ผู้หนึ่งเสียสละ ผู้หนึ่งรอคอย ผู้หนึ่งอยากครอบครองแต่ไม่อาจรั้งอยู่ ผู้หนึ่งไม่อาจแตะต้องแต่กลับรั้งรอ ชะตาแล้วอย่างไร ลิขิตสวรรค์แล้วอย่างไร เรื่องเหล่านี้ใครเป็นผู้กำหนดกัน

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1 - บทที่ 2 พบเจอครั้งแรก โดย เจ้าหมีนอนฝัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,รัก,สัตว์บรรพกาล,เทพ ,เทพเซียน,เทพบรรพกาล,จีน ,จีนโบราณ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สัตว์บรรพกาล,เทพ ,เทพเซียน,เทพบรรพกาล,จีน ,จีนโบราณ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ผู้หนึ่งเสียสละ ผู้หนึ่งรอคอย ผู้หนึ่งอยากครอบครองแต่ไม่อาจรั้งอยู่ ผู้หนึ่งไม่อาจแตะต้องแต่กลับรั้งรอ ชะตาแล้วอย่างไร ลิขิตสวรรค์แล้วอย่างไร เรื่องเหล่านี้ใครเป็นผู้กำหนดกัน

ผู้แต่ง

เจ้าหมีนอนฝัน

เรื่องย่อ

การตายคือสิ่งใด โชคชะตาคือสิ่งใด ใยชะตาของเราจึงให้ผู้อื่นกำหนดกันเล่า อดีตจะเป็นเช่นไรหาใช่เรื่องที่ต้องกังวลหรือพะวงไม่ อนาคตอยู่ในกำมือตนมิสู้วางทิ้งอดีตนี้ลงเสียแล้วเริ่มพรุงนี้ให้ดีมิง่ายกว่างั้นหรือ

สารบัญ

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 1 เริ่มต้นเรื่องราว,ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 2 พบเจอครั้งแรก,ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 3 การทดสอบทุกหมื่นปี

เนื้อหา

บทที่ 2 พบเจอครั้งแรก

หลังจากที่หนิงเฟิ่งได้ลากตัวของลู่อวี่มาทางปลีกทิศใต้ของเรือนแล้ว ก็ได้ซักถามลู่อวี่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์และเรื่องต่าง ๆในแทบจะทันที

"เจ้า...เจ้าคือธิดาบุญธรรมผู้นั้นของเซียวหยางตี้จวินจริงหรือ แล้ว.. แล้วเจ้าเคยเจอองค์รัชทยาทเผ่าสวรรค์หรืิอไม่ ไหนจะที่ล่ำลือกันว่า ตำหนักมหารัตติกาลไม่อาจมีแม้แต่สัตว์ภูตเล็ดลอด"หนิงเฟิ่งถามลู่อวี่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น ด้วยนางชมชอบมหาเทพเซียวหยางเป็นแบบอย่างด้วยทุนเดิม
"ช้าก่อนๆ ข้าเข้าใจหากเจ้ารู้สึกประหม่า แต่ข้าคงตอบเจ้าได้แค่ทีละคำถามเท่านั้น เจ้าค่อยๆพูดเถอะ"ลู่อวี่กล่าวพลางโบกมือให้ชุดน้ำชาปรากฏ พร้อมรินชาในกาถ้วยหนึ่งพลางส่งให้กับหนิงเฟิ่ง
"น้ำชาสักหน่อยหรือไม่"
"ขอบใจเจ้ามาก"หนิงเฟิ่งกล่าวขอบคุณพร้อมรับถ้วยน้ำชาในมือของลู่อวี่
"เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนถามตอนนี้ไปเลย พวกเรามาช่วยจัดการกับข้าวของพวกนี้เถอะ"หลังจากที่พูดคุยเสร็จลู่อวี่และหนิงเฟิ่งก็จัดการกับข้าวของของพวกตน เช่นเดียวกับทางเฉินหลิงที่ตอนนี้กำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว โดยมีเฟยหลงเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง
"ไม่คิดว่าเจ้าจักทำอาหารเป็นด้วย เจ้าจะมีความสามารถมากเกินไปแล้วหรือไม่ เฉินหลิง"เฟยหลงที่ยืนมองอยู่เอ่ยชมสหายเพราะหน้าที่ของตนมีเพียงล้างผักเท่านั้น
"ตอนเด็ก ๆ ข้าต้องทำอาหารให้ลู่ลู่กินบ่อยครั้งก็เท่านั้น จึงพอมีความรู้เรื่องนี้บ้าง อาหารเสร็จแล้ว เจ้าช่วยข้ายกไปที่สวนเถิด"หลังจากที่กล่าวจบเฉินหลิง ได้ให้เฟยหลงช่วยตนยกอาหารไปรอน้องสาวเเละสหายอีกคนที่สวน
"ที่เจ้าบอกว่า ตอนเด็กต้องทำอาหารให้ลู่อวี่กิน แสดงว่าพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในวังมหารัตติกาลงั้นหรือ"เฟยหลงถามต่อหลังจากที่ยกอาหารเสร็จแล้ว
"มิใช่มิได้อยู่ เพียงเเต่ลู่ลู่นางชอบอาหารฝีมือท่านพ่อมาก แต่บางครั้งท่านพ่อก็ไปกักตัวบำเพ็ญ หรือไปสร้างศาสตราวุธกับเทพสงคราม ลู่ลู่นางจึงไม่ยอมกินข้าวหลายครา ข้าจึงต้องทำทุกทางให้นางยอมกินข้าวก็เพียงเท่านั้น"หลังจากที่ตอบสหายไป ก็มีเสียงสตรีสองนางกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานดังขึ้นเรื่อย ๆ
"คุยกันมาเสียสนุกเชียว ขอข้าคุยด้วยได้หรือไม่"เฟยหลงที่อยากจะร่วมวงสนทนาด้วยจึงเอ่ยออกไป
"ใครเอ่ยเชิญเจ้ามิทราบเฟยหลง"
"ฮ่าฮ่าฮ่า"เสียงหัวเราะของลู่อวี่ค่อนข้างดึงความสนใจของเฟยหลงอย่างมาก
"เจ้าหัวเราะข้าหรือลู่อวี่"เฟยหรงหันไปมองลู่อวี่พร้อมเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ เพราะตนคิดมาตลอดว่าธิดามหาเทพจะต้องเป็นกุลสตรีอย่างแน่นอน
"ก็เวลาที่เจ้าผิดหวังน่ะ ท่าทางดูตลกมากเลยอย่างไรเล่าเสี่ยวหลง ต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหลงแล้วกัน เจ้าก็เรียกข้าว่าลู่ลู่"หลังจากที่กล่าวจบลู่อวี่ก็นั่งลงข้างพี่ชายตนทันที
"ลู่ลู่ เจ้าจะเรียกเฟยหลงเช่นนั้นจริงหรือ"เฉินหลิงเอ่ยถามน้องสาวตนเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
"เสี่ยวหลงหรือ ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งหลายปี เหตุใดข้าจึงคิดชื่อนี้ไม่ได้กันนะ งั้นต่อไปข้าเองก็จะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหลงเช่นกันเฟยหลง งั้นต่อไปเจ้าสองพี่น้องเรียกข้าว่าหนิงหนิงก็แล้วกัน"หนิงเฟิ่งที่แม้จะเป็นสหายกับเฟยหลงมานานหลายปีแต่ก็มิเคยมิความคิดเรื่องชื่อเล่นของอีกฝ่ายขึ้นมาในหัวเลยแม้แต่น้อย
