ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2 โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2

วันรุ่งขึ้น เมื่ออู๋จิ่นฟานมาพบอู๋เชียนหยิงถึงเรือนพักของนางจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลง

“น้องสาวพี่น่ารักจริง” เขาเอ่ยปากชมทันทีเมื่อได้เห็นเด็กหญิงอยู่ในชุดกระโปรงที่น่ารักสมวัยและเหมาะกับตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี แม้น้องสาวบุญธรรมของเขาคนนี้จะหน้าตาธรรมดาไปบ้างหากเค้าความน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเด็กน้อยก็ยังมีให้เห็นชัดเจน

“พี่มารับเจ้าไปรับประทานข้าวที่เรือนใหญ่” เขาบอกกล่าวก่อนจะจับจูงมือน้อยพาเดินออกไป เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยเดินตาม

เมื่อมาถึงอู๋เชียนหยิงจึงได้พบฮูหยินรองและฮูหยินสาม รวมทั้งบุตรชายอีกสองคนของอู๋ซิงว่านกับฮูหยินทั้งสอง ส่วนอนุทั้งสี่นั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะตามธรรมเนียมอยู่แล้ว เมื่อวานนี้อู๋เชียนหยิงได้เห็นฮูหยินทั้งสองแล้ว แต่อู๋ซิงว่านยังมิได้แนะนำให้นางรู้จัก

“เชียนหยิง นี่คือแม่รองจางมู่เสี่ย และแม่สามจ้าวจินอิ๋ง”

“คำนับแม่รอง แม่สาม” อู๋เชียนหยิงกล่าวทำความรู้จักและคำนับได้อย่างถูกต้องตามที่เสี่ยวเฮยสอนสั่งไว้แล้ว มารยาทเล็กน้อยเหล่านี้เสี่ยวเฮยสอนนางไว้เมื่อไม่นาน เพื่อให้นางคุ้นเคยกับธรรมเนียมของมนุษย์ในเบื้องต้น

“นี่คือพี่รองของเจ้า อู๋เฝิงห้าว และนั่นพี่สามของเจ้า อู๋เจี้ยนหาว”

“คำนับพี่รอง พี่สาม”

หากการคำนับของอู๋เชียนหยิงกลับมิได้รับความสนใจจากฮูหยินและบุตรชายทั้งสอง พวกเขาเพียงมองหน้านางแล้วก็มิได้สนใจอีกต่อไป นั่นเพราะพวกนางมีบุตรชายเช่นเดียวกับหวงจิ้งหรง ฮูหยินเอก พวกนางย่อมต้องการให้บุตรชายของตนได้เป็นผู้นำตระกูลอู๋ต่อจากอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน

ฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงนั้นตั้งครรภ์ก่อนพวกนาง 3 เดือน เมื่อครบกำหนด 9 เดือน นางจึงคลอดอู๋จิ่นฟานออกมา ขณะที่พวกนางทั้งสองตั้งครรภ์พร้อมกันและคลอดบุตรชายออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันหลังจากอู๋จิ่นฟานอายุได้ 3 เดือน

พวกนางสอนสั่งบุตรชายทั้งสองให้แข่งขันกับอู๋จิ่นฟานเพื่อแสดงความสามารถให้อู๋ซิงว่านได้เห็น เพราะยามนี้อู๋ซิงว่านยังมิได้ตัดสินใจให้บุตรชายคนใดเป็นทายาทสืบต่อ แม้ตามประเพณีจะต้องให้บุตรชายที่เกิดจากฮูหยินเอก แต่เพราะพวกนางล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ไม่แพ้หวงจิ้งหรง ทำให้อู๋ซิงว่านยังไม่คิดให้บุตรชายคนใดเป็นผู้นำตระกูลอู๋ต่อจากตนเอง

ดังนั้น เมื่อหวงจิ้งหรงรับบุตรสาวบุญธรรมที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเข้ามา พวกนางจึงมิได้คิดสนใจหรือให้ความสำคัญ เพราะอย่างไรก็แค่บุตรสาวบุญธรรม ไหนเลยจะมาสู้บุตรแท้ๆ เช่นอู๋จิ่นฟาน อู๋เฝิงห้าว และอู๋เจี้ยนหาวได้ อีกทั้งนางเป็นสตรี ความสำคัญย่อมมิได้เท่าเทียมบุรุษ

หากเรื่องนี้กลับเป็นผลดีต่ออู๋เชียนหยิง นั่นเพราะเมื่อพวกนางมิได้ใส่ใจ อู๋เชียนหยิงย่อมอยู่ในจวนอัครเสนาบดีได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

