“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอเขาพูดมาแบบนั้นฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,รั้วโรงเรียน,NightZ,รักวัยรุ่น,มหาลัย,พระเอกเย็นชา,ความจำเสื่อม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
NightZ [I] THE LOST MEMORIES“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอเขาพูดมาแบบนั้นฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
“ไอ้พายมันยังไม่มาง่ายหรอกมีซ้อมดนตรี”
วาโยตอบกลับมาเพราะเห็นว่าฉันใจจดใจจ่ออยู่กับการรอเจอพายุ ฉันเลยพยักหน้าส่งๆ ออกไป
“หรอ...”
ฉันตอบวาโยไปทั้งที่ในใจกลับคิดว่าหน้าตาไม่มีชีวิตชีวาอย่างหมอนั่นเนี่ยนะเล่นดนตรี เหอะๆ แค่คิดก็ขนลุกละใครฟังคงได้เป็นโรคซึมเศร้ากันพอดี
“แอบนินทามันในใจอีกแล้วสินะ”
วาโยพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน อีกแล้ว..งั้นหรอ? อย่างกับว่าฉันทำมันบ่อยงั้นแหละ ฉันเลยเลิกคิ้วสงสัยเล็กๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“สรุปที่พูดเรื่องจริงรึเปล่า”
“อะไร?” ฉันจ้องหน้าวาโยอย่างไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ตอบกลับมา
“ก็ที่ว่าจำพวกฉันไม่ได้” อ่าฮะ..
“อะไรทำให้คิดว่าโกหกล่ะ?”
ฉันจ้องหน้าวาโยแล้วถามกลับไป คือเอาจริงๆ เลยนะ หน้าตาฉันดูเป็นพวก 18 มงกุฎมากขนาดนั้นเลยหรอ หมอนี่ถึงพูดเรื่องเดิมวนไปวนมาอยู่ได้เนี่ย
“ก็เธอมาหามันถึงนี่ แต่กลับ...”
“ที่มาที่นี่เพราะหมอนั่นเอาบางอย่างของฉันไป เวลาของนายหายแล้วรู้ว่าใครเอาไปก็ต้องทวงคืนป้ะ”
ฉันพูดขัดออกไปทั้งที่วาโยยังพูดไม่ทันจบ จะบอกว่าฉันเนียนมาหาพายุแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขาอะไรทำนองนั้นสินะ ตลก -_-!
“ของอะไร?”
วาโยถามกลับมา ฉันเลยหยิบมือถือมากดสองสามที แล้วส่งรูปสร้อยเส้นเดิมที่วันนี้กลายเป็นรูปยอดฮิตที่เปิดบ่อยที่สุดของวันไปให้เขาดู แล้วเขาก็มองมันสลับกับมองหน้าฉันพร้อมกับยิ้มเล็กๆ ออกมาอย่างมีเลศนัยจนน่าสงสัย
“ยิ้มไรของนาย”
“นี่ไงอีก 1% ของฉันน่ะ”
วาโยพูดออกมาอย่างมั่นใจ พร้อมกับหันจอมือถือมาให้ฉันดู รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่านั่นคือสร้อยคอของฉันงั้นหรอ? หรือว่าเขาจะเคยเห็นสร้อยคอของฉันด้วย
“สรุปว่านายรู้จักฉันจริงๆ น่ะหรอ -.-”
ฉันถามออกไปแบบอึ้งๆ อีกครั้ง ถ้ารู้จักกันขนาดนั้นทำไมฉันจำเขาไม่ได้เลยล่ะ -.-? พอได้ยินแบบนั้นวาโยก็หุบยิ้มเล็กๆ นั่นทันที แล้วทำหน้านิ่งใส่ฉันก่อนจะพูดออกมาเสียงเข้ม
“ต้องถามเธอมากกว่า...”
หืม? พอเขาพูดมาฉันก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ
“ถามฉันเนี่ยนะ”
“อืม กินยาผิดมารึไง ถึงได้เลอะเลือนได้ขนาดนี้!”