"หนิงหนิงหรือ นี่เจ้าตั้งชื่อเล่นให้ตนเองอย่างนั้นหรือหนิงเฟิ่ง"เฟยหลงเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่เปรียบเสมือนพี่น้องกับตน
"ข้าหาได้ตั้งชื่อเล่นให้ตนไม่ หนิงหนิงคือชื่อที่ท่านพ่อท่านแม่เรียกข้าต่างหาก"
"เอาเถอะ พวกเจ้ารีบกินข้าวเสีย พรุ่งนี้เราต้องไปศึกษาที่เรือนตะวันออกแต่เช้า ส่วนเจ้าสองคนเรียกข้าว่าเฉินหลิงแล้วกัน เพราะข้าหาได้มีชื่ออื่นไม่"หลังจากที่กล่าวจบทั้งสี่คนก็กินอาหารกันจนเสร็จสิ้น หลังจากที่กินเสร็จสตรีทั้งสองคนอาสาที่จะเก็บกวาดโต๊ะอาหารเอง แต่ก็โดนปฏิเสธจากผู้ที่มีวุฒิภาวะและอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดในเรือน
รุ่งขึ้นต้นยามเฉินทั้งสี่คนเดินทางไปยังเรือนตะวันออก ที่ซึ่งเป็นเรือนพำนักของใครบางคนที่กำลังรอทั้งสี่คนอยู่อย่างสงบ
"เรือนตะวันออกเงียบสงบยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นเรือนพำนักของเทพท่านนั้น ช่างงดงามเสียจริง"เฟยหลงที่มองเห็นเรือนตะวันออกจากไกล ๆอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมในความสวยงามนั้น
"จุดประสงค์ของเจ้า คือการมาศึกษาหรือมาเที่ยวสนุกกันแน่เสี่ยวหลง"ลู่อวี่เอ่ยถามสหายของตน
"เจ้ามิควรพูดเช่นนั้นลู่ลู่ เพราะเจ้าเองก็เข้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นเช่นกัน"เฉินหลิงเอ่ยปรามน้องสาวตน ก่อนที่นางจะพูดเล่นไปมากกว่านี้
"พี่ใหญ่ ลู่ลู่หาได้มาเที่ยวเล่นไม่ ลู่ลู่มาเพื่อศึกษาต่างหาก"
หลังจากที่ลู่อวี่ต่อล้อต่อเถียงกับเฟยหลงอยู่พอสมควร ทั้งสี่คนก็เดินมาถึงหน้าเรือนตะวันออกพอดี
"ถึงแล้วหรือ เหตุเรือนตะวันออกจึงไม่เห็นมีผู้ใดเลยเล่าเฉินหลิง"หนิงเฟิ่งเอ่ยถามเฉินหลิงเดินมาถึงหลังสุด เพราะต้องคอยกันไม่ให้ผู้ที่มีนิสัยเช่นเด็กน้อยทั้งสองนั้นหนีกลับไปที่เรือน
"มิอาจรู้ได้ คงเป็นเพราะเรือนตะวันออก ตอนรับเฉพาะนักเรียนที่ถูกคัดเลือกกระมัง"เฉินหลิงเอ่ยตอบหนิงเฟิ่ง
"ลองได้หรือไม่"ลู่อวี่เอ่ยขึ้น แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบจากผู้ใด กลับยื่นมือเข้าไปแตะที่เขตพลังทันที
"ลองหรือ อย่าแตะนะลู่ลู่" "อ๊ะ"ยังมิทันที่หนิงเฟิ่งจะเอ่ยจบลู่อวี่ก็เอามือไปแตะที่เขตพลังด้านนอกเสียแล้ว
"ลู่ลู่เป็นอะไรมากหรือไม่ ท่านพ่อข้าเคยบอกเอาไว้ เรือนตะวันออกแห่งหุบเขาเซียนมีพลังสายหนึ่งปกป้องอยู่ หากมิใช่คนที่ถูกเลือกมันจะทำร้ายคนที่พยายามจะแตะต้องมัน"หนิงเฟิ่งกล่าวพร้อมกับนำยาดอกพุดตานที่ตนพกติดตัวเสมอ ทาให้ที่มือของสหาย
"ไม่เป็นการเตือนที่ช้าเกินไปหรือไม่ หนิงหนิง"ลู่อวี่เอ่ยกับสหายด้วยความขบขันเล็กน้อย
