ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร

ณ วังทลายสวรรค์ แดนอาคเนย์แห่งเผ่ามาร

เซียนบุรุษผู้หนึ่งใช้กระบี่ปักลงบนพื้นเพื่อค้ำยันร่างโชกเลือดของตนมิให้ล้มลงไป เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น

“จื่อเซีย ไปเสียตอนนี้ หากช้ากว่านี้ ข้าไม่อาจปกปิดไว้ได้แล้ว จะเป็นอันตรายกับเจ้าและลูกของเรา” เสียงของเซียนบุรุษผู้นั้นบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดอาบย้อมอาภรณ์สีขาวที่สวมใส่จนมองเห็นเพียงสีแดงแทบจะทั้งหมด เส้นผมสีดำสนิทรุ่ยร่ายยุ่งเหยิง สีหน้าแววตาปรากฏความวิตกกังวล รอบกายของทั้งสองเกลื่อนกล่นไปด้วยศพของทั้งเทพและมาร

“แต่...ชางเล่ย...ท่านบาดเจ็บมาก...” เสียงของเซียนสตรีนามจื่อเซียบอกกล่าวอย่างกังวล เพราะยามนี้มุมปากของเซียนบุรุษผู้นี้ปรากฏโลหิตไหลรินออกมาตลอดเวลา เขาบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง

เมื่อมองดูเซียนบุรุษและสตรีคู่นี้ หากเทพเซียนคนใดได้มาเห็นย่อมต้องตกตะลึงอย่างไร้สิ้นสุด นั่นเพราะเซียนสตรีนาม ‘จื่อเซีย’ มีไอมารสีดำทมิฬเข้มข้นรายล้อมรอบกาย ชัดเจนว่านางคือมาร มิหนำซ้ำนางถึงกับเป็นเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารที่ทรงอำนาจสูงสุดและปกครองเหล่ามารทั้งปวง เป็นใหญ่เหนือเทพมารอีกสามองค์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ขณะที่เซียนบุรุษนาม ‘ชางเล่ย’ นั้น รัศมีรอบกายสว่างใสเรืองรอง แน่นอนว่าเขาคือเทพ แต่เขากลับมิใช่เทพธรรมดาสามัญ หากเขาคือมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย เจ้าของวังครองฟ้า ปกครองเหล่าเทพทั้งปวงร่วมกับมหาเทพอีกสี่องค์ หากมหาเทพชางเล่ยกลับทรงอำนาจที่สุดในหมู่มหาเทพทั้งห้า

“เจ้าต้องไป จื่อเซีย พาลูกของเราหนีไป ชางซว่อ ชางจี้ ชางห้าว ไม่มีวันปล่อยเจ้ากับลูก” น้ำเสียงของมหาเทพชางเล่ยอ่อนล้า

หากเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียกลับไม่อาจตัดใจทอดทิ้งมหาเทพชางเล่ย

“ข้าทิ้งท่านไปไม่ได้...พวกมันรู้แล้วว่าท่านและข้ามีความสัมพันธ์เช่นไร แต่พวกมันไม่ทราบถึงลูกของเรา และต่อให้ข้าและลูกหนีไป พวกมันก็ต้องตามล่าข้าอยู่ดี” นางบอกกล่าวเสียงสั่น

“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ หากเจ้าพลาดท่าเสียทีจนพวกมันล่วงรู้และได้ตัวลูกของเราไป นางจะเป็นเช่นไร ในตัวนางมีทั้งโลหิตเทพและมาร นางต้องถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นมารจะถูกทำลายทิ้งจนหมดสิ้น ส่วนที่เป็นเทพจะถูกรักษาไว้”

“ทว่าส่วนของเทพที่ถูกรักษาไว้นั้น นางยังต้องถูกลงทัณฑ์ โทษฐานที่นางถือกำเนิดจากมารดาต้องห้ามเช่นเจ้า นางจะกลายเป็นเทพธิดาต้องห้าม นางจะถูกขังที่หอกักเซียนใต้แม่น้ำว่างสามสายตลอดชีวิต นางจะมีชีวิตอยู่ในความมืดที่หอนั้นไปจนกว่านางจะดับสูญไปเอง”

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องนิ่งงัน แม้นางจะพอได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการลงทัณฑ์เทพเซียนที่กระทำผิด หากไม่เคยชัดเจนเท่านี้

