ผู้หนึ่งเสียสละ ผู้หนึ่งรอคอย ผู้หนึ่งอยากครอบครองแต่ไม่อาจรั้งอยู่ ผู้หนึ่งไม่อาจแตะต้องแต่กลับรั้งรอ ชะตาแล้วอย่างไร ลิขิตสวรรค์แล้วอย่างไร เรื่องเหล่านี้ใครเป็นผู้กำหนดกัน

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1 - บทที่ 3 การทดสอบทุกหมื่นปี โดย เจ้าหมีนอนฝัน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,รัก,สัตว์บรรพกาล,เทพ ,เทพเซียน,เทพบรรพกาล,จีน ,จีนโบราณ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สัตว์บรรพกาล,เทพ ,เทพเซียน,เทพบรรพกาล,จีน ,จีนโบราณ,แฟนตาซี

รายละเอียด

ผู้หนึ่งเสียสละ ผู้หนึ่งรอคอย ผู้หนึ่งอยากครอบครองแต่ไม่อาจรั้งอยู่ ผู้หนึ่งไม่อาจแตะต้องแต่กลับรั้งรอ ชะตาแล้วอย่างไร ลิขิตสวรรค์แล้วอย่างไร เรื่องเหล่านี้ใครเป็นผู้กำหนดกัน

ผู้แต่ง

เจ้าหมีนอนฝัน

เรื่องย่อ

การตายคือสิ่งใด โชคชะตาคือสิ่งใด ใยชะตาของเราจึงให้ผู้อื่นกำหนดกันเล่า อดีตจะเป็นเช่นไรหาใช่เรื่องที่ต้องกังวลหรือพะวงไม่ อนาคตอยู่ในกำมือตนมิสู้วางทิ้งอดีตนี้ลงเสียแล้วเริ่มพรุงนี้ให้ดีมิง่ายกว่างั้นหรือ

สารบัญ

ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 1 เริ่มต้นเรื่องราว,ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 2 พบเจอครั้งแรก,ลู่อวี่ วิหคบรรพกาล 1-บทที่ 3 การทดสอบทุกหมื่นปี

เนื้อหา

บทที่ 3 การทดสอบทุกหมื่นปี

หนึ่งหมื่นต่อมา แน่นอนว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ทั้งเฉินหลิง ลู่อวี่ เฟยหลง หนิงเฟิ่ง ต่างก็ฝึกอย่างเคร่งขัดเข้มงวดตลอดหมื่นปีมานี้เยี่ยนอวี้ซ่างเสินได้เคี่ยวกรำทั้งสี่จนตอนนี้ พวกเขาทุกคนต่างเลื่อนขั้นเป็นซ่างเซียน โดยมีเฉินหลิงที่ผ่านด่านเซียนตั้งแต่ศึกษาได้เพียง2000ปี ตามด้วยเฟยหลง หนิงเฟิ่ง และลู่อวี่ตามลำดับ

"เฉินหลิง เสี่ยวหลง หนิงหนิง เสี่ยวอวี่ พวกเจ้าทั้งสี่คนมาพบข้ายามเซินด้วย"เยี่ยนอวี้ส่งเสียงบอกทั้งสี่คนที่กำลังต่างฝึกอยู่ ทั้งสี่คนรับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น
"ขอรับ/เจ้าค่ะ"ทั้งสี่คนตอบรับ
"เจ้าว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ปกติซ่างเสินมิเคยเรียกพบพวกเรามิใช่หรือผิดปกติมากจริง ๆ"เฟยหลงเอ่ยกับหนิงเฟิ่ง ที่ตอนนี้กำลังประมือกับตนอยู่
"ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า เฉินหลิงตอนนี้พวกเราศึกษาที่หุบเขาเซียนได้นานเท่าไรแล้ว"หนิงเฟิ่งเอ่ยถามเฉินหลิงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในลานฝึกเช่นเดียวกัน
