การสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวหนังสือ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายบอกเล่าความรู้สึกไปยังคนคนนั้น

Love Letters จดหมายรัก - ฉบับที่ 3: รอยยิ้มที่เป็นดั่งพลังใจ โดย Jamie @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ไทย,โรแมนติก,จดหมายรัก,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Love Letters จดหมายรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,จดหมายรัก,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

การสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวหนังสือ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายบอกเล่าความรู้สึกไปยังคนคนนั้น

ผู้แต่ง

Jamie

เรื่องย่อ


ตอนนี้มีอีบุ๊กแล้ว นิยายเรื่องนี้จะติดเหรียญถาวรตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.นี้เป็นต้นไปนะคะ


ติด 5 เหรียญ สำหรับตอนทั่วไป และ 10 เหรียญ สำหรับตอนที่มี NC เช่นเคยค่ะ

 

====================================================

 

ปัจจุบันการสื่อสารไร้สายที่กว้างไกล ทำให้กระดาษและปากกาดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับการบอกความในใจ

ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับตัวหนังสือ ผู้ซึ่งสามารถใช้การเขียนบรรยายความรู้สึกของตัวเองได้มากกว่าคำพูด ตัดสินใจบอกเล่าความรู้สึกของตน ถ่ายทอดลงบนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ร้อยเรียงเป็นจดหมาย ส่งไปให้ใครคนนั้น...

 

ราเชน คทาธร

นักเขียนชื่อดังของวงการหนังสือ หากแต่เป็นคนเก็บตัว และพูดไม่เก่งเฉกเช่นเวลาที่เขาเขียน

"ผมก็แค่อยากเขียนจดหมาย...

บอกรัก..."

 

ภูวนัท ฐิตตานุสรณ์

นักศึกษาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่แค่เรียนและทำงานพิเศษ ก็ไม่มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นแล้ว

ชายหนุ่มชอบที่จะใช้เวลาว่างอันแสนจะน้อยนิดของเขาอยู่ในคอนโด และนอน...

 

"เจ้าของจดหมายพวกนี้เป็นใครกันนะ..."

 

====================================================

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติขึ้นเท่านั้น

ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อบุคคลหรือสถานที่ที่ระบุถึงแต่อย่างใด

 

คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายชายรักชาย หากไม่ใช่แนวที่คุณชอบ กดปิดหน้าได้เลยค่ะ

 

เนื้อหาในนิยายอาจมีถ้อยคำไม่สุภาพบ้างเป็นบางครั้งเพื่ออรรถรส โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

เนื้อหานิยายบางตอนไม่เหมาะสมสำหรับนักอ่านซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี

 

====================================================

 

นิยายเรื่องนี้จะอัปโหลดสัปดาห์ละสามครั้ง ทุกวัน อังคาร วันพฤหัสบดี และ วันอาทิตย์ เวลา 17:30 น. นะคะ

 

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนผลงานค่ะ

 

ช่องทางติดต่อนักเขียน:

Author: Jamie

Twitter : @jamie_psf

Facebook Fanpage: Jamie's BL Novels

Instagram: @jamie_novels

 