“ที่หอกักเซียน นางจะถูกพรากเอาร่างนภาพิสุทธิ์และดวงจิตนภาพิสุทธิ์ออกไป ผู้ที่มีโอกาสจะได้รับร่างและดวงจิตอันเลิศล้ำที่สุดนี้ก็คือเทพธิดาดาวเหนือจื่อเสวียน บุตรสาวของชางซว่อ เจ้าสมควรทราบถึงความทะยานอยากในการฝึกฝนของนาง หากนางทราบถึงร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เจ้าคิดหรือว่านางจะไม่แย่งชิง หากนางแย่งชิงสำเร็จ นางจะกลายเป็นเทพธิดาที่เลิศล้ำที่สุดของห้วงแห่งสุขาวดีนี้ ขณะที่ลูกสาวของเราจะกลายเป็นเพียงเซียนพิการผู้หนึ่ง” มหาเทพชางเล่ยบอกกล่าวอย่างขมขื่น

“หากเจ้าพาลูกหนีไป เจ้าและลูกยังมีโอกาสรอด ขอเพียงพวกเจ้ารอด ข้าก็หมดห่วงแล้ว”

“ไม่นะ ชางเล่ย ท่านไปกับข้าและลูกสิ พวกเราหนีไปด้วยกัน”

“ทำไม่ได้ ยามนี้ข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนให้พ้นสายตาของผู้ใดได้ หากข้าไปพร้อมกับเจ้า ข้าก็เป็นได้เพียงตัวถ่วงของเจ้ากับลูก”

“แต่...แต่...”

“ไม่มีแต่ เจ้าต้องพาลูกไปเดี๋ยวนี้”

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องนิ่งงันอีกครั้ง

มหาเทพชางเล่ยพลันอ้าปากก่อนจะปรากฏอัญมณีสีแดงสดดุจสีโลหิตขนาดราวผลลำไยลูกใหญ่ทอประกายเจิดจรัสร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

“ชางเล่ย...” นางครางเรียกชื่อของเขาเสียงแผ่วโหย น้ำตาไหลพรั่งพรู ทราบแล้วว่าเขากระทำสิ่งใด

“นี่คือแก่นโลหิตจากหัวใจของข้าที่ข้าฝืนกลั่นมันออกมา ในนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างของข้า เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ลูก อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้และอย่าให้มันตกไปอยู่ในมือผู้ใดเป็นอันขาด มิฉะนั้น ลูกของเราย่อมไม่รอดชีวิต”

นางยื่นมือไปรับแก่นโลหิตนั้นมา พริบตาแก่นโลหิตนั้นก็เลือนหาย ได้ยินเสียงของเขาบอกเล่าสืบต่อ

“พาลูกไปที่ดาวเคราะห์ธาราคราม นั่นเป็นดาวเคราะห์ที่ข้าสร้างไว้นานแล้ว มันอยู่ในแดนดาราระดับล่างสุด ห่างไกลสายตาของเทพเซียนในห้วงแห่งสุขาวดีนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้แน่ว่าเจ้าและลูกจะอยู่ที่นั่น ดังนั้น พวกเจ้าสมควรปลอดภัย แก่นโลหิตหัวใจของข้าจะนำทางเจ้าไปยังดาวเคราะห์นั่น” เสียงของเขายิ่งมายิ่งอ่อนล้าโรยแรง รัศมีสว่างรอบกายหม่นหมองพร่าเลือนจนสูญหายหมดสิ้น ไม่เหลือเค้าลางของมหาเทพครองฟ้า มหาเทพผู้เป็นอันดับหนึ่งของห้วงแห่งสุขาวดีอีกต่อไป

กระบี่ในมือถูกเขาสอดใส่ในฝักกระบี่ก่อนจะยื่นส่งให้กับนาง “นำกระบี่ครองฟ้าของข้าไป ยามนี้ข้าไม่อาจรักษามันไว้เพื่อมอบให้ลูกของเราได้แล้ว”

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียน้ำตาไหลพรั่งพรู มือขาวผ่องสั่นสะท้านยามยื่นมือไปรับกระบี่ กระบี่ในมือพลันเลือนหายเข้าสู่ร่างของนาง