"ถ้านับแล้วหมื่นปีพอดีเห็นจะได้ เจ้าถามเรื่องนี้ไปเพื่ออะไรกัน มิใช่เจ้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เท่าใดหรอกหรือ"เฉินหลิงกล่าวตอบหนิงเฟิ่ง ก่อนจะเรียกน้องสาวตนที่ตอนนี้กำลังนั่งคัดคำภีร์แพทย์อยู่ในห้องหนังสือ
"ลู่ลู่ เจ้าคัดเสร็จแล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังมิหยุดมืออีกเล่า"เฉินหลิงถามน้องสาวของตน ที่ถึงแม้จะคัดคำภีร์ตามคำสั่งของเยี่ยนอวี้จนเสร็จนานแล้ว แต่ก็ยังมิมีท่าทีว่าจะหยุดมือ
"พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าข้าเจอคำภีร์วิหคทองในนี้ด้วยล่ะ"ลู่อวี่เอ่ยตอบพี่ชาย
"คำภีร์วิหคทอง มิใช่เจ้าเคยอ่านตั้งแต่อยู่ในวังมหารัตติกาลแล้วหรือ"เฉินหลิงเอ่ยถามน้องสาวเพราะที่วังมหารัตติกาลของบิดาตนก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งนี้
"นั่นสิ ข้าจะตื่นเต้นให้ได้อะไรขึ้นมากันนะ ว่าแต่พี่ใหญ่นี่ก็ยามอู่แล้ว เราไม่กินอะไรกันสักหน่อยล่ะ"ลู่อวี่ถามพี่ชายตนเพราะตอนนี้ก็ใกล้ปลายยามอู่แล้ว แต่ยังมิมีผู้ใดได้มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย
"นั่นสินะ เสี่ยวหลง หนิงหนิง พักกินอะไรเสียหน่อยเถอะ พวกเจ้ายังมิมีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลยมิใช่หรือ"เฉินหลิงบอกสหายตน ที่ตอนนี้เฟยหลงลงไปนอนกองที่พื้นแล้ว เพราะหมดแรงจากการฝึกกระบี่ตั้งแต่เช้าโดยไม่หยุดพัก
"แล้วอาหารล่ะ พวกเราจะกินที่นี่หรือจะไปกินที่หอถางอวิ๋นกัน"หนิงเฟิ่งถามลู่ลู่ที่เดินออกมาจากห้องหนังสือพอดี
"กินที่นี่เถอะ ประเดี๋ยวยามเซิน พวกเราต้องไปพบซ่างเสินกันอีก"ลู่อวี่ตอบสหายก่อนจะนั่งลงข้างพี่ชายของตน พลางมองไปทางเฟยหลงที่นอนหอบอยู่บนพื้น ด้วยสายตาขบขันในสภาพของสหายตน
"แล้วอาหารเล่า ยังมิมีเลยมิใช่หรือ"
"เจ้าตะกละเกินไปแล้วนะเสี่ยวหลง"เฉินหลิงเอ่ยก่อนจะโบกมือผ่านโต๊ะหินอ่อนอาหารจึงปรากฏตรงหน้าทั้งสี่คน
"กินเสร็จแล้ว เรามาประลองกันสักยกเป็นไรเสี่ยวหลง"เฉินหลิงเอ่ยท้าทายสหาย มิใช่เพราะอยากฝึกแต่อย่างใด เขาแค่หาคนระบายอารมณ์แก้เบื่อเท่านั้น
"ไม่ล่ะ ประลองกับเจ้าทีไรข้าแพ้หมดรูปตลอด มิสู้ข้าเอาเวลาไปฝึกยิงธนูกับลู่ลู่ไม่ดีกว่าหรือ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า"เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของทุกคนทำให้ผู้ที่อยู่ในเรือนยิ้มได้อยู่ไม่น้อย ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมามิรู้ว่าเทพบุรุษผู้นี้ได้สังเกตหรือไม่ว่าตนยิ้มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก
ตลอดหนึ่งชั่วยามที่เหลือก่อนจะถึงเวลาที่เยี่ยนอวี้ซ่างเสินเรียกพบนั้น ทั้งสี่คนต่างพากันอยู่ที่ลานฝึกหน้าเรือน ต่างคนต่างทำสิ่งที่ตนต้องการ เฉินหลิงนั้นตอนนี้กำลังเล่นหมากกับหนิงเฟิ่ง ส่วนลู่อวี่นั้นกำลังประลองกับเฟยหลงอยู่
หนิงเฟิ่งที่เห็นว่าตนกำลังไร้หนทางที่จะเอาชนะในหมากกระดานนี้ ก็บ่ายเบี่ยงที่จะเล่นต่อและล้มกระดานหมากนี้ที่สุด โดยอ้างเรื่องเวลาที่ต้องเขาพบเทพสงคราม
"พอแล้วๆจะกี่ครั้งข้าก็มิเคยเอาชนะเจ้าได้เลย อีกอย่างตอนนี้ก็ได้เวลาที่ต้องไปพบเยี่ยนอวี้ซ่างเสินแล้วด้วย ลู่ลู่ เสี่ยวหลงพอเถอะได้เวลาไปพบท่านเทพแล้ว"ปฏิกิริยาของร่างเล็กตรงหน้าสร้างรอยยิ้มให้กับเฉินหลิงไม่น้อย ถึงการกระทำของเฉินหลิงแม้คนตรงหน้าจะไม่เห็น แต่มันกลับอยู่ในสายตาของเฟยหลงและลู่อวี่ตลอดเวลา
"ได้งั้นรอพวกเราประเดี๋ยว"เฟยหลงกล่าวก่อนจะรีบเสกชุดที่สะอาดกว่าเพื่อเปลี่ยนเช่นเดียวกับลู่อวี่
"เจ้าเฉินหลิงนะเจ้าเฉินหลิง รักเขาเเต่เขามิรู้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนเขาก็มองมิเห็นถึงความรักของเจ้า"เฟยหลงเอ่ยขึ้นเบาๆพร้อมส่ายหน้า
"เจ้าก็รู้ว่าพี่ชายข้าเป็นคนเช่นไร"
"พวกเจ้ามั่วทำอะไรกันอยู่ รีบหน่อยเดี๋ยวถ้าเราสายจนถูกลงโทษ ข้าจะจัดการพวกเจ้าด้วยพิษเอง"หนิงเฟิ่งกล่าวก่อนที่ลู่อวี่กับเฟยหลงรีบวิ่งไปที่หน้าเรือนของเยี่ยนอวี้ซ่างเสินทันที
"ท่านเทพพวกข้าเข้าไปได้หรือไม่"
"เข้ามา"เมื่อได้รับคำอนุญาตทั้งสี่คนจึงเดินเข้าเรือนเพื่อไปพบเยี่ยนอวี้ซ่างเสิน
"ที่ท่านเรียนพวกข้ามามีธุระอะไรหรือขอรับ"เฟยหลงกล่าวถามก่อนจะถูกสายตาของลู่อวี่ดุเข้า
"เข้าเรื่องเลยแล้วกัน พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่มาก็ครบหมื่นปีแล้ว จำที่ข้าเคยบอกพวกเจ้าได้หรือไม่ ทุก ๆ หมื่นปีหุบเขาเซียนจะมีการทดสอบเพื่อเลื่อนระดับหรือโยกย้ายเรือนพัก" เยี่ยนอวี้กล่าว
"จำได้เจ้าค่ะ ท่านเคยบอกพวกเราเช่นนั้นจริง"ลู่อวี่กล่าว
"อีกสองวันข้างหน้าการทดสอบหุบเขาเซียนจะถูกจัดขึ้น พวกเจ้าคือตัวแทนเรือนตะวันออก การทดสอบทุกครั้งทุกเรือนศึกษาจะส่งตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมทดสอบ ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดลำดับขั้นเซียน"เยี่ยนอวี้บอกกับเด็กทั้งสี่คนตรงหน้าของตน
"พวกเราได้ยินมาจากหอถางอวิ๋นแล้วเช่นกัน การทดสอบครั้งนี้เรือนศึกษาต่าง ๆพากันเตรียมตัวสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ แค่ท่านกลับบอกพวกเราก่อนการทดสอบเพียงเเค่สองวัน"เฟยหลงเอ่ยก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองหน้าเทพบุรุษตรงหน้า
