ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1 โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1

“เชียนหยิง ข้าจะออกไปข้างนอกสักหลายวัน เจ้าฝึกฝนอยู่ในนี้ ห้ามออกไปที่ใด เจ้าต้องรอจนกว่าข้าจะกลับมา” เสี่ยวเฮยสั่งความอย่างเข้มงวด

“ทราบแล้ว พี่เสี่ยวเฮยไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่อยู่กลางเทือกเขา ไม่มีผู้ใดพบเจอได้ดอก และข้าไม่มีวันไปที่ใดโดยไม่มีพี่เสี่ยวเฮย” เสียงเล็กใสรับคำอย่างเชื่อฟัง

เสี่ยวเฮยหายไปถึง 7 วัน 7 คืน เมื่อมันกลับมาจึงได้เห็นว่าเชียนหยิงน้อยยังคงฝึกฝนบำเพ็ญตนเช่นที่เคย ยามนี้ระดับลมปราณของเชียนหยิงน้อยอยู่ในระดับสร้างลำต้นขั้นที่แปด นับว่ารุดหน้าเกินเด็กมนุษย์อายุไม่เกิน 10 ปีที่ระดับลมปราณจะอยู่ในระดับสร้างลำต้นขั้นที่สามหรือสี่ สาเหตุที่นางรุดหน้าอย่างรวดเร็วย่อมเป็นเพราะร่างนภาพิสุทธิ์และปราณทิพย์อันเข้มข้นจากแท่นมังกรขดกาญจนา สองประการนี้ทำให้การฝึกฝนของนางรุดหน้าอย่างง่ายดาย

เสี่ยวเฮยออกไปด้านนอกและไปที่ใดบ้าง มันมิได้เล่าให้เชียนหยิงฟัง นางก็ไม่ถามมัน เพราะรู้จักนิสัยของเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยดีว่ามันจะเล่าเมื่อถึงเวลาที่มันเห็นว่าเหมาะสม

เชียนหยิงน้อยอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาเนิ่นนาน แม้จะรู้สึกเบื่อไม่น้อยตามประสาเด็กแต่ก็เชื่อฟังเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยเป็นอย่างดี รู้ดีว่ามันหวังดีและเป็นห่วงนางอย่างยิ่ง แค่ครั้งหนึ่งเมื่อนางอายุ 10,000 ปี นางแอบออกไปข้างนอกเพียงผู้เดียวเพราะความอยากรู้อยากเห็นและความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในถ้ำ เวลานั้นเสี่ยวเฮยออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ที่มันมักทำเป็นประจำ เมื่อมันกลับมาไม่พบนาง เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยก็แทบเป็นบ้า มันเวียนวนค้นหานางไปในที่ต่างๆ ที่คิดว่านางจะไปเที่ยวเล่น หานางอยู่ถึงสองชั่วยามจึงค่อยพบว่าเชียนหยิงน้อยกำลังเล่นน้ำเพียงลำพังที่น้ำตกเล็กๆ แห่งหนึ่งที่นางบังเอิญพบเจอ น้ำตกนี้อยู่ห่างจากถ้ำของนางเพียง 1 หลี่ (1 หลี่ = 500 เมตร)

โชคดีว่าน้ำตกในแอ่งที่นางเล่นนั้นตื้นเขินพอสำหรับเด็กน้อยวัย 5 ปี มิฉะนั้นนางต้องจมน้ำตายแน่ๆ กว่าที่เสี่ยวเฮยจะค้นพบนาง ทั้งในน้ำตกแห่งนี้ไม่มีสัตว์อสูรอันร้ายกาจซ่อนอยู่ มีเพียงสัตว์ป่าอย่างเก้ง กวาง กระต่าย กระทั่งปลาในน้ำก็มิใช่สัตว์อันตราย เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยจึงโล่งอก หากมันก็ดุว่านางไปมากมายจนนางร้องไห้ออกมา นั่นเพราะนางยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจถึงอันตรายจากสัตว์อสูรที่อยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ แต่เพราะพลังมารอันมหาศาลจากเสี่ยวเฮยที่ครอบงำเทือกเขาแห่งนี้ ทำให้ในระยะห่างจากถ้ำของนางไม่เกิน 5 หลี่ สัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจสุดแสนในเทือกเขาแห่งนี้ล้วนไม่กล้าเหยียบย่างเข้าใกล้