#LoveLettersจดหมายรัก #LoveLettersNovel #เชนนัท

สารบัญ

Love Letters จดหมายรัก-Prologue .,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 1: รักแรกพบ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 2: ใกล้เพียงมือคว้า แต่ไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียง,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 3: รอยยิ้มที่เป็นดั่งพลังใจ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 4: เพียงแค่ชายคนหนึ่งที่ชอบเขียน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 5: ปล่อยหัวใจเดินทางไปกับตัวอักษร,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 6: หลับตา…แล้วจินตนาการว่าเราเดินทางไปด้วยกัน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 7: จดหมายในวันฝนพรำ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 8: เจ้าของจดหมายพวกนี้เป็นใครกันนะ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 9: ก้อนความรักของผมชื่อภูวนัท,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 10: ลูกค้าประจำในห้องฝั่งตรงข้าม,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 11: เจ้าของจดหมายพวกนั้นชื่อราเชน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 12: คนช่างเขียนที่ไม่ช่างพูด,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 13: ชาร้อน สมุดบันทึก และนิยายของคุณ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 14: Hot chocolate ในคืนฝนพรำ,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 15: We kiss when we cook,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 16: สองกายสองใจเป็นหนึ่งเดียว,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 17: ความช่างอ้อนของเจ้าก้อนความรัก,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 18: ภูลังกาและบันทึกการเดินทางแรกของเรา,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 19: ถึงไม่มีสเปกแต่ข้าวปั้นก็ชอบคนเด็กกว่า,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 20: To the one I love,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 21: คำสารภาพรักบนเกาะช้าง [อชิระxข้าวปั้น],Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 22: รางวัลของคุณนักเขียน,Love Letters จดหมายรัก-ฉบับที่ 23: คุณคือครอบครัวของผม

เนื้อหา

ฉบับที่ 3: รอยยิ้มที่เป็นดั่งพลังใจ

ฝนที่เทลงมาอย่างกับฟ้ารั่วเมื่อตอนช่วงสายเริ่มซาและหยุดลงในที่สุด นับเป็นโชคดีที่ภูวนัทกลับถึงคอนโดด้วยเนื้อตัวอันแห้งสนิท พอเข้าไปในห้องก็โยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา แวะล้างมือก่อนหยิบจานกับช้อนส้อมจากส่วนที่กั้นเป็นห้องครัว แล้วเดินถือถุงใส่ผัดซีอิ๊วทะเลไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ เปิดแล็ปท็อปหาอะไรดูไปพลางขณะจัดการกับมื้อเย็น วันนี้เลิกเรียนเร็วจึงพอมีเวลาซื้ออาหารมากินบนห้องและอ้อยอิ่งได้บ้าง จนได้เวลาก็อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานตามปกติ เริ่มงานด้วยการเติมสต็อกสินค้าเช่นเดิม แต่เพราะวันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนทั้งวัน ลูกค้าในร้านจึงไม่หนาตาเหมือนทุกครั้ง

“ถ้าช่วงหัวค่ำคนยังน้อยอยู่พี่ว่าจะปิดร้านเร็วหน่อย แล้วไปหาอะไรกินกันดีปะ” ปัณณวัฒน์เอ่ยปากชวนพนักงานรอบบ่ายทั้งสามคน

“ผมกับพี่ทรไม่มีปัญหาอยู่แล้วพี่ปั้นก็รู้ ไปไหนไปกัน นัทน่ะสิ ไม่เคยยอมไปกับพวกเราเลย” เมธาว่าพลางหันไปเลิกคิ้วมองเพื่อนร่วมงานซึ่งทำท่าอึกอักพร้อมยิ้มแหยเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

“พี่รู้ว่านัทมีเรียนตอนเช้า แต่คราวนี้ไม่ใช่การไปต่อหลังเลิกงาน เพราะงั้นไม่ดึกมากหรอก พี่ตั้งใจปิดร้านเร็วเพราะไม่มีลูกค้า แล้วแค่อยากพาไปหาอะไรกินแถวร้านนี่แหละ ว่าไง ไปป่าว”

เจ้าของร้านที่เป็นหนุ่มตัวเล็กฉบับกระเป๋าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ภูวนัทไม่เคยไปไหนกับคนในร้านเลยจริงๆ และคราวนี้คงยกเอาคำว่าไม่อยากกลับดึกเพราะมีเรียนมาเป็นข้ออ้างไม่ได้จึงตอบตกลง

“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ดึกเกินไป นัทคิดว่าน่าจะไปได้ครับ”

“โอ้โฮ แบบนี้เราควรฉลองปะพี่ปั้น ทำงานกันมาตั้งนานนัทเพิ่งยอมไปกับพวกเราเป็นครั้งแรกเลย” เพื่อนร่วมงานหนุ่มมาดกวนว่า

