การสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวหนังสือ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายบอกเล่าความรู้สึกไปยังคนคนนั้น

Love Letters จดหมายรัก - ฉบับที่ 2: ใกล้เพียงมือคว้า แต่ไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียง โดย Jamie @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ไทย,โรแมนติก,จดหมายรัก,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Love Letters จดหมายรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,จดหมายรัก,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

การสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวหนังสือ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายบอกเล่าความรู้สึกไปยังคนคนนั้น

ผู้แต่ง

Jamie

เรื่องย่อ


ตอนนี้มีอีบุ๊กแล้ว นิยายเรื่องนี้จะติดเหรียญถาวรตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.นี้เป็นต้นไปนะคะ


ติด 5 เหรียญ สำหรับตอนทั่วไป และ 10 เหรียญ สำหรับตอนที่มี NC เช่นเคยค่ะ

 

====================================================

 

ปัจจุบันการสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ

ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับตัวหนังสือ ผู้ซึ่งสามารถใช้การเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองได้มากกว่าคำพูด ตัดสินใจบอกเล่าความรู้สึกของตน ถ่ายทอดลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ร้อยเรียงเป็นจดหมาย ส่งไปให้ใครคนนั้น...

 

ราเชน คทาธร

นักเขียนชื่อดังของวงการหนังสือ หากแต่เป็นคนเก็บตัว และพูดไม่เก่งเฉกเช่นเวลาที่เขาเขียน

"ผมก็แค่อยากเขียนจดหมาย...

บอกรัก..."

 

ภูวนัท ฐิตตานุสรณ์

นักศึกษาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่แค่เรียนและทำงานพิเศษ ก็ไม่มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นแล้ว

ชายหนุ่มชอบที่จะใช้เวลาว่างอันแสนจะน้อยนิดของเขาอยู่ในคอนโด และนอน...

 

"เจ้าของจดหมายพวกนี้เป็นใครกันนะ..."

 

====================================================

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติขึ้นเท่านั้น

ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อบุคคลหรือสถานที่ที่ระบุถึงแต่อย่างใด

 

คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายชายรักชาย หากไม่ใช่แนวที่คุณชอบ กดปิดหน้าได้เลยค่ะ

 

เนื้อหาในนิยายอาจมีถ้อยคำไม่สุภาพบ้างเป็นบางครั้งเพื่ออรรถรส โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

เนื้อหานิยายบางตอนไม่เหมาะสมสำหรับนักอ่านซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี

 

====================================================

 

นิยายเรื่องนี้จะอัปโหลดสัปดาห์ละสามครั้ง ทุกวัน อังคาร วันพฤหัสบดี และ วันอาทิตย์ เวลา 17:30 น. นะคะ

 

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนผลงานค่ะ

 

ช่องทางติดต่อนักเขียน:

Author: Jamie

Twitter : @jamie_psf

Facebook Fanpage: Jamie's BL Novels

Instagram: @jamie_novels

 

#LoveLettersจดหมายรัก #LoveLettersNovel #เชนนัท

สารบัญ

Love Letters จดหมายรัก-Prologue .,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 1: รักแรกพบ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 2: ใกล้เพียงมือคว้า แต่ไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียง,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 3: รอยยิ้มที่เป็นดั่งพลังใจ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 4: เพียงแค่ชายคนหนึ่งที่ชอบเขียน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 5: ปล่อยหัวใจเดินทางไปกับตัวอักษร,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 6: หลับตา…แล้วจินตนาการว่าเราเดินทางไปด้วยกัน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 7: จดหมายในวันฝนพรำ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 8: เจ้าของจดหมายพวกนี้เป็นใครกันนะ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 9: ก้อนความรักของผมชื่อภูวนัท,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 10: ลูกค้าประจำในห้องฝั่งตรงข้าม,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 11: เจ้าของจดหมายพวกนั้นชื่อราเชน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 12: คนช่างเขียนที่ไม่ช่างพูด,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 13: ชาร้อน สมุดบันทึก และนิยายของคุณ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 14: Hot chocolate ในคืนฝนพรำ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 15: We kiss when we cook,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 16: สองกายสองใจเป็นหนึ่งเดียว,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 17: ความช่างอ้อนของเจ้าก้อนความรัก,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 18: ภูลังกาและบันทึกการเดินทางแรกของเรา,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 19: ถึงไม่มีสเปกแต่ข้าวปั้นก็ชอบคนเด็กกว่า,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 20: To the one I love,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 21: คำสารภาพรักบนเกาะช้าง [อชิระxข้าวปั้น],Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 22: รางวัลของคุณนักเขียน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 23: คุณคือครอบครัวของผม