จนเมื่อนางอายุ 12,000 ปี เสี่ยวเฮยจึงยอมพานางออกมานอกถ้ำ สอนให้นางรู้จักสิ่งต่างๆ ในป่า รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไรจึงจะอยู่รอดในป่าได้ ให้นางฝึกฝนท่าเท้าเงาจันทร์เลือนลับอันเป็นวิชาเหาะที่ขึ้นชื่อว่ารวดเร็วที่สุดของแดนมารให้กับนาง เพราะเสี่ยวเฮยทราบดีว่าหากสู้ไม่ได้ หนีคือหนทางที่ดีที่สุด นางยังเยาว์วัยนัก ระดับลมปราณก็ต่ำต้อยเหลือแสน เงาจันทร์เลือนลับจึงเป็นวิชาแรกที่มันสอนแก่เชียนหยิง

ทว่าร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์กลับร้ายกาจกว่าที่เสี่ยวเฮยคาดคิด เชียนหยิงสำเร็จเงาจันทร์เลือนลับขั้นแรกภายในหนึ่งปี และยามที่นางอายุ 13,000 ปี นางสำเร็จเงาจันทร์เลือนลับขั้นสูงสุดเท่าเทียมกับเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียมารดาของนาง ขณะที่มารดาของนางสำเร็จวิชานี้ก็ต้องฝึกฝนถึง 3,000 ปี แต่เชียนหยิงใช้เวลาเพียงหนึ่งในสามของจื่อเซียเท่านั้น เสี่ยวเฮยคาดเดาไม่ออกเลยว่าหากตนเองเริ่มถ่ายทอดวิชาอื่นอันเป็นวิชาประจำตัวของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียให้กับนาง ความสำเร็จของนางจะสูงส่งจนน่าตกตะลึงเพียงใด

วันนี้เสี่ยวเฮยกลับมาเร็วกว่าปกติ เชียนหยิงน้อยต้องแปลกใจ เพราะปกติแล้วกว่าเสี่ยวเฮยจะกลับมาหานางอย่างน้อยก็ต้องอีก 3-4 วันข้างหน้า

“เชียนหยิง เจ้าตามข้ามา พวกเราจะย้ายไปอยู่อีกที่ เจ้าต้องไปอยู่กับผู้อื่นจะได้เรียนรู้”

“แล้ว...แล้วพี่เสี่ยวเฮยล่ะ...” เสียงเล็กๆ หวานใสราวกังสดาลแก้วถามด้วยความตกใจ นางไม่เคยแยกจากเสี่ยวเฮยเลยนับแต่จำความได้ มีแค่ครั้งที่นางอายุ 10,000 ปีครั้งนั้นเท่านั้นที่นางอยู่ห่างจากเสี่ยวเฮย

“ข้าย่อมต้องไปอยู่กับเจ้าด้วยน่ะสิ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าในสายตาผู้อื่น ข้าไม่สามารถพูดภาษามนุษย์กับเจ้าได้”

สีหน้าของเชียนหยิงน้อยดีขึ้นทันตาเมื่อทราบชัดว่าเสี่ยวเฮยจะไปกับนาง “ข้าจะจำไว้”

เชียนหยิงติดตามเสี่ยวเฮยไปยังถ้ำอีกแห่งหนึ่ง ส่วนถ้ำที่ซุกซ่อนแท่นมังกรขดกาญจนานั้นย่อมไม่มีผู้ใดพบเห็นเพราะเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเขียนอักขระเวทปกปิดไว้อยู่แล้ว ผู้ที่ผ่านเข้าออกถ้ำแห่งนี้ได้ย่อมมีเพียงเชียนหยิงและเสี่ยวเฮย ทว่าก็ยากนักที่จะมีผู้ใดพบเจอ เพราะถ้ำแห่งนี้อยู่ก้นหุบเหวของผาจันทร์ลอยน้ำ ประการสำคัญคือกระทั่งบริเวณผาจันทร์ลอยน้ำก็ยังมีอักขระเวทของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียสลักทิ้งไว้เพื่อปกปิดมิให้มนุษย์คนใดพบเจอสถานที่แห่งนี้

เพราะทราบเช่นนี้ เสี่ยวเฮยจึงต้องพาเชียนหยิงออกจากผาจันทร์ลอยน้ำมาสู่ถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้มีปราณทิพย์น้อยกว่าถ้ำที่ผาจันทร์ลอยน้ำมากนัก ทำให้การฝึกฝนของเชียนหยิงเชื่องช้าลงกว่าเดิมไม่น้อย