“ได้เลย พี่ตั้งใจเลี้ยงอยู่แล้ว ถือว่าฉลองไปเลยแล้วกันเนอะ” ปัณณวัฒน์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“ปิดร้านตอนนี้เลยไหมพี่ ผมจะได้ไปบอกลูกค้า” ชนินทรกระเซ้า แล้วมองไปยังลูกค้าสี่ห้าโต๊ะที่นั่งอยู่ในร้าน

“นั่นสินะ ถ้านั่งยาวละก็แย่แน่ นัทไปบอกลูกค้าให้พี่หน่อยว่าร้านจะปิดแล้ว” คนเป็นเจ้าของร้านแสร้งพูด แต่ภูวนัทคิดว่าอีกฝ่ายจริงจังจึงทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วแย้ง

“จะดีเหรอครับพี่ปั้น นัทกลัวลูกค้าโกรธอะ แล้วลูกค้าคนนั้นก็เพิ่งเข้ามานั่งได้ไม่นานเองนะครับ”

ได้ยินดังนั้นปัณณวัฒน์ก็หัวเราะร่วน เขาโบกไม้โบกมือแล้วรีบแก้

“พี่พูดเล่น พี่ไม่มีทางไล่ลูกค้าออกจากร้านเพราะอยากไปปาร์ตี้กับพวกเราแน่ๆ ไม่ต้องห่วงเลย แต่ปิดร้านเร็วนี่ปิดจริง”

พูดจบเขาก็เดินไปกลับป้ายแขวนหน้าประตูร้านให้เป็นคำว่า ‘ปิด’ แล้วเดินกลับไปยังหน้าเคาน์เตอร์

“ปล่อยให้ลูกค้านั่งต่อตามอัธยาศัยเลย แต่ไม่รับลูกค้าเข้ามาเพิ่มแล้ว เดี๋ยวพี่ไปจัดการเอกสารในออฟฟิศก่อนนะ ลูกค้าออกไปหมดร้านเมื่อไรค่อยปิดแคชเชียร์” เขาบอกชายหนุ่มทั้งสามก่อนเข้าไปหลังร้าน

หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านและปิดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว สี่หนุ่มจึงพากันออกไปหาร้านเหมาะๆ นั่งกินอาหารค่ำ และวางแผนไปดื่มต่อหลังจากนั้นโดยภูวนัทยืนกรานว่าจะกลับก่อน ทว่าลมฝนที่พัดแรงขึ้นทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับที่พักไปโดยปริยาย

แม้ว่าร้านอาหารดังกล่าวจะไม่ไกลจากคอนโดมากนัก แต่กว่าภูวนัทจะไปถึงทางเข้าฝนก็เทลงมาเสียก่อนแล้ว เมื่อไปถึงหน้าห้องก็พบว่ามีจดหมายไม่จ่าหน้าวางอยู่บนพรมปูพื้น ด้วยความที่เขาเปียกไปทั้งเนื้อทั้งตัวจึงโยนมันไว้บนโต๊ะหนังสือเหมือนฉบับแรก แล้วตรงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผม อาบเสร็จก็เข้านอนทันทีด้วยความเพลีย และลืมเรื่องจดหมายไปเสียสนิทอีกครั้ง

………………………………

ภูวนัทเอื้อมมือผอมบางไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกจากสมาร์ตโฟน นอนบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังไม่ลืมตา อ้าปากหาวหวอดพลางยกมือขึ้นขยี้ตา ความเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ทำให้รู้สึกว่ายังนอนไม่เต็มอิ่ม อีกทั้งเมื่อคืนก็ไปแวะกินอาหารค่ำกับพวกพี่ๆ ที่ร้านกาแฟ นั่งกันนานจนเขาถึงคอนโดดึกกว่าตอนเลิกงานปกติเสียอีก

“เฮ่อ…ทำไมตอนเช้ามาถึงไวจัง เหมือนเพิ่งนอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง” หนุ่มน้อยบ่นอุบอิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนลุกไปเข้าห้องน้ำด้วยความงัวเงีย