เนื้อหา

ฉบับที่ 2: ใกล้เพียงมือคว้า แต่ไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียง

เป็นอีกวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหวานของหนุ่มน้อยในร้านกาแฟ คือสิ่งแรกที่ราเชนเห็น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพึมพำคำสบถกับตัวเองเมื่อยังคงได้ยินเสียงใสดังสะท้อนก้องกังวานอยู่ในใจเขา

‘รับอะไรดีครับ’

นักเขียนหนุ่มพ่นลมหายใจแล้วหัวเราะหึเบาๆ เพียงลำพัง ถ้อยคำอันแสนธรรมดาซึ่งพนักงานของร้านพึงใช้กับลูกค้าทุกคน กลับเป็นคำที่เวียนวนอยู่ในหัวสมอง นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือไร เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยแรกแย้มที่พบรักเป็นครั้งแรกเสียหน่อย แม้ความรักที่ผ่านมาจะไม่ใช่รักแรกพบก็ตาม และหนุ่มน้อยคนนี้ก็ไม่ใช่ชายคนแรกในชีวิตของเขา แล้วเหตุใดเล่าเขาจึงไม่สามารถสั่งหัวใจของตนให้หยุดคิดถึงอีกฝ่ายได้…

เมื่อจัดการกิจวัตรประจำวันของตนเสร็จเรียบร้อย ราเชนก็หยิบกุญแจรถ คว้าสัมภาระที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนออกจากห้อง เขาจองที่พักและเตรียมการสำหรับทริปนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ด้วยนิสัยชอบเขียนอะไรจากประสบการณ์ และวางแผนจะเขียนถึงทะเลหมอกที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในนิยายเรื่องที่กำลังเขียน เขาจึงต้องการไปพักที่นั่นเพื่อเก็บบรรยากาศและข้อมูลต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้การค้นหาข้อมูลแบบออนไลน์จะเป็นที่นิยมและสะดวกกว่าด้วยเหตุผลนานัปการก็ตาม

ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงกว่าๆ ราเชนก็พาตัวเองไปถึงที่พักท่ามกลางธรรมชาติอันน่าอภิรมย์ ตลอดระยะเวลาที่ขับรถ หัวใจของเขาคะนึงหาแต่หนุ่มน้อยในร้านกาแฟผู้นั้น คนที่พบหน้ากันแล้วเขารู้สึกราวกับมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้องเป็นพันๆ ตัว จนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำสนทนา นึกไม่ออกเลยว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เขาจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายได้เมื่อไรและอย่างไรกัน

กระเป๋าเดินทางใบเล็กกะทัดรัดถูกวางลงข้างเตียง ก่อนนักเขียนหนุ่มจะเปิดประตูกระจกบานใหญ่ไปยืนสูดอากาศด้านนอกระเบียง เขาทอดสายตามองออกไปยังพื้นที่กว้างตรงหน้า ที่ไม่ต้องจินตนาการมากก็รู้เลยว่าจะสวยงามเพียงใดเมื่อถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก เดินทางมาไกลจนถึงที่หมายซึ่งเงียบสงบและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนฝัน เหมาะแก่การนั่งจิบชาและเขียนนิยายที่สุด แต่สิ่งเดียวที่เขานึกถึงกลับไม่ใช่เนื้อหาของนิยาย

ราเชนผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ แล้วหลับตาลง อย่างน้อยช่วงที่อยู่ที่นี่เขาก็ตั้งใจจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเก็บข้อมูล เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถรวบรวมสมาธิ แล้วร้อยเรียงตัวอักษรออกมาเป็นเรื่องราวได้ ในเมื่อหัวใจของเขามัวแต่พะวงถึงแต่หนุ่มน้อยคนนั้น แต่ก็คิดว่าหากทำให้จิตใจไม่ว่าง ก็อาจจะพอช่วยให้ความว้าวุ่นในใจเบาบางลงได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

……………………………………

ช่วงเวลาสองคืนสามวันที่เขาค้อ ราเชนพยายามอย่างที่สุดในการมุ่งมั่นทำสิ่งที่ตั้งใจ เพราะความรับผิดชอบและความรักในงานเขียน ทำให้เขาสามารถบันทึกข้อมูลที่ต้องการได้อย่างครบถ้วน แม้เวลาพักจากงานเขาจะนึกถึงดวงหน้าที่อุดมไปด้วยรอยยิ้มหวานนั้นทุกครั้งก็ตาม

นักเขียนหนุ่มกลับถึงกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น หลังจอดรถในลานจอดของคอนโดก็ตั้งใจว่าจะนำสัมภาระไปเก็บและอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย แล้วจะตรงดิ่งไปยังร้านกาแฟเลย ด้วยเพราะคิดถึงเจ้าของรอยยิ้มที่ตรึงติดอยู่ในหัวใจของเขา แม้จะรู้ว่าตัวเองคงไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่ายก็ตาม

ราเชนพาตัวเองไปยืนรอลิฟต์ด้านในคอนโด ในหัวสมองของเขาเต็มไปด้วยภาพบรรยากาศอันสวยงามของทะเลหมอก และภาพริมฝีปากบางสวยแย้มรอยยิ้มส่งตรงมายังเขา อายุอานามของเขาก็ใกล้เลขสามเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าอยู่ๆ จะเกิดหลงรักคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ จนหยุดความคิดถึงไม่ได้แบบนี้

เมื่อลิฟต์มาจอดตรงหน้าเขาก็ก้าวเข้าไปด้านใน กดชั้นสิบสองและเตรียมจะกดปุ่มปิดประตู แต่ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดนักศึกษารีบตามเข้ามาในลิฟต์ ราเชนแทบไม่เชื่อสายตาและคิดว่าตนเองคิดถึงหนุ่มน้อยคนนั้นจนเกิดภาพหลอนในตอนแรก แต่เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มให้เขา หัวใจของนักเขียนหนุ่มก็รู้สึกราวต้นไม้อันเหี่ยวเฉาเพิ่งได้รับการดูแลรดน้ำ

ภูวนัทหันหน้ากลับไปยังแป้นลิฟต์ ตั้งใจจะกดชั้นที่พักของตน แต่ก็เห็นว่าชายอีกคนซึ่งอยู่ในลิฟต์กดชั้นเดียวกันไว้ก่อนแล้ว จึงหันไปส่งยิ้มให้อีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นรีบเบือนสายตาหนีทันที เขาไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนไม่รู้จักกันโดยสารลิฟต์มาด้วยกันจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง เขาเลื่อนสายตามองไปยังเลขบอกชั้นโดยไม่ติดใจอะไร ไม่ได้รับรู้เลยว่าหัวใจของชายผู้ยืนอยู่ด้านหลังกำลังเต้นแรงเพียงใด

เมื่อลิฟต์พาพวกเขาไปถึงยังชั้นที่สิบสอง ภูวนัทก็ก้าวออกจากลิฟต์แล้วเดินเลี้ยวไปยังห้องพักของเขาซึ่งอยู่ถัดจากลิฟต์ไปเพียงสองห้อง ราเชนแทบกลั้นหายใจเมื่อรู้ว่าเขาเดินผ่านห้องของอีกฝ่ายอยู่ทุกวัน และอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น…

หัวใจของนักเขียนหนุ่มเต้นแรงขึ้นขณะเดินผ่านประตูที่เปิดออกกว้างและปิดลงเมื่อเจ้าของห้องเข้าไปด้านใน เขาเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตัวเองตรงสุดทางเดินของชั้นนั้น แล้วหันกลับไปมองห้องที่อยู่เยื้องกันไปเพียงแค่ระยะโยนหิน ก่อนจะไขกุญแจแล้วก้าวเข้าไปด้านในอะพาร์ตเมนต์ของตน

ราเชนไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคชะตา ทว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาคิดว่าโชคกำลังเข้าข้างเขา หนุ่มน้อยคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับรักแรกพบ ผู้ที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกและไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง อาศัยอยู่ในคอนโด เดียวกันกับเขา อีกทั้งยังอยู่บนชั้นเดียวกันด้วย หากไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกเขาได้รู้จักกัน เขาคงจะเป็นคนที่โง่เขลาที่สุดในคอนโดนี้

ชายหนุ่มตัวสูงวางกระเป๋าสัมภาระลงบนพื้นห้องแล้วเดินวนไปเวียนมาอย่างใช้ความคิด รู้ตัวดีว่าตามปกติวิสัยเขาเป็นคนไม่ช่างพูดอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็คบหากับคนใกล้ตัวซึ่งรู้จักกันมาก่อนทั้งนั้น มันเป็นเรื่องไม่เข้าท่าแน่หากเขาจะไปเคาะประตูห้องแล้วแนะนำตัว อย่าว่าแต่พูดด้วยเลย สบตากันตรงๆ เขายังทำไม่ได้ แล้วจะเอาความกล้าจากไหนไปจีบอีกฝ่ายกันเล่า!

หรือเขาควรจะร้อยเรียงถ้อยคำเป็นจดหมาย ค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษร เพื่อให้อีกฝ่ายได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกับเขาผ่านปลายปากกา…

หัวใจของราเชนพองโตขึ้นทันใด เขาสูดลมหายใจเข้าลึก นับเป็นโชคดีของเขาจริงๆ สินะที่ได้มาอยู่ใกล้กันแบบนี้ เพราะสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีแทนการพูดอยู่เสมอนั่นก็คือการเขียน และเขาสามารถเขียนจดหมายส่งตรงไปถึงอีกฝ่ายได้ คิดดังนั้นราเชนก็ตรงไปยังโต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอาสมุดโน้ตขึ้นมา พร้อมทั้งปากกาจากกล่องเครื่องเขียน แตะมือลงไปสัมผัสหน้ากระดาษว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานหนังสีน้ำตาลไหม้ เขาเลื่อนสายตามองไปยังบานประตูทางเข้า ปล่อยใจล่องลอยไปถึงห้องซึ่งอยู่เยื้องไปไม่ไกล นึกทบทวนว่าควรจะเขียนถ้อยคำแบบไหน อีกฝ่ายจึงจะไม่รู้สึกว่าถูกเขาคุกคาม

ใจที่เต้นไม่เป็นส่ำของราเชนเริ่มสงบลง เมื่อตระหนักแน่แก่ใจแล้วว่าแผ่นกระดาษและปากกาคือเครื่องช่วยบอกความในใจ เขานั่งนิ่งอยู่อีกเพียงครู่เดียวก็เริ่มจดปลายปากกาลงบนหน้ากระดาษ บรรจงขีดเขียนทุกสิ่งทุกอย่างสื่อออกมาจากหัวใจ ร้อยเรียงทุกความจริงใจที่เขามีด้วยตัวอักษร และหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่คืนจดหมายที่เขียนยากที่สุดในชีวิตของเขากลับมา

 

มันอาจเป็นการเริ่มต้นที่ดูแปลกไปสักนิด แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมมาดี และไม่ได้มีเจตนาจะคุกคามอะไรคุณ

ผมเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่ชอบเขียน และการเขียนทำให้ผมสามารถบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง โดยถ่ายทอดมันออกมาผ่านตัวอักษร ทุกวันนี้การสื่อสารที่ไร้สายทำให้ผู้คนลืมนึกถึงความสวยงามของการเขียน คุณค่าของจดหมาย และมนต์เสน่ห์ของปลายปากกา…

