ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น) โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น)

อู๋เชียนหยิงเดินไปหาอาจารย์หญิงจางหยวนลี่ ที่คอของนางคล้องไว้ด้วยถุงผ้าเนื้อนุ่ม ภายในถุงมีเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยนั่งอยู่

“อู๋เชียนหยิง เจ้าเลี้ยงแมวได้ เพียงระวังอย่าให้มันซุกซนไปรบกวนผู้ใด” จางหยวนลี่บอกกล่าวเมื่อมองเห็นถุงผ้าที่ใส่แมวดำตัวน้อย นางนึกได้ทันทีว่าเป็นอู๋เชียนหยิงเพราะก่อนหน้าไม่นานนัก อู๋จิ่นฟาน ศิษย์สายนอกชั้นยอดมาบอกกล่าวว่าน้องสาวบุญธรรมของเขาคงจะได้เข้ามาเล่าเรียนที่นี่ นางเลี้ยงแมวดำไว้ตัวหนึ่งและต้องการเอามันมาเลี้ยงที่สำนักวิญญาณเทพด้วย

สำนักวิญญาณเทพมิได้มีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว อู๋เชียนหยิงเอาแมวดำมาเลี้ยงจึงมิได้ผิดแปลกอะไร เพียงแต่ในสำนักวิญญาณเทพไม่มีผู้ใดมีสัตว์เลี้ยงมาก่อนก็เท่านั้น

“เจ้าค่ะ พี่เสี่ยวเฮยไม่ซนแน่เจ้าค่ะ อาจารย์หญิงไม่ต้องกังวล”

“เจ้าพักที่เรือนธาราเทพ เรือนนี้มีศิษย์พี่หญิงสองคนคือหลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟาง พวกนางอายุมากกว่าเจ้าสองปี ลมปราณอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่ห้า” จางหยวนลี่บอกกล่าวเมื่อพานางมาถึงหน้าเรือนพักแห่งหนึ่ง หน้าเรือนมีศิษย์สตรีสองนางยืนรออยู่

“อู๋เชียนหยิงคำนับศิษย์พี่หลิว ศิษย์พี่เฉิน” อู๋เชียนหยิงกล่าวทักทายทำความรู้จักแรกเริ่ม

“ฝากพวกเจ้าดูแลนางด้วย กฎเกณฑ์อะไรที่นางต้องรู้ก็บอกกล่าวเสียให้เรียบร้อย นางจะได้ไม่ทำผิดพลาด” จางหยวนลี่หันไปกล่าวกับหลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟาง

“เจ้าค่ะ”

“เจ้าคืออู๋เชียนหยิงที่ทำคะแนนสอบข้อเขียนได้เต็ม?” หลิวจื่อซิ่วเอ่ยถามทันทีที่จางหยวนลี่ลับหายไป

“ข้าแค่โชคดีเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

“ถึงจะบอกว่าโชคดี แต่เจ้าก็ต้องขยันไม่น้อยล่ะ มิฉะนั้นจะทำได้อย่างไร”

“แล้วนี่แมวดำที่เจ้าติดมากรึ” เฉินรุ่ยฟางเอ่ยถามเมื่อชักรู้สึกชมชอบแมวดำขนฟูในถุงผ้าที่จับจ้องมองพวกนางทั้งสอง

“นี่คือพี่เสี่ยวเฮยเจ้าค่ะ พี่เสี่ยวเฮยอยู่กับข้ามาตั้งแต่ข้ายังเล็กกว่านี้”

“อยู่กับเจ้ามาตั้งนาน ตัวมันก็ยังเท่านี้อยู่รึ” เฉินรุ่ยฟางถามอย่างประหลาดใจก่อนจะยื่นมือเกาคางให้อย่างเอ็นดู เพราะเสี่ยวเฮยสูงเพียง 5 ชุ่นเท่านั้น ขนาดตัวของมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยนับตั้งแต่ที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียสร้างมันขึ้นมา

“เจ้าค่ะ พี่เสี่ยวเฮยโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ ไม่โตกว่านี้แล้ว”

หลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟางได้แต่ประหลาดใจหากก็ไม่ได้สงสัยอะไร พวกนางคิดว่าเสี่ยวเฮยคงเป็นแมวพันธุ์เล็กจึงตัวโตเพียงเท่านี้

“ข้าแนะนำเจ้าเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ ก่อนดีกว่า เอาจริงๆ กฎเกณฑ์ของสำนักวิญญาณเทพก็ไม่มีอะไรมาก ที่ห้ามเด็ดขาดคือห้ามศิษย์บุรุษเข้าเขตเรือนที่พักของศิษย์สตรี และเรือนที่พักของศิษย์บุรุษก็ห้ามศิษย์สตรีเข้าไปเช่นกัน กฎข้อนี้เข้มงวดที่สุด หากศิษย์คนใดฝ่าฝืน มีโทษเพียงสถานเดียวคือไล่ออก ดังนั้น เจ้าเพียงระมัดระวังเรื่องนี้เท่านั้น” หลิวจื่อซิ่วบอกกล่าว

“แต่ถ้าเจ้าต้องการพบเพราะมีธุระสำคัญ ก็สามารถส่งจดหมายขออนุญาตอาจารย์ผู้ดูแลเรือนพักได้ รออาจารย์ผู้ดูแลตอบกลับ เมื่อท่านอนุญาต เจ้าจึงสามารถไปที่ห้องรับรองของเรือนกลางของอาจารย์ผู้ดูแลเพื่อรอพบ การพบปะจะมีอาจารย์ผู้ดูแลอยู่รับฟังด้วยเสมอ”

“เรือนพักแต่ละแห่งจะมีศิษย์พักอยู่ด้วยกันสามคน ดังนั้น เวรทำความสะอาดก็จะทำคนละสองวัน สัปดาห์หนึ่งจะทำความสะอาดสองวัน สัปดาห์ที่แล้วเป็นเวรของข้า สัปดาห์นี้เป็นของรุ่ยฟาง สัปดาห์หน้าก็เป็นเจ้านะ เชียนหยิง สลับไปคนละสัปดาห์”

“เจ้าค่ะ”

“สำหรับเสื้อผ้า เจ้าเพียงนำเสื้อผ้าที่ใช้แล้วมาใส่ตะกร้าไม้ไผ่แล้วเขียนชื่อของเจ้าไว้บนตะกร้านั้น ทุกสามวันจะมีผู้รับใช้จากเรือนกลางมานำไปซักและดูแลให้จนเรียบร้อย แล้วพวกเขาจะนำตะกร้านั้นมาวางไว้ที่เรือนในอีกสามวันถัดไป เจ้าก็จัดสรรเสื้อผ้าของเจ้าให้ดี”

“ส่วนอาหาร ศิษย์สตรีทุกคนจะรับประทานอาหารทั้งสามมื้อที่โรงอาหารตะวันตก ศิษย์บุรุษจะเป็นโรงอาหารตะวันออก เวลารับประทานกำหนดเพียงครึ่งชั่วยามจะต้องรับประทานให้เสร็จเรียบร้อย”

“ในชั้นเรียน ศิษย์บุรุษและสตรีสามารถเรียนร่วมกันได้ นั่นจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ศิษย์บุรุษและสตรีสามารถพบเจอกัน แต่เมื่อหมดเวลาเรียนหรือทำภารกิจ ต้องแยกกันโดยเด็ดขาด หากทางสำนักจับได้ว่าลักลอบนัดพบกัน โทษคือไล่ออกทั้งคู่ ไม่มีการยกเว้นแก่ผู้ใดทั้งสิ้น”

“แล้วเคยมีใครถูกไล่ออกเพราะละเมิดกฎเหล่านี้บ้างหรือไม่เจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงถามอย่างอยากรู้

“ตั้งแต่ตั้งสำนักวิญญาณเทพขึ้นมายังไม่เคยมีใครถูกไล่ออกเพราะเรื่องพวกนี้นะ” เฉินรุ่ยฟางบอกนางอย่างไม่ปิดบัง