"สองวันแล้วอย่างไร เท่าที่ข้ารู้มาต่อให้เรือนศึกษาอื่นจะเตรียมมานานแค่ไหน ก็ยังมิมีผู้ใดเลื่อนขั้นเซียนเช่นพวกเจ้าถึงแม้จะมี ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนเก่าหรือเลื่อนขั้นก่อนเข้าหุบเขาเท่านั้น"เยี่ยนอวี้กล่าวก่อนจะรินน้ำชายกขึ้นดื่มอีกครั้ง
"ท่านเรียกพวกข้ามาเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว"ลู่อวี่กล่าวถาม
"ยังมีอีกเรื่อง ในงานทดสอบครั้งนี้ พวกเจ้าจะไปในฐานะนักเรียนเรือนตะวันออก เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ จำไว้ให้ขึ้นใจโดยเฉพาะเจ้า เสี่ยวหลง อย่าได้เผลอเอ่ยนามข้าเป็นอันขาด"
"เพราะเหตุใดขอรับ ทำไมจึงห้ามเอ่ยนามท่าน"
"ข้าอยู่ที่นี่ในฐานะอาจารย์เท่านั้น อีกอย่างคนที่นี่รู้จักข้าในนามของไป๋อวี้ซ่างเสิน มิใช่เยี่ยนอวี้ซ่างเสิน"เยี่ยนอวี้เอ่ยตอบเฟยหลงก่อนที่จะให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนที่เรือนหรูเหอ และวันรุ่งขึ้นมิต้องไปที่เรือนตะวันออกให้พักผ่อนเตรียมตัวเพื่องานทดสอบแทน
ตลอดเวลาสองวันที่มิได้ไปที่เรือนตะวันออก ทั้งสี่คนต่างคลุกตัวอยู่ในห้องของตนโดยมิได้มิใครรบกวนใคร หรือแม้แต่กระทั่งเวลากินข้าวต่างคนต่างรีบเพื่อที่จะไปฝึกสมาธิฝึกโคจรพลังต่อ
สองวันต่อมาหน้าสนามทดสอบภายในหุบเขาเซียน หนุ่มสาวทั้งสี่คนยืนอยู่หน้าสนามทดสอบด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะตลอดหมื่นปีมานี้นองจากเรือนหรูเหอ เรือนตะวันออกและหอถางอวิ๋นแล้วก็มิเคยไปที่ใดเลย
"นี่พวกเจ้ามาจากเรือนศึกษาใดหรือ ข้าจึงมิคุ้นหน้าเอาเสียเลย อาจารย์พวกเจ้าคือท่านใดกัน" อาจารย์ที่คุ้มบริเวณทะเบียนรายชื่อถามเฉินหลิง
"เรือนตะวันออก อาจารย์พวกข้าคือไป๋อวี้ซ่างเสินขอรับ"เฉินหลิงตอบอาจารย์ผู้นั้นไป
"นักเรียนของไป๋อวี้ซ่างเสินหรือ พวกเจ้ามีป้ายยืนยันตัวตนหรือไม่"อาจารย์ผู้คุมถามทั้งสี่ก่อนที่ทั่งสี่คนจะแสดงป้ายหยกประจำตัวนักเรียนเรือนศึกษาตะวันออก
"เชิญ พลับพลาของพวกเจ้าอยู่ติดเวทีประลองด้านหน้าสุด ใกล้กับที่นั่งของเหล่าอาจารย์ทางขวามือ"ทั้งสี่คนขอบคุณอาจารย์ผู้คุมก่อนจะเดินไปที่พลับพลาตน แต่ก่อนที่จะได้เดินไปก็ได้ยินเสียงของนักเรียนอีกกลุ่มเดินมา
"อาจารย์ผู้คุมเจ้าคะ พวกข้าคือนักเรียนของเรือนพฤกษาพนาเจ้าค่ะ"สตรีที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยบอกอาจารย์ผู้คุม
"เรือนศึกษาพฤกษาพนา เจ้าคงจะเป็นลู่ฟางจิงธิดาเทพบุปผาสินะ เชิญพลับพลาเรือนพฤกษาพนาอยู่ติดเวทีประลองหน้าสุดทางซ้ายมือ"อาจารย์ผู้คุมสอบบอกก่อนที่สตรีนางนั้นจะเดินไปที่พลับพลาของตน พร้อมกับเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นเกี่ยวสตรีที่เป็นผู้นำของเรือนศึกษาพฤกษาพนา