หากคุณไม่ต้องการรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมผ่านจดหมายฉบับนี้ กรุณาพับมันเก็บใส่ซองและวางมันเอาไว้ที่เดิมที่คุณพบมัน ผมจะเลิกล้มความตั้งใจร้อยเรียงถ้อยคำลงบนแผ่นกระดาษมาสู่คุณ แต่หากคุณต้องการเป็นเพื่อนกับผมโดยมีกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนี้เป็นสื่อ และมีน้ำหมึกที่ประดิษฐ์บรรจงออกมาเป็นตัวอักษร ก็ขอให้คุณเก็บจดหมายนี้เอาไว้ แล้วผมจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คุณได้อ่านอย่างสม่ำเสมอ หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจมิตรภาพที่ผมหยิบยื่นให้ ผ่านถ้อยคำเหล่านี้นะครับ

R.K.



 

ราเชนอ่านทวนข้อความเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ทำให้ผู้รับตื่นตระหนก เขาค่อยๆ ดึงกระดาษออกจากสมุดตามรอยประอย่างระวัง บรรจงพับมันก่อนใส่ลงในซองจดหมาย ปิดผนึกซองอย่างมิดชิดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังประตูทางเข้า เมื่อเปิดประตูบานนี้ออกไปแล้ว เขาต้องยอมรับในสิ่งที่กำลังจะตามมา หากวันรุ่งขึ้นเขาเห็นจดหมายฉบับนี้วางไว้ที่เดิมหลังจากถูกเปิดซองแล้ว เขาคงจะต้องหาวิธีอื่นในการสื่อสาร หรืออาจทำได้เพียงแค่ตัดใจ คิดดังนั้นแล้วนักเขียนหนุ่มก็เปิดประตู ก้าวเท้าออกไปยังด้านนอก

หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…ห้า…

สายตาของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ประตูบานนั้น แต่ในใจกลับนับก้าวเดินของตนโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

ยี่สิบสอง…

ก้าวยาวๆ ของคนขายาวนับได้ยี่สิบสองก้าวจากประตูของเขาไปยังประตูของอีกฝ่าย เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปราเชนก็รู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกิน เขารีบวางจดหมายลงบนพรมปูพื้นหน้าประตูห้องแล้วกลับหลังหัน จ้ำเท้ากลับไปยังห้องของตัวเองด้วยความรวดเร็ว

……………………………………

ภายในสตูดิโออะพาร์ตเมนต์ขนาดกำลังพอเหมาะสำหรับอยู่อาศัยเพียงลำพัง ภูวนัทวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาแล้วเดินไปเปิดประตูระเบียง เขาก้าวเท้าออกไปยืนทอดสายตามองทิวทัศน์ของบ้านเรือนซึ่งอยู่คนละฝั่งกับถนนและร้านกาแฟ อยากอ้อยอิ่งกินลมชมวิวให้นานกว่านี้แต่ต้องเตรียมตัวไปทำงาน วันนี้ชายหนุ่มเลิกเรียนช้ากว่าปกติจึงมีเวลาพักไม่มากนัก ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด ภูวนัทระบายรอยยิ้มน้อยๆ แล้วหลับตาลง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางสูดลมหายใจเข้าลึก

อา…กลิ่นของชีวิตอันเป็นอิสระมันช่างหอมสดชื่นเสียเหลือเกิน…

นักศึกษาหนุ่มดื่มด่ำกับความคิดของตนเองอยู่ครู่ใหญ่จึงกลับเข้าไปด้านใน ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ดขณะเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ เมื่อเตรียมตัวเสร็จก็หยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กที่สะพายไปทำงานทุกวัน เปิดประตูห้องยังไม่ทันก้าวเท้าออกไปก็พบซองจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าวางอยู่บนพรมปูพื้น ในใจคิดว่าคงเป็นเอกสารจากนิติบุคคลแต่เขาไม่มีเวลาเปิดอ่านตอนนี้แน่ เลยนำมันไปวางบนโต๊ะหนังสือด้านในแล้วจึงออกไปทำงาน

