ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหนือมาร สะท้านเทพทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ
เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์
ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป
กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ
หวงจิ้งหรงยิ้มอย่างยินดี นางไม่ประหลาดใจกับความสามารถของบุตรสาวตัวน้อยอีกแล้ว นับแต่รับอู๋เชียนหยิงเป็นบุตรีบุญธรรม บุตรสาวผู้นี้ก็แสดงให้นางและอู๋ซิงว่านเห็นถึงความสามารถในด้านต่างๆ หากนางจะฝึกฝนได้ไม่ดีก็เพราะนางไม่ชอบเท่านั้น ที่ย่ำแย่ที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องดนตรีที่อู๋เชียนหยิงไม่สันทัดเอาเสียเลย ไม่ว่าหวงจิ้งหรงพยายามสอนเพียงใด นางก็เพียงแค่เอาตัวรอดได้อย่างทุลักทุเล ขณะที่การเขียนอักษร วาดภาพ หมากล้อม นางกลับทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
เสี่ยวเฮยเองก็ประหลาดใจกับความสามารถในด้านดนตรีของนาง เพราะมันทราบดีว่ามหาเทพชางเล่ยเก่งกาจไปเสียทุกด้าน มีแต่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเท่านั้นที่อ่อนด้อยในเรื่องนี้ สงสัยว่าอู๋เชียนหยิงรับสืบทอดความย่ำแย่ในด้านดนตรีมาจากเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียไว้เต็มเปี่ยม คิดถึงเรื่องนี้เสี่ยวเฮยก็ต้องแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างขบขัน
ผ่านไปอีก 7 วัน สำนักวิญญาณเทพจึงติดประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนและคะแนนที่ทำได้ อู๋เชียนหยิงและหวงจิ้งหรงเห็นคนมุงดูที่กระดานไม้ที่ติดประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านแล้วก็ต้องถอดใจ เพราะคนมุงดูกันแน่นเหลือเกิน
“เชียนหยิง รอสักพักแล้วค่อยเข้าไปดูนะลูก คนเยอะเหลือเกิน”
“เจ้าค่ะ”
ทว่ายามนี้กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น
“มีเด็กสอบได้คะแนนเต็มด้วยรึ”
“ใช่ เป็นเด็กผู้หญิงเสียด้วย เช่นนี้เด็กผู้ชายจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
“นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าพันปีเลยนะที่มีคนสอบได้คะแนนเต็ม”
“เด็กผู้หญิงที่สอบได้คะแนนเต็มมีนามว่าอย่างไร”
“อู๋เชียนหยิง ถ้าจำไม่ผิด นางเป็นบุตรีบุญธรรมของอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน”
“นางโกงหรือไม่ ใครจะไปทำได้คะแนนเต็ม”
“หากนางโกง เจ้าคิดว่านางจะรอดสายตาของผู้คุมสอบรึ เจ้าก็ทราบดีว่าผู้คุมสอบล้วนมีระดับลมปราณอย่างน้อยก็พิชิตขั้นห้า จะรอดสายตาพวกเขา เจ้าก็ต้องมีระดับลมปราณสูงกว่า”
“นางก็ได้แต่เก่งเท่านี้แหละ เดี๋ยวพอถึงรอบทดสอบฝีมือ เด็กผู้หญิงจะมาสู้เด็กผู้ชายได้อย่างไร”
“ก็จริงของเจ้า”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้เข้าหูของหวงจิ้งหรง อู๋เชียนหยิง และเสี่ยวเฮยเต็มๆ
“เชียนหยิง เจ้าทำได้คะแนนเต็ม?” หวงจิ้งหรงถามเสียงแผ่วเบา
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนเขียนคำตอบลงไป ลูกก็มั่นใจว่าต้องได้คะแนนเต็ม” อู๋เชียนหยิงตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจอย่างยิ่ง หวงจิ้งหรงต้องกุมขมับ นางลืมไปเสียสนิทว่าไม่ควรให้บุตรสาวเปิดเผยความสามารถออกมามากเกินไป สมควรต้องเก็บงำไว้บ้าง
“เชียนหยิง ฟังแม่นะลูก” หวงจิ้งหรงเอ่ยขึ้นเมื่อพาบุตรสาวกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พัก
“การที่เจ้ามีความสามารถมากมายนับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ พ่อและแม่เองก็ชื่นชมในความสามารถของเจ้า แต่ความสามารถเช่นนี้ย่อมสร้างความไม่พึงพอใจให้กับผู้อื่น เพราะเจ้าเด่นล้ำเกินหน้าทุกคนไปมาก ดังนั้น เจ้าต้องไม่แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่หากไม่จำเป็นจริงๆ”
อู๋เชียนหยิงจ้องมองหวงจิ้งหรงอย่างแปลกใจ “แล้วลูกต้องทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงทำแค่ไม่เกินหน้าผู้อื่น สมมติเช่นการสอบที่ผ่านมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่ทำคะแนนได้เท่าใด”
อู๋เชียนหยิงส่ายหน้าทันที
“คนส่วนใหญ่ทำได้ดีที่สุดก็เพียง 8-9 ส่วนใน 10 ส่วน ไม่เคยมีใครทำได้เต็มสิบส่วนเช่นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดจงคิดเสมอว่าคนส่วนใหญ่ทำได้แค่ไหน เมื่อทราบว่าพวกเขาทำได้เพียงไร เจ้าก็ทำให้เท่ากับพวกเขาก็ใช้ได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ลูกจะทำตามที่ท่านแม่บอก” อู๋เชียนหยิงรับคำ หากนางกลับไม่เข้าใจอะไรเลย นางไม่เข้าใจว่าในเมื่อนางพยายามอย่างเต็มที่ทุกครั้ง นางก็ใช้ออกด้วยความสามารถที่มีอย่างเต็มที่เสมอมา การให้นางทำเท่าเทียมกับผู้อื่นทั้งๆ ที่นางทำได้ดีกว่ามาก เช่นนี้แล้ว นางจะพยายามไปทำไม
อู๋เชียนหยิงนั่งคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจแม้หวงจิ้งหรงจะออกจากห้องพักของนางไปครู่ใหญ่แล้ว
“พี่เสี่ยวเฮย ท่านเข้าใจที่ท่านแม่กล่าวหรือไม่” นางเอ่ยถามเจ้าแมวดำหลังจากคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อื่นถึงจะไม่พอใจนางหากนางทำได้ดีกว่าพวกเขา
“เข้าใจสิ เรื่องนี้อาจจะยากไปสักหน่อยสำหรับเด็กเช่นเจ้าที่จะทำความเข้าใจ เพราะเจ้ายังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่เก่งกาจมากกว่าเจ้า ข้ายกตัวอย่างง่ายๆ ให้เจ้าฟังสักเรื่องจะดีกว่า”
“สมมติว่ามารดาบุญธรรมของเจ้าบังเอิญตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมาเป็นบุตรสาว ทำให้มารดาบุญธรรมของเจ้าละเลยเจ้า ไม่สนใจเจ้า และทุกคนในจวนก็ไม่มีใครสนใจเจ้าอีกต่อไป เพราะเจ้าเป็นเพียงบุตรบุญธรรม มิใช่บุตรแท้ๆ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
อู๋เชียนหยิงนิ่งอึ้ง นางไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตอบ “ข้าคงไม่ชอบน้องสาวผู้นั้น”
“นอกจากไม่ชอบแล้ว เจ้าคิดอย่างไรอีก”
“เอ่อ...ก็คง...ข้าคงไม่ชอบที่ไม่มีใครสนใจข้าอีกต่อไป”
“แล้วหากไม่มีผู้ใดสนใจเจ้านานขึ้นล่ะ เช่น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากหนึ่งปีเป็นหลายปี ตราบใดที่น้องสาวของเจ้ายังคงอยู่”
อู๋เชียนหยิงต้องนิ่งงัน สีหน้าครุ่นคิด “ข้า...คง...ไม่ชอบน้องสาวคนนั้นเลย”
“แล้วเมื่อเจ้าไม่ชอบนางมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันทุกคืน เจ้าจะทำอย่างไร”
“ข้า...ข้า...เอ่อ...” อู๋เชียนหยิงตอบไม่ถูก สีหน้าสับสน
“ตรงนี้ ข้าสามารถตอบแทนเจ้าได้ว่า เมื่อเจ้าไม่ชอบน้องสาวคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนางมาแย่งความสนใจของทุกคนไปจากเจ้า ดังนั้น วันหนึ่งที่ความไม่พอใจของเจ้าสะสมจนมากพอ เจ้าจะอยากทำร้ายน้องสาวคนนี้จนกระทั่งเจ้าจะกระทำรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเจ้าอาจลงมือสังหารนาง”
อู๋เชียนหยิงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “ข้าจะฆ่านาง?”