“ขอข้าอุ้มลูกหน่อย” เขาบอกกล่าวอย่างอ่อนแรงกว่าเดิม บัดนี้เขาคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ก่อนจะยื่นมือไปรับห่อผ้าที่ห่อหุ้มทารกน้อยไว้

มหาเทพชางเล่ยจับจ้องดวงหน้าเล็กๆ ของบุตรสาวเพียงคนเดียวราวกับจะจดจำไว้ในส่วนลึกที่สุดของวิญญาณ อ้อมแขนโอบกอดบุตรสาวที่หลับสนิทก่อนจะหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาก่อนจะร่วงหล่นลงบนแก้มน้อยๆ ของบุตรสาว

“ท่านยังไม่ได้ตั้งชื่อให้นาง” เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียบอกเขา น้ำเสียงสั่นสะท้าน

“ลูกสาวข้าเพิ่งอายุ 7 วัน ข้ากลับไม่มีวาสนาได้อยู่กับนาง เพิ่งวันนี้ที่ข้าได้กอดนางไว้เช่นนี้” เขากล่าวกับตนเองอย่างโศกเศร้าสุดแสน

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “ให้นางชื่อ ‘เชียนหยิง’ ส่วนแซ่ของนาง แล้วแต่ใจเจ้าเถิด อย่างไรนางก็ไม่อาจใช้ทั้งแซ่ของเจ้าและข้าได้”

กล่าวจบแล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตหน้าผากของทารกน้อยครู่หนึ่ง โอบกอดนางแนบแน่นอีกครั้ง ชั่วครู่จึงค่อยตัดใจยื่นบุตรสาวคืนให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ผู้เป็นมารดา

“ชางเล่ย สัญญากับข้า ท่านต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อข้าและลูก ข้าจะรีบกลับมาช่วยท่านให้เร็วที่สุด สัญญาสิ สัญญาเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเร่งเร้าเสียงสั่น น้ำตายิ่งไหลนอง

“ข้า...สัญญา...” เขารับคำเสียงอ่อนล้าแผ่วเบา

 

 

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจำต้องพาเชียนหยิงบุตรสาวอายุเพียง 7 วันหลบหนีออกจากแดนมาร เพราะยามนี้เผ่าเทพยกกำลังเข้าโจมตีแดนมารเต็มกำลัง นั่นเพราะเผ่าเทพและเผ่ามารเป็นดั่งน้ำกับไฟที่ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้

แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยนำพาเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียมาถึงดาวเคราะห์ธาราคราม นางใช้เวลาเดินทางมายังดาวเคราะห์แห่งนี้ราว 4 ชั่วยาม เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ดาวเคราะห์แห่งนี้เต็มไปด้วยสีฟ้า หากเมื่อเข้าใกล้มากขึ้นจึงได้ทราบว่าสีฟ้านั้นคือน้ำ วารีธาตุยึดพื้นที่ของดาวเคราะห์ดวงนี้ไปกว่า 7 ใน 10 ส่วน มหาเทพชางเล่ยจึงให้นามว่า ธาราคราม

เมื่อนางล่วงเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นี้ ก็พลันรู้สึกได้ถึงรอยปริร้าวอย่างรวดเร็วของชั้นบรรยากาศ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องรีบเก็บงำพลังทั้งหมดของตนไว้ทันที เพราะมิฉะนั้นแล้วดาวเคราะห์ดวงนี้ต้องถูกทำลายลงด้วยพลังของนางที่แผ่กระจายออกมา

นั่นเพราะนางคือตัวตนในระดับสูงสุด ต่ำชั้นกว่าเทพผู้สร้างเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น ดาวเคราะห์ระดับต่ำเช่นนี้ย่อมไม่อาจทานรับพลังของนางได้

ดาวเคราะห์ธาราครามเป็นดาวเคราะห์ระดับต่ำ อยู่ในแดนดาราระดับล่างสุด กลิ่นอายของดาวเคราะห์ดวงนี้เหมือนกับดาวเคราะห์อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดผิดแผกจนทำให้ฉุกใจสงสัย แต่นางไม่เชื่อดอกว่าดาวเคราะห์แห่งนี้จะเป็นเช่นนี้ นี่คือดาวเคราะห์ที่มหาเทพครองฟ้าชางเล่ย มหาเทพอันดับหนึ่งของห้วงแห่งสุขาวดีสร้างขึ้น เขาย่อมต้องซุกซ่อนบางอย่างไว้เพื่อปกป้องเขาและนาง