เอิ่ม...ก็เข้าใจได้นะว่าหมอนี่ดูมั่นใจ 100% น่ะ แต่ถามหน่อยกับฉันที่ไม่มีความมั่นใจว่ารู้จักเขาเลยสักนิด จะต้องตอบกลับไปยังไงถ้าถูกถามแบบนี้
“งั้น..นายพอจะมีอะไรยืนยันได้มั้ยว่าเคยเป็นเพื่อนกับฉันจริงๆ”
ฉันจ้องหน้าวาโยอย่างคาดหวังอีกครั้ง ก็ถ้ามั่นใจขนาดนั้นเขาต้องมีอะไรยืนยันได้บ้างแหละน่า
“ก็มี แต่ตอนนี้ไม่มี” เจ้าของร่างสูงตรงหน้าตอบกลับมาเสียงเรียบ
เดี๋ยวๆ มีแต่ไม่มี.. หมอนี่พูดอะไรของเขาเนี่ย -_-?!
“แล้วอะไรทำให้เธอแน่ใจว่าไม่รู้จักฉันวะนิลลา” คราวนี้วาโยเป็นฝ่ายถามฉันกลับมาบ้าง ซึ่ง..นั่นแหละเป็นคำถามที่ฉันตอบไม่ถูก
“จะว่าแน่ใจก็ไม่เชิง”
ฉันตอบออกไปตามความจริง แล้วเขาก็ทำหน้างงๆ กลับมา
“ยังไง?”
“คือฉัน..เคยประสบอุบัติเหตุ” ฉันบอกออกไปเพราะคิดว่าวิธีนี้คงทำให้หมอนั่นเข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อวาโยก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน
“อย่ามาตลก”
วาโยทำท่าทางไม่เชื่อฉันซ้ำๆ เหมือนที่เขาทำตั้งแต่เรานาทีแรกๆ ที่เราเข้ามานั่งในห้องนี้ ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยสวนกลับไปทันควัน
“เรื่องจริง หัวฉันได้รับการกระทบกระเทือน ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาแล้วจำได้ลางๆ ว่าเคยอยู่โรงเรียนประจำ หมอทดสอบความจำโดยให้เพื่อนแวะมาเยี่ยมที่โรงบาลเยอะแยะไปหมด ตอนนั้นฉันก็จำได้ทุกคนแล้วนะถึงจะไม่สนิทใจเท่าไหร่อ่ะ ใช้เวลาทวนความจำอยู่เป็นปีแต่ก็ไม่เห็นจะคุ้นว่าเคยเจอนายด้วย”
ฉันเล่าเหตุการณ์ช่วงนั้นออกไปยาวเหยียด วาโยเองก็ฟังฉันอย่างตั้งใจแม้จะขัดกับสีหน้าของเขาที่ทำเหมือนว่าฉันเป็นจอมโกหกที่กำลังนั่งเล่านิยายที่แต่งขึ้นมาเองให้ฟัง แต่จะยังไงก็ช่างเหอะ ช่วยเชื่อหน่อยได้มั้ยเนี่ยให้มันจบๆ เรื่องนี้ไปสักที
“นานแค่ไหนแล้ว?” วาโยถามออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับส่งสายตาที่ดูก้ำกึ่งว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดมาให้
“ถ้าช่วงที่เกิดเรื่องก็ประมาณ 4 ปีก่อน ตอนรถตู้ที่บ้านมารับกลับจากโรงเรียนประจำ”
ฉันตอบออกไปอย่างไม่ลังเลเพราะมันเกิดขึ้นจริงไงเลยจำได้แม่นเป๊ะๆ
“เรื่องจริงหรอวะเนี่ย” แล้วน้ำเสียงที่ฟังดูเหลือเชื่อกับสายตาที่มองมาอย่างลังเลอยู่แบบนั้นก็ทำให้ฉันเลือกที่จะตัดบทไปซะเลย
“อืม แต่เมื่อกี๊นายบอกเองว่าไม่เคยอยู่โรงเรียนประจำกับฉัน แล้วจะให้เชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกัน หรือเรียนที่เดียวกันได้ยังไง นายจำคนผิดแล้ว”