เมื่อถึงเวลารับประทาน แน่นอนว่าอู๋เชียนหยิงย่อมใช้ตะเกียบไม่เป็น เพราะนับแต่นางรู้ความ นางฝึกฝนตนเองอยู่ในสถานที่ที่มีปราณทิพย์หนาแน่น ปราณทิพย์หล่อเลี้ยงร่างครึ่งเซียนครึ่งมารของนางมาโดยตลอด นางจึงไม่เคยต้องรับประทานสิ่งใด จนเมื่อออกมานอกแท่นมังกรขดกาญจนา นางก็รับประทานเพียงผลไม้ป่า นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางต้องรับประทานเช่นมนุษย์

หวงจิ้งหรงแม้แปลกใจที่นางใช้ตะเกียบไม่เป็น หากก็เอ่ยปากสอนนางถึงวิธีการใช้ เพียงครู่อู๋เชียนหยิงก็ใช้ตะเกียบได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยมาเนิ่นนาน หวงจิ้งหรงต้องแปลกใจอีกครั้ง ขณะที่จางมู่เสี่ย จ้าวจินอิ๋ง อู๋เฝิงห้าว อู๋เจี้ยนหาว ต่างมองนางอย่างดูแคลน นั่นเพราะมีแต่คนยากจนเท่านั้นที่ต้องใช้มือรับประทานข้าว พวกเขาคิดว่าอู๋เชียนหยิงต้องเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจนอย่างยิ่ง

แม้ไม่มีวาจากระทบกระเทียบเปรียบเปรย แต่อู๋เชียนหยิงก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงบรรยากาศไม่สู้ดีในระหว่างรับประทานอาหาร

นี่เป็นครั้งแรกที่นางรับประทานอาหารของมนุษย์ รสชาตินับว่าดีอย่างยิ่งจนนางอยากเรียนรู้การทำอาหารของมนุษย์ แต่แล้วนางก็เหลือบเห็นว่าแมวดำเสี่ยวเฮยยังมิได้รับประทานสิ่งใด

“ท่านแม่ ข้าแบ่งอาหารบนโต๊ะนี้ให้พี่เสี่ยวเฮยได้หรือไม่” เสียงใสเล็กๆ เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“ได้สิ เจ้าแบ่งไปเถิด”

“ขอบคุณท่านแม่”

“พี่เสี่ยวถง ขอชามเล็กๆ ให้ข้าสักใบ ข้าจะแบ่งอาหารให้พี่เสี่ยวเฮย” อู๋เชียนหยิงหันมาสั่งสาวใช้ประจำตัว

เสี่ยวถงออกไปจากห้องครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมชามกระเบื้องเปล่าใบหนึ่ง อู๋เชียนหยิงรับมาก่อนจะตักแบ่งอาหารบางส่วนใส่ไว้จนเต็มและวางตรงหน้าเสี่ยวเฮยที่นอนหมอบอยู่ที่ริมห้อง

“พี่เสี่ยวเฮย รับประทานนี่นะ”

เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยก้มลงรับประทานอย่างว่าง่าย

“ชามใบนั้น เจ้าแยกไปต่างหากเลยนะ อย่าเอามาปนกัน เจ้าใช้ชามนั้นให้อาหารแมวไปแล้ว ก็ไม่สมควรมาให้คนใช้ชามเดียวกับแมว” เสียงของจางมู่เสี่ย ฮูหยินรองดังขึ้น

“เจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงรับคำ

“พี่เสี่ยวถง ต่อไปอาหารของพี่เสี่ยวเฮยให้ใส่แต่ในชามใบนั้นนะ” อู๋เชียนหยิงหันมาสั่งสาวใช้ประจำตัวที่ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่ามีหน้าที่เลี้ยงแมวด้วยนอกเหนือจากดูแลคุณหนูใหญ่

“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”

เมื่อรับประทานเสร็จเรียบร้อย อู๋จิ่นฟานจึงพาอู๋เชียนหยิงออกมาเที่ยวเล่นในนครประกายเทพ แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยย่อมต้องติดตามมาด้วย อู๋เชียนหยิงตื่นตาตื่นใจกับบ้านเมืองและผู้คนในนครประกายเทพอย่างมาก นางซักถามอู๋จิ่นฟานอย่างลืมตัว อู๋จิ่นฟานก็บอกเล่าให้นางฟังอย่างไม่เกี่ยงงอน ความเอ็นดูในตัวน้องสาวบุญธรรมยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อได้เห็นนางอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมดทุกอย่าง เขาบอกเล่าและสอนนางมากมายโดยที่ไม่ทราบเลยว่าอู๋เชียนหยิงจดจำทุกสิ่งที่เขาสอนได้แม่นยำนัก