"ผู้ใดบุกรุกเรือนแห่งข้า"เสียงที่เอ่ยมาจากทางลานเรือน ทำให้ทั้งสี่คนหันเจอกับบุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินในมือถือแส้
"ผู้น้อยทั้งสี่คือนักเรียนของหุบเขาเซียนขอรับ ทดสอบพลังบำเพ็ญแล้ว อาจารย์ผู้คุมให้พวกข้าทั้งสี่คนมาศึกษาที่เรือนตะวันออกขอรับ"เฉินหลิงกล่าวก่อนที่จะพยุงน้องสาวตนให้ยืนขึ้น
"พวกเจ้ามีกันเพียงสี่คนหรือ"บุรุษเจ้าของเรือนเอ่ยถามเฉินหลิง
"ขอรับ มีกันสี่คน ผู้น้อยพำนักเรือนหรูเหอติดน้ำตกเซียน"เฉินหลิงตอบบุรุษเจ้าของเรือน
"จงแสดงพลังของพวกเจ้าออกมา แล้วข้าจะพิจารณาเองว่า พวกเจ้าสมควรศึกษาที่เรือนนี้หรือไม่ หากไม่แล้วไซร้ พวกเจ้าก็กลับไปเสีย"บุรุษเจ้าของเรือนกล่าว ก่อนจะมองไปยังสตรีร่างเล็กที่แผ่กลิ่นอายพลังบรรพกาลออกมาอย่างเบาบาง
ทั้งสี่คนแสดงพลังบำเพ็ญออกมา สร้างความพึงพอใจให้เจ้าของเรือนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์เป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีพลังที่ลึกล้ำ ทั้งพลังนั้นยังหายากเกินกว่าในรอบแสนปีจะหาพบอีกดด้วย แน่นอนว่าหากเป็นนักเรียนของเรือนอื่นแล้วคงไม่มีทางที่จะเจอนักเรียนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้แน่
"พวกเจ้าทั้งสี่คนสอบผ่านแล้ว เข้ามาในเรือนได้"
"ช้าก่อนผู้อาวุโส ผู้น้อยขอทราบนามท่านได้หรือไม่"หนิงเฟิ่งเอ่ยก่อนที่บุรุษเจ้าของเรือนจะเดินเข้าไปของใน
"นามข้าหรือ เยี่ยนอวี้ พวกเจ้าเข้ามาภายในกันก่อนเถอะ ข้าจะช่วยรักษานางให้เอง แค่ยาดอกพุดตานที่เจ้าทาให้นาง ช่วยได้แค่บรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้น มิอาจรักษาพิษอัคคีได้หรอก"เยี่ยนอวี้พูดก่อนจะเดินไปยังห้องยา เพื่อนำยาถอนพิษมาให้สตรีที่โดนพิษจากปราณอัคคีของตน
"เยี่ยนอวี้ มิใช่นามเทพสงครามหรือ เขามาทำอะไรที่นี่กัน"เฟยหลงที่สงสัยเอ่ยขึ้นโดยทั้งสามคนหารู้ไม่ ว่าลู่อวี่นั้นตอนนี้กำลังอ่อนแรงเพราะพิษอัคคีได้หมดสติลงไปแล้ว
"ฟุ่บ"
"ลู่ลู่ ลู่ลู่ เจ้าเป็นอะไรฟื้นสิ"เฉินหลิงเขย่าร่างของน้องสาวตนเเละพยายามเรียกนาง
"รีบพานางเข้ามาเถอะ พิษอัคคีกำลังเผาผลาญพลังบำเพ็ญในตัวนางอยู่ ถ้านางไม่ได้ยาถอนพิษภายใน2เค่อนี้พลังบำเพ็ญจะสูญสลายไปทั้งหมด รีบหน่อยจะดีกว่า"เยี่ยนอวี้บอกเฉินหลิงก่อนจะเสกตั่งสำหรับให้ลู่อวี่
เยี่ยนอวี้มอบยาให้แก่เฉินหลิงเพื่อป้อนให้กับลู่อวี่ หลังจากที่ได้รับยาถอนพิษไม่นานลู่อวี่ก็รู้สึกตัวขึ้น
"รู้สึกเช่นไรบ้าง"เยี่ยนอวี้ถามสตรีตรงหน้า เพราะสังเกตสีหน้านางแล้วดูยังไม่ค่อยดีขึ้นสักเท่าไรนัก