สัมผัสได้จากแก่นโลหิตหัวใจของเขาแล้วว่าดาวเคราะห์ธาราครามถูกเขาสร้างขึ้นเมื่อ 30,000 ปีก่อนในตอนที่เขาและนางอยู่ร่วมกัน เขาตั้งใจสร้างดาวเคราะห์แห่งนี้ไว้เป็นที่พักและหลบซ่อนหลังจากที่อุบายแสร้งดับขันธ์ของเขาประสบผลสำเร็จ เพื่อที่เขาจะได้สละตำแหน่งมหาเทพครองฟ้าและนางสละตำแหน่งเทพมารทลายสวรรค์ พวกเขาทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันที่ดาวเคราะห์แห่งนี้อย่างพร้อมหน้า ดาวเคราะห์แห่งนี้สำเร็จสมบูรณ์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์เผ่าเทพยกกำลังโจมตีเพื่อทำลายล้างเผ่ามาร

เมื่อดาวเคราะห์ธาราครามเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ มหาเทพชางเล่ยก็วางแผนแสร้งดับขันธ์ ทว่าเวลานั้นเขายังนึกหาแผนการดีๆ ไม่ได้ จึงรั้งรออยู่เรื่อยมา จวบจนกระทั่งเขาคิดแผนการได้ก็กลับกลายเป็นว่าแผนการยังไม่ทันถูกใช้ออก เผ่าเทพก็ยกกำลังโจมตีเผ่ามารเสียก่อน

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแผ่ไอมารออกอย่างเบาบางที่สุดเพื่อมิให้กระทบกับดาวดวงนี้ นางต้องการตรวจสอบดาวเคราะห์นี้ว่าเป็นอย่างไร เพียงสามอึดใจถัดมาจึงได้ทราบว่าดาวเคราะห์แห่งนี้ประกอบด้วย 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปเจ็ดเวหา ทวีปวิญญาณเทพ ทวีปทรายทอง และทวีปเก้าตะวัน เจ็ดเวหาและวิญญาณเทพเป็นนามจากเผ่าเทพ ทรายทองและเก้าตะวันย่อมเป็นนามจากเผ่ามาร นามของทั้งสี่ทวีปนี้มหาเทพชางเล่ยตั้งตามฉายาของขุนพลเผ่าเทพและเผ่ามาร ผู้คนในแต่ละทวีปมิใช่เผ่าเทพและเผ่ามารอยู่แล้ว เป็นเพียงมนุษย์ที่มหาเทพชางเล่ยสร้างเท่านั้น

นางต้องยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้าเมื่อรับรู้ได้ว่ามหาเทพชางเล่ยเตรียมการไว้พร้อมเพียงใด หากหม่นหมองได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องรีบสลัดทิ้ง ยามนี้นางต้องหาทางซ่อนตัวเชียนหยิงไว้ที่ดาวดวงนี้ก่อนจะรีบกลับไปช่วยมหาเทพชางเล่ย ทว่านางสมควรพาเชียนหยิงไปที่ทวีปใดจึงเหมาะสม สัมผัสจากไอมารบ่งบอกนางว่าผู้คนในทวีปเจ็ดเวหามีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุด ผู้คนในทวีปเก้าตะวันมีระดับการฝึกฝนสูงที่สุด วิญญาณเทพและทรายทองมีระดับการฝึกฝนใกล้เคียงกันหากสูงกว่าเจ็ดเวหาแต่ต่ำกว่าเก้าตะวัน วิญญาณเทพมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าทรายทองเพียงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ ดังนั้น จึงเหมาะสมที่จะเป็นที่ซ่อนตัวของบุตรสาวของนาง

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาเชียนหยิงเข้าสู่ทวีปวิญญาณเทพ ระดับการฝึกฝนที่ไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไป สมควรช่วยพรางการดำรงคงอยู่ของบุตรสาวนางได้ ระดับต่ำเกินไปเมื่อเวลาผ่านไปบุตรสาวของนางอาจโดดเด่นจนเป็นที่สงสัย ระดับสูงเกินไปผู้คนอาจจับผิดบุตรสาวของนางได้