ภูวนัทไปถึงร้านกาแฟในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาที เขายิ้มกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีที่ไม่ต้องเร่งรีบและผจญกับความแออัดขณะเดินทางเหมือนดังที่ผ่านมา หนุ่มน้อยเปิดล็อกเกอร์เก็บของส่วนตัวแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนของร้านมาผูกเอว ครึ้มอกครึ้มใจมากถึงขั้นฮัมเพลงจนผู้ที่เริ่มงานในเวลาเดียวกันเอ่ยทัก

“อารมณ์ดีเชียวนะนัท มีความรักหรือไง” เสียงเอ่ยแซวจาก ชนินทร ซูปเปอร์ไวเซอร์ประจำรอบบ่าย ทำให้นักศึกษาหนุ่มหัวเราะ

“มีความรักอะไรกันพี่ทร นัทแค่ครึ้มอกครึ้มใจนิดหน่อยเอง”

“มันก็ไม่แน่ปะ อยู่ในวัยนี้จะมีแฟนก็ไม่เห็นแปลก” ชนินทรว่าแล้วหันไปกวาดสายตาดูสมุดบรีฟงานคร่าวๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวช่วงเริ่มงานนัทดูแลสต็อกก่อนเหมือนเดิมนะ เสร็จแล้วค่อยมายืนหน้าแคชเชียร์ หิวไหม ถ้าหิวกินอะไรรองท้องก่อนก็ได้ เพิ่งเลิกเรียนมาเหนื่อยๆ”

“ขอบคุณครับพี่ทร แต่วันนี้นัทไม่ค่อยหิว เอาไว้กินทีเดียวช่วงเบรกก็ได้ครับ” ภูวนัทตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“โอเค แล้วแต่นัทแล้วกัน” ซูปเปอร์ไวเซอร์หนุ่มกล่าวก่อนเดินนำเข้าไปด้านในร้าน

เมื่อเตรียมตัวพร้อมชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มทรงเสน่ห์ก็เริ่มทำตามหน้าที่ของตน ตรวจสอบสินค้าที่ต้องเติมสต็อกหน้าร้านแล้วจึงกลับเข้าไปหลังร้านเพื่อหยิบสินค้าออกไปเติม เดินวนเข้าเวียนออกอยู่สองสามรอบจนเสร็จแล้วจึงไปยืนหน้าเคาน์เตอร์

เวลาหลังเลิกงานของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของการทำงานรอบบ่าย พอผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปแล้วพนักงานในร้านต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันไปเบรกตามปกติ เมื่อเวลาพักของภูวนัทสิ้นสุดลงเขาก็กลับเข้าไปประจำที่อีกครั้ง แล้วก็พบว่าเจ้าของร้านกำลังยืนคุยกับชนินทร

“สวัสดีครับพี่ปั้น” นักศึกษาหนุ่มยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทาย ปัณณวัฒน์ หรือ ข้าวปั้น ที่รับไหว้เขาด้วยรอยยิ้มแล้วคุยกับซูปเปอร์ไวเซอร์รอบบ่ายต่อ

“ไม่เห็นตั้งหลายวัน ปกติเขาจะมาเฉพาะช่วงสายที่คนน้อยๆ ไม่เคยมาช่วงหัวค่ำแบบนี้เลยนะ” บทสนทนาที่แว่วมาเข้าหูไม่ได้ดึงความสนใจของภูวนัท ปกติทางร้านก็มีแต่ลูกค้าประจำเป็นส่วนมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจคือประโยคคำถามที่มาจากชนินทร

“สเปกเหรอพี่ปั้น”

“ฮ่าๆ ไม่ช่ายยย” หนุ่มเจ้าของร้านผู้เปิดเผยและเป็นกันเองกับพนักงานทุกคนเสมอพูดกลั้วหัวเราะ แล้วเดินไปกดเครื่องกาแฟเพื่อชงกาแฟให้ตัวเอง

“ผมก็คิดว่าสเปกพี่จะประมาณนี้ซะอีก เท่ สูง หล่อ เป็นผู้ใหญ่ ขรึม” เมธา เพื่อนพนักงานอีกคนเอ่ยขึ้น ทำให้ภูวนัทมองไปรอบร้าน ขณะนั้นมีลูกค้านั่งอยู่ในร้านแค่เพียงไม่กี่โต๊ะ จึงไม่ยากที่จะมองหาชายผู้มีลักษณะแบบที่เพื่อนร่วมงานว่า

แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงมุมหนังสือของร้าน เห็นชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดโน้ตอย่างมีสมาธิ แต่จากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ทำให้มองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัดนัก

“พี่ไม่มีสเปกตายตัวหรอก ถ้าบทจะมามันก็มาเองแหละไม่ขึ้นอยู่กับว่าสเปกหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ลูกค้าคนนี้แน่ เขาดูเงียบเกินไป”

คำตอบของปัณณวัฒน์ทำให้ภูวนัทละสายตาจากบุรุษผู้นั้น เป็นจังหวะที่มีลูกค้าเดินมาที่เคาน์เตอร์พอดี จึงไม่ได้สนใจชายที่เขาไม่รู้จักอีก

…………………………………

 

หัวใจของราเชนเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเดินผ่านห้องของภูวนัท แล้วพบว่าจดหมายที่เขาวางไว้ตรงหน้าห้องได้หายไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าควรจะรอดูไปก่อนสักสองสามวัน เพราะอีกฝ่ายอาจยังไม่ได้อ่านมันก็ได้ ชายหนุ่มพาตัวเองลงไปยังร้านกาแฟทั้งด้วยคิดถึงกลิ่นกาแฟในร้าน มุมที่นั่งประจำของเขา และด้วยความอยากเห็นใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใสนั้น พอไปถึงร้านก็รู้สึกโล่งใจเมื่อคนที่เขาต้องการพบกำลังง่วนอยู่กับการเติมสต็อกเครื่องดื่มแช่เย็น ไม่ได้ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขณะที่เขาสั่งกาแฟ เพราะหากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ แบบคราวก่อน เขาก็อาจจะกลับหลังหันแล้วหนีขึ้นคอนโดแบบคราวก่อนอีกก็ได้

ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะที่ราเชนนั่งเป็นประจำ เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้นวมแล้วมองไปยังภูวนัท อยู่ๆ ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านขึ้นมาในหัวใจ เมื่อเห็นริมฝีปากบางคู่นั้นคลี่ยิ้มหวานให้กับลูกค้าในร้าน เขามองภาพตรงหน้าเยี่ยงคนตกอยู่ในภวังค์ แล้วมือของเขาก็ค่อยๆ เปิดสมุดโน้ตขึ้น ดวงตาคมเคลื่อนจากใบหน้าของอีกฝ่ายมายังหน้ากระดาษ น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาคิดถึงคนคนนี้เสียจนไม่มีสมาธิพอที่จะเขียน ทว่าตอนนี้หัวสมองของเขากลับเต็มไปด้วยตัวอักษร ที่รอให้เขาถ่ายทอดมันลงบนแผ่นกระดาษ ราวกับได้รับพลังใจจากรอยยิ้มนั้น ราเชนยิ้มให้กับตัวเองก่อนจดปากกา แล้วเริ่มร้อยเรียงทุกถ้อยคำลงบนหน้านิยาย

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าใบหน้าหล่อคมจะเงยขึ้นจากสมุดโน้ต ราเชนวางปากกาลงแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง สายตายังคงจับอยู่กับบทบรรยายที่เขาเขียนก่อนยกข้อมือขึ้นสำรวจเวลา แล้วเลื่อนสายตาไปมองรอบตัว ตอนนี้ภายในร้านมีลูกค้านั่งอยู่แค่สองสามโต๊ะ ดวงตาคมไปหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อยผู้ช่วยเติมพลังให้กับเขา เห็นอีกฝ่ายกำลังคุยหัวเราะกับเพื่อนร่วมงานด้วยรอยยิ้มกว้างก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกอิ่มใจ รวบสมุดกับปากกามาถือไว้ก่อนจะลุกขึ้น หันไปมองภูวนัทอีกครั้งแล้วจึงออกจากร้าน