"รู้สึกเหมือนมีบางอย่างยังไม่หายไป เหมือนมีไฟกำลังแผดเผาอยู่"ลู่อวี่ตอบบุรุษตรงหน้าตน
"ข้าขอตรวจหน่อย เจ้าเหตุใดจึงพิษอีกสายอยู่ในร่างได้"เยี่ยนอวี้เอ่ยถามลู่อวี่ เพราะตนมิเคยเจอใครที่มีพิษแข็งแกร่งไปกว่าพิษอัคคีของตนเช่นนี้มาก่อน
"พิษหรือ แต่เด็กข้ามิเคยรับพิษจากที่ไหนมาก่อน เหตุใดข้าถึงมีผิดในร่างได้เล่า"ลู่อวี่เอ่ยตามความจริงเพราะแต่เด็กมิเคยมีใครวางยาพิษนางสำเร็จ
"เว้นเสียแต่ว่า"ลู่อวี่พูด ก่อนจะหันไปหาพี่ชายของตน
"พิษในร่างเเต่กำเนิด/พิษในร่างแต่กำเนิด"เสียงของสองพี่น้องประสานขึ้นพร้อมกัน เพียงเพราะในยามเป็นเด็กทั้งสองเคยต้องพิษเหมันต์ จนผู้เป็นบิดาต้องดั้นด้นไปตามหาสมุนไพรทิพย์ยังป่าท้อของเทพโอสถ เพื่อช่วยตนและพี่ชาย แต่เหมือนความพยายามนั้นของผู้เป็นบิดาจะสูญเปล่า เพราะเมื่อเซียวหยางตี้จวินกลับมาถึงพิษเหมันต์ในร่างของสองพี่น้องก็ถูกพิษอีกสายข่มกำจัดเสียหมดแล้ว
"พิษในร่างแต่กำเนิดหรือ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีเพียงเผ่ามารพิษแห่งเผ่ามารเท่านั้นมิใช่หรือ ที่มีพิษติดกายมาแต่กำเนิด"เฟยหลงกล่าวตามที่ตนเคยได้ฟังบิดาเล่ามา
"ไม่หรอกเจ้ายังรู้ไม่หมดหรอก นอกจากเผ่ามารพิษที่มีพิษในร่างแต่กำเนิดแล้ว ในบันทึกคำภีร์บรรพกาลได้บันทึกไว้ว่านอกจากเผ่ามารพิษแล้วยังมีเทพวิหคทองคำสองพี่น้องที่มีพิษในกายแต่กำเนิด"หนิงเฟิ่งอธิบายให้เฟยหลงฟัง
"นับว่ามีความรู้อยู่พอสมควร"เยี่ยนอวี่พร้อมดึงพิษออกจากร่างของลู่อวี่
"ข้าดึงพิษในร่างเจ้าออกแล้ว แต่ยาถอนพิษยังค้างในร่างของเจ้า ข้ามิสามารถนำออกมาจากร่างเจ้าได้ เจ้าจงขับยาถอนพิษนั้นออกด้วยตนเองเถิด"เยี่ยนอวี้กล่าวก่อนจะลุกขึ้นเพื่อให้หนิงเฟิ่งนั่งลงบนตั่งแทนที่ตน
"ข้าช่วยเจ้าได้ลู่ลู่ ท่านแม่เคยบอกข้าว่าเพลิงไฟในกายข้าแผดเผาได้ทุกสิ่ง แผดเผาได้กระทั่งเพลิงโลกันตร์สวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็สามารถแผดเผาได้สิ้น"หนิงเฟิ่งพูดพร้อมใช้เพลิงในกายของตน เผายาถอนพิษอัคคีที่หลงเหลืออยู่ในกายของสหาย
"รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ หากรู้สึกดีแล้วก็คงพร้อมเรียนแล้วสินะ งั้นก็ตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าสี่คนมาศึกษาที่เรือนตะวันออกนี้เถอะ แต่มิต้องคำนับข้าเป็นอาจารย์หรอกนะ ถึงข้าจะสอนพวกเจ้าแต่หาได้เป็นอาจารย์ของหุบเขาเซียนแห่งนี้ไม่" เยี่ยนอวี้กล่าวพลางรินน้ำชาในกายกขึ้นดื่ม พลางใช่สายตาที่ไม่อาจอ่านออกมองไปยังเด็กน้อยทั้งสี่คนตรงหน้าตน
"ขอรับ ข้าน้อยนามเฉินหลิง พลังบำเพ็ญมิปรากฏสายเวทย์บรรพกาล"