หลังจัดการกับกิจวัตรตอนเช้าเรียบร้อยจนพร้อมเดินทาง ภูวนัทก็คว้ากระเป๋าเป้แล้วออกจากห้องเพื่อไปหาอะไรกินตรงร้านแถวคอนโด นั่นเอง เขามีเวลาถมเถสำหรับมื้อเช้าก่อนเดินทางไปมหาวิทยาลัย

“ย้ายไปอยู่คอนโดหลายวันแล้วเป็นไงบ้างวะนัท ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย” อชิระ เพื่อนสนิทของภูวนัทเอ่ยทักเมื่อเขาไปถึงหน้าคณะ

“ก็ดี สะดวกดี ใกล้ที่ทำงาน ใกล้มหา’ลัย ห่างไกลครอบครัว” หนุ่มหน้าหวานพูดติดตลก อีกฝ่ายส่ายศีรษะแล้วหัวเราะก่อนตบบ่าคนพูดเบาๆ

“เออ นั่นแหละข้อดีที่สุดสำหรับมึง แล้วที่ทำงานเป็นไงวะ รู้ว่าย้ายไปอยู่ใกล้แบบนั้นไม่ยกโขยงกันไปปาร์ตี้ที่ห้องมึงเหรอ” เพื่อนหนุ่มร่างสูงใหญ่ถาม

“ไม่ได้บอกใครน่ะ ขืนบอกคงได้นอนเช้า ไม่ได้ตื่นมาทันเข้าเรียนแน่”

“ไม่ได้บอกแม้แต่พี่ปั้นเหรอ ย้ายที่อยู่ก็ต้องแจ้งเขาปะ จะปิดพี่เขาเพื่อ? อีกอย่าง พี่ปั้นคงไม่เอาไปป่าวประกาศให้พนักงานรู้หรอกมั้ง”

ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นภูวนัทก็หัวเราะ

“นี่ไม่รู้เหรอว่าพี่ปั้นน่ะขาปาร์ตี้เลย ถ้าเกิดรู้ว่ากูอยู่คอนโดนั้น มีหวังมาที่ห้องกูทุกวัน”

“ถ้าพี่ปั้นไปห้องมึงทุกวัน กูไม่ยอมแน่ ต่อให้มึงเป็นเพื่อนสนิทก็เถอะ” คนตัวโตพูดสวนขึ้นมาทันที

“เฮ้ กูเคารพพี่เขา ไม่เคยคิดกับเขาแบบนั้นเลย แล้วอีกอย่าง มึงก็รู้ว่ากู…เอ่อ…” พูดเพียงเท่านั้นคนพูดก็เกิดอึกอักและหน้าแดง

“เออ…กูรู้ว่าผู้ชายตัวเล็กแบ๊วๆ แบบพี่ปั้นไม่ใช่แนวมึง กูก็ทำเป็นหมาหวงก้างไปงั้นแหละ ชาตินี้จะกล้าจีบพี่เขาตรงๆ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย เขาเป็นเจ้าของร้านกาแฟจะมาแลอะไรกับนักศึกษาธรรมดาๆ อย่างกู” อชิระพูดพลางถอนหายใจหนัก

“มึงชอบพี่เขาขนาดนี้ก็น่าจะเดินหน้าจีบไปเลยนะ จะมัวมารออะไรอยู่”

“จีบไปก็เท่านั้น พี่เขาคงชอบคนเป็นผู้ใหญ่ ขรึมๆ มากกว่า” พูดจบหนุ่มตัวโตก็ถอนหายใจอีกรอบ

“ไม่นะ พี่ปั้นบอกว่าไม่มีสเปกตายตัว แถมไม่ได้ชอบคนขรึมๆ ด้วย ถ้าไม่เริ่มจะรู้ได้ยังไง รู้จักกันมาตั้งนาน มึงน่าจะลองคุยกับพี่เขาดูนะ” คนตัวเล็กกว่าแนะนำเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ

“ก็เพราะรู้จักกันมานานน่ะสิ ยิ่งทำให้กูไม่กล้า…” เสียงถอนหายใจครั้งที่สามดังขึ้น ภูวนัทจึงเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ

“ของแบบนี้ไม่แน่หรอก ถ้าไม่อยากคุยกับพี่เขาตรงๆ ก็ลองค่อยๆ จีบดูก็ได้ ดูอย่างวิทย์สิ ตั้งหน้าตั้งตาจีบสาวต่างคณะจนสำเร็จเห็นปะ” เขายกตัวอย่างเพื่อนสนิทอีกคน ที่จีบสาวหนักมากจนพวกเขาแทบไม่เจอหน้าเลยนอกจากเวลาเข้าเรียน

“เทียบกับใครไม่เทียบ ไปเทียบกับไอ้วิทย์” อชิระพ่นลมหายใจเมื่ออีกฝ่ายพาดพิงถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มของพวกเขา “แต่ยังไงกูจะลองดูแล้วกัน อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามานั่งเสียใจภายหลังที่ไม่ได้พยายามอะไรเลย” พูดไปอย่างนั้นแต่ในใจของหนุ่มตัวโตก็แสนฝ่อ และไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นปฏิบัติการจีบอย่างไร

 

……………………………………….

 

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ภูวนัทไม่มีเวลาพักมากนักก่อนไปทำงาน แต่ยังดีที่มีเวลากลับมาอาบน้ำที่คอนโดโดยไม่ต้องรีบมากแบบตอนยังอยู่บ้านพ่อ ชีวิตนักศึกษาของเขาไม่มีอะไรโลดโผนมากนัก เขามีเพื่อนสนิทเพียงสองคนที่กล้าพูดคุยด้วยอย่างเปิดเผยเกือบทุกเรื่อง เพราะปัญหาครอบครัวและความไม่ราบรื่นของชีวิตในวัยมัธยม

เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูผอมบางกว่าเพื่อนผู้ชายคนอื่น ทำให้หนุ่มน้อยถูกล้อเลียนและโดนกลั่นแกล้งเสมอ ถึงจะไม่เคยยอมถูกรังแกอยู่เพียงฝ่ายเดียว แต่หากเขาตอบโต้เมื่อใดนั่นแปลว่าเรื่องจะไปถึงผู้ปกครอง และพ่อจะทำโทษโดยไม่สนใจว่าเขาเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ อย่างกับเขาไม่ใช่ลูกทุกครั้ง จึงทำให้เขาไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใคร แม้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากก็ตามที

ภูวนัทโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาเหมือนทุกครั้งแล้วตรงเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้สายน้ำอุ่นๆ จากฝักบัวโปรยปรายลงบนใบหน้า แม้จะรู้สึกดีกับความมีอิสระจากครอบครัวที่ไม่เคยหยิบยื่นความรักมาให้ แต่ภูวนัทก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่หนีไม่พ้นวังวนของความเหงา และเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เมื่อนึกถึงชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ของตน มันทำให้เขาอยากมีใครสักคนที่รักและอยู่เคียงข้าง ในเวลาที่จมดิ่งกับชะตาชีวิตดังเช่นเวลานี้

มือเนียนขาวเอื้อมไปปิดน้ำหลังจากชำระล้างร่างกายอยู่นานราวกับต้องการชะล้างความเศร้าที่อยู่ดีๆ ก็คืบคลานเข้ามากัดกินหัวใจ เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวก่อนออกจากห้องน้ำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งเหล่านี้เข้ามาโจมตีความรู้สึก เขาพยายามที่สุดในการมองโลกในแง่ดี และอยู่กับความสุขเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวที่พอไขว่คว้าได้ในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องนึกถึงอดีตและความเจ็บปวดที่ได้รับจากครอบครัวอีก วันเวลาที่ต้องกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวมันสิ้นสุดลงแล้ว และเขาจะไม่หวนกลับไปเป็นแบบนั้น