“ขนมนี้อร่อยถูกใจเจ้าหรือไม่” อู๋จิ่นฟานเอ่ยถามเมื่อพานางเข้ามานั่งรับประทานขนมที่เพิงร้านน้ำชาเพื่อพักเหนื่อยก่อนจะพาไปเที่ยวต่อ

“อร่อยเจ้าค่ะ พี่เสี่ยวเฮยยังชอบเลย” อู๋เชียนหยิงบอกกล่าวเสียงอู้อี้เพราะขนมยังเต็มปาก

“เชียนหยิง อย่าพูดเวลากำลังรับประทาน เจ้าต้องเคี้ยวและกลืนให้เสร็จเสียก่อนจึงค่อยพูด”

อู๋เชียนหยิงรีบกลืนอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบรับ “เจ้าค่ะ”

อู๋จิ่นฟานรู้สึกเอ็นดูรักใคร่น้องสาวตัวน้อยมากขึ้น เพราะนอกจากนางจะว่านอนสอนง่ายแล้ว นางยังเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี อู๋จิ่นฟานพาอู๋เชียนหยิงเที่ยวเล่นในนครประกายเทพจนถึงเวลาอาหารเย็นจึงค่อยพานางกลับ เขาพานางเที่ยวเล่นเช่นนี้อยู่ถึง 7 วัน ระหว่างเจ็ดวันนี้ อู๋เชียนหยิงที่พูดคุยจนสนิทสนมกับอู๋จิ่นฟานจึงได้ทราบว่าพี่ใหญ่ของนางยามนี้กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักวิญญาณเทพ เจ้าสำนักคือนักพรตลิ่วเหริน

ระดับลมปราณของนักพรตลิ่วเหรินอยู่ในระดับพ้นบาปขั้นสิบที่กำลังพยายามทะลวงด่านเพื่อขึ้นสู่ระดับขึ้นสวรรค์ขั้นหนึ่ง ส่วนอู๋จิ่นฟาน พี่ใหญ่ของนาง ระดับลมปราณของเขาอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่สาม นับได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง เพราะพี่ชายของนางอายุ 15 ปี เด็กหนุ่มในวัยเดียวกับเขาส่วนใหญ่จะมีระดับลมปราณอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่หนึ่ง

“พี่ใหญ่ แล้วข้าจะได้ไปเรียนที่สำนักวิญญาณเทพเมื่อใด” เชียนหยิงน้อยถามอย่างอยากรู้ นางก็อยากไปเล่าเรียนเช่นกัน ฟังพี่ใหญ่เล่าแล้ว น่าสนุกจะตาย

“ไว้ให้เจ้าอายุ 12 ปีและระดับลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งเสียก่อน เจ้าค่อยไปสอบเข้าศึกษาที่นั่น”

“แตกหน่อขั้นที่หนึ่ง?”

“ใช่ สำนักวิญญาณเทพไม่รับศิษย์ที่ระดับลมปราณต่ำกว่าแตกหน่อขั้นที่หนึ่ง ยามนั้นที่ข้าอายุ 12 ลมปราณของข้าก็อยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่สามแล้ว”

อู๋จิ่นฟานกล่าวสืบต่อ “ยามนี้เจ้าอายุ 7 ปี ระดับลมปราณก็เพียงสร้างลำต้นขั้นที่สามหรือสี่เท่านั้น เจ้ายังมีเวลาฝึกฝนอีกห้าปี แน่นอนว่าระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งย่อมไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้า”

อู๋เชียนหยิงทำตาปริบๆ สีหน้าพิกล เห็นสีหน้าท่าทีของนางแล้ว อู๋จิ่นฟานก็ต้องยิ้มออกมา “เจ้าเป็นอะไร ไยจึงทำหน้าตาประหลาด”

“ระดับลมปราณของข้าคือสร้างลำต้นขั้นที่แปด” นางบอกกล่าวอย่างธรรมดาสุดแสน หากทำให้อู๋จิ่นฟานมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา

“เชียนหยิง เจ้าล้อพี่เล่นแล้ว”

อู๋เชียนหยิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงๆ”

ทว่าอู๋จิ่นฟานยังคงไม่เชื่อถือคำของนาง

“จริงๆ นะ พี่ใหญ่ ระดับลมปราณของข้าคือสร้างลำต้นขั้นที่แปดจริงๆ” นางเขย่ามือพี่ใหญ่ของนางเพื่อบอกให้เขาทราบว่านางมิได้โกหก

