ทุกๆ 100 ปี ดอกไม้ปีศาจของแม่มดซาฟีน่าจะเบ่งบานเพื่อแผดเผาทุกสรรพสิ่ง ถึงเวลาที่เฮนรี่ ผู้กล้าของหุบเขาเอเวอร์นอร์ทและยุทธภพ ผู้ทะลุมิติมาจากปี 2024 จะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพื่อให้โลกสงบสุขอีกครั้ง

ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด - ตอนที่ 6 เด็กหนุ่มแห่งหุบเขาเอเวอร์นอร์ท โดย นะกร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,ผจญภัย,ปลูกผัก,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,ผจญภัย,ปลูกผัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ทะลุมิติ,ต่างโลก

รายละเอียด

ทุกๆ 100 ปี ดอกไม้ปีศาจของแม่มดซาฟีน่าจะเบ่งบานเพื่อแผดเผาทุกสรรพสิ่ง ถึงเวลาที่เฮนรี่ ผู้กล้าของหุบเขาเอเวอร์นอร์ทและยุทธภพ ผู้ทะลุมิติมาจากปี 2024 จะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่เพื่อให้โลกสงบสุขอีกครั้ง

ผู้แต่ง

นะกร

เรื่องย่อ

ณ หุบเขาอันไกลโพ้นในดินแดนฝั่งตะวันตกเมื่อ 7,000 ปีก่อน  เฮนรี่ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี เขาได้รับคัดเลือกให้ปกป้องชาวโลกจากอานุภาพความชั่วร้ายของบางสิ่งบนหอคอยลึกลับ  ดอกไม้ปีศาจของแม่มดซาฟีน่าในตำนานเล่าขานจากพรรพบุรุษ...  ทุกๆ 100 ปีมันจะเบ่งบานเพื่อรอเผาผลาญทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ให้ลุกเป็นไฟและมอดไหม้ลงในพริบตา  คราวนี้เป็นหน้าที่ของเฮนรี่และเด็กหนุ่มอีก 3 คน  หนึ่งในนั้นคือยุทธภพ  เด็กหนุ่มผู้ทะลุมิติมาจากอีกซีกโลกหนึ่งในดินฝั่งตะวันออกเฉียงใต้  พวกเขาจะทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จได้หรือไม่  ติดตามได้ในนิยายแฟนตาซีเหนือจินตนาการ ‘ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด’ 

สารบัญ

ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 1 ทะลุมิติสู่ดินแดนลึกลับ,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 2 ตำนานพันปีของหอคอยสีรุ้ง,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 3 คู่หูคนใหม่ในต่างโลก,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 4 ปลุกตำนานเมืองเอเวอร์นอร์ท,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 5 ภารกิจคัดเลือกผู้กล้า,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 6 เด็กหนุ่มแห่งหุบเขาเอเวอร์นอร์ท,ดอกไม้ปีศาจบนหอคอยแม่มด-ตอนที่ 7 พืชผลในยุคดึกดำบรรพ์

เนื้อหา

ตอนที่ 6 เด็กหนุ่มแห่งหุบเขาเอเวอร์นอร์ท

“นี่เจ้าสองคนจะไม่ทะเลาะกันให้ข้าเห็นสักวันไม่ได้หรือไง เจอหน้าก็กัดกันอย่างกับหมาบ้า อายคนอื่นเขาบ้างสิ นั่นคนของทางการเดินมาแล้ว พวกเจ้ารีบหุบปากเดี๋ยวนี้!!!” คาร์ลอสออกคำสั่งกับเพื่อนทั้งสองคน ทุกครั้งเฮนรี่และเจฟจะสงบลงทุกครั้งที่คาร์ลอสเป็นคนห้าม แต่ไม่วายมีคำพูดจากเจฟตอบกลับมาอีกจนได้

 

“ก็ข้าไม่ชอบหน้ามันนี่คาร์ลอส มัดตัวเพื่อนเจ้าไว้ให้ดีก่อนเถอะ อย่าให้มันมองข้าอีก เห็นหน้าทีไรนึกว่ามองหน้าหาเรื่องทุกที ข้าไม่ชอบเจ้าเข้าใจหรือไม่คาร์ลอส”