เมื่อกลับถึงห้องราเชนก็เดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน เขาเปิดลิ้นชักหยิบสมุดโน้ตอีกเล่มขึ้นมา นึกอยากเขียนจดหมายส่งให้ภูวนัทอีกฉบับเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าควรอดทนรอ เขามองหน้ากระดาษและรอยประที่ถูกฉีกออกไปกับจดหมายฉบับแรกแล้วปิดสมุด เก็บมันใส่กลับเข้าไปในลิ้นชัก พลางวางแผนว่าพรุ่งนี้ช่วงสายหลังกลับจากร้านกาแฟตามเวลาปกติ เขาควรแวะซื้อกระดาษสำหรับเขียนจดหมายโดยเฉพาะ แม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมของจดหมายฉบับแรกก็ตาม

……………………………………………..

 

วันนี้เป็นวันที่สามหลังนักเขียนหนุ่มส่งจดหมายฉบับแรก หัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งที่เดินผ่านประตูบานนั้น ถึงจะมีความเป็นไปได้นานัปการที่จดหมายของเขาไม่ถูกวางกลับคืนยังที่เดิม แต่ก็อยากเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายได้อ่านมันแล้ว และไม่รังเกียจวิธีสื่อสารที่เขานำเสนอ ราเชนไม่รู้เวลาเข้าออกอะพาร์ตเมนต์ของเจ้าของห้องนั้น และไม่คิดจะตรวจสอบ เขาไม่ต้องการก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวหรือติดตามความเคลื่อนไหวใดๆ รู้เพียงว่าหากเขาต้องการพลังใจแล้วไปนั่งที่ร้านกาแฟร้านโปรดในช่วงหัวค่ำ เขาจะพบใคร และมันเป็นช่วงเวลาดีที่สุดสำหรับการวางจดหมายฉบับต่อไปที่หน้าประตูห้องนั้น

ถ้วยกาแฟยังคงความอุ่นอยู่บนโต๊ะในร้านกาแฟร้านเดิม สมุดโน้ตเล่มเดิมถูกขีดเขียนเรื่องราวต่างๆ ซึ่งถ่ายทอดออกมาจากจินตนาการของชายหนุ่มผู้เป็นนักเขียน จวบจนกาแฟหยดสุดท้ายผ่านลงลำคอของราเชน เขาจึงวางปากกาแล้วมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝนที่เคลื่อนมาตามแรงลมทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ควรสั่งกาแฟถ้วยต่อไป เขาปิดสมุดโน้ตแล้วเดินออกจากร้าน ตรงกลับไปยังคอนโดทันเวลาก่อนหยาดฝนจะโปรยปรายลงมาพอดี

เขาชอบวันที่ฝนตก เสียงฝนพรำ กลิ่นฝนและความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำ ราวกับกำลังได้รับการขับกล่อมจากบทเพลงแห่งธรรมชาติ สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่ามันเหมาะกับการอยู่ในห้องแล้วนั่งเขียนนิยายเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้ เวลานี้ เขาอยากเขียนจดหมาย บอกเล่าให้ใครคนนั้นรับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรในบรรยากาศแบบนี้ และมันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในชีวิตช่วงไหนบ้าง

ราเชนนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานแล้วหยิบกระดาษเขียนจดหมายซึ่งเพิ่งซื้อมาเมื่อวันก่อน ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหน้ากระดาษอันว่างเปล่าราวกับกำลังยิ้มให้ผู้รับจดหมาย ทุกหยดหมึกจากปลายปากกาบรรจงบอกเล่าออกมาจากหัวใจ ประหนึ่งว่าทุกตัวอักษรนั้นมีชีวิต และหวังให้มันเข้าไปโลดแล่นอยู่ในหัวใจของบุคคลที่เขาหลงรักทีละนิดละน้อย สร้างความผูกพันผ่านตัวหนังสืออย่างช้าๆ ช่างประหลาดนักที่สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุข แม้จะไม่ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายโดยตรงเลยก็ตาม

 

===================================

รอนิดน้าาา ทุกคนจะได้เห็นเนื้อหาในจดหมายของราเชนแน่นอนค่ะ