“เช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเรากลับบ้าน แล้วให้ท่านแม่ตรวจสอบระดับลมปราณของเจ้า ดีหรือไม่ เจ้าจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าระดับลมปราณของตนเองคือสร้างลำต้นขั้นที่แปด”

“เจ้าค่ะ งั้นพวกเรารีบกลับบ้านกัน”

 

 

 

สีหน้าของหวงจิ้งหรงเต็มไปด้วยความตกใจยิ่งยวด มือที่จับชีพจรของอู๋เชียนหยิงตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ผลก็ไม่ต่างจากเดิม ระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงคือสร้างลำต้นขั้นที่แปด ! !

เด็กอายุ 7 ปี แต่ระดับลมปราณกลับรุดหน้าถึงสร้างลำต้นขั้นที่แปด นี่นางฝึกฝนอย่างไรจึงก้าวกระโดดถึงเพียงนี้ บิดามารดาที่แท้จริงของนางคือผู้ใดจึงสามารถสั่งสอนจนนางมีระดับลมปราณสูงส่งเช่นนี้

“ท่านแม่ ระดับลมปราณของน้องเล็กเป็นอย่างไร” อู๋จิ่นฟานถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของมารดา

“พวกเจ้าออกไปให้หมด อยู่ห่างจากเรือนของข้าอย่างน้อยครึ่งหลี่” หวงจิ้งหรงหันไปสั่งสาวใช้ทุกคนให้ออกไปจากห้อง

“เชียนหยิง เจ้าบอกแม่สิว่าอาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด” หวงจิ้งหรงเอ่ยถามหลังจากสาวใช้ออกไปจนหมด

อู๋เชียนหยิงอ้ำอึ้งทันทีก่อนจะก้มหน้าลงอย่างไม่ทราบจะตอบคำถามอย่างไร สายตาของนางเหลือบมองเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยที่จ้องมองนางอยู่ หากเสี่ยวเฮยก็ไม่สามารถช่วยนางได้ในเวลานี้ เพราะมันไม่สามารถเอ่ยภาษามนุษย์กับนางต่อหน้าผู้คนเหล่านี้ นี่เป็นสถานการณ์ที่เสี่ยวเฮยก็คาดไม่ถึง

“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ ข้าไม่ทราบนามของท่านด้วยซ้ำ” นางจำใจต้องโกหก หากนางบอกว่าเสี่ยวเฮยเป็นผู้สั่งสอนนาง ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือ

“แล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี เขามีลักษณะอย่างไร” หวงจิ้งหรงถามต่อ

“ท่านเป็นบุรุษ ท่านสวมใส่อาภรณ์สีขาว รัศมีรอบกายท่านสว่างไสวอย่างยิ่ง” อู๋เชียนหยิงบอกเล่าถึงบุรุษในฝันผู้นั้นที่เสี่ยวเฮยบอกว่าเขาคือบิดาของนาง เพราะนางไม่ทราบว่าจะเอ่ยอ้างผู้ใด ที่นางรู้จักก็มีเพียงบิดาของนางเท่านั้น

“รัศมีรอบกายสว่างไสว?” หวงจิ้งหรงต้องรำพึงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะมีสีหน้านึกขึ้นได้

“อาจารย์ของเจ้าคงเป็นผู้ฝึกฝนในระดับตี้เซียนเป็นอย่างน้อย เขาจึงมีรัศมีรอบกายสว่างไสว” หวงจิ้งหรงคาดเดาออกมา เพราะผู้ฝึกฝนตั้งแต่ระดับตี้เซียนเป็นต้นไปจะเริ่มปรากฏรัศมีรอบกาย แต่รัศมีนี้จะสว่างมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระดับการฝึกฝนว่าสูงส่งเพียงใด และจะมองเห็นหรือไม่ก็อยู่ที่ผู้เป็นเจ้าของว่าจะเก็บซ่อนมันไว้หรือไม่

“เจ้าโชคดีนัก เชียนหยิง ที่ได้พบเจอบุคคลเช่นนี้”

“ท่านแม่ น้องเล็กมีลมปราณอยู่ในระดับสร้างลำต้นขั้นที่แปดจริงๆ?” อู๋จิ่นฟานถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“ใช่ ลมปราณของนางอยู่ในระดับนั้นจริงๆ”

อู๋จิ่นฟานต้องมองน้องสาวบุญธรรมของตนอย่างนึกทึ่ง นึกไม่ออกเลยว่าหากนางอายุเท่าเขา ระดับลมปราณของนางจะสูงส่งเพียงใด ทว่า...

