ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหนือมาร สะท้านเทพทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์
ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป
กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ
“อู๋เชียนหยิง ! !”
ได้ยินคล้ายเสียงดังจากที่ไกลๆ เรียกชื่อนาง หากสติของอู๋เชียนหยิงยังไม่กลับมา
“อู๋เชียนหยิง ! !”
คราวนี้กลายเป็นเสียงตะโกนลั่น อู๋เชียนหยิงและเสี่ยวเฮยสะดุ้งขึ้นทันทีก่อนจะเห็นว่าอาจารย์เหอที่กำลังสอนนั้นจ้องหน้านางอย่างเอาเป็นเอาตาย เสี่ยวเฮยหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็เผลอหลับเช่นกัน
“จะ...เจ้าคะ...ท่านอาจารย์มีอะไร” อู๋เชียนหยิงถามเสียงอ่อย รู้สึกตัวแล้วว่าตนเองเผลอนั่งหลับ ซ้ำยังหลับอยู่แถวหน้าสุดเสียด้วย
“อู๋เชียนหยิง เจ้ากล้านั่งหลับในระหว่างที่ข้าสอน เจ้ารู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าสอนดีใช่หรือไม่ถึงกล้าหลับ เช่นนั้น เจ้าตอบคำถามของข้ามา” อาจารย์เหอโกรธมากและยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อมองเห็นว่ากระทั่งเจ้าแมวดำของนางยังนอนหลับสบาย
“เจ้าค่ะ...” อู๋เชียนหยิงมีสีหน้าไม่สู้ดี ท่านอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้วล่ะ ข้าไม่ได้ฟังเลย
“จงตอบมาว่าธาตุในโลกนี้มีกี่ธาตุ ธาตุอะไรบ้าง และธาตุใดชนะธาตุใด”
นี่เป็นคำถามที่ไม่ยากและไม่ง่าย เด็กอายุไม่เกินสิบปีจำได้แน่ว่ามีกี่ธาตุและธาตุใดบ้าง หากเรื่องการชนะธาตุนั้นมักจำกันไม่ค่อยได้หรือไม่ก็จำผิดจำถูก เด็กทุกคนในห้องมองอู๋เชียนหยิงเป็นตาเดียว บ้างยิ้มเยาะ บ้างเห็นใจ นั่นเพราะพวกตนก็แอบหลับเช่นกัน เพียงแต่อู๋เชียนหยิงนั้นหลับอย่างโจ่งแจ้งเหลือเกิน
“โดยพื้นฐานจะมีทั้งหมด 5 ธาตุ ได้แก่ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุทอง ธาตุลม ธาตุดิน”
“ธาตุน้ำชนะธาตุไฟ ธาตุไฟชนะธาตุทอง ธาตุทองชนะธาตุลม ธาตุลมชนะธาตุดิน และธาตุดินชนะธาตุน้ำ และยังมีธาตุพิเศษคือธาตุสายฟ้าที่ไม่ปรากฏว่ามีธาตุใดชนะธาตุนี้ หากธาตุสายฟ้าสามารถชนะทั้งห้าธาตุ” อู๋เชียนหยิงตอบรวดเดียวอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่เสี่ยวเฮยสอนนางมาตั้งแต่นางจำความได้และนางก็ฝึกฝนเรื่องธาตุนี้มานานแล้ว
คำตอบนี้ทำให้ทุกคนในห้องตื่นตะลึง นักเรียนที่นั่งอยู่ด้วยต้องมองอู๋เชียนหยิงอย่างตกใจ พวกเขาคาดไม่ถึงว่านางจะรู้ละเอียดเช่นนี้ กระทั่งอาจารย์เหอผู้ถามคำถามนี้ยังต้องนิ่งอึ้ง เพราะก่อนหน้าที่จะถามคำถามนี้ ตนเองเพิ่งเริ่มสอนเรื่องธาตุเท่านั้นและเพิ่งบรรยายถึงว่าธาตุใดชนะธาตุใด และไม่คิดจะเอ่ยถึงธาตุสายฟ้าที่เป็นเรื่องของธาตุในระดับที่สูงขึ้น
“เจ้ารู้จักธาตุสายฟ้าได้อย่างไร”
“ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นนี่เจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงตอบกลับซื่อๆ หากทำให้สีหน้าของทุกคนเกิดอาการพูดไม่ออก นางเข้าใจว่าเรื่องง่ายเช่นนี้ ใครก็รู้มิใช่หรือ ขนาดพี่เสี่ยวเฮยยังรู้เลย
“เจ้าเปิดตำราไปที่หน้าที่ 178 อธิบายให้ข้าฟัง”
นางเปิดตำราตามที่สั่ง กวาดสายตามองชั่วครู่ว่าเป็นเรื่องราวใดก่อนจะเงยหน้ามาเริ่มอธิบายถึงธาตุน้ำ