 

“ข้าบอกให้เงียบไงเจฟ!!! คนของทางการเดินมานั่นแล้ว เจ้าอยากถูกลงโทษหรือไงกัน” คาร์ลอสหันไปว่ากล่าวเจฟอีกครั้ง ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้นเหยียบหลังเท้าคู่สนทนาจนร้องเสียงดัง

 

“พวกเจ้าสามคนเป็นอะไรกัน ข้าเห็นยื้อยุดกันไปมาตั้งแต่เข้าแถวแล้ว รู้หรือไม่ว่าเด็กดื้อต้องโดนอะไร???” คำกล่าวของคนท่านเจ้าเมืองทำเอายุทธหลุดหัวเราะออกมา

 

“แล้วเจ้าล่ะ หัวเราะใส่เพื่อนเจ้าเช่นนี้ต้องโดนลงโทษด้วยหรือไม่!!!” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำหันมามองยุทธด้วยเช่นกัน แต่แล้วก็เดินผ่านไปจนสุดแถว

 

ทหารผู้นั้นเดินเวียนตั้งแต่หัวแถวสุดท้ายแถวจนครบสองรอบ รอบที่สามใช้มือบีบคลำสำรวจร่างกายเด็กหนุ่มจนครบทุกคน แล้วเงยหน้าขึ้นรายงานผลการตรวจสอบแก่ท่านเจ้าเมืองที่ยืนดูความเรียบร้อยอยู่บนบัลลังก์

 

“ไม่มีมีผู้ใดขาดคุณสมบัติของเบื้องต้นเลยท่านเจ้าเมือง ทุกคนร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อไม่ร่วนเหลวคามือเหมือนเนื้อไก่งวงปรุงสุกสักคน อีกสามวันข้าว่าส่งทหารไปฝึกฝนได้เลย”

 

“งั้นเจ้าจัดการตีตราเด็กหนุ่มเหล่านี้ไว้ในบัญชีทางการแล้วให้กลับได้ทันที อีกสามวันการฝึกฝนจะเริ่มต้นขึ้น” ท่านเจ้าเมืองสั่งการคนของตัวเองก่อนจะหันไปประกาศให้ชาวเมืองแยกย้ายกลับกันไปก่อน ให้เหลือแต่เพียงลูกหลานไว้ทำการตีตราเข้าระบบทางการต่อไป

 

เฮนรี่ ยุทธ คาร์ลอสและเจฟ คือสามครัวเรือนที่มีกระท่อมอยู่ติดกัน พวกเขาจึงได้ครูฝึกเป็นทหารของทางการสำนักเจ้ามืองเป็นคนเดียวกัน และก็บังเอิญเป็นคนที่ตรวจสภาพร่างกายตอนเข้าแถวก่อนหน้านี้ด้วย

 

“พวกเจ้าอย่าทำตัวดื้อด้านกับข้าเป็นอันขาด เพราะถ้าอยากเป็นผู้กล้าปกปักรักษาครองเมืองเอเวอร์นอร์ทที่มีเกียรติ ต้องทำตามคำสั่งข้าทุกอย่าง ข้าสัญญาว่าจะทำให้ชื่อของพวกเจ้าสี่คนปรากฏอยู่บนแท่นจารึกให้คนรุ่นหลังได้ภูมิใจแน่นอน แล้วเจอกันอีกสามวันที่อาณาเขตพักอาศัยของพวกเจ้า” ครูฝึกกล่าวกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนอย่างหนักแน่นก่อนจะเดินหายเข้าไปทางด้านใน

 

กลุ่มเด็กหนุ่มในลานประชุมคนอื่นๆ พากันเดินกลับที่พักไปแล้วจนหมดสิ้น เหลือเพียงกลุ่มของเฮนรี่ที่ยังยืนอ่านหลักจารึกที่บันทึกจากบรรพบุรุษรุ่นก่อนอย่างสนใจใคร่รู้

 