“ท่านแม่ เช่นนี้พวกเราต้องปกปิดไว้ก่อน นางยังอายุน้อยนักแต่กลับมีลมปราณเช่นนี้”

“ถูกของเจ้า จิ่นฟาน แม่ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย พวกเจ้ารอแม่ที่นี่ เดี๋ยวแม่มา”

หวงจิ้งหรงผลุนผลันลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเรือน นางหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมกล่องไม้ขนาดเล็กที่แกะสลักงดงาม เมื่อเปิดฝากล่องจึงพบว่าภายในมีสร้อยหยกขาวเส้นหนึ่ง หวงจิ้งหรงหยิบออกมาสวมใส่ให้อู๋เชียนหยิงทันที เสร็จแล้วจึงค่อยเอาคอเสื้อปิดบังไว้

“เชียนหยิง ฟังแม่นะลูก” นางบอกกล่าวอย่างอ่อนโยน อู๋เชียนหยิงมองนางตาแป๋ว

“นี่คือสร้อยมายาลวงใจ เจ้าสวมสร้อยนี้ไว้ จะไม่มีผู้ใดทราบว่าระดับลมปราณแท้จริงของเจ้าอยู่ที่สร้างลำต้นขั้นที่แปด ทุกคนจะทราบว่ามันอยู่เพียงสร้างลำต้นขั้นที่สี่ นั่นคือ มันจะหลอกลวงให้ระดับลมปราณของเจ้าเท่าเทียมกับคนทั่วไป”

“สร้อยนี้สามารถลวงทุกผู้คนได้ตราบเท่าที่ระดับลมปราณของเจ้าไม่สูงกว่าระดับรวมปราณขั้นสิบ หากต่อไปเจ้ามีระดับลมปราณสูงกว่านี้ เจ้าจำต้องหาสิ่งอื่นมาใช้แทนมัน”

“ประการสำคัญที่สุดคือ ห้ามเจ้าบอกเล่าถึงระดับลมปราณของเจ้าให้ผู้ใดทราบ หากมิใช่พ่อกับแม่หรือพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว ห้ามเจ้าพูดเรื่องนี้โดยเด็ดขาด”

“เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นสร้อยหยกมายาลวงใจแล้ว เสี่ยวเฮยจึงเพิ่งคิดได้เช่นกันว่ามันหลงลืมเรื่องการปิดบังระดับลมปราณให้อู๋เชียนหยิงจริงๆ แต่ยามนี้จะหาของวิเศษใดที่ดีกว่านี้มาให้นางใช้ เสี่ยวเฮยก็ยังไม่ทราบว่าจะหาจากที่ใด จำต้องให้อู๋เชียนหยิงใช้สร้อยหยกนี้ไปก่อน ระหว่างนี้มันต้องพยายามค้นหาของวิเศษประเภทนี้มาให้นางใช้

ผ่านไปอีกสามวัน อู๋จิ่นฟานมิได้พาอู๋เชียนหยิงออกไปเที่ยวเล่นเช่นเคย เพราะเขากำลังจัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเพื่อกลับสู่สำนักวิญญาณเทพ

สำนักวิญญาณเทพอนุญาตให้ผู้ฝึกฝนกลับมาเยี่ยมบ้านได้หนึ่งครั้งเมื่อศึกษาเล่าเรียนครบ 3 ปี จากนั้นจะต้องอยู่ศึกษาเล่าเรียนจนจบจึงจะกลับได้ หรือได้รับคำสั่งให้กระทำภารกิจจึงจะสามารถออกจากสำนักไปได้ อู๋จิ่นฟานเข้าศึกษาที่นี่เมื่ออายุ 12 ปี ดังนั้น ยามนี้เขาอายุ 15 ปี จึงสามารถกลับมาเยี่ยมบิดามารดาที่บ้านได้ เขาจึงได้พบเจออู๋เชียนหยิง น้องสาวบุญธรรม