ใช้เวลาราวสามอึดใจจึงมาถึงทวีปวิญญาณเทพ ทว่าเมื่อมาถึงแล้ว เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพลันต้องขมวดคิ้ว นางสมควรฝากฝังเชียนหยิงไว้กับผู้ใดหรือที่ใด จึงจะแน่ใจได้ว่าบุตรสาวของนางปลอดภัย เพราะนางกลับสู่ห้วงแห่งสุขาวดีครั้งนี้ ยากจะบอกได้ว่าอีกนานเท่าใดกว่านางจะกลับมารับบุตรสาวได้ เพราะการไปครั้งนี้นางต้องเผชิญหน้ากับสามมหาเทพ

เมื่อหวนคิดถึงจุดนี้ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียก็พลันนึกออกถึงเรื่องราวสองประการที่นางลืมคิดคำนวณในยามเร่งรีบ เรื่องราวประการแรกย่อมต้องเป็นนางต้องปกปิดมิให้มนุษย์คนใดทราบว่าบุตรสาวของนางมีสายเลือดทั้งเทพและมารอยู่ในตัว และประการที่สองย่อมเป็นแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ย แก่นโลหิตหัวใจนี้เหมาะสมจะมอบให้เชียนหยิงเมื่อนางอายุครบ 14,000 ปีเท่านั้น

อายุของเทพและมารในห้วงแห่งสุขาวดีนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์บนดาวเคราะห์นี้แล้ว อายุของมนุษย์ที่นี่ 2,000 ปีเท่ากับอายุเพียง 1 ปีของพวกเขา ต่อให้เชียนหยิงอยู่ที่นี่ 2,000 ปี นางก็เท่ากับเซียนหรือมารเด็กอายุ 1 ปีเท่านั้น นางยังไม่รู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น ยังเป็นเพียงทารกน้อยไร้เดียงสา เชียนหยิงอาจไม่สามารถรอดชีวิตที่ดาวดวงนี้ได้ ทั้งผู้คนยังอาจคิดว่าบุตรสาวของนางเป็นสิ่งประหลาดไม่น่าไว้ใจ พวกเขาอาจทำร้ายบุตรสาวของนาง

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแผ่ไอมารออกอีกครั้ง เพื่อสำรวจแผ่นดินแห่งทวีปวิญญาณเทพ ผ่านไปราวสามอึดใจ นางก็ต้องมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะเหาะเหินไปยังทิศทางหนึ่ง ด้วยความเร็วระดับสูงสุดที่นางใช้ออก ผ่านไปเพียงหนึ่งอึดใจนางจึงมาถึงเทือกเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์งดงาม เหาะตรงเข้าไปภายในหุบเขาหนึ่งของเทือกเขานี้ นางจึงมาถึงหน้าผาสูงตระหง่านลึกล้ำแห่งหนึ่ง

“ผาจันทร์ลอยน้ำจำลอง” นางอุทานเสียงแผ่ว

“ซ้ำยังมีแท่นมังกรขดกาญจนา ชางเล่ย ท่านสร้างเผื่อไว้ถึงเพียงนี้เลยหรือ” นางกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งและโศกเศร้าไปพร้อมกัน

“ทุกอย่างที่นี่เหมือนกับผาจันทร์ลอยน้ำและแท่นมังกรขดกาญจนาที่แดนเทพจริงๆ”

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียย่อมเคยเข้าสู่สถานที่ดังกล่าวด้วยการชักนำของมหาเทพชางเล่ย ผาจันทร์ลอยน้ำของแดนเทพเปี่ยมไปด้วยปราณทิพย์อันเข้มข้น สถานที่นี้เป็นสถานที่ฝึกฝนของเทพเซียนของเผ่าเทพทุกคน เขาพานางไปเที่ยวชมและยังพรางพลังของนางให้กลายเป็นพลังของเผ่าเทพ เพื่อให้นางได้ทดลองฝึกฝนที่นั่นอยู่หลายเดือน นางจึงได้ทราบว่าผาจันทร์ลอยน้ำให้ผลไม่ต่างกับทะเลกระดูกอนธกาลแห่งแดนมาร

เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาเชียนหยิงพุ่งลงสู่ก้นหุบเหวของผาจันทร์ลอยน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจนางก็มาถึงก้นหุบเหวอันลึกล้ำ ที่นี่ปรากฏถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในถ้ำนางจึงพบเห็นแท่นทองคำอร่ามที่สลักเป็นรูปมังกรนอนขดตัวอยู่

 

แท่นมังกรขดกาญจนาจำลอง ! ! สัญลักษณ์แทนตัวของมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย !

 

นางวางเชียนหยิงบุตรสาวของนางลงในขดมังกรนั้น ปราณทิพย์อันเข้มข้นอย่างที่สุดเริ่มไหลเข้าสู่ร่างน้อยๆ ในห่อผ้านั้นอย่างแช่มช้า

กลางฝ่ามือของนางปรากฏอัญมณีสีแดงโลหิตขนาดราวผลลำไยลูกใหญ่ทอประกายเจิดจรัส ย่อมเป็นแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ย

“ทนเจ็บหน่อยนะ ลูกแม่ แก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้า แม่ไม่อาจนำติดตัวไปได้ หากแม่พลาดพลั้ง ของสิ่งนี้ย่อมตกอยู่ในมือศัตรู นั่นย่อมเสริมสร้างให้ศัตรูของพ่อกับแม่แข็งแกร่งกว่าเดิม” นางบอกเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตาด้วยความสงสารบุตรสาวจับใจ ทราบดีว่าการฝืนกระทำเช่นนี้ บุตรสาวของนางต้องเจ็บปวดเจียนตาย

นางปลดผ้าอ้อมและเสื้อผ้าที่พันร่างน้อยออกจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจ้ำม่ำที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง อัญมณีสีแดงโลหิตถูกวางลงที่ตำแหน่งหัวใจของร่างเล็ก ฝ่ามือวางทับลงไป ประกายแสงสีดำทมิฬปรากฏขึ้นใต้ฝ่ามือก่อนจะชำแรกเข้าสู่ร่างน้อยและตรงเข้าสู่หัวใจของนาง ที่ติดตามประกายแสงสีดำคือประกายแสงสีแดงโลหิตจากแก่นโลหิตหัวใจ อัญมณีสีแดงโลหิตถูกชักนำให้กลายเป็นเพียงพลังสีแดงกลุ่มหนึ่งไหลตามประกายแสงสีดำ

เพียงประกายแสงสีแดงชำแรกเข้าสู่หัวใจดวงเล็กเพียงบางเบา ทารกน้อยที่หลับสนิทก็แผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวดทันที น้ำตาของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องร่วงรินเมื่อเห็นเชียนหยิง บุตรสาวของนางร้องไห้

ประกายแสงสีแดงยิ่งชำแรกเข้าสู่หัวใจดวงน้อยมากเท่าใด เสียงร้องไห้ของทารกน้อยยิ่งมากมาย ร่างเล็กดิ้นพราดอย่างทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดมหาศาล ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจประกายแสงสีแดงจึงหมดสิ้น อัญมณีสีแดงโลหิตใต้ฝ่ามือเลือนหาย หากกลับปรากฏเป็นปานแดงรูปมังกรตัวเล็กๆ ในท่วงท่าเหาะเหินที่ตำแหน่งหัวใจของทารกน้อย

ร่างเล็กหยุดดิ้นหากยังคงแผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวด นิ้วเรียวขาวผ่องตวัดเขียนอักขระเวทสีทองออกมาถึงสิบตัว อักขระเวททั้งสิบหลอมรวมกันกลายเป็นดวงแสงสีทองประทับลงที่หน้าผากของทารกน้อยก่อนจะจมหายไปจนไร้ร่องรอย นางยื่นมือใส่เสื้อผ้าและพันผ้าอ้อมห่อให้บุตรสาวจนเรียบร้อยก่อนจะอุ้มทารกน้อยที่ยังคงร้องไห้จ้ามากอดแนบอกอย่างปลอบประโลม

“เชียนหยิง แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้” นางบอกกล่าวเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลรินที่ทำให้บุตรสาวเจ็บปวดปางตาย

“แต่เพื่อป้องกันคนที่คิดแย่งชิงแก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้า แม่มีแต่ต้องทำเช่นนี้”