“ถูกต้อง เริ่มจากที่เจ้าไม่พอใจ ความไม่พอใจที่สะสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวันจะทำให้เจ้าอิจฉานาง และหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความอิจฉาจะกลายเป็นความริษยา เมื่อใดที่เจ้าริษยานาง เจ้าจะทำทุกวิถีทางที่จะทำร้ายนาง และเมื่อความริษยาของเจ้าพุ่งถึงขีดสุด เจ้าจะลงมือสังหารนาง”
“เฉกเช่นเดียวกัน วันนี้เจ้าทำคะแนนสอบได้ล้ำเลิศเกินหน้าผู้ใด เจ้าจะเป็นที่ชื่นชมของผู้คนมากมาย แต่ก็มีอีกมากมายที่ไม่พอใจเจ้า อิจฉาเจ้า เจ้าเองก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากพวกมันแล้วมิใช่หรือ เห็นหรือไม่ว่าแค่เพียงเจ้าทำคะแนนได้ดีกว่าพวกมัน พวกมันยังคิดว่าเจ้าโกงข้อสอบทั้งๆ ที่เจ้าไม่ได้กระทำเช่นที่พวกมันคิดหรือกล่าวหาแม้แต่น้อย การที่พวกมันคิดเช่นนี้ก็เพราะพวกมันอิจฉาเจ้า”
“หากเจ้าเข้าศึกษาในสำนักวิญญาณเทพ และยังคงแสดงความสามารถจนโดดเด่นเช่นนี้ คิดหรือไม่ว่าศิษย์ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าจะพอใจเจ้าหรือไม่ กระทั่งศิษย์พี่ของเจ้า พวกเขาก็อาจมองว่าเจ้าเป็นคู่แข่งของพวกเขาในภายภาคหน้า เพราะความสามารถของเจ้าเด่นล้ำจนเกินไป เจ้าอาจเทียบเคียงและไล่ทันจนกระทั่งแซงหน้าพวกเขาได้ เมื่อพวกเขามองว่าเจ้าเป็นคู่แข่ง ชีวิตที่สำนักวิญญาณเทพของเจ้าจะปกติสุขเช่นที่จวนอัครเสนาบดีหรือไม่”
อู๋เชียนหยิงนิ่งงัน นี่เป็นคำอธิบายที่นางไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้ได้ นางนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เลยทีเดียว
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เชียนหยิง ฟังข้าให้ดี เจ้ายังสามารถฝึกฝนตนเองได้เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ยามที่ต้องเปิดเผยฝีมือตนเองต่อหน้าผู้อื่น เจ้าเพียงทำเท่าเทียมกับผู้อื่นก็พอ เพียงเท่านี้จะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าอีกต่อไปเพราะเจ้าก็จะธรรมดาสามัญเช่นเดียวกับผู้อื่น”
“นั่นหมายความว่าการทดสอบฝีมือในวันพรุ่งนี้ เจ้าแค่ทำให้ได้ตามเกณฑ์หรือเหนือกว่าเกณฑ์สักหน่อย เจ้าก็จะสอบผ่านเข้าไปศึกษาในสำนักวิญญาณเทพได้โดยไม่มีผู้ใดทราบถึงความสามารถแท้จริงของเจ้า”
“ส่วนเรื่องที่เจ้าทำคะแนนสอบข้อเขียนได้ดี ไม่นานนักมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าว่าเจ้าเพียงโชคดีจึงทำคะแนนได้ดีเกินกว่าผู้ใด ทั้งยังจะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าอีกต่อไปเพราะเจ้าได้กลืนไปกับพวกมันแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
คราวนี้อู๋เชียนหยิงเข้าใจอย่างชัดเจนมากขึ้น นางไม่อาจเข้าใจได้อย่างแท้จริงทั้งหมด เพราะนางยังเยาว์วัยเป็นประการแรก ส่วนประการที่สองคือนางยังไม่เคยอิจฉาผู้ใด นางจึงไม่มีวันเข้าใจความอิจฉานั้นได้
