุนงง “ฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไง?
นอททัมยิ้มและยกแก้วน้ำชามาให้เธอ “คุณลิคซ์น่ะสิ อุ้มคุณชูร์มาส่งที่นี่ เห็นว่าไปปาร์ตี้กับสมาคมนักประดิษฐ์มา แถมยังแกล้งหลับตลอดทางอีกต่างหาก นึ่ครับน้ำชาอุ่นๆ”
ชูโรสยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ คิ้วของเธอขมวดเป็นปม “แต่เมื่อคืนฉันกับเมลเลก...”
เสียงเรียกของเพราขัดขึ้นมาก่อนที่เธอจะพูดต่อ “เอ้อ! กินอะไรหรือยัง หิวไหม?” เพราถามทั้งที่มือยังจับหม้อแน่น “ก็บอกว่าจะทำซอสเอง อย่ามายุ่งได้ไหม”
ชูโรสลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเถอะ ว่าแต่มีอะไรให้กินบ้าง ฉันหิวมาก!”
นอททัมยิ้มกว้าง “วันนี้มีเปาะเปี๊ยะสดครับ เมลเลกซื้อมาพร้อมกุนเชียงใหม่ด้วย ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่ากุนเชียง [2] คืออะไร แต่เดี๋ยวเราคงได้ลองกัน”
[2] กุนเชียง ไส้กรอกแห้งแบบจีน ทำจากเนื้อหมูหรือเนื้ออื่นๆ ที่หมักกับน้ำตาล เกลือ และเครื่องปรุงรส จากนั้นนำไปตากแห้งจนมีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม
เมื่อชูโรสเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ทั้งห้าคนเริ่มจัดจานอาหารกันอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศในห้องครัวตอนเช้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ เพราและฮาวาร์ติยังคงทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ ในเรื่องการทำอาหาร แต่ก็เป็นความขัดแย้งที่ทั้งคู่คุ้นเคยและคนอื่นๆ ก็เห็นเป็นเรื่องปกติ
นอททัม ที่นั่งอยู่ใกล้ชูโรส จัดแจงเทชาร้อนๆ ใส่แก้วให้เธออย่างสุภาพ “นี่ครับคุณชูร์ ดื่มชาอีกหน่อยน่าจะช่วยให้พี่สดชื่นขึ้นนะครับ”
ชูโรสมองหน้าของนอททัมแล้วยิ้มอย่างขอบคุณ “ขอบใจนะ นอททัม”
“โอ๊ย! พี่ดูอ่อนโยนจังนะเวลาเพิ่งตื่น” เพรา แกล้งพูดขึ้นขณะถ้วยสำหรับน้ำราดเปาะเปี๊ยะสดมาเสิร์ฟที่โต๊ะ แววตาเขามีแต่ความขี้เล่น และดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “เปาะเปี๊ยะนี้สูตรพิเศษของแม่เลยนะ ไม่รู้พี่จะจำรสมือของแม่ได้หรือเปล่านะ”
ฮาวาร์ติ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเพราแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไหนๆ มันจะอะไรขนาดนั้น ขนาดที่ไม่ให้ข้ายุ่งเลย”
เพราหัวเราะลั่น “ที่ไม่ให้ยุ่งไม่ได้หวงสูตร รำคาญพี่ปลาเฉยๆ” เขาพูดขณะยิ้มแหยๆ พลางดันจานเปาะเปี๊ยะไปให้เมลเลกที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่ปลายโต๊ะ
เมลเลกเงยหน้าขึ้นจากการเตรียมไข่ฝอย นัยน์ตาของเธอยังคงนิ่งเรียบ แต่กลับดูผ่อนคลายกว่าตอนแรก “รู้ไหมหูฉันสบายไปตั้งหลายวัน ต้องมาทนฟังพวกนายเถียงกันเป็นเด็กอีกแล้วเหรอ”