“ข้าออกไปที่เมืองมนุษย์มา ได้ความมาว่าอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านจะออกมาล่าสัตว์ที่เทือกเขาเงาเทพแห่งนี้ ฮูหยินเอกของเขา หวงจิ้งหรงก็ติดตามมาด้วย อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงมีบุตรชายคนหนึ่งนามอู๋จิ่นฟาน เขาอายุ 15 ปี อัครเสนาบดีอู๋และฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงอยากมีบุตรสาวมาก แต่อายุของหวงจิ้งหรงที่อายุ 35 ปีแล้วก็ไม่เหมาะสมที่จะตั้งครรภ์ ฮูหยินรองและฮูหยินสามล้วนให้กำเนิดแต่เพียงบุตรชาย”

“แล้วอย่างไร” เชียนหยิงน้อยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าคาดเดาว่าหากหวงจิ้งหรงได้พบเห็นเจ้า มีโอกาสที่นางจะพึงพอใจเจ้าและรับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรม หากไม่เป็นเช่นที่ข้าคาดไว้ อย่างน้อยนางจะรับเจ้ากลับจวนไปด้วย เจ้าจะได้ไปอยู่กับมนุษย์ จะได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างไร ข้ามิใช่มนุษย์ จึงไม่อาจสอนเจ้าถึงเรื่องราวของมนุษย์ได้”

“แล้วพวกเขาจะมาที่เทือกเขาแห่งนี้เมื่อใด”

“หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ที่ข้าสืบทราบมาได้ก็คืออีกราวสามเดือนข้างหน้าพวกเขาจะมาถึงเทือกเขาแห่งนี้ ถ้ำนี้ที่ข้าพาเจ้ามาถือว่าอยู่ในระยะที่พวกเขาจะพบเจอเจ้าได้ง่าย”

“เจ้ามาอยู่ที่นี่จะได้ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่โดยรอบเอาไว้ จะได้ไม่มีพิรุธให้พวกเขาสงสัยว่าแท้จริงแล้วเป็นเจ้าที่มารอคอยพวกเขา”

“เมื่อพวกเขาพบเจอเจ้า เจ้าจงเล่าว่าเจ้าเดินทางมากับบิดามารดา แซ่ของเจ้าคือเซี่ย ระหว่างเดินทางบิดามารดาของเจ้าถูกสัตว์อสูรทำร้ายจนตาย เหลือเจ้ารอดเพียงผู้เดียวพร้อมกับข้า ที่เจ้ารอดก็เพราะบิดามารดาต่อสู้กับสัตว์อสูรไว้แล้วให้เจ้าหนีมาเพียงผู้เดียว”

“แล้วพวกเขาจะเชื่อข้าหรือ”

“เชื่อสิ เพราะพวกเขาทราบดีว่าเด็กไม่มีทางโกหก แล้วเด็กอายุเช่นเจ้าจะปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงพวกเขาได้อย่างไร”

“แต่พี่เสี่ยวเฮยกำลังสอนข้าให้โกหก”

“เชียนหยิง มนุษย์มีคำกล่าวคำหนึ่ง รู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าเข้าใจคำนี้หรือไม่” เชียนหยิงน้อยส่ายศีรษะทันที

“อธิบายโดยง่ายก็คือ หากตอนนี้ข้าให้เจ้าคาดเดาว่าข้าคิดอะไร เจ้าคาดเดาออกหรือไม่”

“ไม่” เชียนหยิงส่ายศีรษะจนผมกระจาย

“แต่เจ้าก็เชื่อคำข้า ยอมติดตามข้ามาโดยไม่ระแวงสงสัย”

เชียนหยิงพยักหน้ารับทันที

“หากข้าคิดทำร้ายเจ้า เจ้าติดตามข้ามาเช่นนี้ เจ้าย่อมตกตายอย่างง่ายดาย” เสี่ยวเฮยเฉลยคำตอบ

เชียนหยิงมีสีหน้าตกใจทันที

“ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง รู้หน้าไม่รู้ใจ” เชียนหยิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจชัดเจน

“เชียนหยิง เจ้าสามารถไว้ใจข้าได้ตลอดไป ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า” เสี่ยวเฮยบอกกล่าวอย่างหนักแน่น

“แต่กับผู้อื่นที่มิใช่ข้า หรือบิดามารดาอันแท้จริงของเจ้า ไม่ว่าคนผู้นั้นจะดีแสนดีกับเจ้าเพียงใด จงอย่าได้ไว้ใจ”

“แล้วบิดามารดาของข้า พวกท่านอยู่ที่ใด ข้าไม่เคยพบพวกท่านเลย”

“แล้วเจ้าอยากพบพวกเขาหรือไม่”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าอยากพบคนผู้หนึ่ง”

“เจ้าอยากพบใคร” เสี่ยวเฮยเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพราะนับตั้งแต่เชียนหยิงรู้ความ นางไม่เคยพบเจอมนุษย์คนใด แล้วนางอยากพบผู้ใดกัน