"นั่นใช่ลู่ฟางจิง ศิษย์ปิดสำนักสายตรงของซืออินซ่างเซียนหรือไม่"
"ใช่แล้ว นางคือศิษย์พี่หญิงของพวกเราเรือนศึกษาพฤกษาพนา ศิษย์สายตรงคนเล็กของอาจารย์ใหญ่"สตรีที่เดินตามหลังของสตรีที่ชื่อลู่ฟางจิงเอ่ย
"พอแล้วเหมยกุ้ยพวกเราไปที่พลับพลาเถอะ"ลู่ฟางจิงเอ่ยปรามศิษย์น้องเล็กของเรือนศึกษาพฤกษาพนา
"เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ลู่"
"นางก็แค่ศิษย์ปิดสำนักของเจ้าเรือน มิเห็นมีอะไรน่าสนใจเลยมิใช่หรือไง พวกเราที่เป็นศิษย์สายตรงหนึ่งเดียวของไป๋อวี้ซ่างเสินมิได้มีดีกว่าหรอกหรือ พี่ใหญ่ท่านคิดเห็นเช่นไร"ลู่อวี่กล่าวถามพี่ชาย ก่อนที่สายตาของทุกคนที่อยู่ในลานประลองจะหันมามองที่ทั้งสี่เป็นสายตาเดียวกัน
"ศิษย์สายตรงเช่นพวกเรา ไม่ช้าก็จะมีคนมาเป็นศิษย์ของอาจารย์เพิ่ม พวกเรามิน่าสนใจเท่าไรดอกลู่ลู่"หนิงเฟิ่งตอบลู่อวี่แต่คำตอบของหนิงเฟิ่งสร้างความเสียหน้าให้ลู่ ฟางจิงอย่างมากเพราะที่มาตนเป็นที่สนใจมาโดยตลอด
"งั้นหรือ"
"พวกเจ้ามิไปนั่งที่พลับพลาตนหรือ มั่วทำอะไรอยู่ที่นี่"เยี่ยนอวี้ที่ยืนดูเหตุการณ์ไม่ใกล้นักเดินเข้ามา เพราะมิอยากให้ลู่ฟางจิงที่เสียหน้าทำให้นักเรียนตนเสียโอกาส
"อาจารย์"
"รีบไปนั่งเถอะ พวกเจ้าทุกคนยังมิรีบไปที่พลับพลาตนอีก"เยี่ยนอวี้พูดกับทั้งสี่คนก่อนที่จะหันไปส่งเสียงให้นักเรียนคนอื่นให้กลับไปที่พลับพลาตน
"เจ้าค่ะ/ขอรับอาจารย์" ทั้งสี่ตอบรับเยี่ยนอวี้และเดินไปนั่งตามที่เขาบอก ก่อนที่จะให้ไปส่งเสียงให้นักเรียนคนอื่นกลับไปที่พลับพลาของตน
ทุกคนกลับไปที่พลับพลาของตนตามคำพูดของเยี่ยนอวี้แต่ในที่นี้ทุกคนรู้จักเขาในนามของซ่างเสินลึกลับแห่งเรือนตะวันออกเท่านั้น
"เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนก็มาพร้อมกันที่นี้แล้ว เราก็มาเริ่มการประลองกันเลยเถอะ"อาจารย์เจ้าหุบเขาเอ่ยเพื่อเป็นสัญญาณให้นักเรียนที่เป็นตัวแทนของแต่ล่ะเรือนศึกษาขึ้นมาที่บริเวณลานประลองที่จัดไว้
"พี่ใหญ่ พวกเรามีกันแค่สี่คน แต่เรือนศึกษาอื่นมีคนมิต่ำกว่าสิบ ข้ากลับรู้สึกมิค่อยยุติธรรมเท่าไรนัก"ลู่อวี่เอ่ยบอกพี่ชายที่ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือคำภีร์พระสูตรในมืออยู่
"มิใช่อีกฝ่ายหรือที่ต้องรู้สึกว่าเสียหน้า อีกอย่างเจ้าจะกังวลแทนผู้อื่นไปใย ที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือจดจ่อกับงานประลองก็พอ"เฉินหลิงเอ่ยตอบน้องสาว ทั้งที่ตนกำลังอ่านหนังสือพระสูตรในมืออยู่แท้ๆ