วันนี้เป็นวันวัดระดับลมปราณและทดสอบฝีมือ อู๋เชียนหยิงโคจรลมปราณตามที่เสี่ยวเฮยสอนไว้ ทำให้นางสามารถซ่อนเร้นระดับลมปราณแท้จริงได้ แม้นางจะใส่สร้อยมายาลวงใจ แต่สร้อยนี้ก็เพียงทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่านางมีระดับลมปราณอยู่ในระดับเดียวกับผู้อื่น แต่หากนางใช้ลมปราณออกไป ทุกคนจะทราบได้ทันทีว่าระดับลมปราณของนางในยามนี้คือแตกหน่อขั้นที่ห้า แน่นอนว่าระดับลมปราณของเด็กส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งถึงสอง พี่ใหญ่อู๋จิ่นฟานของนางในยามอายุ 12 ระดับลมปราณของเขาก้าวหน้ากว่าผู้อื่นไปเพียงขั้นเดียว นั่นคือลมปราณของเขาอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่สาม
ยามนี้ผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนต่างกำลังเข้าแถวอยู่ 10 แถว เด็กแต่ละคนได้รับการจัดสรรว่าแต่ละคนจะต้องไปเข้าแถวที่แถวใด อู๋เชียนหยิงอยู่ในแถวที่แปด นางกำลังยืนรออยู่ในแถว ได้ยินเสียงกรรมการจากทั้งสิบแถวขานนามและระดับลมปราณที่วัดได้ออกมา เด็กคนใดที่มีระดับลมปราณต่ำกว่าแตกหน่อขั้นที่หนึ่งล้วนถูกคัดออกทั้งสิ้นไม่ว่าจะทำคะแนนการสอบข้อเขียนได้ดีเพียงใดก็ตาม
“อู๋เชียนหยิง ระดับลมปราณแตกหน่อขั้นที่สอง ผ่าน” กรรมการที่ควบคุมการวัดระดับลมปราณขานนามและระดับลมปราณของนางออกมา หลังจากที่นางวางฝ่ามือทาบลงบนแท่นหินก่อนจะปลดปล่อยลมปราณลงไปบนแท่นหินนั้น
เมื่อได้ยินนามและระดับลมปราณของนาง เด็กหลายคนก็ซุบซิบพูดคุยกันทันทีว่าอู๋เชียนหยิงนั้นก็มิได้เก่งกาจสักเท่าใด เพราะระดับลมปราณสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักวิญญาณเทพกำหนดเพียงขั้นเดียว
อู๋เชียนหยิงทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงนาง นางเดินตรงไปบริเวณด้านในที่จัดไว้เป็นที่ทดสอบฝีมือ ในอ้อมแขนอุ้มแมวดำน้อยเสี่ยวเฮย ทุกคนต้องมองนางอย่างประหลาดใจ หากก็ไม่ได้ติดใจอะไร
เมื่อเดินเข้ามาด้านในได้ไม่นาน อู๋เชียนหยิงจึงมองเห็นลานประลองขนาดใหญ่ รอบลานประลองด้านหนึ่งนั่งไว้ด้วยอาจารย์อาวุโสถึงห้าคน ถัดจากอาจารย์อาวุโสจึงเป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณเทพ นางเลือกนั่งรอที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ทั้งหมดต้องรอให้ผู้ที่ผ่านการวัดระดับลมปราณเข้ามาทั้งหมด การทดสอบฝีมือจึงจะเริ่มขึ้น
“อาจารย์คุมสอบทั้งห้าคนนั้นมีลมปราณอยู่ในระดับพิชิตขั้นห้าถึงขั้นสิบ” เสี่ยวเฮยที่หมอบอยู่บนตักของนางกระซิบบอกเสียงเบา นางพยักหน้ารับทราบ
“ส่วนศิษย์ที่นั่งอยู่ เป็นศิษย์สายนอกชั้นยอด พวกมันมีลมปราณอยู่ในระดับตั้งแต่รวมปราณขั้นที่สองถึงขั้นที่สิบ”
นั่งรออยู่ราวครึ่งชั่วยาม เด็กที่ผ่านการคัดเลือกจากระดับลมปราณจึงเข้ามาครบกันหมด
“การทดสอบฝีมือในรอบนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าประลองฝีมือกัน ผู้ชนะจะได้เข้าศึกษาในสำนักวิญญาณเทพ และอย่างที่ทุกคนทราบ สำนักวิญญาณเทพรับศิษย์ใหม่เพิ่มเพียงปีละ 20 คน แต่พวกเจ้าผ่านเข้ามาถึง 79 คน ดังนั้น ยามนี้จะมีผู้หนึ่งที่ข้าจะจับสลากรายชื่อขึ้นมาให้ผ่านเข้าไปรอทดสอบฝีมือในรอบที่สอง”
อาจารย์อาวุโสผู้นั้นล้วงมือลงไปในโถแก้วใบหนึ่งที่มีศิษย์ผู้หนึ่งยื่นส่งให้ กวาดสายตาเพียงครู่ก็ประกาศนามของผู้ที่ผ่านเข้ารอบก่อนจะหันสลากใบนั้นให้ทุกคนได้เห็น
“อู๋เชียนหยิง”
เพียงนามนี้ถูกประกาศ เด็กหลายคนก็ซุบซิบกันทันทีว่านางโชคดีเหลือเกินที่ได้ชนะเข้าไปรอในรอบถัดไปโดยไม่ต้องเหนื่อย
อู๋เชียนหยิงเดินอุ้มเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยไปนั่งยังที่นั่งของผู้ชนะในรอบแรกเพื่อรอประลองฝีมือในรอบถัดไป สายตาของเด็กทุกคนลอบชำเลืองมองนางอย่างจะจดจำไว้ว่านี่คืออู๋เชียนหยิง
อาจารย์อาวุโสจับสลากรายชื่อขึ้นมาสองคนก่อนจะประกาศออกมา เด็กสองคนที่ถูกขานชื่อเดินขึ้นสนามประลองก่อนจะเริ่มการต่อสู้
“ผู้ที่สามารถทำให้อีกฝ่ายกล่าวยอมแพ้หรือทำให้อีกฝ่ายออกนอกสนามประลอง จะถือเป็นผู้ชนะ ผ่านไปเข้ารอทดสอบในรอบที่สอง” อาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งประกาศเกณฑ์การตัดสินออกมา
คู่แรกเริ่มการต่อสู้กันแล้ว อู๋เชียนหยิงจับตามองอย่างสนใจ ข้างหูจะมีเสี่ยวเฮยคอยบอกกล่าวและสอนนางถึงวิธีการที่คู่ต่อสู้บนสนามประลองใช้ออก ทั้งยังบอกนางถึงวิธีแก้ไขว่าต้องทำเช่นไรจึงจะชนะได้อย่างรวดเร็ว ด้วยดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่สามารถตอบรับทุกสิ่งได้อย่างแม่นยำ ทุกสิ่งที่เสี่ยวเฮยสอนนาง อู่เชียนหยิงรับรู้ ทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ร่างนภาพิสุทธิ์ตอบรับถึงการจดจำที่เพียงผ่านตาไม่ลืมไว้อย่างแม่นยำ คู่ใดที่ไม่น่าสนใจ นางจะเพียงมองผ่านครั้งเดียวก็นั่งหลับตาแม้หูจะยังเงี่ยฟังสิ่งรอบกายที่เกิดขึ้น
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม การทดสอบฝีมือรอบแรกจึงเสร็จสิ้น การทดสอบฝีมือรอบที่สองจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย และรอบที่สองนี้จะเป็นการคัดเลือกให้เหลือเพียง 20 คน
อู๋เชียนหยิงเพียงหยิบเสบียงออกจากถุงแพรมิติที่พกติดตัวอยู่เป็นประจำออกมา ล้วงหยิบห่ออาหารสำหรับเสี่ยวเฮยมาแก้ออกและวางไว้ให้มันก่อนจะหยิบของตนเองมานั่งรับประทานไปเงียบๆ
“อู๋เชียนหยิงใช่หรือไม่” เสียงของเด็กชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
นางหันไปมองจึงพบว่าเด็กชายผู้นี้มานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ นาง
“ใช่ เจ้ามีอะไรรึ”
“ข้าเห็นเจ้านั่งคนเดียวกับแมวตัวนี้ ข้าก็คนเดียว สหายข้าไม่มีใครผ่านเข้ารอบมาสักคน”
อู๋เชียนหยิงพยักหน้ารับรู้หากไม่เอ่ยอะไรต่อ นางนั่งรับประทานต่อไปเงียบๆ
“นี่ นี่ ข้าชื่อเสวียนหย่ง เรามาเป็นสหายกันนะ” เด็กน้อยเสวียนหย่งบอกง่ายๆ
“เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ทัพเสวียนอู่?”
“ก็ใช่ แต่อย่าไปพูดถึงเลย ข้าก็แค่บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาเท่านั้น เทียบไม่ได้กับบุตรชายที่เกิดจากเหล่าฮูหยินหรอก”
“ถึงเทียบไม่ได้ แต่ท่านแม่ทัพก็ให้เจ้ามาสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อที่สำนักวิญญาณเทพนี่”
อู๋เชียนหยิงย่อมทราบดีว่าหากมิใช่บุตรจากฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และฮูหยินสามแล้ว บุตรที่เกิดจากอนุภรรยาหรือสาวใช้อุ่นเตียงนั้น การเล่าเรียนต่างๆ จะจำกัดอยู่เพียงภายในจวน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาศึกษาที่นอกจวน จะออกมาศึกษาได้ก็ต้องให้เจ้าของจวนหรือผู้นำตระกูลอนุญาต ขณะที่นางเองแม้จะเป็นเพียงบุตรบุญธรรม แต่นางเป็นบุตรบุญธรรมของฮูหยินเอก นางจึงมีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรชายและบุตรสาวของฮูหยินเอกทุกประการ
“ก็ใช่ ท่านพ่อข้าส่งเสริมลูกทุกคน เพียงแต่ข้าไม่ได้เก่งกาจมากมาย กลัวจะสอบเข้าไม่ได้น่ะสิ ขนาดคะแนนสอบข้อเขียน ข้ายังทำได้เพียง 70 คะแนนเอง อยู่อันดับท้ายสุดของรายชื่อเลยแหละ” เสวียนหย่งเล่าออกมาอย่างไม่อายกับคะแนนของตน นั่นเพราะเกณฑ์การสอบผ่านข้อเขียนคือต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 คะแนนจาก 100 คะแนน เรียกได้ว่าเสวียนหย่งสอบผ่านชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
“ข้าล่ะอิจฉาเจ้าแทบตาย ทำอย่างไรจึงได้คะแนนเต็มทุกข้อ” น้ำเสียงใสซื่อจริงใจบอกกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“ข้าแค่โชคดีเท่านั้น อ่านตำรามาตรงกับข้อสอบพอดี” อู๋เชียนหยิงตอบตามที่เสี่ยวเฮยสอนนางไว้เรื่องการปกปิดความสามารถตนเอง ทว่าคำ ‘อิจฉา’ ของเสวียนหย่งทำให้นางนึกได้ถึงคำพูดของเสี่ยวเฮย
“เจ้าเนี่ยนะโชคดี ข้าล่ะอยากโชคดีเช่นเจ้าจริงๆ”
“นี่ เชียนหยิง เจ้าเอาแมวดำตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลยรึ” เสวียนหย่งถามอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นใครติดแมวเท่านาง
“พี่เสี่ยวเฮยกับข้าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่เคยห่างกัน”
“มันชื่อเสี่ยวเฮยรึ สมตัวดี หน้าตามันก็น่ารักไม่เบานะ”
“แน่นอน พี่เสี่ยวเฮยน่ารักที่สุด” นางโอ้อวดทันที
“แล้วหากเจ้าสอบเข้าสำนักวิญญาณเทพได้ พวกอาจารย์จะยอมให้เจ้าเอาเสี่ยวเฮยไปเลี้ยงด้วยรึ”
“ยอมสิ พี่ใหญ่ถามให้แล้ว พวกอาจารย์ให้เลี้ยงได้แต่ข้าต้องดูแลให้ดี อย่าให้พี่เสี่ยวเฮยไปซุกซนรบกวนใคร”
“จริงสิ ข้าก็ลืมไป คุณชายใหญ่อู๋จิ่นฟาน พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณเทพนี่นา”
อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งนั่งรับประทานไปและพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสิ้นเวลาพักและเริ่มการทดสอบฝีมือรอบสุดท้าย ผ่านไปไม่นานอาจารย์อาวุโสก็จับสลากได้ชื่อของเสวียนหย่งและเด็กน้อยอีกคน
“โชคดีนะ เสวียนหย่ง ขอให้เจ้าชนะ ได้เข้าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพ” อู๋เชียนหยิงอวยพร
“ข้าจะพยายาม หากข้าไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ ท่านแม่คงเสียใจมาก ข้าไม่อยากให้ท่านแม่เสียใจ”
เสวียนหย่งเดินขึ้นลานประลองไป อู๋เชียนหยิงนั่งมองเสวียนหย่งต่อสู้ไปได้ครู่หนึ่งก็ต้องมีสีหน้าเคร่งเครียด
“พี่เสี่ยวเฮย ท่านว่าเสวียนหย่งจะชนะหรือไม่”
“ชนะ แต่ก็ฉิวเฉียดอย่างที่สุด เจ้าอยากให้เด็กน้อยนี้ชนะ?”
“อื้อ เขากับข้าพูดคุยถูกคอกันดี นิสัยเขาก็ดูใช้ได้ ข้าเพิ่งมีเขานี่แหละเป็นสหายคนแรก ข้าก็อยากให้เขาชนะ”
สิ้นประโยคนี้ เสวียนหย่งก็เอาชนะอีกฝ่ายได้พอดี อู๋เชียนหยิงยิ้มอย่างดีใจ เสวียนหย่งหันมายิ้มกว้างให้นางก่อนจะเดินไปนั่งยังที่นั่งของเด็กที่ผ่านการทดสอบฝีมือ
“อู๋เชียนหยิงและเสวียนจื้อ”
อู๋เชียนหยิงนึกไม่ถึงว่านางจะต้องมาต่อสู้กับเสวียนจื้อ บุตรชายคนโตของแม่ทัพเสวียนอู่กับฮูหยินเอก
“เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าที่มีดีแค่ท่องตำราจนทำคะแนนได้ดีกว่าคนอื่นคิดหรือว่าจะชนะข้า ได้เข้าศึกษาที่สำนักวิญญาณเทพ” เสวียนจื้อเอ่ยวาจาถากถาง
เด็กน้อยนี้อิจฉาอู๋เชียนหยิงตั้งแต่เห็นคะแนนสอบของนาง เพราะคะแนนสอบของมันอยู่ในลำดับสอง มันทำคะแนนได้ 90 คะแนน ซึ่งมันมั่นใจว่ามันจะได้ลำดับที่หนึ่งในการสอบข้อเขียน แต่เมื่อมันเห็นรายชื่อผู้ที่ได้คะแนนมากกว่าตนคือเด็กหญิงผู้หนึ่ง มันก็ไม่พอใจทันทีเพราะมันเสียหน้า ไม่ว่าใครต่อใครล้วนคาดหวังว่ามันจะสอบข้อเขียนได้เป็นที่หนึ่ง
ทุกคนมองเห็นอู๋เชียนหยิงกรอกตารอบหนึ่งอย่างเบื่อหน่าย นางพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าว “พูดจบแล้วหรือไม่ พูดเสร็จแล้วก็ลงมือได้แล้ว ข้าขี้เกียจรอ”
เสวียนจื้อมีโทสะทันที มันพุ่งทะยานเข้าหาอู๋เชียนหยิง มือรวบกำเป็นหมัดก่อนจะชกออก เป้าหมายย่อมเป็นหน้าอกของอู๋เชียนหยิง มันตั้งใจชกให้นางหมดสติ แต่อู๋เชียนหยิงไม่มีท่าทีจะหลบหากแต่พุ่งเข้าหาเสวียนจื้อด้วยท่าร่างเงาจันทร์เลือนลับ นางยื่นแขนออกไป ลมปราณระดับแตกหน่อขั้นที่ห้าในร่างถูกโคจรอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติของมนุษย์หากแต่เป็นเรื่องปกติของเทพเซียนถูกใช้ออก มือของอู๋เชียนหยิงคว้าจับที่มือของเสวียนจื้อและฉุดดึงให้มันถลาไปข้างหน้าของมัน ขณะที่นางเอี้ยวตัวหลบมาอยู่ด้านหลังของมันก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าที่กลางหลังเต็มแรง แรงฟาดนั้นส่งให้เสวียนจื้อถลาไปข้างหน้าต่ออย่างรวดเร็วจนหลุดออกนอกลานประลอง
มองเห็นเสวียนจื้อสะดุดล้มที่นอกลานประลอง หน้าจูบกับพื้นดินเต็มรัก มันรู้สึกหมุนคว้างจนมองเห็นดาวลอยเต็มฟ้า ครู่หนึ่งจึงค่อยรู้สึกตัว เสวียนจื้อรีบลุกขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าสู่ลานประลองอีกครั้ง หมัดถูกกำแน่นพร้อมที่จะเอาคืนอู๋เชียนหยิง ทว่า...
“เสวียนจื้อออกนอกลานประลองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อู๋เชียนหยิงชนะ รับเป็นศิษย์สำนักวิญญาณเทพ” เสียงของอาจารย์อาวุโสผู้หนึ่งดังขึ้น อาจารย์ผู้นี้ต้องแปลกใจกับกระบวนท่าของอู๋เชียนหยิง นั่นเพราะเพียงท่าเท้าที่นางใช้เคลื่อนไหวก็รวดเร็วจนเกินระดับของเด็กน้อยวัย 12 ปีไปแล้ว แต่นี่เพียงกระบวนท่าเดียว นางก็สามารถเอาชนะไปอย่างง่ายดาย แทบจะไม่ได้ออกแรงสักเท่าใด เรื่องนี้มิได้เกิดขึ้นบ่อยนักในการทดสอบนักเรียนใหม่
เสวียนจื้อตะลึงงัน ยามนี้มันจึงเพิ่งรู้ตัวว่ามันหลุดออกนอกลานประลองและมันวิ่งกลับเข้ามา
“ขอบคุณท่านอาจารย์” อู๋เชียนหยิงประสานมือก้มศีรษะคำนับก่อนจะเดินไปอุ้มเสี่ยวเฮยมา มองเห็นเสวียนหย่งกวักมือเรียกนางให้ไปนั่งด้วยกัน
เด็กหลายคนที่นั่งชมอยู่ต่างเหลือบมองนางอย่างทึ่งจัด หากก็อิจฉานางไม่น้อย เพราะนางจบการต่อสู้ได้ไวที่สุดนับแต่ประลอง กล่าวได้ว่าใช้เวลาเพียงสามอึดใจเท่านั้นก็เสร็จสิ้น ขณะที่ผู้อื่นใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเค่อจนถึงหนึ่งเค่อ
เสวียนจื้อเดินคอตกออกจากลานประลอง มันแพ้อย่างไร้ข้อกังขา ฮูหยินเอกของแม่ทัพเสวียนอู่ที่มานั่งชมก็กล่าวอะไรไม่ออก ได้แต่ต้องรอปีหน้าที่สำนักวิญญาณเทพเปิดรับนักเรียนใหม่อีกครั้ง
ใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วยาม การทดสอบฝีมือจึงเสร็จสิ้น สำนักวิญญาณเทพก็ได้ศิษย์ใหม่ครบ 20 คน
“ปีนี้สำนักวิญญาณเทพได้ศิษย์หญิง 5 คน และศิษย์ชาย 15 คน ศิษย์หญิงทั้งห้าให้ตามจางหยวนลี่ไป นางเป็นอาจารย์หญิงที่ดูแลเรือนพักของศิษย์สายนอกที่เป็นสตรี ส่วนศิษย์ชายให้ตามหวังต้าเจิงไป เขาเป็นอาจารย์ที่ดูแลเรือนพักของศิษย์บุรุษ พวกเขาทั้งสองจะจัดเรือนพักและผู้อยู่ร่วมเรือนให้พวกเจ้า รวมทั้งเสื้อผ้าสำหรับศิษย์สายนอก ยามนี้ให้พวกเจ้าทั้งยี่สิบคนไปร่ำลาผู้ที่มาส่งเจ้าให้เรียบร้อย” อาจารย์อาวุโสผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
อู๋เชียนหยิงรีบเดินไปหาหวงจิ้งหรงทันที รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเพราะนางอยู่กับหวงจิ้งหรงมาห้าปีเต็ม
“ท่านแม่”
“ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนนะลูก อย่าได้กังวลอะไรทั้งสิ้น มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาจิ่นฟาน พี่ใหญ่ของเจ้า และอย่าลืมส่งจดหมายหาแม่กับพ่อทุกเดือน” หวงจิ้งหรงสั่งความอย่างห่วงใย
“เจ้าค่ะ ลูกจะเขียนจดหมายหาพวกท่านทุกเดือน”
หวงจิ้งหรงสวมกอดอู๋เชียนหยิงไว้ครู่หนึ่งก่อนจะตัดใจปล่อยนางออก “เจ้ารีบเข้าไปเถิด อย่าให้ท่านอาจารย์รอนาน”
“เจ้าค่ะ ลูกไปก่อน ท่านแม่ดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ”
อู๋เชียนหยิงกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะเข้าไปกอดหวงจิ้งหรงไว้ แม้หวงจิ้งหรงมิใช่มารดาแท้จริงของนางแต่ก็เลี้ยงดูและดูแลนางมาอย่างดีตลอดห้าปีที่ผ่านมา