พอฉันพูดออกไป วาโยก็ขยับมานั่งตัวตรงแล้วจ้องหน้าฉันทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังนั่งเอนหลังพิงโซฟาแบบชิลๆ
“นิล ฉันจะให้โอกาสเธอพูดอีกครั้ง เธอ..ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”
เหอะ ให้ตาย -_-! ยังไงก็จะไม่เชื่อใช่มั้ย
“นายคิดว่าฉันว่างขนาดนั้นเลยรึไง แต่จะว่าไปนายอาจเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันก็ได้มั้งเพราะนายอยู่ปี 2 แล้วนี่”
พูดจบฉันก็ยกแก้วเหล้าที่วาโยชงให้ขึ้นมากระดกอย่างกระหาย ก็พูดไปซะเยอะเลยวันนี้น่ะคอแห้งชะมัด
“ก็เธอเพิ่งพูดเมื่อกี๊ว่าใช้เวลาทวนความจำอยู่เป็นปี” วาโยทวนคำพูดของฉันซ้ำอีกครั้ง ฉันก็เออออตามเขาไป
“อืมก็ใช่.. เดี๋ยวนะ! ถ้างั้นก็แปลว่าฉันเรียนช้าไปปีหนึ่งน่ะสิ”
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ตกใจพอสมควร ทำไมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ ถ้าเทียบดูแล้วตอนนี้ฉันก็ควรอยู่ปี 2 เหมือนกันกับเขานี่นา
“อืม แล้วโรงเรียนที่เราเคยเรียนด้วยกันน่ะก็ไม่จำเป็นต้องเลือกกินอยู่แค่ในโรงเรียนประจำอย่างเดียวด้วย จะกลับไปอยู่บ้านตัวเองให้ผู้ปกครองไปรับไปส่งก็ได้ แบบฉันนี่ไง” วาโยอธิบายต่อ
“งั้นหมายความว่านายกับฉัน…”
ยอมรับเลยว่าตอนนี้ฉันจ้องหน้าวาโยแบบตาโตมากเพราะตื่นเต้นที่ได้รู้ความจริง ผิดกับหมอนั่นที่มองฉันแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“เพื่อนซี้เลยเหอะว่ะไม่ใช่แค่คนรู้จักกัน และเธอควรจำฉันให้ได้ขึ้นใจ เดี๋ยวนี้เลย!”
พรึ่บบบ!
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ นายจะพาฉันไปไหน?!”
พอพูดจบอยู่ๆ วาโยก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วลากฉันออกจากห้องนั้นเดินตรงเข้ามาในลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนที่เขาจะกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนสุดด้วยท่าทางที่แอบน่ากลัวนิดๆ
“ไปทวนความจำให้เธอในแบบของฉัน!”
ติ๊งงงง~
วาโยไม่พูดเปล่า พอลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดเขาก็ลากแขนฉันขึ้นบันไดอีกไม่กี่ขั้น ขึ้นมาบนดาดฟ้าที่ฉันเคยเห็นแล้วจากภาพโฆษณาตอนเข้ามาเหยียบที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
“เบาหน่อยเจ็บ!”
ยิ่งเขาเดินเร็วเท่าไหร่มันก็เหมือนยิ่งออกแรงกระชากแขนฉันให้เดินตามหลังมาเร็วๆ ด้วย และจังหวะฉุดกระชากกันมันทำให้ฉันเจ็บ ก็มือหมอนี่ทั้งใหญ่และหนามากกว่าฉันซะอีก ใครเขาทำกับผู้หญิงแบบนี้กันบ้างเนี่ย ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!