"บอกให้ผู้อื่นมีสมาธิกับการประลอง แต่ตนกลับอ่านคำภีร์พระสูตรเนี่ยนะเฉินหลิง"เฟยหลงถามผู้เป็นสหาย คำพูดที่เหมือนจะทำให้รู้สึกขัดแย้งกับตนทแต่จริง ๆแล้วเขาก็หาได้ทำอะไรไม่กลับยืนสังเกตผู้อื่นอยู่เฉยๆเช่นกัน
"พอเถอะ อย่าลืมสิอาจารย์บอกพวกเราว่าอย่างไร อาจารย์บอกพวกเราอย่าทำให้เสียชื่อของเรือนศึกษาตะวันออกมิใช่หรือ"หนิงเฟิ่งที่กำลังยืดร่างกายให้พร้อมสำหรับการประลองเอ่ยปรามทั้งสามคน
"มิเสียชื่อแน่นอน งั้นพวกเราให้เรือนศึกษาอื่นสู้กันไป แล้วพวกเรายืนสังเกตอยู่ข้างนอกดีหรือไม่" ลู่อวี่ที่เสนอแผนการถูกกำปั้นน้อย ๆของพี่ชายเข้าที่หน้าผากเล็ก ๆ
"โถ่พี่ใหญ่ ตีข้าทำไมเล่า" ลู่อวี่พูดก่อนเอามือลูบหน้าผากตนปอยๆ
"ดูความคิดเจ้าสิ คิดได้อย่างไรกัน เอาเถอะเล่นสนุกมามากพอแล้ว จริงจังเสียทีลู่ลู่"เฉินหลิงปรามน้องสาวพร้อมวางหนังสือที่อยู่ในมือตนลง
"ลานประลองนี้ที่พวกเจ้ายืนอยู่ จะเป็นการทดสอบรอบสุดท้ายสำหรับผู้ผ่านเข้ารอบ ด่านแรกพวกเจ้าจะต้องเข้าไปในมิติป่าบงกตเพื่อหาของที่แต่ละเรือนศึกษาได้รับมอบหมาย"อาจารย์ผู้คุมสอบพูดก่อนจะมอบม้วนบันทึกให้แก่หัวหน้าเรือนศึกษาแต่ละคน ก่อนจะลงมือที่เปิดมิติป่าบงกตให้เหล่านักเรียนเข้าไปทดสอบ
"พี่ใหญ่ สิ่งที่พวกเราต้องหาคือสิ่งใด"ลู่อวี่ถามเฉินหลิงก่อนที่เขาจะเปิดดูสิ่งที่บันทึกอยู่ด้านใน
หลังจากที่เฉินหลิงเปิดม้วนคำภีร์แล้วก็มีอาการตกใจเล็กน้อย พลางหันไปมองที่เยี่ยนอวี้ที่ตอนนนี้กำลังนั่งดื่มชาอยู่
"หญ้าเปิดฟ้า"
"หญ้าเปิดฟ้าหรือ มิใช่มันงอกเฉพาะคุนหลุนซวีหรือไงกัน"เฟยหลงเอ่ยก่อนจะหันไปมองที่เยี่ยนอวี้เช่นกัน
"หญ้าเปิดฟ้า นอกจากที่คุนหลุนซวีแล้วยังมีอีกที่"หนิงเฟิ่งกล่าวก่อนจะหันไปพนักหน้าให้กับลู่อวี่
"ใจกลางป่าบงกต ใต้ต้นพันพฤกษชาติ ที่อยู่ของพญาวิหคอัคคีกาญจน์"ลู่อวี่เอ่ยก่อนจะกันไปมองพี่ชายที่กำลังครุ่นคิดอยู่
"นี่มันจงใจชัดๆ"เฟยหลงกล่าวก่อนที่จะพยายามพุ่งไปยังอาจารย์คุมสอบผู้นั้น แต่สามารถพุ่งไปได้ไม่เพราะมีพลังของเฉินหลิงกั้นอยู่
"จะทำให้เสียเรื่องไปใยเสี่ยวหลง ถึงยังไงเจ้า ข้า ลู่ลู่ แล้วก็หนิงหนิง ก็หาได้มีพลังด้อยไปกว่าวิหคอัคคีกาญจน์ไม่"เฉินหลิงบอกกับสหายและน้องสาวของตน
"วิหคอัคคีกาญจน์ธรรมดา หาได้มีพลังเทียบเท่าพญาวิหคอัคคีกาญจน์หรอกนะเฉินหลิง"หนิงหนิงพูดขึ้นก่อนมองหน้าของเฉินหลิง
"แน่นอนว่าเรื่องนี้ข้ารู้ แต่เราก็มีทางเลือกที่จะรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้ว"เฉินหลิงว่าพลางเดินเข้ามิติป่าบงกตไป
ฝั่งของเยี่ยนอวี้ที่นั่งดื่มชา พอทราบว่านักเรียนของตนได้สิ่งที่ต้องค้นหาเป็นหญ้าเปิดฟ้าก็มิได้ตกใจอะไร กลับยังนิ่งเฉยก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