“แม่สลักอักขระเวทไว้ที่หน้าผากเจ้า จะไม่มีผู้ใดทราบว่าเจ้ามีทั้งสายเลือดเทพและมาร ผู้อื่นจะทราบว่าเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง และย่อมไม่มีผู้ใดทราบว่าเจ้ามีร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ ต่อให้เป็นชางซว่อ ชางจี้ ชางห้าว ก็ไม่มีวันทราบว่าเจ้าเป็นผู้ใด” ประโยคท้ายของนางเต็มไปด้วยความชิงชังสามมหาเทพ

“ผู้ครอบครองร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ย่อมมีรูปโฉมงดงามเกินหน้าเทพเซียนใดๆ แต่รูปโฉมนี้จะกลายเป็นหายนะของเจ้าในยามที่เจ้ายังเยาว์วัยไร้ฝีมือ ดังนั้น อักขระเวทนี้จะพรางโฉมหน้าแท้จริงของเจ้าเอาไว้ รูปโฉมของเจ้าจะธรรมดาเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ไม่ล่อตาล่อใจผู้ใดทั้งสิ้น”

“อักขระเวทนี้ยังทำให้แม่ทราบเสมอว่าเจ้าอยู่ที่ใด แม้จะไม่ทราบว่าเจ้าปลอดภัยหรือไม่”

“แก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้าจะค่อยๆ เปิดเผยความลับให้เจ้ารู้เมื่อเจ้าอายุครบ 14,000 ปี”

“แม่ไม่ทราบว่าจะกลับมาพบเจ้าได้เมื่อใด แต่แม่จะพาพ่อเจ้ากลับมาหาเจ้าให้เร็วที่สุด”

นางโอบกอดปลอบประโลมทารกน้อยอยู่ครู่หนึ่งกว่าร่างเล็กจะค่อยๆ เงียบลง ร่างน้อยถูกวางลงบนแท่นมังกรขดกาญจนาอีกครั้ง นางหมุนกายไปทางขวามือของนาง มือขาวผ่องแตะลงที่หน้าผากของตนก่อนจะหลับตาลง ผ่านไปราวสิบลมหายใจ มือที่แตะหน้าผากจึงถูกยกออกก่อนจะยื่นเหยียดออกไปเบื้องหน้า ไอมารสีดำสนิทเข้มข้นพวยพุ่งออกจากฝ่ามือ ไอมารนั้นค่อยๆ ก่อรูปร่างเป็นลูกแมวน้อยขนฟูสีดำสนิทดั่งราตรีกาล มันสูงราว 5 ชุ่น (1 ชุ่น = 1 นิ้ว) มันยืนหลับตานิ่ง

นิ้วเรียวจี้จรดลงบนหน้าผากของลูกแมวน้อยนั้น ประกายแสงสีขาวหม่นวาบขึ้นก่อนจะชำแรกเข้าสู่ร่างของมัน ราวสามอึดใจประกายแสงสีขาวก็เลือนหาย นางยกมือออกก่อนจะจ้องมองมัน นัยน์ตาของลูกแมวน้อยค่อยๆ ลืมขึ้น นัยน์ตานั้นเป็นสีเขียวสดใสทอประกายเจิดจรัสดั่งดาราก่อนจะดับวูบกลายเป็นสีเขียวอ่อนตามปกติ

นิ้วเรียวตวัดเขียนอักขระเวทลงบนหน้าผากของลูกแมวน้อย ไม่กี่อึดใจก็เสร็จสิ้น

“เจตน์จำนงและจิตสำนึกของข้าจงฟัง” เสียงของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียก้องกังวานไปทั้งโถงถ้ำ

“นามของเจ้าคือ ‘เสี่ยวเฮย’ หน้าที่ของเจ้าคือปกป้องและดูแลเชียนหยิง บุตรสาวของข้า ให้ปลอดภัย นางคือสิ่งเดียวที่เจ้าต้องปกป้องให้ถึงที่สุด”

“รับทราบเจ้าค่ะ” เสียงของลูกแมวน้อยดังขึ้น เป็นเสียงเดียวกับเสียงของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย

นั่นเพราะมันคือเจตน์จำนงและจิตสำนึกของนาง เจตน์จำนงและจิตสำนึกย่อมสืบทอดความทรงจำและความสามารถทุกประการจากนาง แม้ความสามารถที่รับสืบทอดนี้จะอ่อนด้อยกว่าเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียไปหนึ่งในสี่ส่วน แต่บนดาวเคราะห์ระดับต่ำสุดเช่นนี้ ความสามารถเพียงสามในสี่ส่วนของเทพมารทลายสวรรค์ที่อยู่ในตัวลูกแมวน้อยก็สามารถทุบทำลายดาวเคราะห์ธาราครามให้สูญหายไปได้ในพริบตาไม่ต่างกัน