“ชั้นเรียนที่เจ้าต้องไปร่วมเรียนเสมอตลอดหกเดือนแรกคือวิชาพื้นฐานต่างๆ ได้แก่ ลมปราณและธาตุ ปรุงโอสถ อักขระเวท หลอมกระดูก และศาสตรา เรื่องลมปราณและธาตุนั้นเจ้ารู้อยู่แล้ว แต่ที่ไปเรียนแท้จริงคือการฝึกฝน ที่หอลมปราณเทพจะมีห้องให้เจ้าฝึกฝนลมปราณ เจ้าสามารถฝึกฝนในห้องนั้นได้ทุกวัน แต่ฝึกฝนได้ไม่เกินวันละหนึ่งชั่วยาม หากเจ้าต้องการมากกว่านี้ เจ้าต้องไปที่หอภารกิจเทพ เพื่อช่วยสำนักทำภารกิจต่างๆ คะแนนที่เจ้าได้จากการทำภารกิจสามารถไปแลกเป็นจำนวนชั่วยามสำหรับการใช้ห้องฝึกฝนลมปราณได้ รายละเอียดมากกว่านี้ เจ้าไปดูที่หอภารกิจเทพเองจะดีกว่า”

“การปรุงโอสถก็เป็นเช่นเดียวกัน ที่หอโอสถเทพ เจ้าจะได้เรียนรู้การปรุงโอสถ ส่วนเวลาและห้องที่ใช้ในการฝึกปรุงโอสถที่ดีกว่าเดิมก็ต้องใช้คะแนนจากการทำภารกิจมาแลก”

“แต่อักขระเวทและศาสตราจะต่างออกไปสักหน่อย ที่หอทวยเทพ เจ้าจะได้เรียนรู้การเขียนอักขระเวทและการหลอมกระดูกสัตว์อสูรในเบื้องต้น รวมทั้งเรียนวิชากระบี่ในเบื้องต้น แต่หากเจ้าต้องการเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป นอกจากจะต้องสอบผ่านให้ได้ตามเกณฑ์ของหอหวยเทพแล้ว เจ้าก็ยังต้องใช้คะแนนจากการทำภารกิจเช่นกัน ดังนั้น พรุ่งนี้เมื่อเจ้าเล่าเรียนเสร็จแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่หอภารกิจเทพ จะได้ทราบว่ามีภารกิจใดที่เจ้าทำได้และคะแนนที่ได้นั้นสามารถเอาไปทำสิ่งใดได้บ้าง”

หลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟางช่วยกันบอกเล่าให้อู๋เชียนหยิงฟัง ฟังแล้วก็ทราบได้ทันทีว่าการร่ำเรียนในสำนักวิญญาณเทพนั้น แล้วแต่ศิษย์แต่ละคนว่าต้องการเรียนในด้านใด สามารถเลือกได้เอง

“เชียนหยิง หากเจ้าต้องการทราบเรื่องราวของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เจ้าต้องเรียนทั้งหมด ไม่อาจเลือกเรียนได้” เสี่ยวเฮยบอกทันทีที่อยู่เพียงลำพังในห้องพัก

“เจ้าจำเป็นต้องเก่งกาจในทุกด้าน เพราะเมื่อเจ้าทราบเรื่องราวทั้งหมด เจ้าจะทราบได้ทันทีว่าที่เจ้ามุมานะพยายามมานั้นไม่สูญเปล่าแน่นอน ประการสำคัญคือความรู้ในทวีปวิญญาณเทพนี้ แม้จะบอกว่าเป็นขั้นสูง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

อู๋เชียนหยิงพยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ นางเข้าใจดีเพราะมิฉะนั้นแล้ว พี่เสี่ยวเฮยไม่มีทางกำหนดให้ระดับลมปราณของนางต้องบรรลุเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่งหากนางอยากทราบเรื่องราวของพวกเขา

 

 

 

วันนี้อู๋เชียนหยิงมานั่งเรียนเรื่องลมปราณกับเหล่านักเรียนใหม่ นางได้พบเสวียนหย่งอีกครั้งหากมิได้มีโอกาสพูดคุยกัน อาจารย์ผู้สอนมิได้ทบทวนอะไรมากนักเพราะเด็กทุกคนทราบดีอยู่แล้ว

“หอลมปราณเทพถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ที่มีปราณทิพย์หนาแน่นที่สุดในทวีปวิญญาณเทพ มีทั้งหมด 38 ชั้น แต่ละชั้นมีห้องฝึกฝนลมปราณให้พวกเจ้าทั้งสิ้นจำนวน 20 ห้อง แต่ห้องฝึกฝนจะมีทั้งสิ้น 634 ห้องฝึกฝน” อาจารย์ที่สอนเรื่องลมปราณเริ่มบอกเล่าเรื่องของหอลมปราณเทพออกมา

“ชั้นที่ 1-30 สำหรับศิษย์สายนอกทั่วไปเช่นพวกเจ้า ชั้นที่ 31-32 สำหรับศิษย์สายนอกชั้นยอด ชั้นที่ 33-34 สำหรับศิษย์สายใน ชั้นที่ 35 สำหรับศิษย์ส่วนตัวของเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนัก ชั้นที่ 36 สำหรับรองเจ้าหอทั้งสี่ ชั้นที่ 37 สำหรับเจ้าหอทั้งสี่ และชั้นที่ 38 สำหรับท่านเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนัก”

“ชั้นสำหรับศิษย์สายนอกชั้นยอดและศิษย์สายในจะมีเพียงชั้นละห้าห้อง เพราะผู้ที่จะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดและสายในได้จะมีเพียงสิบคนเท่านั้น ชั้นสำหรับศิษย์ส่วนตัวจะมีเพียงสามห้อง เพราะศิษย์ส่วนตัวจะมีเพียงเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักทั้งสองเท่านั้นที่สามารถรับได้”

“จำนวนชั่วยามที่ใช้ได้สำหรับศิษย์สายนอกอย่างพวกเจ้าคือครั้งละไม่เกินหนึ่งชั่วยาม หากต้องการมากกว่านี้ต้องไปทำภารกิจที่หอภารกิจเทพเพื่อนำคะแนนมาแลกเป็นจำนวนชั่วยามที่เพิ่มขึ้น ส่วนศิษย์สายนอกชั้นยอด ศิษย์สายใน ศิษย์ส่วนตัว พวกเขาสามารถมาใช้ห้องฝึกฝนได้ทุกเวลา”

อู๋เชียนหยิงจดจำไว้ในใจ เมื่อเสร็จสิ้นจากการอธิบาย นักเรียนใหม่ทั้ง 20 คนจึงได้ลองเข้าไปใช้ห้องฝึกลมปราณ อู๋เชียนหยิงเข้ามาในห้องแห่งหนึ่ง ในห้องนั้นไม่มีการประดับตกแต่งใด บนผนังมีเพียงเชิงเทียนเล็กๆ ทั้งสามด้าน  กระถางกำยานเล็กๆ วางที่มุมห้องทั้งสี่ ผนังด้านหนึ่งวางไว้ด้วยเบาะสีแดงหม่นขนาดใหญ่สำหรับใช้นั่งฝึกฝนลมปราณ

“นับว่ามีปราณทิพย์ในระดับที่ดีไม่น้อยแม้จะไม่อาจเทียบได้กับแท่นมังกรขดกาญจนา เชียนหยิง เจ้าฝึกฝนที่นี่ ระดับลมปราณสมควรเลื่อนขั้นได้ง่ายขึ้น เจ้ามีเวลาหนึ่งชั่วยามก็ฝึกฝนเถิด เสร็จแล้วจะได้ไปหอภารกิจเทพกัน” เสี่ยวเฮยเอ่ยบอกหลังจากสัมผัสถึงปริมาณปราณทิพย์ในห้องแห่งนี้

อู๋เชียนหยิงนั่งโคจรลมปราณตามแนวทางที่เสี่ยวเฮยสอนนางมาตั้งแต่ครั้งที่อยู่ที่แท่นมังกรขดกาญจนา นั่งโคจรลมปราณไปได้เกือบหนึ่งชั่วยาม นางพลันรู้สึกได้ถึงปริมาณลมปราณในร่างที่พลันเอ่อท้นอย่างรวดเร็ว เป็นลักษณะที่บ่งบอกชัดเจนว่านางกำลังจะเลื่อนระดับลมปราณ