ภูวนัทหยิบแจ็กเก็ตตัวบางมาสวมทับเสื้อพนักงานร้านกาแฟตามปกติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ผลักดันความรู้สึกเหล่านั้นให้จมลึกเข้าไปสุดก้นบึ้งของจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเขาอยู่กับความทุกข์ทรมานใจเหล่านี้มานานเหลือเกิน ชายหนุ่มมองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก พยายามดึงความเข้มแข็งให้กลับคืนมา พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยรอยยิ้มกว้างของตน การได้ยิ้มทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเสมอ และมันเป็นประหนึ่งเครื่องสร้างกำลังใจให้ตัวเขาเองตลอดมา แม้ความอบอุ่นจากคนใกล้ชิดจะเป็นสิ่งที่ภูวนัทปรารถนาที่สุดก็ตาม

…………………………………

เวลาผ่านไปอีกสามวันโดยราเชนไม่พบจดหมายฉบับที่สองของตนถูกวางคืนตรงที่เดิม สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข พยายามจินตนาการใบหน้าของอีกฝ่ายขณะอ่านจดหมาย แม้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าผู้รับอ่านมันด้วยความรู้สึกอย่างไร ทว่าอย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าภูวนัทรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา และมันทำให้เขามีกำลังใจในการเขียนจดหมายฉบับต่อไป

นักเขียนหนุ่มวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะกลมนอกระเบียงห้อง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ที่เข้าชุดกัน ทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าแล้วยิ้มละมุน เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดถึงเรื่องส่วนตัวเท่าไรนัก น่าแปลกที่เขารู้สึกว่าพร้อมจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าของรอยยิ้มหวานนั้นได้รับรู้ ตัวอักษรจากลายมือของราเชนถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นกระดาษ ทุกข้อความกลั่นออกมาจากหัวใจ รู้สึกราวกับเขากำลังเล่าเรื่องราวของตนให้คนรักที่อยู่ในอ้อมกอดฟัง ดุจดั่งได้พาอีกฝ่ายท่องเที่ยวไปด้วยกันในห้วงจินตนาการของเขา ชายหนุ่มไม่สนใจว่าเขาจะต้องเขียนจดหมายกี่ฉบับ เพียงแค่ให้คนรับได้อ่านและซึมซับทุกความรู้สึกของเขา และหวังว่าการผูกสัมพันธ์ผ่านตัวอักษรนี้ จะพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองในสักวัน

ทุกถ้อยคำที่ร้อยเรียงลงบนแผ่นกระดาษถูกผนึกลงในซองจดหมาย ราเชนมองเวลาจากนาฬิกาบนฝาผนัง เขายังคงไม่รู้เวลาเข้าออกอะพาร์ตเมนต์ของอีกฝ่ายเหมือนเดิม รู้เพียงว่าอาจเร็วไปหากนำจดหมายไปวางหน้าประตูบานนั้นในตอนนี้ คงต้องรอให้เป็นช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นเวลาที่เขามั่นใจว่าเจ้าของห้องยังทำงานอยู่ในร้านกาแฟ

เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นมากี่วันแล้วนะ…

ราเชนรำพึงกับตัวเอง แม้เขาจะสามารถจดจำใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นได้อย่างแม่นยำทั้งในยามหลับตาและลืมตา ทว่าเขาก็รู้สึกคิดถึงและอยากเห็นมันด้วยสองตาในบางครั้ง หากวันนี้จะแวะรับประทานมื้อเย็นง่ายๆ ในร้านกาแฟก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่ไหม แม้จะไปดื่มกาแฟที่นั่นตอนสายตามเวลาปกติของเขาแล้วก็ตาม