อู๋เชียนหยิงเข้ามาช่วยเขาจัดเตรียมข้าวของแต่ดูเหมือนมาทำให้ยุ่งเสียมากกว่า

“น้องเล็ก เจ้าทำยุ่งไปหมดแล้ว” อู๋จิ่นฟานบ่นออกมา

อู๋เชียนหยิงหน้าเสียทันทีที่ทำให้พี่ใหญ่ของนางวุ่นวายมากกว่าเดิม

“เจ้าไปหยิบของตรงนั้นมาวางไว้ให้พี่ตรงนี้ดีกว่า” อู๋จิ่นฟานนึกสงสารที่เห็นท่าทางน้องสาวตัวน้อยหงอยลง หากเมื่อได้ยินเขาสั่ง สีหน้าของนางก็ดีขึ้นทันตา กระวีกระวาดรีบทำตามที่พี่ใหญ่ของนางสั่งอย่างว่องไว อู๋จิ่นฟานต้องอมยิ้มอย่างเอ็นดู เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกันว่ามีน้องสาวสักคนก็ดีเช่นนี้เอง

วันรุ่งขึ้นอู๋จิ่นฟานร่ำลาอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านก่อนจะนั่งรถม้าออกเดินทางจากจวนอัครเสนาบดีกลับไปยังสำนักวิญญาณเทพ ในรถม้าย่อมมีหวงจิ้งหรง อู๋เชียนหยิง และเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยมาด้วย เพราะการเดินทางไปสำนักวิญญาณเทพใช้เวลาเพียง 2 ชั่วยามก็ถึงแล้ว ด้านหลังติดตามมาด้วยรถม้าของฮูหยินรอง ฮูหยินสาม อู๋เฝิงห้าว และอู๋เจี้ยนหาว

สำนักวิญญาณเทพเป็นสำนักฝึกฝนอันดับหนึ่งและใหญ่ที่สุดของทวีปวิญญาณเทพ สำนักนี้ตั้งอยู่ในเทือกเขาเงาเทพคนละด้านกับผาจันทร์ลอยน้ำที่อู๋เชียนหยิงเคยอยู่

เมื่อรถม้าเข้ามาถึงสำนักวิญญาณเทพ อู๋เชียนหยิงก็ตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสถานที่ของมนุษย์ที่ใช้ฝึกฝน นางจับสัมผัสได้ว่ามนุษย์ทุกคนที่นี่ระดับลมปราณสูงกว่านางมากนัก

“ตั้งใจฝึกฝนนะลูก”

“ขอรับท่านแม่”

“อีก 5 ปี แม่จะมาใหม่ ยามนั้นเชียนหยิงอายุครบ 12 ปี สามารถมาทดสอบเพื่อเข้าศึกษาที่นี่ได้”

“ขอรับ ลูกจะรอ”

“เชียนหยิง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับท่านแม่นะ จะได้เก่งๆ มาสอบเข้าเรียนที่นี่กับพี่ได้” อู๋จิ่นฟานหันมาบอกน้องสาวตัวน้อยที่ยืนฟังตาแป๋ว

“เจ้าค่ะ แล้วที่นี่ข้าเอาพี่เสี่ยวเฮยมาอยู่ด้วยได้หรือไม่”

“เอ...ไม่รู้สิ...น่าจะได้กระมัง แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พี่จะถามท่านอาจารย์ให้ แล้วพี่จะส่งจดหมายไปบอกท่านแม่”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

 

 

 

กลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีแล้ว ผ่านไปอีก 5 วัน หวงจิ้งหรงก็เริ่มสอนอู๋เชียนหยิงหัดอ่านเขียน สอนกันไปได้เพียง 15 วัน หวงจิ้งหรงก็ต้องตื่นตะลึงเพราะอู๋เชียนหยิงเฉลียวฉลาดและจดจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง สอนสั่งไปเพียงไม่นาน ตัวหนังสือมากมายที่เด็กๆ ต้องจดจำนั้น อู๋เชียนหยิงกลับจำมันได้และยังเขียนออกมาให้นางได้เห็นทั้งหมด แม้ลายมือจะยังไม่งดงามเพราะเพิ่งเริ่มหัดเขียน แต่ก็ชัดเจนอย่างที่สุดว่าอู๋เชียนหยิงจดจำมันได้ทั้งหมดแล้วจริงๆ

 

สิบห้าวันเองนะ เด็กอายุเจ็ดปีจดจำได้ดีถึงเพียงนี้เชียวรึ ! !