“ข้าฝันเห็นคนผู้หนึ่ง เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ในมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่นั้นเปล่งแสงสีขาว รอบกายเขาก็มีรัศมีสว่างใสงดงามอย่างยิ่ง เมื่อเขามองเห็นข้า เขายิ้มให้ข้าและเข้ามากอดข้าไว้ เขากอดข้าแน่นมาก เมื่อข้าถามว่าเขาเป็นใคร เขาเพียงยิ้มให้ข้าเท่านั้น จากนั้นข้าก็ตื่นขึ้น”

“เจ้าฝันเห็นเขา?” เสี่ยวเฮยถามเสียงสั่น

เชียนหยิงพยักหน้าตอบรับ “ข้าฝันเห็นเขาเช่นนี้ตั้งแต่ข้าอายุ 12,000 ปี ข้าจะฝันถึงเขาทุก 7 วัน เขาเป็นผู้ใด พี่เสี่ยวเฮยทราบหรือไม่”

เสี่ยวเฮยหลับตาลง เงียบไปชั่วครู่ มันสูดลมหายใจลึกก่อนจะกล่าว “นั่นคือบิดาของเจ้า”

เชียนหยิงตกตะลึงอ้าปากค้าง “ท่าน...พ่อ?”

“ใช่ เขาคือบิดาของเจ้า เจ้ามีของบางอย่างของเขาติดตัวมา นั่นจึงอาจทำให้เขากับเจ้าสื่อใจถึงกันได้”

“ของ? ของอะไร”

“เจ้าจดจำปานแดงรูปมังกรตัวเล็กๆ ที่ตำแหน่งหัวใจของเจ้าได้หรือไม่ นั่นคือของของพ่อเจ้าที่ติดตัวเจ้ามา” สีหน้าของเชียนหยิงน้อยพลันนึกออกทันที มือเล็กรีบเปิดอกเสื้อออก ปานแดงรูปมังกรที่ตำแหน่งหัวใจจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน นี่เป็นปานแดงที่นางมิได้ใส่ใจ เข้าใจว่าเป็นเพียงปานแดงธรรมดาเท่านั้น

“ของสิ่งนั้นของพ่อเจ้าคืออะไร ไว้ถึงเวลาข้าค่อยบอกกับเจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าห้ามบอกผู้ใดว่าปานแดงนี้เป็นสิ่งของจากพ่อของเจ้า หากมีผู้ใดถามก็บอกไปว่าเป็นปานแดงที่ติดตัวมาแต่กำเนิด”

เชียนหยิงพยักหน้ารับทันทีอย่างเชื่อฟัง “แล้วท่านแม่ของข้าล่ะ ทำไมข้าฝันเห็นแต่ท่านพ่อ ไม่เคยฝันเห็นท่านแม่เลย”

คำถามนี้ของเชียนหยิงทำให้เสี่ยวเฮยนิ่งงัน เห็นมันเบือนสายตาไปมองทางอื่น ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยวาจา “ที่เจ้าไม่ฝันเห็นมารดาของเจ้าก็เพราะข้าคือตัวแทนของนาง นางให้ข้าคอยอยู่ข้างกายเจ้า”

เชียนหยิงต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง เสี่ยวเฮยคือตัวแทนของมารดาของนาง เมื่อนางรู้ความและเริ่มจดจำได้ นางก็มีเสี่ยวเฮยอยู่ข้างกายแล้ว มันอยู่ข้างกายนางตลอดมา ทุกครั้งที่มันไม่อยู่ มันล้วนบอกกล่าวต่อนางชัดเจนว่ามันจะกลับมาหานางเมื่อใด

มือเล็กๆ เอื้อมไปรั้งแมวดำเสี่ยวเฮยเข้ามากอดไว้แน่น ความคิดถึงมารดาพลันปะทุขึ้นมา น้ำตาไหลพรั่งพรู เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมา ร่างน้อยสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น เป็นครั้งแรกที่นางได้ทราบว่ามารดาของนางรักใคร่ห่วงใยนางถึงเพียงนี้ มารดาของนางทิ้งเสี่ยวเฮยไว้ให้อยู่กับนางแม้ตัวท่านมิได้อยู่ด้วย

ครู่ใหญ่กว่าที่เชียนหยิงจะหยุดร้องไห้ได้ นางใช้แขนเสื้อซับน้ำตาของตนเอง เสี่ยวเฮยเห็นแล้วได้แต่อ้ำอึ้ง ใช่ เชียนหยิงเติบโตมาด้วยการดูแลของมัน แม้นางจะมิได้ร้องไห้บ่อยครั้ง แต่เมื่อนางร้องไห้ ทุกครั้งนางล้วนเช็ดน้ำตาด้วยตนเอง ไม่เคยมีอ้อมแขนของบิดามารดาโอบกอดปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาให้นางสักหน นางต้องพึ่งพาตัวเองและมันเท่านั้น