คิดดังนั้นแล้วนักเขียนหนุ่มก็กลับเข้าไปด้านในห้องพัก เขารู้ว่าช่วงเวลานี้ไม่เหมาะสำหรับการไปนั่งนานๆ เพราะเป็นช่วงที่ร้านกาแฟยุ่งมาก จึงคิดว่านั่งทำงานในห้องก่อน แล้วค่อยออกไปในช่วงหัวค่ำกว่านี้ท่าจะดี พอคิดแล้วก็เดินไปยังโต๊ะทำงาน เปิดแล็ปท็อปและหยิบสมุดโน้ตขึ้นมา เปิดสมุดไปหน้าที่ยังไม่ได้บันทึกลงในไฟล์นิยาย ใช้สมาธิทำงานไปพักใหญ่แล้วตรวจดูเวลาอีกครั้ง กดเซฟงานและปิดแล็ปท็อปก่อนจะหยิบสมุดโน้ตคู่ใจพร้อมซองจดหมาย แล้วเตรียมตัวออกไปกินอาหารเย็น

ภายในร้านกาแฟช่วงหัวค่ำมีลูกค้านั่งอยู่ในร้านเพียงไม่กี่โต๊ะ ราเชนรีบมองตรงไปยังเคาน์เตอร์พนักงาน เมื่อเห็นว่าคนที่เขาต้องการพบไม่อยู่ตรงนั้นก็รีบเดินไปสั่งกาแฟและ Panini ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งอกเพราะยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากันตรงๆ อีกใจหนึ่งก็กลัวว่านี่อาจจะเป็นวันหยุดของอีกฝ่าย นั่นเท่ากับว่าเขามาเก้อ และจะต้องทนคิดถึงรอยยิ้มอันสดใสนั้นไปอีกหนึ่งวัน

“Panini จะไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะนะครับ” พนักงานผู้ส่งถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จแจ้งให้เขาทราบ นักเขียนหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งโต๊ะประจำ เขายกกาแฟขึ้นจิบพลางมองออกไปด้านนอกร้าน ในใจนึกหวังว่าที่ไม่เจอกันเมื่อครู่เพราะเป็นช่วงพักของพนักงาน นั่งเหม่อมองท้องถนนอยู่พักเดียวก็ได้ยินเสียงกังวานใสดังขึ้นข้างตัว

“Ham and Mozzarella Panini ของคุณได้แล้วครับ”

ร่างทั้งร่างของราเชนราวกับแข็งค้างอยู่กับที่ หัวใจเต้นรัวแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี ความชัดเจนของเสียงและความใกล้ของทั้งคู่ทำให้เขาไม่กล้าหันหน้าไปมองอีกคน ทำได้เพียงมองมือที่บรรจงวางจานอาหารค่ำลงบนโต๊ะให้เขา โดยไม่แม้แต่จะกระดิกตัว จนกระทั่งภูวนัทเดินกลับไปหน้าเคาน์เตอร์ดังเดิมแล้วเขาจึงถอนหายใจยาว พักใหญ่ทีเดียวถึงจะเหลือบไปมอง เห็นอีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เมื่อไรกันนะที่เขาจะสามารถห้ามใจไม่ให้สั่น และรวบรวมความกล้าพอจะสบสายตาและเปิดปากพูดคุยกับหนุ่มน้อยคนนี้เสียที แม้จะเป็นแค่ประโยคธรรมดาอย่างสั่งกาแฟในฐานะลูกค้าคนหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็เอ่ยคำขอบคุณในเวลาที่อีกฝ่ายนำอาหารมาเสิร์ฟ

หรือ…เอ่ยแนะนำตัวเองเมื่อนำจดหมายฉบับใดฉบับหนึ่งไปส่งให้เจ้าก้อนความรักของเขาที่หน้าประตู

ความคิดของราเชนมาจบลงที่ตรงนั้น เขาส่ายศีรษะแล้วหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนเปิดสมุดโน้ตขึ้น อ่านทบทวนสิ่งที่เขียนค้างไว้ก่อนหน้านี้ พลางหยิบ Panini ขึ้นมากัด เมื่ออ่านทวนเสร็จหัวสมองของเขาก็โลดแล่นเข้าไปในโลกของตัวหนังสืออีกครั้ง ราวกับจิตวิญญาณของเขาถูกถอดเข้าไปอยู่ในนวนิยายที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง

………………………………………

“วันนี้มาสองรอบเลยแฮะ” ปัณณวัฒน์เปรยกับตัวเองเมื่อเห็นลูกค้าประจำนั่งอยู่ตรงมุมเดิมของร้าน

“ใครเหรอพี่ปั้น” เมธาถามขึ้น เจ้าของร้านหนุ่มจึงพยักพเยิดใบหน้าไปทางราเชน ภูวนัทเดินกลับมายังเคาน์เตอร์และได้ยินพอดีจึงถามขึ้นบ้าง

“ลูกค้าที่นัทเพิ่งเอา Panini ไปเสิร์ฟเหรอครับ”

“ใช่ ที่พี่เคยบอกว่าปกติเขาจะมาแค่ช่วงสายน่ะ” ปัณณวัฒน์ตอบ

คนถามหันไปมองชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อของการสนทนาอีกครั้ง พลางนึกไปว่ารู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ไม่ใช่ในร้านแน่ เพราะจำได้ว่าคราวก่อนที่ทุกคนพูดถึง เขาเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ไม่มีเวลานึกทบทวนอะไรต่อเพราะมีลูกค้าคนอื่นมาสั่งกาแฟพอดี ยุ่งอยู่กับลูกค้าอีกสองสามคนจากนั้นชนินทรกับเมธาก็ชวนคุยเรื่องอื่น ไม่นานปัณณวัฒน์ก็ชวนให้ไปจัดการกับสต็อกหลังร้าน ทำให้เขาลืมเรื่องของราเชนไปโดยปริยาย

 

นักเขียนหนุ่มปัดเศษขนมปังที่ตกลงบนสมุดโน้ตของเขาออกพลางยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดถ้วย เก็บปากกาและปิดสมุดก่อนมองตรงไปยังภูวนัทอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายกำลังเดินออกมาจากหลังร้าน ก้มๆ เงยๆ หลังเคาน์เตอร์อยู่พักเดียวก็เดินกลับเข้าไปด้านหลังอีก เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้าน ไม่กี่นาทีต่อมาชายหนุ่มร่างสูงก็ไปยืนอยู่หน้าประตูห้องหมายเลข 1204 วางจดหมายที่บรรจงร้อยเรียงลงตรงที่เดิม ยืนมองมันอยู่อีกครู่จึงเดินผละไปเข้าห้องของตัวเอง ราเชนรู้ว่าสองสามวันหลังจากนี้เขาจะรู้สึกอบอุ่นใจเพราะได้เจอหน้าภูวนัทตรงๆ เมื่อเขาไปหาอีกฝ่ายที่ร้านกาแฟ และจะรู้สึกประหม่าในเวลาเดียวกัน ด้วยต้องคอยลุ้นว่าจดหมายฉบับที่สามจะถูกตีคืนกลับมานอกห้องหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรคืนนี้ก็ยังมั่นใจได้ว่าจะสามารถเขียนนิยายได้อย่างไหลลื่นแน่นอน

เพราะเขาได้รับพลังใจจากรอยยิ้มของบุคคลที่ทำหัวใจของเขา…ไม่เป็นของเขาเองอีกต่อไป

 

=========================================

 

รอยยิ้มของน้องนัทไม่ได้เป็นพลังใจให้พี่เชนอย่างเดียว แต่เป็นพลังใจให้กับตัวน้องเองด้วย

ชีวิตน้องนัทมีปัญหาก็จริง แต่น้องก็พยายามยิ้มสู้เสมอ การได้ยิ้มออกมามันช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้จริง ๆ นะคะ อาจใช้ไม่ได้กับทุกคนและทุกปัญหา แต่สำหรับเราแล้วเวลาที่ดิ่งหรือเครียด การยิ้มมันช่วยเราได้จริง ๆ ค่ะ