"ข้าน้อยเฟยหลง พลังบำเพ็ญแสงทองเวทย์โบราณ"
"ข้านามหนิงเฟิ่ง พลังบำเพ็ญแสงทองเช่นกันสายเวทย์โบราณ ท่านคงทราบแล้วบิดามารดาข้าคือผู้ใดท่านเทพ"
"นามของข้าคือลู่อวี่ พลังบำเพ็ญบรรพกาล ท่านคงรู้อยู่แล้วกระมังว่าข้าใช้เวทย์ใด และคงคิดว่าคือเทพวิหคทองคำมาเกิดถูกหรือไม่"ลู่อวี่กล่าวพร้อมแสร้งถามเทพบุรุษตรงหน้า
"เจ้าเดาได้ถูกต้อง ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเทพวิหคทองคำมาเกิดจริง"เยี่ยนอวี้กล่าวแต่สายตาหาได้มองไปยังลู่อวี่ไม่
"พูดกับข้าแต่สายตาหาได้มองข้าไม่ ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นคนเช่นนี้ ท่านเทพสงคราม"ลู่อวี่กล่าวก่อนจะลุกขึ้นพร้อมเดินไปยังห้องหนังสือที่อยู่ภายในเรือนตะวันออก การกะรทำนั้นของนางสร้างความประหลาดไม่น้อยในสายตาผู้อื่น
"นางรู้ได้เช่นไรกัน ว่าห้องหนังสืออยู่ทางไหน"เฟยหลงถามขึ้นด้วยความสงสัย
"น้ำค้าง ในเรือนมีน้ำค้างละอองน้ำพานางไป"เฉินหลิงตอบความสงสัยของสหายตน
"ข้าก็ยังมิเข้าใจอยู่ดี"เฟยหลงพูดก่อนหันไปมองหนิงเฟิ่งอย่างขอความช่วยเหลือ
"เจ้ารู้หรือไม่ เทพวิหคทองคำลู่อวี่ยามถือกำเนิด ขนปีกกาญจน์บริสุทธิ์ประดุจดั่งน้ำค้างยามเหมันต์ฤดู ยามเติบโตนางรับรู้สรรพสิ่งผ่านน้ำค้างและละอองน้ำต่าง ๆ ทีนี้เจ้าเข้าหรือยังเสี่ยวหลง"หนิงเฟิ่งอธิบายให้เฟยหลงฟัง
"พวกเจ้ารีบตามนางเข้าไปที่ห้องหนังสือเถอะ วันนี้พวกเจ้าก็อ่านตำราในห้องนั้นกันก่อนก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ข้าจะบอกว่าพวกเจ้าต้องเรียนอะไร จึงจะเหมาะสมกับตัวของพวกเจ้าเอง"เยี่ยนอวี้บอกทุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังห้องของตน
"รอพรุ่งนี้หรือ งั้นวันนี้พวกเราก็อ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ ตามที่อาจารย์บอกแล้วกัน"เฉินหลิงกล่าวก่อนที่จะเดินเข้าห้องหนังสือตามน้องสาวของตนไป
"เหตุใดเฉินหลิงจึงเรียกเขาว่าอาจารย์ พวกเรามิได้คำนับอาจารย์เสียหน่อย"เฟยหลงกล่าวก่อนจะหันไปเจอหน้าของหนิงเฟิ่งเข้าอย่างจัง
"เหตุใดเจ้าจึงได้สมองหมูเช่นนี้เล่าเสี่ยวหลง"หนิงเฟิ่งกล่าวพลางส่ายหน้าให้ความไม่เอาไหนของสหายสนิทตน
วันต่อมา ที่เรือนตะวันออกทั้งสี่คนก็มาตามคำพูดของเยี่ยนอวี้ซ่างเสินที่กล่าวไว้เมื่อวาน
"ท่านเทพ พวกข้ามาตามคำพูดของท่าน"เฟยหลงกล่าวเพราะเห็นว่าเทพหนุ่มที่นั่งจิบน้ำชาในสวนอยู่ หาได้สนใจพวกตนไม่
"มากันแล้วหรือ"