"ไป๋อวี้ซ่างเสิน ท่านมิเป็นห่วงลูกศิษย์ของท่านหรือ นั้นคือหญ้าเปิดฟ้าเชียวนะ"ซืออินซ่างเซียนที่เป็นผู้เตรียมม้วนคำภีร์เอ่ยถามก่อนจะหน้าเยาะเย้ยเยี่ยนอวี้เล็กน้อย
"เหตุใดต้องกังวล เหตุใดต้องห่วงศิษย์ข้ามิได้อ่อนแอเช่นนั้น อีกอย่างหญ้าเปิดฟ้ามิได้เป็นของหายากเท่าใดนัก ที่เรือนตะวันออกข้ามีอยู่มากเกินกว่าจะใช่หมดเสียด้วยซ้ำไป ศิษย์ข้าทั้งสี่ล้วนรู้จักอย่างดี" เยี่ยนอวี้กล่าวก่อนจะวางถ้วยน้ำชาในมือลงแล้วพูดขึ้นต่อ
"แล้วสิ่งที่เจ้าทำ มิใช่ข้าไม่รู้ หญ้าเปิดฟ้าไหนเลยควรจะเป็นเรือนตะวันออกที่ได้ตามหา เดิมทีควรเป็นเรือนพฤกษาพนามากกว่า ที่ควรเป็นผู้ตามหา แล้วเหตุใดจึงได้เปลี่ยนกระทันหันเล่า ซืออินเจ้ารู้หากข้าอยากทำอะไร ก็มิอาจมีผู้ใดขัดได้ อย่าลืมเรื่องนี้เสียล่ะ" เยี่ยนอวี้เอ่ยประโยคสุดท้ายเบาๆเพื่อให้ตนกับซืออินซ่างเซียนได้ยินแค่สองคน
ซืออินซ่างเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นทันตา มิใช่ไม่รู้ว่าซ่างเสินผู้นี้มีกิตติศัพท์เช่นไรก่อนที่จะเขามาที่หุบเขาเซียน
ภายในมิติป่าบงกตตอนนี้เฉินหลิง เฟยหลง หนิงเฟิ่ง และลู่อวี่ อยู่ที่บริเวณใจกลางของป่าบงกตพอดี ไม่ใช่เพราะกลโกงหรืออย่างไรแต่พวกเขานั้นตอนนี้ที่เป็นซ่างเซียนกำหนดบริเวณที่ประตูมิติจะเปิดได้นั่นเอง
"เสี่ยวหลง เจ้าใช้ร่างมังกรไปสำรวจบริเวณรอบ ๆได้หรือไม่"ลู่อวี่ถามก่อนที่จะได้คำตอบที่ค่อนข้างน่าผิดหวังจากเฟยหลงแทน
"ข้าเป็นมังกรฟ้า ร่างเดิมข้าใหญ่เกินไป ที่นี่อาจจะเสียหายได้หากข้ากลับสู่ร่างเดิม"
"เจ้าเล่าหนิงหนิงทำได้หรือไม่"ลู่อวี่ยังไม่ล่ะความพยายามที่จะถามสหาย
"ย่อมไม่แน่นอน หากข้าคืนร่างเดิม เกรงว่าข้าจะทำให้ป่าบงกตแห่งนี้ ถูกเผาจนสิ้นเสียมากกว่า"
"อะไรกัน นี่เราต้องเดินหรือ พี่ใหญ่ข้าใช้ปีกวิหคได้หรือไม่"ลู่อวี่เอ่ยถามเฉินหลิง
"จำได้มั้ยลู่ลู่ ท่านพ่อบอกว่าห้ามเปิดเผยตัวตน จนกว่าจะถึงเวลาที่เราต้องลงไปเผชิญด่านเคราะห์ที่โลกมนุษย์"เฉินหลิงเอ่ยห้ามน้องสาวก่อนที่จะทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้
"แล้วจะทำเช่นไรเล่า หรือท่านจะใช่เวทย์ศาสตรา"ลู่อวี่เอ่ยถามพี่ชายด้วยตอนนี้ตนกำลังหัวเสียเป็นอย่างมาก
"หรือเจ้าคิดจะให้พวกเราใช้แผนภูมิประสานตะเกียงหรือ"หนิงเฟิ่งเอ่ยถามเฉินหลิงที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง
"ใช่ ข้าอยากให้พวกเจ้าใช่แผนภูมิประสานตะเกียง แต่หากใช้แผนภูมิประสานตะเกียง นั่นจะทำให้ผู้อื่นรู้ตำแหน่งของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ตะเกียงสองวิญญาณแทน"เฉินหลิงเอ่ยตอบสหายตน