“ท่านพ่อท่านแม่ของข้า พวกท่านมีนามว่าอย่างไร พี่เสี่ยวเฮย”

“ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ นามของพวกเขาเป็นสิ่งต้องห้ามในสถานที่แห่งหนึ่ง เจ้ารู้เรื่องของพวกเขาน้อยเท่าใด เจ้ายิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น”

“พี่เสี่ยวเฮย ท่านบอกข้าเถิดนะ ข้าอยากรู้จริงๆ”

เสี่ยวเฮยต้องถอนหายใจยืดยาว “ไม่ได้หรอก เชียนหยิง เจ้าอย่าเพิ่งรู้นามของพวกเขาเลย ให้เจ้าโตกว่านี้สักหน่อย ข้าจะบอกเจ้าเอง”

เชียนหยิงได้แต่พยักหน้ายอมรับ

 

 

 

ระหว่างรอให้ครบกำหนดสามเดือนที่อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านจะพาหวงจิ้งหรง ฮูหยินเอกออกมาล่าสัตว์ที่เทือกเขาเงาเทพ เสี่ยวเฮยยังคงออกจากถ้ำไปเดือนละครั้งๆ ละ 3-4 วันเพื่อไปยืนยันให้แน่ใจว่าอู๋ซิงว่านจะมายังเทือกเขาเงาเทพ จนกระทั่งวันนี้เป็นวันที่อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านพาหวงจิ้งหรง ฮูหยินเอกมายังเทือกเขาแห่งนี้

ผู้ที่ร่วมขบวนล่าสัตว์นี้นอกจากอู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงแล้ว ยังมีฮูหยินรองและฮูหยินสาม ขบวนของอู๋ซิงว่านยามนี้อยู่ห่างจากถ้ำของเชียนหยิงและเสี่ยวเฮยราว 3 หลี่ ระหว่างกำลังล่าสัตว์ หางตาของหวงจิ้งหรงพลันพบเห็นเงาร่างของเด็กหญิงผู้หนึ่ง เด็กหญิงผู้นั้นสบตานางอย่างตื่นกลัวก่อนจะวิ่งหนีนางเข้าไปในป่าที่ลึกขึ้น

“อย่าไปทางนั้น กลับออกมา” หวงจิ้งหรงตะโกนเรียกก่อนจะกระตุกบังเหียนม้า ควบขับม้าตามเด็กหญิงผู้นั้นไป

หวงจิ้งหรงควบขับม้าตามเด็กหญิงผู้นี้ทันอย่างง่ายดาย นางควบขับม้าขวางหน้าเด็กหญิงไว้ ควบคุมให้ม้าอยู่นิ่งแล้วนางจึงกระโดดลงมายืนเบื้องหน้าเด็กหญิงที่จ้องนางอย่างตื่นกลัว ข้างกายมีแมวดำสูงราวหัวเข่าของเด็กหญิง มันจับจ้องหวงจิ้งหรงอย่างระแวดระวัง

เด็กหญิงตรงหน้า อายุยังไม่ถึง 10 ปี หน้าตามอมแมม ผมยาวรุ่ยร่าย เสื้อผ้าเก่าขาด หลายส่วนของเสื้อผ้ามีรอยเปื้อนดำ

นี่เป็นครั้งแรกที่เชียนหยิงพบเจอสิ่งที่เสี่ยวเฮยเรียกว่า ‘มนุษย์’ เสี่ยวเฮยบอกนางไว้อย่างละเอียดหมดแล้วว่ามนุษย์มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร เชียนหยิงจึงมิได้ตื่นกลัว ยามนี้นางเพียงแสดงให้สมบทบาทตามที่เสี่ยวเฮยสอนสั่งไว้เท่านั้น

“เด็กน้อย เจ้าเป็นผู้ใด มาอยู่ในป่าลึกคนเดียวได้อย่างไร” นางทอดเสียงถามอย่างอ่อนโยน ไม่ให้เด็กหญิงนั้นตื่นกลัว

เด็กหญิงนั้นยืนฟังนิ่ง ครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าววาจา “ข้าหลงป่า หาทางออกไม่เจอ”

“ทำไมเจ้าจึงหลงป่า บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ใด”