“เจ้าคือคนที่มาจากโลกอนาคตหรือยุทธ แล้วถ้าเสร็จภารกิจแล้วเจ้าจะกลับไปบ้านเมืองของเจ้าได้อย่างไรกัน ในเมื่อบันทึกในแท่นศิลานี้ก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าโดมินจุงที่มาเยือนถิ่นข้าเมื่อ 100 ปีก่อนได้อยู่อาศัยที่นี่ต่อหรือว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร” เด็กหนุ่มเจฟจอมอันธพาลเริ่มถามสิ่งที่อยากรู้

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจฟ ลำพังมาโผล่อยู่ที่นี่ข้าก็ประหลาดใจนัก ข้ายังไม่คิดในสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงหรอก”

 

“แล้วเจ้าจะมายุ่งอะไรกับเพื่อนข้า อย่าคิดจะรังแกยุทธมันเป็นอันขาด ถ้าเจ้าเห็นกล้ามเนื้อแน่นๆ ภายใต้เสื้อผ้านี้แล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้น่ะสิ” เฮนรี่ว่าหยอกเจฟเหมือนที่เคยกระทำมา ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ถูกคู่กันมาตั้งแต่เด็กๆ

 

“เจ้าก็อย่าไปกวนเจฟมันสิเฮนรี่ ต่อนี้ไปเจ้าสองคนต้องปรองดองกัน ถ้าอยากเป็นผู้กล้าที่ผ่านด่านฝึกจนเหลือเพียงสี่คนสุดท้ายก็อย่าทะเลาะกันให้ข้าเห็นอีก หากไปถึงมือครูฝึกแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน เด็กดื้ออย่างพวกเจ้าต้องโดนทำโทษให้เข็ดหลาบ” คาร์ลอสส่ายหน้าให้กับเพื่อนทั้งสองคนอย่างเอือมระอา

 

“นี่ข้าเห็นแก่เจ้าหรอกนะคาร์ลอส ไม่งั้นตอนนี้เฮนรี่เพื่อนเจ้าถูกข้าต่อยล้มคว่ำไปแล้ว ปากอย่างนี้สมควรได้รับการสั่งสอนจากข้า” เจฟกล่าวทับถมพลางทำหน้ายียวนเฮนรี่จนอีกฝ่ายปรี่ตรงเข้าหา แต่คาร์ลอสก็เป็นฝ่ายห้ามทัพไว้อีกตามเคย

 

“งั้นพวกเรากลับกันเถอะ จวนค่ำแล้วพวกเจ้าไม่หิวกันหรือไง ป้าแครอลคงทำมื้อเย็นรอแล้ว ส่วนคาร์ลอสกับเจฟ เจ้าสองคนไปกินกับพวกข้าด้วยสิ ป้าของเฮนรี่คงไม่ว่าอะไรหรอก จะดีใจด้วยซ้ำที่เฮนรี่กับเจฟจะสงบศึกกันแล้ว ฮ่า...ฮ่า...” ยุทธพูดตัดบทแล้วชักชวนเพื่อนให้เดินทางกลับ เพราะตอนนี้ท้องของเขาร้องครวญครางหามื้ออาหารอันโอชะจากป้าแครอลเสียแล้ว

 

เด็กหนุ่มทั้งสี่คนเดินทางกลับมาถึงกระท่อมหลังจากที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้เพียงไม่นาน แต่แปลกนักที่รอบข้างยังคงสว่างอยู่จนถึงตอนนี้ เฮนรี่สังเกตว่าเวลานี้มันควรจะค่ำมืดแล้วเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา จะมีเพียงแสงตะเกียงที่ทุกครัวเรือนใช้ให้ความสว่างยามค่ำคืน

 

“อ้าวเฮนรี่ เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ตอนแรกป้าคิดว่าพวกเจ้าจะกลับมาถึงตอนค่ำเสียอีก ข้ากับปู่อาเธอร์ทำมื้อเย็นรออยู่ เข้ามากันทั้งหมดนั่นแหละ อาหารมากมายเช่นนี้...เฮนรี่กับยุทธคงกินไม่หมด” ป้าแครอลกล่าวอย่างดีใจ มีเด็กหนุ่มมาหลายคนแบบนี้ นางกระชุ่มกระชวยหัวใจเสียเหลือเกิน

 

“ขอบคุณปู่อาเธอร์กับป้าแครอลมากครับที่เมตตาพวกข้าสองคน ข้าหิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว” คาร์ลอสจ้องมองไก่งวงปรุงสุกตัวใหญ่ที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสามตัวพลางกลืนน้ำลายลงคอ พานทำให้เจฟเก็บอาการไม่ไหวไปอีกคน รีบปรี่เข้านั่งบนเก้าอี้อาหารเป็นคนแรก เนื้อสัตว์หลากหลายชนิดและพืชผักธัญญาหารอุดมสมบูรณ์บนโต๊ะ ชวนให้เขาลืมว่านี่เป็นบ้านเฮนรี่คู่ปรับตัวฉกาจของตัวเองไปเสียสิ้น

 

“เจ้าเด็กพวกนี้ตัวสูงใหญ่สมชายชาตรียิ่งนัก ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องได้เป็นตัวแทนเมืองสู้รบกับปีศาจร้ายอย่างแน่นอน” ปู่อาเธอร์กล่าวยิ้มแย้มกับเด็กๆ อย่างเชื่อมั่น ก่อนจะชักชวนกินมื้อเย็นเป็นลำดับต่อไป

 

“ข้าข้องใจยิ่งนักท่านปู่ สองวันมานี้...เหตุใดเวลากลางวันถึงยาวนานนัก ข้าสังเกตตั้งแต่เมื่อวานตอนเห็นเจ้ายุทธที่แม่น้ำมรกตนั่นแล้ว ปกติเวลานี้ควรเป็นเวลาค่ำคืน ไม่ใช่เพียงเพิ่งพลบค่ำเช่นนี้ ทั้งที่แสงอาทิตย์ก็หายลับไปนานแล้ว” เฮนรี่ตั้งคำถามกับปู่อาเธอร์ พร้อมกับที่คาร์ลอสกับเจฟที่พยักหน้าเห็นด้วย

 

“พวกเจ้ารอบรู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว สมกับที่จะเป็นผู้กล้าของเมืองเอเวอร์นอร์ท ที่เป็นเช่นนี้เพราะดอกไม้ปีศาจที่หอคอยของนางแม่มดมันเริ่มต้นเบ่งบานแล้วน่ะสิ แสงของมันเปล่งประกายและค่อยๆ กลายเป็นสีรุ้ง พวกเจ้าสังเกตตรงขอบฟ้าที่แม่น้ำมรกตหรือไม่ นั่นแหละคือแสงจากดอกไม้นางแม่มดล่ะ”

 

“ใช่ครับปู่อาเธอร์ ข้าอ่านคำจารึกที่ศิลาหอเจ้าเมืองมาเมื่อสักครู่ ในนั้นระบุว่าดอกไม้ประหลาดนั่นจะเริ่มกลืนกินความมืดไปทีละน้อย ทำให้ช่วงกลางวันกินเวลายาวนานขึ้นกว่าเดิม ครั้นเมื่อครบ 100 วัน แสงสีรุ้งก็จะครอบงำความมืดช่วงกลางคืนให้กลืนหายไปกับมัน และเมื่อถึงเวลานั้นแสงสว่างชั่วร้ายนั่นจะเริ่มแผดเผาผืนป่ามอดไหม้จนหมดสิ้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ชาวเมืองและสิ่งมีชีวิตล้มตายจนกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนที่รอดชีวิตมาได้ก็เริ่มสร้างเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าครั้งนี้ไม่มีใครต้านอำนาจของมันได้ บ้านเมืองของเราก็ถึงกาลล่มสลายเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้ง...” ยุทธเสริมคำกล่าวของชายชรา

 

“ข้าฟังแล้วก็สงสัยอยู่ไม่น้อย คนธรรมดาอย่างพวกเราจะไปต่อกรกับพวกปีศาจได้อย่างไรกัน ข้ายังหาหนทางไม่เจอเลยนะท่านปู่” เฮนรี่พูดขณะยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก

 

“เจ้ายังไม่รู้สินะว่าตระกูลของเราเป็นนักล่าปีศาจ และเจ้าก็ได้รับสิ่งนี้ตกทอดมา เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เองเฮนรี่”

 

“จริงหรือท่านปู่ เฮนรี่ไม่รู้ตัวว่ามีของดีอยู่กับตัวเพราะมันไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ใดขึ้นให้รับรู้ แต่ตัวข้าเอง...ลุงบอกว่าข้ามีพลังวิเศษมาตั้งแต่เด็ก แต่ใครจะเชื่อล่ะปู่ จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นมีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าตัวเองมีพลังเช่นนั้น ฮ่า...ฮ่า...” คาร์ลอสออกความเห็นบ้าง แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

 

“ว่าแต่พืชผักและผลไม้พวกนี้ป้าแครอลได้มาจากไหนครับ ช่างอุดมสมบูรณ์ทุกอย่างสมใจข้านัก กะหล่ำปลีก็หัวใหญ่กรอบน่ากิน แครอทก็สีสวยสด ผักก็ดูเขียวสดและกรอบไปหมดทุกอย่าง ผลไม้ก็ลูกใหญ่ไปหมดทุกชนิด” ยุทธมองดูพืชผักบนโต๊ะขณะหยิบแตงกวาเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

 

“ก็จากรอบๆ กระท่อมของเรานี่ไงยุทธ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าเดินสำรวจดูสิ มันมากพอที่จะนำไปแลกเนื้อสัตว์จากเพื่อนบ้านที่ข้านำมาปรุงอาหารให้พวกเจ้ากินนี่ไงล่ะ” ป้าแครอลบอกยุทธอย่างเอ็นดู

 

“มันขึ้นเองตามธรรมชาติหรือครับป้า แสดงว่าดินที่นี่ต้องเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารมากแน่ๆ”

 

“ก็ใช่น่ะสิ เราจะต้องลำบากปลูกผักพวกนี้ให้ลำบากทำไมกัน ในเมื่อมันก็มีให้เรากินไม่หมดอยู่แล้ว”

 

“แต่ถ้ามันมากพอ นอกจากเราจะนำไปแลกเปลี่ยนของอื่นๆ จากเพื่อนบ้านแล้ว เราสามารถนำไปขายแล้วได้เงินกลับมาแทนนะครับป้าแครอล ข้าหมายถึงสิ่งที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนนอกเหนือจากการแลกสิ่งของกัน ในยุคของข้าเงินเป็นสิ่งมีค่าที่บ่งบอกฐานะของคนคนนั้น” ยุทธอธิบายความหมายของเงินที่ไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจหรือไม่

 

“หมายถึงสิ่งนี้หรือไม่เจ้ายุทธ???” ชายชราอาเธอร์ยื่นบางสิ่งให้ดู

 

สิ่งที่อยู่ในฝ่ามือของปู่อาเธอร์คือลูกแก้วสีเขียวมรกตสดใสขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ มันส่องแสงแวววับจับตาราวกับเป็นของมีค่าของชาวเมืองเอเวอร์นอร์ทก็ไม่ผิด

 

“นี่คือลูกแก้วมรกตจากแม่น้ำสีเขียวทั้งสายที่เจ้าตกลงไปเมื่อวานไงล่ะ ทุกๆ หนึ่งปีสายน้ำมรกตจะปรากฏสิ่งมีค่านี้ให้ผู้คนได้ถือครองไว้ มันเป็นเทศกาลหนึ่งของเมืองเอเวอร์นอร์ท ครอบครัวใดสามารถเก็บลูกแก้วมรกตนี้มาไว้ในครอบครองมากที่สุดก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ร่ำรวยในเมืองนี้ อีก 10 วันก็จะครบกำหนดหนึ่งปีที่ลูกแก้วมีค่าเหล่านี้จะแสดงตัวให้เราได้ถือครองกันอีกครั้ง เจ้าต้องได้เห็นมันแน่ยุทธ” ป้าแครอลบอกกล่าวเรื่องราวของลูกแก้วมรกตแทนปู่อาเธอร์ให้เด็กหนุ่มฟัง

 

(จบตอนที่ 6)