หลังจากที่เมลเลกพูดจบ บรรยากาศในห้องครัวก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ทั้งห้าคนต่างแซวกันไปมา โดยเฉพาะเพราและฮาวาร์ติที่ยังคงถกเถียงเรื่องสูตรอาหารกันต่อ แต่ก็แฝงไปด้วยความสนิทสนมที่แสดงออกผ่านทุกคำพูดและการกระทำ
ชูโรสที่นั่งเงียบไปชั่วขณะ สายตาของเธอก็ไล่มองไปรอบโต๊ะ เธอรู้สึกได้ถึงความผูกพันและความอบอุ่นที่ห่อหุ้มทุกคนไว้อย่างแน่นหนา ทั้งเพรา นอททัม ฮาวาร์ติ และเมลเลก ไม่ว่าพวกเขาจะทะเลาะหรือล้อเล่นกันอย่างไร ก็ยังคงมีความห่วงใยซ่อนอยู่ในทุกคำพูด
นอททัมหันมาพูดอย่างสุภาพ “คุณเมลเลกครับ จริงๆ ถ้าไม่มีเสียงทั้งสองคน ครัวก็คงจะเหงาไปจริงๆ นั่นแหละครับ” เขาพูดขณะห่อเปาะเปี๊ยะอีกชุดด้วยท่าทางที่ตั้งใจ
เมลเลกยิ้มขณะใช้ส้อมจิ้มไข่ฝอยแล้วแบ่งให้ทุกคน “ก็จริงนะ การเถียงกันเรื่องอาหารมันก็คงเป็นสีสันของพวกเราไปแล้ว”
ฮาวมองหน้าเมลเลกแล้วหัวเราะ “นี่ไง! ในที่สุดเธอก็ยอมรับว่าเสียงของข้ามีประโยชน์ คิดถึงข้าละสิยัยลูกคุณหนู”
“แล้วพี่ล่ะ ว่าอาหารเช้านี้เป็นยังไงบ้าง? อร่อยเหมือนฝีมือของแม่ผมไหม” เพราหันถามกับชูร์ที่กำลังประรับทานข้าวเช้า
ชูโรสหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า “อร่อยดีนะ รสชาติเหมือนฝีมือคุณน้าแท้ๆ เลย”
นอททัมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากบรรยากาศรอบตัว เขามองเห็นทุกคนหัวเราะและล้อเล่นกันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สำหรับนอททัมแล้ว การได้เห็นเพื่อนๆ ของเขาร่วมโต๊ะเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษ เพราะไม่ใช่เพียงแค่การแบ่งปันอาหาร แต่เป็นการแบ่งปันความสุขและมิตรภาพ
เมลเลกที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ในมุมของเธอ หยิบแก้วชาขึ้นมาแล้วจิบเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเรียบง่าย “ถึงพวกเราจะต้องเจอปัญหาเยอะแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่พวกนายอยู่ตรงนี้ ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเหงา”
คำพูดของเธอทำให้ทั้งโต๊ะเงียบลงชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของฮาวดังขึ้น “จริงอย่างที่เมลเลกพูด ใครจะไปเหงาได้ล่ะ เมื่อมีแก๊งวุ่นวายแบบพวกเราอยู่ด้วยกัน”
เพรายิ้มพยักหน้า “แต่ถ้าลดความวุ่นวายลงหน่อยก็ดีนะ”
ชูโรสมองดูเพื่อนๆ ที่เธอรัก ยิ้มอบอุ่นขณะที่พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกัน แม้เธอจะไม่เคยคิดว่าน้องชายผู้เงียบขรึมของเธอจะเข้ากับคนอื่นได้ดีขนาดนี้ แต่การได้เห็นเพราในวันนี้ ทำให้เธอรู้สึกถึงพลังของมิตรภาพ การมีชายร่างใหญ่ผู้ใจดี สาวผู้เงียบขรึมที่พูดน้อย และฮาวที่เป็นตัวป่วนที่ทำให้ทุกวันมีสีสัน ทุกคนนั้นต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่นั่นก็ทำให้พวกเขากลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตกันและกัน