ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหนือมาร สะท้านเทพทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์
ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป
กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ
มือน้อยรีบแกะเงื่อนที่ผูกไว้ที่อกเสื้อออก เพียงครู่ก็ปรากฏอกขาวผ่องเนียนละเอียด หากบริเวณหัวใจนั้น ปานแดงรูปมังกรคล้ายกำลังส่องแสงสีแดงอ่อน เสี่ยวเฮยจ้องมองปานแดงนั้นนิ่งงัน มันย่อมทราบถึงคำพูดของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเกี่ยวกับปานแดงนี้
แก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้าจะค่อยๆ เปิดเผยความลับให้เจ้ารู้เมื่อเจ้าอายุครบ 14,000 ปี
เป็นไปได้ว่าความฝันของอู๋เชียนหยิงเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการหลบหนีของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย อาจเกิดจากแก่นโลหิตหัวใจที่เริ่มปลดผนึกตนเอง ประจวบเหมาะกับนางได้รู้ถึงเรื่องราวการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้า สองสิ่งนี้จึงเชื่อมโยงกันโดยบังเอิญ ทำให้นางฝันถึงเหตุการณ์นั้นได้
“ยามนี้เจ้าเพียงรู้สึกร้อนเท่านั้นหรือไม่ หรือว่าเจ้ารู้สึกอะไรอีก”
“แค่รู้สึกร้อนเท่านั้น ตอนที่ข้าเป็นไข้ ข้าก็รู้สึกร้อนที่หัวใจ”
“เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อไปหากเจ้ารู้สึกผิดปกติที่บริเวณหัวใจอีก ให้รีบบอกข้า แต่ห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งสิ้น”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฮยไม่ทราบดอกว่าแก่นโลหิตหัวใจที่เริ่มปลดผนึกตนเองนั้นจะทำให้อู๋เชียนหยิงทราบถึงสิ่งใดบ้าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มหาเทพที่ถูกสร้างสรรค์โดยปฐมเทพและปฐมเทพียอมกลั่นแก่นโลหิตหัวใจออกมา จึงยังไม่มีผู้ใดทราบว่าแก่นโลหิตหัวใจที่ปลดผนึกนั้นจะบอกกล่าวสิ่งใด
ผ่านไปอีกราวครึ่งเค่อความร้อนที่หัวใจก็ค่อยๆ จางหาย
“ที่หัวใจของข้าหายร้อนแล้วล่ะ พี่เสี่ยวเฮย”
“ดีแล้ว เจ้านอนพักเถิด ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า”
“พี่เสี่ยวเฮย ข้าฝันถึงมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ข้า...ข้า...เป็นอะไรกันแน่...ทำไมข้าจึงฝันเช่นนี้”
“เจ้าคงฟุ้งซ่านน่ะเชียนหยิง อย่าคิดมาก รีบนอนเสีย จะได้หลับสบาย”
อู๋เชียนหยิงยอมนอนอย่างเชื่อฟังแม้จะยังคิดถึงภาพในความฝันนั้น หากเพียงไม่นานนางก็หลับสนิท
ผ่านไปอีกสามวันนางจึงกลับไปเข้าเรียนที่ในวังอีกครั้ง และช่างบังเอิญนักที่ถึงกำหนดที่อาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์กำลังจะทดสอบนักเรียนเกี่ยวกับตำนานที่ได้เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อน นักเรียนทุกคนเตรียมตัวมาพร้อม หากอู๋เชียนหยิงกลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเพราะวันนั้นนางเอาแต่ร้องไห้จนไม่สบาย
“ข้าจะถามคำถามพวกเจ้า หากพวกเจ้าคนใดตอบได้ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไม่ต้องเรียนวิชาของข้าตลอดบ่ายนี้ ใครที่ตอบไม่ได้หรือไม่ตอบก็ต้องเรียนไปตามปกติ”
นักเรียนทุกคนพยักหน้ารับอย่างยินดี มีเพียงอู๋เชียนหยิงที่เม้มปากแน่น
คำถามเกี่ยวกับตำนานการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้าถูกถามขึ้นมาเรื่อยๆ นักเรียนแต่ละคนที่ท่องจำมาเป็นอย่างดีล้วนแย่งกันยกมือตอบ จนกระทั่งสุดท้ายเหลือนักเรียนเพียงคนเดียวในห้องคืออู๋เชียนหยิง
“อู๋เชียนหยิง เจ้าตอบคำถามไม่ได้รึ เจ้าจึงไม่ยกมือตอบคำถามสักครั้ง” อาจารย์เจิ้งถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะสีหน้าท่าทีของนางดูมิใช่ว่าไม่รู้คำตอบ แต่เหมือนนางไม่ต้องการตอบ
“ท่านอาจารย์ ท่านช่วยเล่าตำนานการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้าให้ข้าฟังอีกสักครั้งนะเจ้าคะ ข้าอยากฟัง” นางเอ่ยขอร้อง
อาจารย์เจิ้งมีสีหน้าประหลาดใจ ถึงกับมีนักเรียนที่อยากรู้เรื่องที่ไม่มีเค้าความจริงเช่นนี้
“ได้สิ เจ้าอยากฟังช่วงใดของตำนานล่ะ”
อู๋เชียนหยิงกรอกตาครุ่นคิด “ยามนั้นข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์กล่าวถึงเทพมารทั้งสี่ว่าได้แก่ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ แล้วพอดีข้าจำไม่ได้ว่าต่อไปคืออย่างไร มาจำได้อีกทีตอนที่ได้ยินว่ามหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น”
“อ้อ ! เทพมารทั้งสี่ครองแดนมารสี่แห่งในห้วงแห่งสุขาวดี แดนมารสี่แห่งนี้ถูกเรียกว่าสี่มารศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย แดนอาคเนย์ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดปกครองโดยเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย แดนอิสานปกครองโดยเทพมารชาดเซวเจี้ยน แดนหรดีปกครองโดยเทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และแดนพายัพปกครองโดยเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้”
“แดนสี่ศักดิ์สิทธิ์และแดนสี่มารศักดิ์สิทธิ์อยู่กันคนละฟากฝั่งของห้วงแห่งสุขาวดี ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันได้ ทว่าไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น เผ่าเทพจึงยกทัพมาบุกแดนสี่มารศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง หากทัพนี้กลับนำโดยมหาเทพชางชว่อแห่งแดนหงส์แดง มิใช่มหาเทพชางเล่ยแห่งแดนมังกรทอง นี่เป็นเรื่องที่เป็นปริศนาในตำนานว่าเพราะเหตุใดมหาเทพชางเล่ยจึงมิได้นำทัพ”
“ระหว่างการรบ สองฝ่ายต่างมีกำลังสูสี เผ่าเทพจึงยังไม่สามารถหักเอาชัยเผ่ามารได้ ทว่าเพื่อให้เผ่าเทพมีชัย แม้มหาเทพชางเล่ยมิได้นำทัพ แต่ท่านสละตนเองบุกเผ่ามารจนสุดกำลัง ทำให้เผ่ามารแตกพ่าย แต่เผ่าเทพก็ต้องสูญเสียมหาเทพชางเล่ยไป นั่นจึงทำให้มหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น”
“เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว เทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ พลาดท่าเสียทีให้กับสามมหาเทพ เทพมารทั้งสามจึงร่วงหล่นตามมหาเทพชางเล่ยไป ส่วนเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแม้จะตกหลุมพรางของมหาเทพชางชว่อ แต่เพราะนางฝีมือด้อยกว่ามหาเทพชางเล่ยเพียงครึ่งขั้น แต่แข็งแกร่งกว่ามหาเทพทั้งสาม มหาเทพชางชว่อจึงวางแผนหลอกล่อก่อนจะผลักไสนางออกนอกห้วงแห่งสุขาวดีไปพร้อมกับเหล่ามารที่ติดตามนางมา มหาเทพชางชว่อปิดกั้นกำแพงที่ปกป้องห้วงแห่งสุขาวดีจนแน่นสนิทเพื่อมิให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและเหล่ามารหวนกลับมาได้"
"เผ่ามารที่เหลืออยู่ในห้วงแห่งสุขาวดีจึงต้องหลบหนีเข้าสู่แดนเทพมารต้องห้ามที่ตั้งอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดี”
อู๋เชียนหยิงน้ำตาไหลรินเมื่อฟังเรื่องราวจบ นางไม่ทราบว่าทำไมตนเองต้องร้องไห้ ทำไมตนเองต้องเสียใจอย่างแสนสาหัส
“อู๋เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงร้องไห้”
ร่างน้อยสั่นสะท้านอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่ประดังขึ้นมาลงไปอย่างยากลำบาก
“มะ...ไม่มีอะไร...เจ้าค่ะ...ข้าไม่ค่อยสบาย...เพียงฟังเรื่องราว...จึงรู้สึกเสียใจ...”
อาจารย์เจิ้งพยักหน้าอย่างพอเข้าใจ
“ท่านอาจารย์ นอกห้วงแห่งสุขาวดีเป็นอย่างไรเจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงถามคำถามที่สำคัญคำถามหนึ่ง เสี่ยวเฮยเองก็นั่งฟังหูผึ่ง มันก็อยากทราบเช่นกัน
“ตามตำนานเล่าว่านอกห้วงแห่งสุขาวดีนั้น มิได้สุขสบายเช่นในห้วงแห่งสุขาวดี ทุกทิศทางเต็มไปด้วยรอยบิดเบี้ยวของมิติ ผู้ที่ตกอยู่นอกห้วงแห่งสุขาวดีต้องเผชิญหน้ากับการเชือดเฉือนจากรอยบิดเบี้ยวของมิติตลอดเวลา กล่าวได้ว่าถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส โลหิตไหลรินไม่ขาดสาย”
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียกับเหล่ามารจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” นางถามไปก็น้ำตาไหลไป อาจารย์เจิ้งได้แต่มองนางอย่างแปลกใจ
“ไม่มีผู้ใดตอบได้หรอก แต่หากให้ข้าคาดเดานางและเหล่ามารคงดับสูญไปแล้ว เรื่องเล่านี้เกิดขึ้นมาราว 14,000 ปีแล้ว ผู้ใดจะทนทรมานอยู่ได้นานปานนั้น”
“แต่นางเป็นมาร ตายไปเสียได้ก็ดีแล้ว หากอยู่ต่อก็ไม่รู้ว่าพวกมารจะกระทำเรื่องให้เผ่าเทพและมนุษย์ต้องเดือดร้อนอะไรอีก”
วาจานี้เชือดเฉือนทำร้ายหัวใจของอู๋เชียนหยิงนัก
“แต่จากเรื่องที่ท่านเล่า พวกมารก็มิได้กระทำสิ่งใดผิด” นางแย้งออกมา
“เจ้าจะไปรู้อะไร พวกมารย่อมต้องทำอะไรบางอย่างที่ชั่วช้าเลวทรามอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเผ่าเทพจะยกทัพบุกแดนมารเพื่อทำลายพวกมารทำไม คิดดูว่าพวกมารถึงกับทำให้มหาเทพชางเล่ยต้องร่วงหล่น เพียงทำมหาเทพร่วงหล่นก็นับว่าเป็นความผิดมหันต์จนไม่อาจอภัยได้แล้ว”
ตลอดทางที่นั่งรถม้ากลับมาที่จวนกับอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน อู๋เชียนหยิงนั่งก้มหน้านิ่ง ในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวดมากมาย
“เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไรจึงไม่พูดไม่จา” อู๋ซิงว่านถามเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ลูกแค่เหนื่อย”
“เจ้าเพิ่งหายไข้ พักอีกสักหลายวันดีหรือไม่”
อู๋เชียนหยิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ลูก...เอ่อ...ขอพักสัก 10 วันได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ เจ้าพักเสียให้หายสนิทก่อน จะได้แข็งแรง”
“ขอบคุณท่านพ่อ”
“พี่เสี่ยวเฮย” อู๋เชียนหยิงเรียกหาเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยเมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องนอน
เสี่ยวเฮยกระโดดจากพื้นขึ้นมาอยู่บนที่นอนของนาง “เจ้าสงสัยกระมังว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงเสียใจเมื่อได้ยินเรื่องราวของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย”
อู๋เชียนหยิงพยักหน้า “พี่เสี่ยวเฮยรู้เรื่องพวกนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้ารู้ รู้เป็นอย่างดี”
“เพราะเหตุใดเผ่าเทพจึงยกกำลังมาทำลายล้างเผ่ามาร” คำถามสำคัญที่สุดถูกถามขึ้นทันที
เสี่ยวเฮยหลับตาก่อนจะถอนหายใจ “เชียนหยิง เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปที่จะทราบเรื่องนี้”
“แต่ว่า...”
“ข้าให้สัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะเล่าเรื่องนี้เท่าที่เจ้าควรทราบให้เจ้าฟังเมื่อเจ้าอายุ 16 ปี และลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับรวมปราณขั้นที่สิบ”
อู๋เชียนหยิงตาโตทันที “รวมปราณขั้นที่สิบ ! !”
“ทำไมสูงถึงเพียงนี้”
นี่เป็นระดับที่ห่างไกลนางนัก ยามนี้ระดับลมปราณของนางคือสร้างลำต้นขั้นที่แปดยังเป็นลมปราณระดับแรกเริ่มด้วยซ้ำ
“เพราะเรื่องที่เจ้าต้องการทราบหนักหนาสาหัสกว่าที่เจ้าจะคิดคำนวณได้ และแท้จริงแล้วต่อให้เจ้ามีลมปราณตามที่ข้ากำหนด เจ้าก็ยังไม่สมควรทราบด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นแท้จริงแล้วข้าต้องมีระดับลมปราณเท่าใด ท่านจึงจะยอมบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด”
“เจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง” เสี่ยวเฮยตอบเสียงเรียบ หากอู๋เชียนหยิงตะลึงลานแล้ว
ลมปราณระดับเจ้าเซียนเท่ากับนางต้องเลื่อนระดับเป็นเทียนเซียน ระดับที่สูงส่งถึงเพียงนั้น นางจะทำได้อย่างไร นางก้มหน้า นั่งนิ่งเงียบงัน เสี่ยวเฮยจ้องมองนางอย่างสงสาร ทราบดีว่าเงื่อนไขที่มันกำหนดไม่อาจเป็นจริงได้สำหรับนางในเวลานี้
“ได้ ข้าจะฝึกฝนจนมีลมปราณในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ท่านต้องเล่าให้ข้าฟังทุกอย่าง”
เสียงใสเล็กๆ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว นางทราบแล้วว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง มิฉะนั้น พี่เสี่ยวเฮยของนางไม่มีทางกำหนดเงื่อนไขที่ยากเย็นจนเป็นไปไม่ได้เช่นนี้ ที่ผ่านมานั้น พี่เสี่ยวเฮยสอนให้นางฝึกฝน เงื่อนไขที่กำหนดออกมาแม้จะยากไปบ้างแต่นางก็สามารถกระทำได้
ทว่าครั้งนี้เงื่อนไขของพี่เสี่ยวเฮยสูงเทียมฟ้า สูงเสียจนนางมองไม่เห็นหนทางที่จะไปถึง นั่นแปลว่าเรื่องราวที่นางต้องการทราบต้องเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่สุด
เสี่ยวเฮยจ้องหน้านางอย่างประหลาดใจ ไม่คาดว่านางจะยินยอมถึงเพียงนี้
“ดี เจ้าตั้งใจเช่นนั้นก็ดี ยามที่ข้าบอกเล่าออกมา เจ้าจะทราบได้ทันทีว่าอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ข้ากำหนดเงื่อนไขให้เจ้าสูงเช่นนี้”
“เชียนหยิง เวลานี้เจ้าอยู่กับมนุษย์ จำต้องปรับสภาพร่างเซียนของเจ้าให้เติบโตเช่นเดียวกับมนุษย์ ไม่อาจให้เจ้าใช้เวลาเติบโต 2,000 ปีตามปกติ จึงจะเท่ากับมนุษย์ 1 ปี มนุษย์จะได้ไม่ผิดสังเกตในตัวเจ้า”
“ข้าต้องทำอย่างไร พี่เสี่ยวเฮย” เสียงใสเอ่ยถามอย่างกังวล
“เจ้าโคจรลมปราณตามที่ข้าบอก เจ้าจะต้องโคจรลมปราณเช่นนี้ทุกคืนอย่างน้อยคืนละ 2 ชั่วยาม ติดต่อกันสามปี ห้ามขาดแม้แต่คืนเดียว มิฉะนั้นเจ้าต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้พลาดแม้แต่คืนเดียว”
เสี่ยวเฮยเริ่มบอกกล่าวถึงวิธีโคจรลมปราณ อู๋เชียนหยิงเริ่มทำตาม
แม้จะยังคลี่คลายปมในใจเกี่ยวกับเรื่องราวของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียไม่ได้ แต่ยามนี้นางมีจุดหมายที่แสนไกลรออยู่ นั่นคือ ลมปราณในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าลำบากยากเข็ญเพียงใด นางก็ต้องไปให้ถึง
เมื่อมีจุดมุ่งหมายแล้ว สายวันนี้อู๋เชียนหยิงจึงหยิบตำรับตำราที่นางต้องใช้เล่าเรียนในวังมาเริ่มอ่านอีกครั้ง ด้วยความสามารถพื้นฐานของร่างเซียนที่เพียงผ่านตาไม่ลืม พร้อมกับร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่ทำให้นางเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย การพักผ่อนสิบวันจึงทำให้นางอ่านตำราจนครบทุกเล่ม
เมื่อนางสงสัยสิ่งใด เสี่ยวเฮยก็สามารถอธิบายให้นางฟังได้ทั้งหมด นั่นเพราะความรู้ในแดนมนุษย์นั้นย่อมเป็นระดับต่ำสุดของห้วงแห่งสุขาวดี และที่จริงแล้วไม่สามารถนับเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานของห้วงแห่งสุขาวดีได้ด้วยซ้ำ เมื่อเสี่ยวเฮยอ่านตำราเช่นเดียวกับนาง มันจึงเข้าใจได้อย่างง่ายดายและอธิบายให้นางฟังได้อย่างกระจ่างแจ้ง
เมื่อครบสิบวัน วันนี้อู๋เชียนหยิงจึงกลับมาเข้าเรียนอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นเวลาที่อาจารย์ทุกคนให้นักเรียนทุกคนทำข้อสอบย่อยเพื่อวัดระดับความรู้ในทุกวิชา นางจึงขอเข้าสอบด้วยทันที แม้เหล่าอาจารย์จะบอกว่านางไม่สามารถทำข้อสอบเหล่านี้ได้เพราะนางไม่ได้เข้าเรียนเลยก็ตาม
ผ่านไปอีกห้าวันจึงประกาศผลสอบ หากเหล่าอาจารย์และนักเรียนทั้งหมดต้องตกตะลึงเมื่อปรากฏว่าอู๋เชียนหยิงทำข้อสอบได้คะแนนเต็มในทุกวิชา
นักเรียนหลายคนอยากจะคิดว่านางโกงข้อสอบ แต่ที่นั่งในเวลาสอบนั้น อู๋เชียนหยิงนั่งอยู่แถวหน้าสุดและยังนั่งต่อหน้าอาจารย์ที่ควบคุมการสอบ ข้อกล่าวหาว่านางโกงจึงปัดตกไปได้ทันที
อาจารย์ใหญ่หวังให้คนไปเชิญอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านมาพบ เมื่ออู๋ซิงว่านมาถึง ข้อสอบที่อู๋เชียนหยิงตอบคำถามไว้ทั้งหมดก็ถูกยื่นให้ทันที อู๋ซิงว่านรับมาอย่างประหลาดใจก่อนจะก้มลงอ่านคร่าวๆ เริ่มแรกก็เพียงอ่านเรื่อยๆ หากเมื่ออ่านต่อไป ก็ต้องพลิกเปิดหน้ากระดาษเร็วขึ้น สุดท้ายจึงเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่หวัง
“คุณหนูใหญ่อู๋เชียนหยิง บุตรสาวของท่าน ทำข้อสอบได้คะแนนเต็มทุกข้อและทุกวิชา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเจอเด็กน้อยที่เก่งกาจจนเหลือเชื่อ แต่เพราะนางทำได้เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องมาเรียนที่นี่อีกต่อไป เชิญอัครเสนาบดีอู๋พานางกลับไปเถิด นางสำเร็จการศึกษาจากที่นี่แล้ว”
อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านพูดไม่ออกทันที นี่เขาและฮูหยินเก็บได้สัตว์ประหลาดมาหรือไร ไฉนนางจึงเก่งกล้าสามารถนัก
“เชียนหยิง ลูกทำได้อย่างไร” อู๋ซิงว่านถามขึ้นระหว่างนั่งรถม้าพานางกลับมาที่จวนอัครเสนาบดี
“ลูกก็ตอบไปตามที่อ่านและทำความเข้าใจมาเจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงตอบอย่างงุนงง นางจ้องมองอัครเสนาบดีอู๋ตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจ
เห็นแววตาของนางแล้ว อู๋ซิงว่านก็ทราบได้ทันทีว่าบุตรีบุญธรรมของเขาไม่ทราบเลยว่านางได้ทำสิ่งมหัศจรรย์เอาไว้ เขาต้องถอนหายใจออกมาก่อนจะพลันนึกได้ถึงเรื่องหนึ่ง
“เชียนหยิง เจ้าชอบอ่านตำรับตำรางั้นรึ”
“มิได้ชอบเจ้าค่ะ แต่เพราะว่าท่านพ่อท่านแม่ให้ลูกเรียน ลูกจึงตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจ”
“หมายความว่าหากพ่อกับแม่ให้เจ้าเรียนสิ่งใด เจ้าก็จะเรียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
คำตอบของนางสร้างรอยยิ้มให้อู๋ซิงว่านทันที บุตรีบุญธรรมของเขาช่างน่าเอ็นดูนัก
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พ่อจะทูลขอฝ่าบาทให้ทรงอนุญาตให้เจ้าเข้าไปอ่านตำราในหอหนังสือสระเทพสัปดาห์ละสามวัน อีกสามวันเจ้าก็ฝึกฝนลมปราณและเรียนรู้จากแม่ของเจ้า ที่เหลืออีกหนึ่งวันเจ้าก็พักผ่อน ทำเช่นนี้จนกว่าเจ้าจะอายุ 12 ปีถึงกำหนดที่เจ้าจะได้ไปสอบเข้าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพเช่นพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามของเจ้า”
“เจ้าค่ะ แล้วที่หอหนังสือสระเทพมีตำรามากหรือเจ้าคะ”
“มีมากเลยเชียวล่ะ เจ้าได้อ่านจนไม่หวาดไม่ไหวแน่ๆ พ่อเคยได้ยินจากสหายของพ่อ เขาเล่าว่าที่นั่นมีตำรา คัมภีร์ และหนังสือเกือบสองหมื่นเล่ม”
“ท่านพ่อ อย่าลืมทูลขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้พี่เสี่ยวเฮยไปกับลูกด้วยนะเจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงรีบบอกกล่าวเผื่อเจ้าแมวดำทันที
“ไม่ลืมดอก ฝ่าบาททรงอนุญาตแน่”
ผ่านไปอีกสามวัน วันนี้เป็นวันแรกที่อู๋เชียนหยิงมาที่หอหนังสือสระเทพ ที่นี่นางได้พบกับบรรณารักษ์ชรานามซุนเย่ แม้เมื่อแรกพบเฒ่าซุนเย่จะมิได้สนใจอะไรนาง เพราะเห็นเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 8 ปี เด็กอายุเท่านี้ย่อมไม่สนใจสิ่งใดนานนัก จึงคิดว่าที่ฮ่องเต้อนุญาตให้นางมาอ่านตำราที่นี่ตามคำขอของอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน ก็เพราะอัครเสนาบดีอู๋ตามใจบุตรสาว ฮ่องเต้เองก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นจึงอนุญาต
ทว่าผ่านมาถึง 15 วันแล้ว เฒ่าซุนเย่ก็ยังคงเห็นเด็กหญิงน้อยผู้นี้มาอ่านหนังสือที่นี่สัปดาห์ละสามวันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาดสักวัน และหลายหนนางยังยืมหนังสือออกไปด้วย เมื่อครบกำหนดก็นำมาคืนอย่างเรียบร้อย ทำให้จากที่ไม่คิดจะสนใจจึงกลายเป็นสนใจ
เฒ่าซุนเย่คอยตามดูอู๋เชียนหยิงโดยไม่ให้รู้ตัว จึงได้เห็นว่านางนั้นสนใจการอ่านอย่างยิ่ง และได้เห็นนางพูดคุยกระหนุงกระหนิงกับเจ้าแมวดำตัวน้อยที่ติดตามนางมา เจ้าแมวดำนั้นก็มีท่าทีเชื่อฟังนางยิ่งนัก มองเห็นมันกางตำราออกแล้วก้มลงมอง ซ้ำยังพลิกเปิดอ่านราวกับราวกับว่ามันอ่านหนังสือออก เฒ่าซุนเย่ได้แต่ประหลาดใจ
เสี่ยวเฮยเองทราบดีว่าเฒ่าซุนเย่คอยตามดูอู๋เชียนหยิง นั่นเพราะในหอหนังสือสระเทพแห่งนี้ แทบไม่มีผู้ใดมาเยือน หากจะมีมาก็เป็นเพียงนางกำนัลทั้งหลายที่มาขอรับหนังสือที่เหล่าองค์หญิงและองค์ชายต้องการออกไป ดังนั้น หอหนังสือสระเทพจึงเงียบเหงายิ่งนัก มีเพียงอู๋เชียนหยิงและตัวมันครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
ทว่าเฒ่าซุนเย่เพียงตามดูเพราะสนใจที่เด็กหญิงตัวน้อยขยันอ่าน มิได้มีจิตคิดร้าย เสี่ยวเฮยจึงปล่อยผ่าน มันเพียงระมัดระวังมิให้ตนเองเผลอกล่าวภาษามนุษย์ออกไปให้เฒ่าซุนเย่ได้ยินเท่านั้น เสี่ยวเฮยบอกเรื่องที่เฒ่าซุนเย่ตามดูอู๋เชียนหยิงให้นางทราบ เพื่อที่นางจะได้ไม่เผลอทำอะไรออกไปให้เป็นที่ผิดสังเกต
ผ่านไปหนึ่งเดือนเฒ่าซุนเย่จึงเริ่มเข้ามาพูดคุยกับอู๋เชียนหยิง จึงเป็นครั้งแรกที่ตาเฒ่าผู้นี้ได้รับทราบว่าเด็กหญิงน้อยนี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง นางอ่านหนังสือไปมากมายทั้งยังสามารถร้อยเรียงความรู้ที่อ่านได้เป็นอย่างดี ทำให้ความเข้าใจในด้านต่างๆ ยิ่งเพิ่มพูน เฒ่าซุนเย่จึงเริ่มแนะนำหนังสือและตำรับตำราดีๆ ให้นางอ่าน เพราะผ่านมาหนึ่งเดือนนี้ นางอ่านแบบสนใจสิ่งใดก็อ่านสิ่งนั้น เมื่อได้รับคำแนะนำจากเฒ่าซุนเย่ อู๋เชียนหยิงจึงสามารถเลือกหยิบตำรับตำรามาอ่านได้ดีขึ้น
ผ่านไปจนครบปี ยามนี้อู๋เชียนหยิงอายุ 9 ปีแล้ว และนางก็สนิทสนมกับเฒ่าซุนเย่มากขึ้น เฒ่าซุนเย่กลายเป็นแขกประจำของจวนอัครเสนาบดีอู๋เพราะวันพักผ่อนสัปดาห์ละหนึ่งวันของนาง เฒ่าซุนเย่จะมารับนางที่จวน พานางไปเที่ยวเล่น รับประทานของอร่อย กลายเป็นคู่ปู่หลานที่รักใคร่กันยิ่ง แน่นอนว่าไม่ว่าอู๋เชียนหยิงจะไปที่ใด เสี่ยวเฮยย่อมติดตามไปด้วยเสมอ นั่นจึงทำให้เฒ่าซุนเย่พลอยเอ็นดูเจ้าแมวดำน้อยเสี่ยวเฮยไปด้วยเช่นกัน
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยยังมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกมา อู๋เชียนหยิงฝึกวิชาหมัดมวยและท่าเท้าต่างๆ ที่หวงจิ้งหรงสอนให้ในเบื้องต้นเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการสอบเข้าศึกษาต่อที่สำนักวิญญาณเทพ นางเรียนรู้และฝึกฝนได้ดีและรวดเร็วอย่างยิ่ง ทว่าเพียงฝึกไปได้หกเดือน เสี่ยวเฮยจึงสังเกตเห็นว่ากระบวนท่าที่หวงจิ้งหรงสอนให้อู๋เชียนหยิงฝึกฝนนั้นกลับกลายเป็นกระบวนท่าที่มันคุ้นตาอย่างยิ่ง
นั่นเพราะกระบวนท่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าหมัดมวยและท่าเท้าต่างๆ ของมหาเทพชางเล่ยไปเสียสิ้น แม้จะเป็นการเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแต่ก็น่าประหลาดที่หวงจิ้งหรงกลับไม่เห็นความผิดแปลกใดๆ และเมื่อหวงจิ้งหรงให้อู๋เชียนหยิงประลองกับหลานสาวและหลานชายของนางในวัยใกล้เคียงกัน อู๋เชียนหยิงสามารถชนะพวกเขาทั้งหมดได้ภายในสามกระบวนท่าทุกครั้ง ประการสำคัญที่สุดคือ ยามนี้ระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงเพิ่มขึ้นอีกสองขั้นเป็นสร้างลำต้นขั้นที่สิบจากเดิมที่อยู่ที่ขั้นที่แปด
หวงจิ้งหรงดีใจอย่างยิ่งที่ระดับลมปราณของบุตรสาวรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งการเพิ่มขึ้นนี้ ความหนาแน่นของลมปราณก็หนาแน่นและเสถียรอย่างที่สุด ระดับลมปราณนี้กล่าวได้ว่ารุดหน้าเกินเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไปมาก เพราะยามนี้เด็กน้อยเหล่านี้ทำได้เพียงสร้างลำต้นขั้นที่ห้าหรือหก
ทว่าอู๋เชียนหยิงและเสี่ยวเฮยทราบดีว่าการเพิ่มขึ้นเช่นนี้มิได้เร็วแต่อย่างใด กลับช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะปราณทิพย์ในนครประกายเทพเบาบาง การฝึกฝนจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร หากนางยังคงฝึกฝนที่แท่นมังกรขดกาญจนา หนึ่งปีที่ผ่านมานี้นางสมควรก้าวขึ้นสู่ระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งมิใช่ระดับสร้างลำต้นขั้นที่สิบ
ผ่านมาอีกสามปี ยามนี้อู๋เชียนหยิงอายุครบ 12 ปี และถึงกำหนดที่นางจะต้องไปสอบเข้าศึกษาที่สำนักวิญญาณเทพ ระดับลมปราณของนางในยามนี้อยู่ที่แตกหน่อขั้นที่ห้า ขณะที่เด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับนางมีระดับลมปราณอยู่เพียงแตกหน่อขั้นที่หนึ่งถึงสอง
สามปีที่ผ่านมา แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยมิได้ปรากฏอาการผิดปกติใด แต่ที่เห็นได้ชัดคือระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงเลื่อนระดับอย่างง่ายดาย ไม่เกิดคอขวดในการเลื่อนระดับแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งความหนาแน่นของลมปราณก็หนาแน่นเกินอายุและระดับการฝึกฝนของนางไปมาก เสี่ยวเฮยแน่ใจว่านี่คือการเกื้อหนุนของแก่นโลหิตหัวใจ แต่มันก็มั่นใจว่าแก่นโลหิตหัวใจต้องมีดีมากกว่านี้แน่นอน มิฉะนั้นแล้วมหาเทพชางเล่ยคงไม่กล่าวว่าทุกสิ่งของเขาอยู่ในแก่นโลหิตหัวใจนี้
วันนี้เฒ่าซุนเย่มาส่งอู๋เชียนหยิงออกเดินทางไปที่สำนักวิญญาณเทพ
“สอบเข้าศึกษาให้ได้นะ เชียนหยิง มีเรื่องเดือดร้อนอะไร รีบส่งจดหมายมาหาปู่ ปู่จะรีบจัดการให้เจ้า” เฒ่าซุนเย่ออกปากสั่งความอย่างอาลัย ทราบดีว่ากว่าหลานสาวบุญธรรมผู้นี้จะกลับมาให้เห็นหน้าอีกครั้งก็ต้องอีกสามปีข้างหน้า
“เจ้าค่ะ ท่านปู่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“อย่าลืม เขียนจดหมายมาหาปู่บ้าง แต่ถ้าเจ้ายุ่งมาก ก็ไม่ต้องเขียน”
“ข้าจะพยายามเขียนมาเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ทุกสามเดือน”
เช้าวันนี้หวงจิ้งหรงพาอู๋เชียนหยิงมาที่สำนักวิญญาณเทพเพื่อเข้าสอบข้อเขียนในวันแรก การสอบนี้จะใช้เวลา 2 ชั่วยาม ผลการสอบจะประกาศในอีก 7 วันข้างหน้า วันทดสอบระดับฝีมือจะเป็นวันรุ่งขึ้นหลังประกาศผลสอบข้อเขียน ศิษย์สำนักวิญญาณเทพทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาบริเวณที่จัดให้เป็นสถานที่สอบข้อเขียนนี้
เกณฑ์ผ่านการสอบข้อเขียนนั้น สำนักวิญญาณเทพกำหนดเพียงต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 คะแนนจาก 100 คะแนน อู๋เชียนหยิงเปิดอ่านข้อสอบที่วางอยู่ คำถามในข้อสอบมีเพียง 15 ข้อ เมื่ออ่านคำถามครบทุกข้อ นางก็ต้องยิ้มกว้างก่อนจะจรดพู่กันในมือเขียนคำตอบ
“เป็นอย่างไร เจ้าทำได้หรือไม่” หวงจิ้งหรงถามบุตรสาวอย่างเป็นห่วงเมื่อนางออกจากห้องสอบและเดินมาหามารดา
“ทำได้ทุกข้อเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”