“เจ็บ? ทั้งที่เมื่อก่อนเอะอะอะไรก็ใช้แต่กำลังกับฉันเนี่ยนะ” วาโยยังคงเดินดุ่มๆ ตามองไปข้างหน้าแต่ปากก็บ่นฉันอุบอิบ
“ก็บอกว่าจำไม่ได้ไงเล่า” ฉันเองก็สวนกลับไปอย่างไม่ยอมเหมือนกัน
“อ่อนแอชะมัด แค่หัวกระแทกถึงกับต้องลืมฉันเลยหรอวะ”
โว้ยยย หัวกระแทกรถตู้นะเว้ย ไม่ได้เอาไปหม่งสกุชชี่ถึงจะนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมละมุน หมอนี่ประสาทรึเปล่า -_-!!!
“นายอาจไม่ได้สำคัญกับฉันขนาดนั้นก็ดะ...”
พลั่กกกก ตึง!
“นิลลา!!!”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ วาโยก็ตะคอกชื่อฉันออกมาดังลั่น แถมยังผลักฉันจนหลังไปกระแทกกับผนังปูนอย่างแรง แล้วเขาก็ยังเอาตัวเองมาคร่อมตัวฉันไว้ ใช้มือหนาสองข้างนั้นค้ำกับผนังเอาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ส่วนสีหน้าตอนนี้บอกเลยว่าหงุดหงิดขั้นสุด!
“โอ๊ย! มันเจ็บนะเว้ย นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”
พอเขาตะคอกมา ฉันเองก็ตะคอกกลับไปเหมือนกัน ไอ้บ้า! ผลักเข้ามาได้ กระแทกแรงขนาดนั้นหลังช้ำหมดแล้วมั้ง
“อย่าพูดคำนี้ให้ได้ยินอีก ..ยัยบ้าเอ๊ย”
โดนฉันเกรี้ยวกราดคืนเข้าหน่อย เสียงวาโยก็อ่อนลงจนเห็นได้ชัด นี่เขาเป็นไบโพล่าร์รึไงเนี่ย สติยังดีอยู่รึเปล่าฮะ -_-?
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็บอกว่าจำไม่ได้ จำไม่ได้ ไม่เข้าใจหระ... อึก”
“เงียบ!”
ฉันชะงักไปทันทีที่วาโยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจรินรดกัน ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วสงบปากสงบคำตามที่เขาสั่ง
“ก็แค่นั้น”
พรึ่บบบบ~
แล้ววาโยก็ผละออกจากฉัน ก่อนจะคว้ามือฉันพาเดินต่อไปจนหยุดอยู่ที่สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ใจกลางดาดฟ้า
“พาฉันมาที่นี่ทำไม”
ฉันหันไปถามเขาอย่างไม่เข้าใจ ก็ไหนเมื่อกี๊บอกว่าจะมาทวนความจำอะไร ก่อนจะได้คำตอบที่ฟังแล้วถึงกับถอยหลังกรูด
“พิสูจน์ไง”
“อยะ..อย่าเล่นบ้าๆ นะวาโย ฉันว่ายน้ำไม่เป็..”
ตู้มมมม!
ไม่รอให้เสียเวลา วาโยเดินตามมากระชากแขนฉันลากเข้ามาใกล้สระว่ายน้ำ แล้วผลักฉันลงมาในสระอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
อึก..บุ๋งๆ ๆ
รู้ตัวอีกทีร่างของฉันก็ลงมาอยู่ในสระว่ายน้ำฝั่งที่น่าจะลึกที่สุดของสระเพราะขาฉันไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นแบบนั้นยิ่งทำให้ฉันลนลานพยายามผุดขึ้นจากน้ำอย่างกลัวตาย
“อื้อออ แค่กๆ บุ๋งงงง ชะ..ช่วยด้วย”
พอผุดขึ้นจากน้ำได้ ฉันก็ตะโกนออกไปเต็มเสียง แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจมลงไปใต้น้ำซ้ำอีกครั้ง ทั้งสำลักและกลืนน้ำในสระเข้าไปหลายอึก
“วะ..วาโย ช่วยด้วย อึกกก”
ฉันพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำอย่างคนเสียสติแล้วเขาก็ตะโกนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ไม่เดือดร้อนอะไร
“ตั้งสติดิวะมันไม่ได้ลึกเลย!”