“ธาตุน้ำ แม้เป็นธาตุที่อ่อนแอที่สุดในธาตุทั้งห้าเพราะพลังทำลายต่ำที่สุด แต่มันกลับเป็นธาตุที่ทรงพลังที่สุดในยามตั้งรับ ผู้ใช้ธาตุน้ำสามารถใช้ธาตุน้ำต้านรับการโจมตีได้เกือบทุกรูปแบบและยังช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและลมปราณของผู้ใช้ได้ดีที่สุด ดังนั้น หากจะกล่าวว่าธาตุน้ำอ่อนแอย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง ทุกธาตุย่อมมีดีมีเสียปะปนกัน”
“ธาตุไฟ พลังทำลายสูงล้ำที่สุดในธาตุทั้งห้า ธาตุไฟจะเริ่มที่สีแดงอันเป็นสีในขั้นต่ำสุด ถัดมาจึงเป็นสีคราม สีม่วง สีขาว และสีทอง ความร้อนแรงของเพลิงแต่ละสีจะร้อนขึ้นเป็นหลายสิบเท่าของขั้นก่อนหน้า หากเป็นเพลิงสีทองสามารถกล่าวได้ว่าสามารถทำลายได้ทั้งทวีปวิญญาณเทพ”
อู๋เชียนหยิงจบคำอธิบายของนางลงแล้ว หากทุกคนในห้องต้องอ้าปากค้าง
“เจ้าเปิดตำราไปที่หน้า...” อาจารย์เหอเริ่มตั้งคำถามให้นางตอบอีกครั้ง อู๋เชียนหยิงเปิดหน้าตำราตามที่สั่งก่อนจะอธิบายอย่างคล่องแคล่ว
ไม่ว่าอาจารย์เหอจะตั้งคำถามอย่างไร นางล้วนตอบได้หมดทั้งยังตอบอย่างละเอียดชัดเจนเสียยิ่งกว่าอาจารย์เหอที่เป็นผู้สอนวิชานี้ นั่นเพราะนางตอบตามการฝึกฝนของตนเอง
เรื่องเกี่ยวกับธาตุนี้ เสี่ยวเฮยสอนนางมาเนิ่นนานแล้ว ทั้งในการฝึกฝนเสี่ยวเฮยก็ให้นางฝึกฝนจนครบทุกธาตุรวมทั้งธาตุสายฟ้า เมื่อนางเริ่มฝึกฝนธาตุ เสี่ยวเฮยจึงได้ทราบว่านางสามารถใช้ได้ทุกธาตุเช่นเดียวกับมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย บิดาของนาง เพราะมหาเทพชางเล่ยคือผู้รังสรรค์สรรพธาตุ นางผู้เป็นบุตรสาวกลับสืบทอดความสามารถนี้มาจนครบถ้วน
นางฝึกฝนเช่นนี้มาตั้งแต่นางอายุได้ 13,000 ปี ยามนี้นางอายุ 14,000 ปี เท่ากับนางฝึกฝนธาตุทั้งหกมา 1,000 ปีแล้ว
หนึ่งพันปีนี้แม้นางจะทำความเข้าใจและใช้ธาตุได้ดีกว่าเซียนเด็กในห้วงแห่งสุขาวดีไปเพียงหนึ่งขั้น แต่หากเทียบกับมนุษย์ นางคืออัจฉริยะอันหาได้ยากยิ่ง แต่แน่นอนว่ายังไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นนางใช้ออกด้วยธาตุทั้งหมด
“คุณหนูอู๋” อาจารย์เหอเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ มันรู้แล้วว่าลูกศิษย์ใหม่คนนี้เชี่ยวชาญแตกฉานเรื่องธาตุเสียยิ่งกว่าตัวมันเอง ไม่แปลกใจเลยที่นางจะนั่งหลับ นางเป็นเด็กอายุ 8 ปีจริงหรือนี่ ผู้ใดกันที่สอนนางจนเก่งกาจเช่นนี้
“เจ้าอยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอกหรือไม่”
“ได้หรือเจ้าคะ” นางถามอย่างตื่นเต้น
“ได้สิ เจ้าออกไปเล่นกับลูกแมวของเจ้าก่อน แล้วยามเที่ยงค่อยกลับเข้ามารับประทานอาหารกลางวัน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์” เสียงใสเล็กๆ กล่าวอย่างยินดี มือน้อยคว้าอุ้มเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเด็กนักเรียนทุกคนที่จ้องมองนางอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน อู๋เชียนหยิงก็กลับเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับทุกคนในห้องรับประทานอาหารรวม นางหยิบชามกระเบื้องใบเล็กที่วางพิงในตะกร้าที่ใส่เสี่ยวเฮยออกมาก่อนจะขอให้นางกำนัลที่ยืนคอยรับใช้ให้นำชามไปใส่อาหาร เมื่อได้ชามที่ใส่อาหารจนเต็มกลับมา นางก็วางชามนั้นลงข้างตัวที่เสี่ยวเฮยนั่งหมอบรออยู่
“พี่เสี่ยวเฮย นี่อาหารกลางวัน” เสียงใสเล็กๆ บอกกล่าวราวกับบอกคนผู้หนึ่ง
เห็นแมวดำเสี่ยวเฮยก้มลงรับประทานอย่างเรียบร้อยว่าง่าย นับว่าผิดแผกจากแมวอื่นมากนัก เพราะแมวทั่วไปแทบจะไม่เชื่อฟังเจ้าของ แต่เสี่ยวเฮยกลับเชื่อฟังอย่างดียิ่ง ไม่ว่าอู๋เชียนหยิงจะบอกให้มันคอยนางที่ตรงไหนหรือทำอะไร มันก็จะคอยนางอยู่ที่นั้นและทำตามที่นางสั่ง ราวกับมันเข้าใจภาษามนุษย์ทุกคำ
ยามบ่ายเป็นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนคนอื่นแล้ว วิชานี้กลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อและน่านอนที่สุด เพราะพวกเขาเติบโตมาในทวีปวิญญาณเทพและดาวเคราะห์ธาราคราม ดังนั้น เรื่องราวของสี่ทวีปและตำนานต่างๆ จึงได้ยินได้ฟังมาแต่เด็ก แต่กับอู๋เชียนหยิงนั้นตรงกันข้าม ตำราประวัติศาสตร์เป็นตำราที่นางยังไม่เคยพลิกอ่าน เมื่อได้เริ่มเรียนนางจึงเริ่มสนใจและสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีตำนานเล่าขานกันว่าในมิติและช่วงเวลาอันไกลโพ้นเกินคิดฝัน ยามนั้นทุกสรรพสิ่งยังคงเป็นเพียงกระแสพลังสีขาวอันยิ่งใหญ่จนไม่อาจคาดเดา หลังผ่านช่วงแห่งการวิวัฒน์อันนานแสนนาน ในที่สุดก็แบ่งออกเป็นขั้วหยินและขั้วหยาง ห้วงมิติและกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานนับอสงไขย ใจกลางห้วงแห่งสุขาวดียามนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้วก่อเกิดสองชีวิตแรกขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นของสรรพชีวิตทั้งปวงในห้วงแห่งสุขาวดีที่ชนรุ่นหลังเรียกขานว่าปฐมเทพแรกกำเนิดและปฐมเทพีแรกกำเนิด” เสียงของอาจารย์เจิ้งผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เริ่มบรรยาย อู๋เชียนหยิงนั่งฟังอย่างสนใจ
“เมื่อเวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน ปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดค่อยๆ มีจิตสำนึกและสติปัญญาทีละน้อยจนสมบูรณ์ ปฐมเทพและปฐมเทพีร่วมกันสร้างภาษา พลังลมปราณ เคล็ดวิชาลมปราณ และสิ่งอื่นอีกมากมาย”
“ทว่าห้วงแห่งสุขาวดีอันกว้างใหญ่ไพศาลมีเพียงปฐมเทพและปฐมเทพี หลายส่วนจึงอยู่ในภาวะไม่สมดุล ปฐมเทพและปฐมเทพีจึงหลอมรวมกันก่อนจะสลายร่างของตนเพื่อเปลี่ยนห้วงแห่งสุขาวดีให้มีความสมดุลทั้งหมด กฎต่างๆ ของห้วงแห่งสุขาวดีพลันบังเกิดขึ้นพร้อมกับสรรพชีวิตต่างๆ”
“พวกท่านยังได้ให้กำเนิดมหาเทพสี่องค์ และเทพมารสี่องค์ เพื่อให้ทั้งแสงสว่างและความมืดสมดุลกัน และเมื่อเกิดมหาเทพและมารทั้งแปดจนสมบูรณ์แล้ว ยุคแห่งทวยเทพได้เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้น”
“มหาเทพสี่องค์นั้น ได้แก่ มหาเทพครองฟ้าชางเล่ย มหาเทพเสมอฟ้าชางซว่อ มหาเทพแบกฟ้าชางจี้ และมหาเทพค้ำฟ้าชางห้าว”
นามมหาเทพครองฟ้าชางเล่ยสะดุดความรู้สึกของอู๋เชียนหยิงทันที ยามได้ยินนามนี้ ในห้วงความคิดของนางพลันปรากฏภาพบุรุษในอาภรณ์สีขาวสะอาด มือถือกระบี่สีขาว รัศมีรอบกายพร่างพรายงดงาม บุรุษผู้นี้ย่อมเป็นบุรุษที่นางยังคงฝันถึงทุก 7 วันเสมอมา
ก้อนสะอื้นประหลาดแล่นเป็นริ้วขึ้นมาจุกที่ลำคอ นัยน์ตาดำขลับปรากฏประกายน้ำตาขึ้นกะทันหัน ความรู้สึกคิดถึงโหยหาอย่างรุนแรงพลันบังเกิดอย่างไร้สาเหตุ หยาดน้ำตาร่วงรินราวน้ำไหล หากเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกตัว รีบทำทีซบหน้าลงกับท่อนแขน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตนเอง อู๋เชียนหยิงได้แต่แปลกใจว่าตนเองเป็นอะไร
“มหาเทพทั้งสี่นี้ มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยทรงอำนาจสูงสุด มหาเทพอีกสามด้อยกว่ามหาเทพชางเล่ยอยู่หนึ่งขั้น แต่ทั้งสามมหาเทพทรงอำนาจใกล้เคียงกัน” เสียงของอาจารย์เจิ้งยังคงเล่าสืบต่อ
“มหาเทพทั้งสี่ครองแดนสี่แห่งในห้วงแห่งสุขาวดี สี่แดนนี้ถูกเรียกว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์ อันประกอบด้วยแดนมังกรทองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกปกครองโดยมหาเทพชางเล่ย แดนหงส์แดงตั้งอยู่ทางทิศใต้ปกครองโดยมหาเทพชางซว่อ แดนพยัคฆ์ขาวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกปกครองโดยมหาเทพชางจี้ และแดนเต่าดำตั้งอยู่ทางทิศเหนือปกครองโดยมหาเทพชางห้าว”
“ทว่าช่วงเวลาที่ปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดใกล้จะสลายไป กลับพลันบังเกิดมหาเทพขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง แต่เพราะกำเนิดหลังสุด ปฐมเทพและปฐมเทพีจึงให้นามแก่ท่านว่า ต้วนเจี้ยน มหาเทพต้วนเจี้ยนทรงอำนาจทัดเทียมกับมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย ท่านปกครองแดนลิขิตฟ้า”
“มหาเทพต้วนเจี้ยนมีฉายาว่าเทพยุทธ์หยั่งรู้ เพราะท่านเป็นผู้ที่สามารถหยั่งรู้ถึงลิขิตสวรรค์ แดนลิขิตฟ้าอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดีถัดจากแดนมังกรทองของมหาเทพชางเล่ย แดนลิขิตฟ้าและมหาเทพต้วนเจี้ยนดำรงตัวเป็นกลางมาตลอดระหว่างเผ่าเทพและเผ่ามาร เพียงทำหน้าที่บอกเล่าถึงลิขิตสวรรค์เมื่อถึงคราวจำเป็น”
“เทพมารทั้งสี่ได้แก่ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้”
นามเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียสะดุดความรู้สึกของอู๋เชียนหยิงอย่างรุนแรง ร่างน้อยสั่นระริกอย่างไม่อาจข่มกลั้น ก้อนสะอื้นแล่นถี่ขึ้นมาจุกที่ลำคออย่างรวดเร็ว นางต้องยกมืออุดปากของตนเองเพื่อปิดกั้นมิให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ นางต้องรีบก้มหน้าลงกับท่อนแขนของตน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้กับตนเอง ทว่าครั้งนี้น้ำตากลับไหลนอง เพียรใช้แขนเสื้อซับน้ำตาเท่าใดก็ราวกับไม่อาจซับได้หมด
โชคดีว่าแม้นางนั่งหน้าสุดหากก็อยู่ด้านข้าง อาจารย์เจิ้งจึงไม่ทันเห็นอากัปกิริยาที่ผิดปกติของนาง ขณะที่นักเรียนคนอื่นนั้นอยู่ในภาวะง่วงเหงาหาวนอนกันทั้งสิ้น ย่อมไม่ได้ใส่ใจกับนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋เชียนหยิงจึงระงับอาการประหลาดของนางได้ ยามนี้จึงได้ยินเสียงอาจารย์เจิ้งที่ยังคงบรรยายอยู่
“มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยร่วงหล่น มหาเทพทั้งสามขึ้นปกครองแทนมหาเทพชางเล่ย เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและเหล่ามารบางส่วนถูกขับไล่พ้นห้วงแห่งสุขาวดี เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ร่วงหล่นตามมหาเทพชางเล่ย เหล่ามารที่เหลือพากันหนีเข้าสู่แดนเทพมารต้องห้ามที่ตั้งอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดี”
“แดนเทพมารต้องห้ามเป็นเขตแดนประหลาด ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในที่นี้ได้ต้องเป็นเหล่ามารเท่านั้น หากทวยเทพล่วงล้ำเข้าไป พวกเขาจะถูกพลังในเขตแดนกัดกร่อนทำลายอย่างรวดเร็ว หากพวกมารก็มิกล้าออกนอกแดนเทพมารต้องห้าม เพราะเมื่อเข้าสู่แดนแห่งนี้แล้ว คล้ายว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่าง พวกมารไม่สามารถอยู่นอกแดนเทพมารต้องห้ามได้อีกต่อไป นั่นจึงทำให้ตอนนี้จึงยังมีมารเหลือรอดอยู่ เพียงไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าใด”
อู๋เชียนหยิงที่น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ยามนี้น้ำตากลับไหลทะลักออกมาอีกครั้ง นางรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
“นี่คือตำนานของการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้า พวกเจ้าไปทบทวนมาให้ดี สัปดาห์หน้าข้าจะทดสอบพวกเจ้าทุกคน” เสียงของอาจารย์เจิ้งดังขึ้นก่อนจะจบการเรียนในบ่ายวันนี้
อู๋เชียนหยิงรีบคว้าตะกร้าที่ใส่แมวดำเสี่ยวเฮยขึ้น นางรีบเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เหลียวมองรอบกายแล้วก็ตัดสินใจรีบเดินห่างออกไปอีกหน่อยจนถึงพุ่มไม้ใหญ่ใบหนาที่ห่างไกลผู้คน นางก้าวอ้อมไปหลังพุ่มไม้นั้นก่อนจะทรุดกายลงร่ำไห้ออกมาทันที หากยังคงใช้มืออุดปากตนเองไว้แน่นมิให้เสียงร้องไห้ของตนเล็ดลอดออกไป
เสี่ยวเฮยมองนางอย่างสงสารจับใจ มันเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน แม้จะทราบว่านี่เป็นเพียงตำนาน แต่ก็มีส่วนจริงมากกว่าครึ่ง อย่างน้อยเรื่องราวการก่อกำเนิดห้วงแห่งสุขาวดีและกำเนิดมหาเทพและเทพมารก็จริงแท้แน่นอน ที่มันไม่แน่ใจก็เพียงมหาเทพชางเล่ยร่วงหล่นจริงหรือ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียถูกกักขังอยู่นอกห้วงแห่งสุขาวดีจริงหรือ
ทว่านี่อาจเป็นความจริงเพราะนับจากมันรับคำสั่งของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแล้ว มันยังไม่เห็นนางกลับมาหาเชียนหยิงอีกเลยทั้งๆ ที่นางบอกว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุด ประการสำคัญคือมันยังไม่อยากเชื่อว่ามหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น แม้มีความเป็นไปได้แต่มันยังไม่อยากเชื่อเช่นนั้น
อู๋เชียนหยิงนั่งร้องไห้อยู่หลังพุ่มไม้เนิ่นนาน
“เชียนหยิง” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น นางเหลียวหน้าไปมองอย่างตกใจ จึงค่อยพบว่าเป็นอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน บิดาบุญธรรมของนาง เขานั่งอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
“เจ้าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครรังแกเจ้า?” เขาทอดเสียงถามบุตรสาวอย่างอ่อนโยน วงแขนอบอุ่นดึงร่างนางมากอดไว้อย่างปลอบประโลม
นางส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ไม่...ไม่มีเจ้าค่ะ...ไม่มีใครรังแก...”
“แล้วร้องไห้ทำไม? พ่อมาถึงข้างกายเจ้าครู่ใหญ่ เจ้ายังไม่รู้สึกตัว ยังนั่งร้องไห้อยู่”
“ลูก...ไม่ทราบ...”
“ไม่เป็นไร ร้องไห้เสียให้พอ แล้วอย่าร้องไห้อีก”
สิ้นประโยคนี้ อู๋เชียนหยิงก็เปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอยู่กับอกของอู๋ซิงว่าน มือใหญ่ลูบหลังนางอย่างปลอบประโลม ผ่านไปอีกครู่ใหญ่นางจึงสามารถหยุดร้องไห้ได้ หากนางก็ร้องไห้จนหลับไป อู๋ซิงว่านอุ้มอู๋เชียนหยิงให้นางซบหลับกับตัวเขาก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าที่ใส่เสี่ยวเฮย ทว่าเสี่ยวเฮยมิได้นั่งในตะกร้าหากเดินเคียงข้างมาเงียบๆ
กลับมาถึงจวนจึงพบว่าฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงนั่งรออยู่ เมื่อเห็นสามีอุ้มบุตรสาวที่หลับสนิทเข้ามาก็ต้องแปลกใจ
“ไม่รู้ว่าเชียนหยิงไปพบเจออะไรมา เมื่อข้าไปรับนางกลับบ้าน นางแอบไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ข้านั่งอยู่ข้างกายนาง นางยังไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้าใกล้ จนข้าเรียกนาง นางจึงได้รู้สึกตัว ถามว่ามีใครรังแกหรือไม่ นางก็ตอบว่าไม่มี ข้าเลยไม่รู้ว่านางร้องไห้เพราะเหตุใด”
อู๋ซิงว่านบอกจบก็เดินนำหวงจิ้งหรงมาที่เรือนเบญจมาศอันเป็นเรือนพักของอู๋เชียนหยิง ร่างเล็กถูกวางลงบนที่นอนอย่างระมัดระวังก่อนจะคลี่ผ้าห่มคลุมให้
“เสี่ยวถง เจ้าดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี มีอะไรให้รีบไปบอกข้ากับฮูหยินเอก”
“เจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเฮย อยู่เป็นเพื่อนเชียนหยิงนะ” อู๋ซิงว่านอุ้มแมวดำเสี่ยวเฮยให้นอนอยู่ข้างๆ บุตรสาว เขาทราบดีว่ามันและบุตรสาวของเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก กล่าวได้ว่าเห็นเชียนหยิงต้องเห็นเสี่ยวเฮย เห็นเสี่ยวเฮยต้องเห็นเชียนหยิง
เสี่ยวเฮยผงกศีรษะตอบรับอย่างรู้ความ ทำเอาอู๋ซิงว่าน หวงจิ้งหรง และสาวใช้เสี่ยวถงต้องประหลาดใจ แม้จะทราบว่าเสี่ยวเฮยเป็นแมวที่ฉลาด รู้ความ หากก็ไม่คาดคิดว่ามันจะรู้ความเสียจนเหมือนว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์
คืนนั้นอู๋เชียนหยิงพลันฝันถึงเหตุการณ์ประหลาด ในฝันนั้นนางเห็นซากศพของคนมากมาย ทั้งยังเห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งทว่านางกลับมองเห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างลางเลือน แต่แม้จะเห็นไม่ชัด นางก็บอกตนเองได้ว่าพวกเขาล้วนมีรูปโฉมงดงาม รัศมีรอบกายของบุรุษผู้นั้นไม่สดใส หากหม่นมัวอย่างน่าเศร้าใจ ส่วนสตรีผู้นั้น ความรู้สึกของนางบอกว่านางไม่รู้จัก แต่แม้จะไม่รู้จัก ไฉนนางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสตรีนางนี้อย่างยิ่ง คุ้นเคยเหลือเกิน
“จื่อเซีย ไปเสียตอนนี้ หากช้ากว่านี้ ข้าไม่อาจปกปิดไว้ได้แล้ว จะเป็นอันตรายกับเจ้าและลูกของเรา”
“แต่...ชางเล่ย...ท่านบาดเจ็บมาก...”
“เจ้าต้องไป จื่อเซีย พาลูกของเราหนีไป ชางซว่อ ชางจี้ ชางห้าว ไม่มีวันปล่อยเจ้ากับลูก”
“ข้าทิ้งท่านไปไม่ได้...พวกมันรู้แล้วว่าท่านและข้ามีความสัมพันธ์เช่นไร แต่พวกมันไม่ทราบถึงลูกของเรา และต่อให้ข้าและลูกหนีไป พวกมันก็ต้องตามล่าข้าอยู่ดี”
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ หากเจ้าพลาดท่าเสียทีจนพวกมันล่วงรู้และได้ตัวลูกของเราไป นางจะเป็นเช่นไร ในตัวนางมีทั้งโลหิตเทพและมาร นางต้องถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นมารจะถูกทำลายทิ้งจนหมดสิ้น ส่วนที่เป็นเทพจะถูกรักษาไว้”
“ทว่าส่วนของเทพที่ถูกรักษาไว้นั้น นางยังต้องถูกลงทัณฑ์ โทษฐานที่นางถือกำเนิดจากมารดาต้องห้ามเช่นเจ้า นางจะกลายเป็นเทพธิดาต้องห้าม นางจะถูกขังที่หอกักเซียนใต้แม่น้ำว่างสามสายตลอดชีวิต นางจะมีชีวิตอยู่ในความมืดที่หอนั้นไปจนกว่านางจะดับสูญไปเอง”
“ที่หอกักเซียน นางจะถูกพรากเอาร่างนภาพิสุทธิ์และดวงจิตนภาพิสุทธิ์ออกไป ผู้ที่มีโอกาสจะได้รับร่างและดวงจิตอันเลิศล้ำที่สุดนี้ก็คือเทพธิดาดาวเหนือจื่อเสวียน บุตรสาวของชางซว่อ เจ้าสมควรทราบถึงความทะยานอยากในการฝึกฝนของนาง หากนางทราบถึงร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เจ้าคิดหรือว่านางจะไม่แย่งชิง หากนางแย่งชิงสำเร็จ นางจะกลายเป็นเทพธิดาที่เลิศล้ำที่สุดของห้วงแห่งสุขาวดีนี้”
“หากเจ้าพาลูกหนีไป เจ้าและลูกยังมีโอกาสรอด ขอเพียงพวกเจ้ารอด ข้าก็หมดห่วงแล้ว”
“ไม่นะ ชางเล่ย ท่านไปกับข้าและลูกสิ พวกเราหนีไปด้วยกัน”
“ทำไม่ได้ ยามนี้ข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนให้พ้นสายตาของผู้ใดได้ หากข้าไปพร้อมกับเจ้า ข้าเป็นได้เพียงตัวถ่วงของเจ้ากับลูก”
“แต่...แต่...”
“ไม่มีแต่ เจ้าต้องพาลูกไป”
อู๋เชียนหยิงลืมตาตื่น ความฝันจบลงเพียงเท่านี้ นางสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมาอีกครั้ง น้ำตาไหลพรั่งพรูดุจทำนบทลาย เสี่ยวเฮยมาซุกตัวอยู่กับนาง อู๋เชียนหยิงกอดเจ้าแมวดำไว้แน่น น้ำตาไหลไม่หมดสิ้น นางร้องไห้เกือบทั้งคืน ร้องไห้จนหลับไป
รุ่งเช้าเมื่อเสี่ยวถงเข้ามาดูจึงได้พบว่าคุณหนูใหญ่ของนางเป็นไข้สูง ตัวร้อนจัด นางรีบบอกหวงจิ้งหรงทันที หวงจิ้งหรงให้คนไปเชิญแพทย์จากสำนักแพทย์หลวงมาดูอาการของบุตรสาว
“คุณหนูใหญ่มีเรื่องกระทบกระเทือนใจ ร่างกายจึงอ่อนแอ เป็นไข้ขึ้นมา ข้าเขียนเทียบยาให้แล้ว ต้มยาให้นางดื่มหลังรับประทานอาหารเช้าและก่อนนอน อาการนางจะดีขึ้น ไม่เกิน 3 วันก็หายเป็นปกติ”
แพทย์จากสำนักแพทย์หลวงบอกกล่าว หวงจิ้งหรงได้แต่ประหลาดใจ บุตรสาวของนางมีเรื่องใดกระทบกระเทือนใจจนถึงกับทำให้นางล้มป่วย หรือว่ายามที่นางไปเรียนที่ในวังจะมีองค์หญิงหรือองค์ชายคนใดกลั่นแกล้งนาง แต่อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านก็บอกแล้วว่าไม่มีผู้ใดรังแกนาง
ตลอดสามวันนี้หวงจิ้งหรงมานอนกับอู๋เชียนหยิงเพื่อคอยดูแลนาง กลางดึกทั้งสามคืน อู๋เชียนหยิงจะละเมอเรียกหาบิดามารดาของนาง นางละเมอเรียกอย่างเสียใจ ร้องไห้ทั้งที่ยังหลับ หวงจิ้งหรงได้แต่ห่วงกังวล ทราบแล้วว่าบุตรสาวของนางมิได้ถูกผู้ใดรังแก หากเป็นนางเกิดคิดถึงบิดามารดาที่แท้จริง
แต่ด้วยยาของแพทย์ที่สำนักแพทย์หลวงทำให้อาการไข้ของนางลดลงจนเป็นปกติ รุ่งเช้าวันที่สี่นางหายดีหากจิตใจกลับหมองเศร้า สีหน้าของอู่เชียนหยิงยังคงปรากฏร่องรอยความเสียใจ
“เชียนหยิง เจ้าบอกแม่ได้ทุกเรื่องนะ อย่าปิดบังแม่” นางบอกกล่าวบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อ้อมแขนโอบกอดนางไว้อย่างปลอบประโลม
“ลูก...ไม่รู้...จะบอกอย่างไร...”
“เจ้าฝันว่าอย่างไร แม่ได้ยินเจ้าละเมอเรียกหาบิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าทุกคืน”
“ลูก...ลูก...” อู๋เชียนหยิงอ้ำอึ้ง จะให้นางบอกกล่าวอย่างไรในเมื่อบุคคลที่นางฝันถึงเป็นเพียงบุคคลในตำนาน พวกเขาไม่มีตัวตนจริง หากนางบอกเล่าออกไปย่อมมีแต่คนหาว่านางเพ้อเจ้อ
“ลูกฝันเห็นท่านพ่อท่านแม่ถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย พวกท่านตายอย่างทรมาน” นางจำใจต้องโกหกออกไป
“โถ ลูกแม่...” อ้อมแขนโอบกอดนางแน่นขึ้น
“อย่าคิดมาก เจ้ามาอยู่กับแม่แล้ว ลืมเรื่องพวกนั้นให้หมด หากเจ้าคิดถึงพวกท่าน ก็หมั่นทำกุศลให้พวกท่านให้มาก”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้านอนพักเสียเถิด เพิ่งหายดี อย่าเพิ่งไปร่ำเรียนเลย พักอีกสักสามวันแล้วจึงค่อยไปเรียน แม่จะให้ท่านพ่อไปบอกอาจารย์ให้”
“ขอบคุณท่านแม่”
“พี่เสี่ยวเฮย” นางลุกขึ้นพร้อมกับเรียกหาเจ้าแมวดำทันทีที่หวงจิ้งหรงลับสายตา เสี่ยวเฮยกระโดดขึ้นมาอยู่บนตักของนาง
“พี่เสี่ยวเฮย ข้า...”
“เจ้าเล่าความฝันของเจ้าให้ข้าฟัง”
เมื่ออู๋เชียนหยิงบอกเล่าออกมา เสี่ยวเฮยก็ต้องนิ่งอึ้ง เหตุการณ์ที่อู๋เชียนหยิงฝันคือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นก่อนที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจะพานางหลบหนีมาที่ดาวเคราะห์ธาราครามแห่งนี้ ไม่คาดเลยว่านางจะฝันถึงเหตุการณ์นั้นได้
พลันอู๋เชียนหยิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี
“เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไร”
“ข้ารู้สึกร้อนที่หัวใจ”
“เจ้าเปิดเสื้อออก ให้ข้าดูที่หัวใจของเจ้า” เสี่ยวเฮยสั่งอย่างรวดเร็ว