 

หวงจิ้งหรงต้องอุทานอยู่ในใจอย่างตื่นตะลึง หากก็ภูมิใจในตัวบุตรสาวบุญธรรมอย่างยิ่ง ไม่คาดเลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่นางพบเจอโดยบังเอิญในป่ามรณะจะเป็นดั่งหยกอันประเมินค่ามิได้ที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน สอนนางหัดอ่านเขียนได้เพียงหกเดือน อู๋เชียนหยิงก็สามารถอ่านคัมภีร์และตำรับตำราโบราณอันยากต่อการทำความเข้าใจได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเพราะนางยังเยาว์วัยนักแต่นางก็อ่านออกทั้งหมด

ทั้งระหว่างหกเดือนนี้ เสี่ยวเฮยยังคงให้อู๋เชียนหยิงฝึกฝนในทุกคืนเป็นเวลา 2 ชั่วยามก่อนจะเข้านอน เพื่อให้ระดับลมปราณของนางก้าวหน้า แต่เพราะมิได้ฝึกฝนอยู่ที่แท่นมังกรขดกาญจนา การเพิ่มขึ้นของระดับลมปราณจึงเชื่องช้ากว่าที่นางเคยทำได้ เพราะปราณทิพย์ในนครประกายเทพเบาบางยิ่งนัก ดังนั้น ผู้คนจึงต้องส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนตามสำนักต่างๆ เพราะสำนักเหล่านั้นล้วนมีสถานที่ที่มีปราณทิพย์มากกว่า

ทว่าความเชื่องช้าของอู๋เชียนหยิงก็นับว่าเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่ดี เพราะตั้งแต่เริ่มแรก ร่างของนางเป็นครึ่งมารครึ่งเซียน มีคุณสมบัติของร่างกายอันดีเลิศกว่าร่างมนุษย์หลายสิบเท่า อีกทั้งร่างและดวงจิตของนางยังเป็นร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่กระทั่งเทพเซียนเองก็ใช่ว่าจะมี ความล้ำเลิศเช่นนี้จึงไม่แปลกที่อู๋เชียนหยิงจะเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วและจดจำได้อย่างแม่นยำหากนางต้องการ

มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยมีดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียมีร่างนภาพิสุทธิ์ ความลับนี้ผู้ที่ล่วงรู้มีเพียงปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาจะครอบครองทั้งร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์พร้อมกัน เรื่องนี้สมควรเรียกว่าสวรรค์เมตตานางอย่างยิ่งหรือสวรรค์ต้องการกลั่นแกล้งนางกันแน่ ไฉนจึงมอบสิ่งล้ำค่าถึงสองอย่างให้กับนางพร้อมกัน

ความประเสริฐเลิศล้ำเช่นนี้กระทั่งเทพเซียนยังไม่อาจทำใจเชื่อ หากเหล่าเทพเซียนและมารได้รับรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเชียนหยิงจะตกอยู่ในอันตรายเพียงใดเพราะนางยังไม่สามารถปกป้องตนเองได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยต้องให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาบุตรสาวหลบหนีมา และเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจึงต้องทำทุกอย่างที่จะปกปิดความลับเรื่องนี้ให้พ้นจากการรับรู้ของทุกคน

ยามนี้ระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงขาดอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับสร้างลำต้นขั้นที่เก้า ขณะที่เด็กน้อยเยาว์วัยของมนุษย์ยังคงอยู่ที่ระดับสร้างลำต้นขั้นที่สี่หรือห้า

หวงจิ้งหรงพาอู๋เชียนหยิงมาพบอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน นางบอกเล่าเรื่องของอู๋เชียนหยิงให้เขารับรู้ รวมทั้งระดับลมปราณของบุตรสาว เพียงทราบว่าบุตรีบุญธรรมเลิศล้ำเช่นนี้ อู๋ซิงว่านก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง บุตรสาวที่ตั้งใจรับเลี้ยงเพราะต้องการให้ฮูหยินเอกของตนมีความสุขกลับเก่งกาจเกินคาดคิด เขาทราบดีว่าเรื่องดีเช่นนี้อย่างไรก็ต้องเงียบไว้ให้นานที่สุด ไม่สมควรอวดโอ่ออกไปให้เป็นที่หมั่นไส้ของหลายคน เขาทำงานเป็นอัครเสนาบดีคู่พระทัยของฮ่องเต้ซูเซี่ยงหนานมาสิบปีแล้ว เรื่องเล่ห์กลย่อมทราบดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ความล้ำเลิศของบุตรีบุญธรรมยังไม่สมควรให้ผู้ใดรับทราบ

“ฮูหยิน ข้าจะให้เชียนหยิงเข้าไปเรียนในวัง ที่นั่นมีอาจารย์ที่มีความรู้มากมายหลายท่าน ทั้งยังมีองค์ชาย องค์หญิง บุตรของขุนนางขั้นหกผิ่นเป็นต้นไปมาเรียนด้วย นางจะได้มีสหาย รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และจะได้รู้จักผู้คนมากขึ้น”

“เชียนหยิง” อู๋ซิงว่านหันมากล่าวกับอู๋เชียนหยิงที่ยืนฟังตาแป๋ว

“เจ้าคะ”

“พ่อจะให้เจ้าเข้าไปเรียนในวังนะ พรุ่งนี้พ่อจะกราบทูลฮ่องเต้ ให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าเข้าไปเรียน อีกสามวันข้างหน้าเจ้าก็ไปเริ่มเรียนได้” อู๋ซิงว่านบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เจ้าค่ะ แล้วให้พี่เสี่ยวเฮยไปเรียนกับข้าด้วยได้หรือไม่”

อู๋ซิงว่านต้องยิ้มออกมา ทราบมาสักพักแล้วว่าบุตรสาวตัวน้อยผูกติดกับแมวดำเสี่ยวเฮยยิ่งนัก ไม่ว่าไปไหนทำอะไรต้องมีเสี่ยวเฮยอยู่ด้วยเสมอ

“แล้วพ่อจะทูลขอฝ่าบาทให้ แค่แมวตัวหนึ่ง ฝ่าบาทย่อมทรงอนุญาตอยู่แล้ว เจ้าเพียงระวังอย่าให้มันซุกซนไปทำความวุ่นวายให้ผู้ใดก็พอ”

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง พี่เสี่ยวเฮยฉลาด พี่เสี่ยวเฮยไม่ซนแน่นอนเจ้าค่ะ...เอ่อ...ท่านพ่อมีตำราหรือคัมภีร์ใดที่ข้าต้องเรียนมาให้ข้าอ่านก่อนหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากอ่านไว้ก่อน เวลาไปเรียนจะได้ทันผู้อื่น”

บุตรสาวข้า ให้มันได้อย่างนี้สิ รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม อู๋ซิงว่านคิดในใจอย่างชื่นชม

“พรุ่งนี้พ่อจะเอามาให้”

วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายอู๋ซิงว่านก็กลับมาถึงจวนพร้อมกับให้พ่อบ้านอู๋ฮวนถือตำรับตำราสิบกว่าเล่มเดินตามหลังมาถึงเรือนเบญจมาศ จึงได้เห็นนางกำลังคัดลายมือตามคำสั่งของหวงจิ้งหรง

“เชียนหยิง พ่อเอาตำราที่เจ้าต้องเรียนมาให้ เจ้าว่างก็อ่านเสีย แล้ววันที่ไปเรียน เจ้านั่งรถม้าไปกับพ่อ พ่อจะไปส่ง”

ผ่านไปอีกสองวัน เช้าวันนี้หวงจิ้งหรงให้อู๋เชียนหยิงแต่งกายให้เรียบร้อยเพราะวันนี้นางต้องเข้าวังไปร่ำเรียน อู๋ซิงว่านพาอู๋เชียนหยิงมาส่งที่ตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ใช้เป็นสถานที่เล่าเรียนขององค์ชาย องค์หญิง และบุตรขุนนาง

“วันนี้ พวกเรามีนักเรียนใหม่ นางคืออู๋เชียนหยิง บุตรีบุญธรรมของอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน” อาจารย์เหอกล่าวแนะนำนางกับนักเรียนในห้อง

“ข้า อู๋เชียนหยิง อายุ 8 ปี ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน และนี่คือพี่เสี่ยวเฮย แมวของข้า” เสียงใสเล็กๆ แนะนำตนเองและแมวดำเสี่ยวเฮย

“คุณหนูอู๋ เจ้าไปเลือกที่นั่งที่ว่างๆ ได้เลย และอย่าให้แมวของเจ้าวิ่งเพ่นพ่านรบกวนผู้ใด”

“เจ้าค่ะ”

อู๋เชียนหยิงเดินมาที่ที่นั่งแถวหน้าสุด เพราะที่นั่งที่เหลือมีแต่คนนั่งจนเต็มทุกที่ มีเพียงแถวหน้าสุดเท่านั้นที่ว่าง ตะกร้าใบเล็กที่ใส่แมวดำเสี่ยวเฮยถูกวางไว้ข้างตัว มือก็หยิบตำราเล่มที่ต้องเรียนวันนี้ขึ้นมา นั่งเรียนไปได้ราวสองเค่อนางก็ง่วงจนหลับคาโต๊ะ เพราะอาจารย์ผู้นี้สอนได้น่าเบื่ออย่างยิ่ง ไม่สนุกเหมือนที่ท่านแม่หวงจิ้งหรงสอนนาง เสี่ยวเฮยที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ นั้นมันหลับตานอนไปนานแล้ว