“เมื่อหลายวันก่อนท่านพ่อกับท่านแม่ข้าถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย ข้าถูกท่านแม่พามาซ่อนไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านสั่งให้ข้าอยู่แต่ในถ้ำนั้นกับพี่เสี่ยวเฮย ข้ารอพวกท่านตั้งนาน พวกท่านก็ไม่กลับมา ข้าออกจากถ้ำเดินมาไม่ไกล จึงได้พบรอยเลือดกองใหญ่และเศษเสื้อผ้าของพวกท่าน”

ฟังคำของเด็กหญิงน้อยแล้ว หวงจิ้งหรงต้องนิ่งอึ้ง คาดเดาได้ทันทีว่าบิดามารดาของเด็กหญิงน้อยนี้ต้องตกตายแน่แล้ว ป่ามรณะในเทือกเขาเงาเทพนี้เต็มไปด้วยสัตว์อสูรร้ายกาจ แค่ที่นางรอดอยู่ได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตานางอย่างแท้จริง

“พี่เสี่ยวเฮยคือแมวดำที่อยู่กับเจ้างั้นรึ”

“ใช่ ข้ากับท่านแม่เลี้ยงพี่เสี่ยวเฮยมาตั้งแต่ข้ายังเล็กกว่านี้”

หวงจิ้งหรงต้องนึกทึ่ง แมวดำตัวนี้ช่างแสนรู้นัก มันคงรักเด็กหญิงผู้นี้อย่างยิ่งจึงไม่ยอมจากไปไหน

“เด็กน้อยเจ้าชื่อแซ่ว่าอย่างไร”

“ข้าแซ่เซี่ย นามเชียนหยิง”

แซ่เซี่ยย่อมเป็นแซ่ที่เสี่ยวเฮยบอกนางไว้ก่อนแล้ว แซ่นี้เป็นแซ่ที่หลายคนในเมืองใกล้เทือกเขาเงาเทพใช้กันดาษดื่น หากนามของนางกลับไพเราะยิ่ง บิดามารดาของนางช่างตั้งนามได้ดีนัก

“เจ้าอายุเท่าใดแล้วมีญาติพี่น้องหรือไม่”

เชียนหยิงส่ายหน้าทันที “ปีนี้ข้าอายุ 7 ปี ครอบครัวข้ามีกันแค่ข้า ท่านพ่อท่านแม่ และพี่เสี่ยวเฮย”

หวงจิ้งหรงนิ่งไปครู่ นัยน์ตาทอแววครุ่นคิดก่อนจะเหลือบตามองอู๋ซิงว่าน

“ฮูหยิน เจ้าจะพานางไปอยู่ที่จวนด้วยก็ได้ เด็กกำพร้าตัวแค่นี้ เลี้ยงไว้ก็ไม่เสียหาย ถือเสียว่าได้ช่วยชีวิตนาง เจ้าจะได้มีเพื่อนคุยด้วย” อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านออกปากอนุญาตทันที

“ขอบคุณท่านพี่”

“เชียนหยิง เจ้าไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ อย่างไรเจ้าก็อยู่ในป่านี้เพียงลำพังไม่ได้ดอก ที่เจ้ารอดมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าเจ้ามีวาสนามากแล้ว” หวงจิ้งหรงหันมาชักชวนเชียนหยิงอย่างรวดเร็ว

“ข้าไปอยู่ได้หรือ ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับท่านเลยนะ”

“ได้สิ เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้า”

“เพื่อนคุยหรือ แต่...แต่...ข้า...เอ่อ...คุยไม่เก่ง” เชียนหยิงบอกกล่าวตามตรง นางจะคุยเก่งได้อย่างไร ก็อยู่กันเพียงแค่นางกับเสี่ยวเฮยเท่านั้น เมื่อนางรู้ความขึ้นมา เสี่ยวเฮยก็สอนสั่งให้นางฝึกฝนแล้ว เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้นางย่อมไม่ทราบ แน่นอนว่าเวลานี้นางอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เสี่ยวเฮยต้องยอมปล่อยให้เชียนหยิงออกมารู้จักมนุษย์

ยามนี้ไม่ทันมีผู้ใดสังเกตเห็นแมวดำที่อยู่ข้างกายเชียนหยิง เสี่ยวเฮยนั่งหมอบนิ่ง สายตาจับจ้องที่หวงจิ้งหรงและอู๋ซิงว่าน รอบกายคล้ายมีไอมารสีดำเลือนลาง

“เจ้าไม่ต้องเป็นเพื่อนคุยข้าแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้ามาเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า” หวงจิ้งหรงตัดสินใจปุบปับ ทำเอาอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านต้องจ้องมองนางอยู่ชั่วครู่

“นะ ท่านพี่ ข้ากับท่านรับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม” หวงจิ้งหรงหันมาอ้อนวอน

อู๋ซิงว่านนิ่งไปครู่ก่อนจะตอบรับ “ได้ ให้นางเป็นลูกสาวบุญธรรมของเจ้ากับข้า เช่นนั้นก็ให้นางเปลี่ยนมาใช้แซ่อู๋”

“ขอบคุณท่านพี่”

“เชียนหยิง ยังไม่รีบคารวะท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรมอีกรึ” หวงจิ้งหรงหันมากล่าวกับเชียนหยิงอย่างดีใจ

เด็กหญิงค่อยๆ คุกเข่าลงก่อนจะโขกศีรษะสามครั้งเพื่อคารวะบิดามารดาบุญธรรม

“เชียนหยิงคารวะท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรม”

หวงจิ้งหรงก้าวเข้ามาประคองเด็กหญิงให้ลุกขึ้น “ดีมาก ต่อไปนี้ เจ้าคืออู๋เชียนหยิง มิใช่เซี่ยเชียนหยิงอีกต่อไป จำไว้ให้ดี”

“เจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม”

“ไม่ต้องเรียกท่านแม่บุญธรรม เรียกท่านแม่ ท่านพ่อ ก็พอ ไหนลองเรียกสิ ลูกแม่”

“ท่านแม่ ท่านพ่อ”

แค่เพียงเสียงใสเล็กๆ เรียกขานก็ทำให้หวงจิ้งหรงต้องน้ำตาซึม นางอยากได้บุตรสาวมาเนิ่นนานแล้ว เคยคิดจะรับหลานสาวสักคนมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ไม่ถูกใจหลานสาวคนใดเลย แต่พอมาเป็นเด็กหญิงน้อยผู้นี้ เพียงสบตาดำขลับที่งดงามอย่างที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน หวงจิ้งหรงก็อยากได้เด็กหญิงนี้มาเป็นบุตรบุญธรรมทันที อู๋ซิงว่านที่รักถนอมฮูหยินเอกก็ตกปากรับคำอย่างง่ายดายจนต้องนึกแปลกใจตนเอง

ไม่มีผู้ใดในที่นี้ทราบว่าเสี่ยวเฮยใช้ออกด้วยวิชาเสน่ห์มาร อันเป็นวิชาประจำตัวของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย วิชานี้จะโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่ถูกเสน่ห์มารให้คล้อยตามและกระทำตามที่ถูกสั่ง และเพราะเป็นวิชาของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ย่อมไม่มีวิชาใดของแดนมนุษย์สามารถแก้ไขได้ กระทั่งตรวจให้พบก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้

เพราะอย่างไรเสี่ยวเฮยย่อมไม่ไว้ใจมนุษย์หรือผู้ใดทั้งสิ้น บุคคลที่มันไว้ใจย่อมมีเพียงเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและมหาเทพชางเล่ยเท่านั้น ดังนั้น มันจึงยินยอมใช้ออกด้วยวิชาเสน่ห์มารเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหากับเชียนหยิงในภายภาคหน้า

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เอาพี่เสี่ยวเฮยไปด้วยนะ” เสียงเล็กๆ เอ่ยขอทันที

“แน่นอน เจ้ากับมันอยู่ด้วยกันมาก่อน แม่จะพรากเจ้าไปจากมันได้อย่างไร” หวงจิ้งหรงตอบรับคำขอแรกของบุตรสาวบุญธรรมอย่างรวดเร็ว

จากที่ตั้งใจมาล่าสัตว์กลับกลายเป็นได้บุตรสาวบุญธรรมพร้อมแมวดำอีกหนึ่งตัว อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงจึงรีบกลับสู่จวนอัครเสนาบดีอย่างรวดเร็ว

 

 

 

ณ จวนอัครเสนาบดีอู๋ นครประกายเทพ

“จิ่นฟาน เจ้ามารู้จักน้องสาวบุญธรรมของเจ้าสิ” หวงจิ้งหรงเรียกให้บุตรชายมารู้จักน้องสาวคนใหม่ หนุ่มน้อยวัย 15 ปี จ้องมองอย่างงุนงงครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กหญิงผิวขาวผ่องหากหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและเก่าขาด

“นามของนางคือเชียนหยิง อายุ 7 ปี แม่กับพ่อพบนางที่ป่ามรณะในเทือกเขาเงาเทพ บิดามารดาของนางถูกสัตว์อสูรทำร้ายจนตายหมดสิ้น แม่กับพ่อถูกชะตากับนางจึงรับนางเป็นบุตรบุญธรรม นางจะได้เป็นน้องสาวของเจ้าด้วย จิ่นฟาน” หวงจิ้งหรงบอกเล่าสั้นๆ หากครบถ้วนทุกเรื่องราว