“ข้าเขียนอักขระเวทไว้บนร่างของเจ้า จะไม่มีผู้ใดทราบว่าเจ้าคือเจตน์จำนงและจิตสำนึกของข้า ไม่มีผู้ใดทราบว่าเจ้าคือเผ่ามาร เจ้าจะเป็นเพียงแมวดำธรรมดาเท่านั้นในการรับรู้ของทุกผู้คน”

มือขาวผ่องยื่นเหยียดออกอีกครั้ง บนฝ่ามือปรากฏกระบี่สีขาวสว่าง ย่อมเป็นกระบี่ครองฟ้าของมหาเทพชางเล่ย นิ้วเรียวตวัดเขียนอักขระเวทลงบนกระบี่ ราวสามอึดใจจึงเสร็จสิ้น รัศมีสีขาวสว่างบนกระบี่พลันวูบดับ นางยื่นส่งกระบี่ให้เสี่ยวเฮย กระบี่ครองฟ้าพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวสว่างพุ่งเข้าสู่ร่างของเจ้าแมวน้อย

“ข้าฝากกระบี่ครองฟ้าไว้กับเจ้า จงดูแลรักษามันให้ดี เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงมอบกระบี่นี้ให้บุตรสาวของข้า”

“ยามนี้กระบี่ครองฟ้าถูกข้าผนึกไว้ มันจะมีสภาพเป็นเพียงกระบี่วิเศษไม่เกินระดับศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถพบเห็นได้ในแดนมนุษย์ การจะปลดผนึกมันต้องให้เชียนหยิงปลดเอง เมื่อความสามารถด้านอักขระเวทของนางอยู่ในระดับบรรพกาล นางจะสามารถปลดผนึกของข้าได้”

“เจ้าและนางจงอยู่ที่นี่ เมื่อใดที่เจ้าเห็นสมควรจึงค่อยพานางออกสู่โลกภายนอก และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเจ้าจึงมอบกระบี่ครองฟ้าให้นาง”

“ข้าจะเขียนอักขระเวททิ้งไว้เพื่อปกปิดผาจันทร์ลอยน้ำและแท่นมังกรขดกาญจนาให้พ้นจากสายตาของมนุษย์ จะมีเพียงเจ้าและนางเท่านั้นที่ทราบถึงสถานที่แห่งนี้”

“ปกป้องและดูแลนางให้ดีที่สุด ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

ทว่าเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียไม่ทราบเลยว่าการกลับสู่ห้วงแห่งสุขาวดีครั้งนี้ของนางนั้น นางจะไม่มีโอกาสได้กลับมายังดาวเคราะห์ธาราครามแห่งนี้อีกต่อไป

นับจากเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจากไป กาลเวลาผันผ่านไปอย่างเงียบสงบอีก 14,000 ปี ยามนี้เชียนหยิงน้อยอายุ 14,000 ปีเช่นกัน เทียบเป็นอายุของมนุษย์ในดาวเคราะห์แห่งนี้ก็เพียง 7 ปีเท่านั้น ร่างครึ่งเซียนครึ่งมารของนางก็ปรากฏเป็นเด็กน้อยอายุ 7 ปีเท่ากับเด็กในโลกมนุษย์แห่งนี้ ปราณทิพย์อันเข้มข้นจากแท่นมังกรขดกาญจนาหล่อเลี้ยงเชียนหยิงให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แม้นางจะมิได้รับประทานสิ่งใดเลย

เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยคอยบอกคอยสอนเชียนหยิงน้อยให้รู้จักเรื่องราวต่างๆ สอนให้นางฝึกฝนตั้งแต่นางเริ่มรู้ความและจดจำได้ เพราะมันคือเจตน์จำนงและจิตสำนึกของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ทุกความต้องการของนาง เสี่ยวเฮยย่อมรับทราบจนหมดสิ้นและสอนสั่งเชียนหยิงได้ทุกสิ่งตามที่นางต้องการ