"ขอรับ พวกข้ามาตามที่ท่านบอก ว่าแต่ท่านจะให้พวกข้าศึกษาอะไรหรือขอรับ"เฟยหลงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ก่อนอื่น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าถนัดด้านใด อย่างเช่นข้าที่ถนัดทางการศึก อย่างที่พวกเจ้ารู้กัน หากคนผู้นั้นไม่ฝึกในสิ่งที่ตนนั้นถนัดให้ดีแล้วไซร้ สิ่งอื่นก็ไม่อาจฝึกฝนให้ดีได้เช่นกัน"เยี่ยนอวี้เอ่ยก่อนจะเงยขึ้นมองยังเด็กน้อยทั้งสี่คน
"ข้าถนัดด้านการรักษา แต่ข้ามีเวทย์โบราณ อาจารย์ผู้คุมเลยให้ข้ามาศึกษาที่เรือนตะวันออกแห่งนี้"หนิงเฟิ่งกล่าว
"เจ้ามีชื่อเล่นหรือไม่"
"หนิงหนิง"
"หนิงหนิงเจ้าสู้ได้หรือไม่"เยี่ยนอวี้ถามหนิงเฟิ่ง
"ข้าต่อสู้ได้"
"งั้นเจ้ามาอยู่ที่เรือนนี้ถูกแล้ว ต่อไปให้เจ้าศึกษาเวทย์รักษา ทั้งพิษและสมุนไพรฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ หากยามที่เจ้าเบื่อหน่ายให้ฝึกกระบี่ ต่อไปมันจะมีประโยชน์กับเจ้า"เยี่ยนอวี้บอกกับหนิงเฟิ่ง ก่อนจะให้หนิงเฟิ่งไปฝึกที่เรือนปลูกสมุนไพร
"ข้า ข้าถนัดการต่อสู้ ข้าใช้อาวุธได้ทุกชนิด"เฟยหลงกล่าวก่อนที่เยี่ยนอวี้จะกล่าวอะไรต่อไป
"เจ้าเสี่ยวหลงใช่หรือไม่"
"ขอรับ"
"เสี่ยวหลง เจ้าฝึกที่ลานฝึกนี่แหละ ต่อไปข้าจะให้เจ้าฝึกวิชาการต่อสู้ตามตำราโบราณที่ตรงกับสายเวทย์ของเจ้า จำไว้จงฝึกอย่างเข้มงวด อย่าให้ผู้ใดดูถูกว่าเจ้าไร้ความสามารถได้อีก"
"เจ้าเฉินหลิง บิดาเจ้าบอกข้าแล้วว่าเจ้ามีความถนัดในหลายด้าน งั้นต่อไปเจ้าฝึกตามต้องการเถอะ"เยี่ยนอวี้กล่าวก่อนที่เฉินหลิงจะได้พูดอะไร
"เจ้าองค์หญิงลู่อวี่ มีชื่อเล่นหรือไม่ ข้าจักได้มิต้องเรียกเจ้าว่าองค์หญิงเช่นนี้อีก"เยี่ยนอวี้พูดกวนประสาทลู่อวี่โดยที่มุมปากของเทพหนุ่มนั้นยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
"ท่านพ่อเรียกข้าว่าเสี่ยวอวี่ แต่ท่านพี่กับสหายเรียกข้าว่าลู่ลู่ ท่านเองก็เรียกข้าเช่นเดียวกับท่านพี่และสหายเถอะ"ลู่อวี่ตอบเทพหนุ่ม
"เสี่ยวลู่ ข้าเรียกเจ้าเช่นนั้นแล้วกัน บิดาเจ้าบอกข้าว่า เจ้าชอบเที่ยวสนุกแต่ก็เฉลียวฉลาดมิใช่น้อย เจ้าชอบฝึกวิชากระบี่ ชอบยิงธนู แต่เพราะความชอบเที่ยวสนุก ทำให้มิค่อยใส่ใจการเรียนเท่าใดนัก ให้ข้าสอนเจ้าให้เข้าใจในทุกสิ่งให้มากที่สุด เจ้าต้องศึกษาตำราในห้องหนังสือทั้งหมดจนเชี่ยวชาญ"เยี่ยนอวี้กล่าวทำให้ลู่อวี่ที่ตอนแรกหวังจะไปเที่ยวเล่นให้ทั่วหุบเขาเซียน
"จงจำไว้ อีกหมื่นปีให้หลังพวกเจ้าจะต้องร่วมทดสอบภายในหุบเขาเซียนแห่งนี้ อย่าให้ผู้อื่นดูถูกว่าเรือนตะวันออกสั่งสอนพวกเจ้าไม่ดีพอ"เยี่ยนอวี้กล่าวจบก็ให้ทั้งสี่คนไปฝึกตามที่ตนบอก
"ขอรับ/เจ้าค่ะ"ทั้งสี่คนรับคำก่อนจะไปตามสถานที่ที่ตนควรอยู่ ตามคำกล่าวของเทพสงคราม