เชียนหยิงสบตากับพี่ชายบุญธรรมตรงหน้าอย่างตื่นๆ นางอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มีเพียงเสี่ยวเฮยเท่านั้นที่สนิทกับนางที่สุด สบตากับพี่ชายคนนี้แล้ว นางก็ไม่ทราบว่าเขารู้สึกอย่างไรกับนาง

เสี่ยวเฮยจับจ้องมองหนุ่มน้อยผู้นี้เงียบๆ มันยังไม่อยากใช้วิชาเสน่ห์มารโดยไม่จำเป็น แค่ควบคุมให้อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงรับเชียนหยิงเป็นบุตรีบุญธรรมก็นับว่าเพียงพอแล้ว

อู๋จิ่นฟานสบตากับเด็กหญิงน้อยแล้ว ก็ต้องรู้สึกสงสารนางไม่น้อย เพราะนางเป็นกำพร้าอย่างกะทันหัน ไร้ที่พึ่งพิง แค่หลงอยู่ในป่ามรณะที่เทือกเขาเงาเทพและรอดมาได้ก็เรียกว่าเหลือเชื่ออย่างที่สุด

“พี่ชื่อ ‘จิ่นฟาน’ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ เชียนหยิง” เด็กหนุ่มทักทายนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“ยิ...ยินดีเช่นกันเจ้าค่ะ” เสียงใสเล็กๆ เอ่ยออกมาอย่างประหม่า อู๋จิ่นฟานต้องประหลาดใจ น้องสาวคนใหม่ของเขาเสียงใสไพเราะยิ่งนัก ช่างขัดกับรูปโฉมของนางอย่างยิ่ง

“เรียกพี่ว่า ‘พี่ใหญ่’ สิ”

เขาทอดไมตรีให้น้องสาวคนใหม่อย่างเต็มใจ ประการแรกเพราะสงสารเด็กหญิงน้อยนี้ ประการที่สองเพราะมารดาและบิดาของเขาอยากได้บุตรสาว แต่มารดาของเขาก็พ้นวัยเหมาะสมที่จะตั้งครรภ์แล้ว และประการสุดท้ายเพราะบิดามารดาของเขารักผู้ใด เขาก็จะรักด้วย

“พี่ใหญ่...”

“ดีมาก เช่นนั้น เดี๋ยวเจ้าไปพักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้พี่จะพาไปเที่ยว” เขาบอกกล่าวอย่างใจดี เรียกให้เชียนหยิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ หากเพียงนางยิ้ม อู๋จิ่นฟานยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม น้องสาวคนนี้ของเขาช่างยิ้มได้น่ารักเหลือเกิน

“จิ่นฟาน เชียนหยิงมีแมวติดตามมาด้วย นามของมันคือเสี่ยวเฮย”

อู๋จิ่นฟานจึงเพิ่งสังเกตเห็นแมวดำขนปุยที่หมอบอยู่ข้างเท้าของเชียนหยิง

“เสี่ยวเฮยรึ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาเอ่ยทักทายอย่างเอ็นดู เจ้าแมวดำตัวนี้หน้าตาท่าทางน่ารักไม่น้อย

“ท่านแม่ จะให้นางพักที่เรือนใดขอรับ” เขาหันไปถามมารดาที่นั่งดูการพบปะกันครั้งแรกระหว่างพี่ชายน้องสาว

“ให้นางพักที่เรือนเบญจมาศก็แล้วกัน”

เรือนเบญจมาศเป็นเรือนใหญ่รองจากเรือนกิ่งท้อของอู๋จิ่นฟาน เรือนนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับบุตรสาวที่อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงหมายมั่นว่าจะมีบุตรสาวมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สมหวัง เรือนนี้จึงถูกปิดไว้ หากยามนี้ถูกเปิดออกเพื่อให้เชียนหยิงใช้เป็นที่พักในฐานะคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดี

“ให้เสี่ยวถงเป็นสาวใช้ประจำตัวนาง” หวงจิ้งหรงจัดแจงหาสาวใช้ให้อู๋เชียนหยิงอย่างเรียบร้อย

หลังจากไปส่งน้องสาวตัวน้อยที่เรือนเบญจมาศแล้ว จึงได้ยินจากพ่อบ้านอู๋ฮวนว่าหวงจิ้งหรงออกไปนอกจวน เพื่อไปซื้อหาเสื้อผ้าให้คุณหนูใหญ่อู๋เชียนหยิง กว่าจะกลับมาก็เกือบถึงเวลาอาหารเย็น