เสียงวาโยดังเข้ามาในโสตประสาทของฉันก็จริง แต่ทั้งมือและขาของฉันมันอ่อนแรงไปหมด ข้างล่างนี้มันมืดและน่ากลัวเกินไป ฉันกลัว..กลัวจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“ว่ายมาหาฉันนิลลา เธอทำได้!”
วาโยยังคงตะโกนซ้ำๆ อยู่ที่ขอบสระแบบนั้น แต่หลังจากที่จมดิ่งลงมาฉันกลับดันตัวเองให้ผุดขึ้นจากน้ำอีกครั้งไม่ได้เลย สระนี้มันลึกมาก.. มากเกินกว่าที่ฉันจะประคองตัวเองเอาไว้ได้ ร่างของฉันกำลังจมลงเรื่อยๆ ทั้งที่ฉันพยายามจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ
ตู้มมมม!
ขณะที่ฉันกำลังหลับตาและปล่อยตัวเองให้จมลงใต้น้ำอย่างหมดแรง ก็มีใครบางคนกระโดดลงมาในสระแล้วว่ายเข้ามาคว้าตัวฉันลากเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างของฉันจะถูกอุ้มขึ้นมานั่งบนขอบสระอย่างรีบร้อน
“นิล โอเคมั้ย?”
“แค่กๆๆ แค่กๆ”
ฉันสำลักน้ำออกมาอย่างหนัก แล้วพยายามสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เฮ่อ เกือบตายแล้วมั้ยเนี่ย! พอตั้งสติได้และลืมตาขึ้นมามอง ไอ้คนที่ช่วยฉันก็คือคนที่ผลักฉันตกลงไปนั่นแหละ
ตุ้บ!
“แค่กๆ ๆ ไอ้บ้า นายจะฆ่าฉันรึไง!” ฉันทุบอกวาโยอย่างแรงแล้วตะคอกออกไป ก่อนจะเห็นเขาขำออกมาอย่างพอใจ
“ก็ไม่เป็นไรมากนี่ แรงยังดีอยู่เลย”
“ไอ้บ้าวาโย!” ฉันถลึงตาใส่วาโยอย่างเอาเรื่องทั้งที่ขอบตากับจมูกตอนนี้มันแสบไปหมด
“เธอกลัวสิ่งที่เคยเธอเคยทำได้ดีกว่าใครเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ” วาโยบ่นออกมาอย่างหัวเสียนิดหน่อย แล้วมองหน้าฉันแบบ.. จะเรียกยังไงดี เอือมๆ ล่ะมั้ง
“ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการว่ายน้ำ จะต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง”
ฉันตอบมันออกไปแบบไม่ใส่ใจนัก นี่ฟ้ามืดละนะยังจะมัวมาเล่นน้ำอยู่อีกงั้นหรอ หนาวชะมัดเลย เล่นไรไม่รู้เรื่องไอ้บ้านี่!
“ตอนนี้ไม่มี แต่เธอต้องจำมันให้ได้นิล”
วาโยยังยืนคำเดิม ในขณะที่ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหมอนี่ต้องสนใจเรื่องนี้นัก
“เพื่ออะไร?” ฉันถามออกไปแบบเซ็งๆ แล้วเขาก็ตอบกลับมา
“ก็ถ้าเธอกลับมาว่ายน้ำได้ เธอก็จะจำฉันได้เหมือนกันไงยัยตัวแสบ”
พูดจบวาโยก็เอามือมายีหัวฉันที่เปียกชุ่มไปหมด น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ฉันรู้สึกถึงความตั้งใจนั่นจริงๆ แต่ก็นะ..อาจจะทำได้ก็ได้ล่ะมั้งขอคิดดูก่อนแล้วกัน