"แผนภูมิประสานตะเกียงสองวิญญาณ นี่มิทำให้ผู้อื่นผิดสังเกตหรือ ว่าเพราะเหตุใดเราจึงมิได้รับบาดแผลใดจากพญาวิหคอัคคีกาญจน์เลย"ลู่อวี่พูด
"เรามิมีทางเลือกอื่นลู่ลู่ แผนภูมิประสานตะเกียงสองวิญญาณ ไร้วิญญาณมิอาจประสาน สองวิญญาณประสานตะเกียง"
หลังจากที่ทั้งสี่คนใช้แผนภูมิประสานตะเกียงสองวิญญาณแล้ว ก็มาปรากฏกายที่ใต้ต้นพันพฤกษชาติ ที่อาศัยของพญาวิหคอัคคีกาญจน์ เจ้าแห่งวิหคอัคคีกาญจน์ทั้งปวง
"ดูนั้น นั้นหญ้าเปิดฟ้าหนิ"ลู่อวี่กล่าวก่อนวิ่งไปยังกลุ่มหญ้าเปิดฟ้าที่ชูช่ออยู่ใต้รังของพญาวิหคอัคคีกาญจน์พอดี
"ลู่ลู่ เดี๋ยวก่อน"ยังมิทันที่เฉินหลิงจะกล่าวจบน้องสาวก็วิ่งไปยังกลุ่มหน้าเปิดฟ้าแล้ว
ลู่อวี่เหมือนถูกบางสิ่งดึงดูดให้เข้าใกล้กลุ่มหญ้าเปิดฟ้าแล้ว ยังมิทันได้สัมผัสก็มีใครบางคนดึงมือไว้
"อย่าแตะต้องมันนะ หญ้าเปิดฟ้ามันมีพิษ"เสียงของคนผู้นั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่ลู่อวี่จะดึงมีตนออกมาจากเกาะกุมของบุรุษผู้นั้น
"ขอบคุณท่านมาก"ลู่อวี่เอ่ยขอบคุณบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่เฉินหลิงจะวิ่งเข้าหาน้องสาวตน
"เป็นอะไรหรือไม่ลู่ลู่"
"พวกเจ้าต้องการหญ้าเปิดฟ้า"บุรุษผู้นั้นเอ่ยถามทั้งสี่
"ถูกต้อง พวกเราต้องการหญ้าเปิดฟ้า มันเป็นบททดสอบของพวกเราในการผ่านด่านทดสอบครั้งนี้"เฉินหลิงเอ่ยก่อนจะนำม้วนบันทึกคำภีร์ออกมาให้บุรุษตรงหน้าดู
"เมื่อครู่ ข้าเห็นพวกเจ้าใช่แผนภูมิประสานตะเกียงสองวิญญาณ พวกเจ้าน่าจะบรรลุซ่างเซียนแล้ว เหตุใดจึงมิรู้ว่า หญ้าเปิดฟ้านั้นมีพิษ หากสัมผัสมันโดยตรงจะโดนพิษของมันเล่นงาน"
"พวกข้าทราบ แต่มิอาจห้ามนางไว้ได้ทัน"หนิงเฟิ่งเอ่ยตอบบุรุษลึกลับตรงหน้า
"งั้นหรือ หากพวกเจ้าต้องการก็เอาไปเถอะ แต่จงระวังพิษของมันด้วย แม้พิษของหญ้าเปิดฟ้าจะไม่ร้ายกาจ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ซ่างเซียนเช่นพวกเจ้าสลบไปหลายวันแล้ว"บุรุษผู้นั้นกล่าวก่อนจะหายไปทันที
"หายไปไหนแล้ว ช่างเถอะขอบคุณมากที่บอกพวกเรา ถึงจะมิรู้ว่าท่านคือใครก็ตามที"เฟยหลงเอ่ยขอบคุณบุรุษลึกลับผู้นั้น
"พวกเรารีบกลับกันเถอะ"หนิงเฟิ่งบอกทุกคนก่อนที่ลู่อวี่จะจุดพลุในมือ เพื่อส่งสัญญาณให้เหล่าอาจารย์ทราบเพื่อเปิดประตูมิติ
โดยมิรู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องพวกเขาทั้งสี่คนอยู่ บุรุษผู้นั้นมองด้วยสายตาที่ค่อนข้างมิเป็นมิตรเท่าใดนัก แต่พอสายตาไปเจอกับลู่อวี่ก็แปลเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นทันที
"ในที่สุดก็พบกันท่านเทพแห่งข้า หึ ๆ"