อู๋เชียนหยิงทราบดีว่าการเลื่อนระดับลมปราณของนางช้าลงกว่าเดิมแม้นางจะพยายามฝึกฝนเพียงใด เพราะในนครประกายเทพ ปริมาณปราณทิพย์เบาบางอย่างยิ่ง การเลื่อนระดับลมปราณจึงทอดเวลานานออกไป หากเมื่อนางเข้ามาในห้องฝึกฝนนี้ นั่งโคจรเพียงไม่นาน ระดับลมปราณของนางก็ใกล้จะเลื่อนขั้น นั่นเพราะนอกเหนือจากระดับปราณทิพย์ที่มากพอแล้ว อีกส่วนย่อมเป็นเพราะระดับลมปราณในร่างของนางนั้นใกล้จะเลื่อนระดับได้แล้ว

ไม่นานนักระดับลมปราณที่เอ่อล้นพลันรวมตัวที่จุดตันเถียนของนาง ลมปราณนั้นควบรวมอัดแน่นกลายเป็นกลุ่มพลังขุมใหญ่ขุมหนึ่ง จากนั้นนางรู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างจากหัวใจของนางพุ่งดิ่งตรงสู่จุดตันเถียนของนางก่อนจะเข้าควบคุมและหลอมรวมขุมพลังที่อัดแน่นนั้นให้กลายเป็นสายธารพลังสายหนึ่งที่แพร่กระจายผ่านจุดชีพจรทั้ง 54 จุดของนางอย่างรวดเร็วแต่ก็นุ่มนวลที่สุด ก่อนจะโคจรหมุนวนไปทั่วร่างของนางเช่นลมปราณปกติ นางรู้สึกได้ทันทีว่าระดับลมปราณของตนเลื่อนระดับจากแตกหน่อขั้นที่ห้าสู่ขั้นที่หก

หากมีผู้ใดทราบว่าลมปราณของอู๋เชียนหยิงสามารถโคจรผ่านจุดชีพจรทั้ง 54 จุด ทุกผู้คนต้องตกตะลึง นั่นเพราะการเปิดจุดชีพจรนั่นยากเย็นยิ่งนัก ในแดนดาราระดับล่างสุดที่ดาวเคราะห์ธาราครามนี้ดำรงอยู่นั้น การเปิดจุดชีพจรได้มากที่สุดก็เพียง 15 จุดเท่านั้น เพียงสิบห้าจุดก็นับว่าเลิศล้ำกว่าผู้ใดไปมากแล้ว แต่การเปิดจุดชีพจรทั้ง 54 จุดนั้นกล่าวได้ว่าสวรรค์เมตตา เป็นบุตรสุดที่รักของสวรรค์เลยทีเดียว

แน่นอนว่าผู้ที่เปิดจุดชีพจรนี้ให้นางย่อมเป็นเสี่ยวเฮย เมื่ออู๋เชียนหยิงอายุ 12,000 ปี มันก็ใช้วิชาดรรชนีมารสุริยันของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเปิดจุดชีพจรให้นางทั้งหมด เพราะอายุ 12,000 ปีนับเป็นอายุแรกเริ่มที่สามารถเปิดจุดชีพจรได้ และยิ่งเปิดจุดชีพจรได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับการฝึกฝน นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่การเลื่อนระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงจึงทำได้ง่ายกว่าผู้อื่น

“ระดับลมปราณของเจ้าเลื่อนระดับแล้ว” เสี่ยวเฮยทักขึ้นทันทีที่นางลืมตา อู๋เชียนหยิงแย้มยิ้มอย่างดีใจ

“ยังคงมีพลังประหลาดจากหัวใจของเจ้ามาช่วยในการเลื่อนระดับใช่หรือไม่”

นางพยักหน้าตอบรับ “มันคือพลังใด พี่เสี่ยวเฮย พลังนี้จะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่ข้าจะเลื่อนระดับลมปราณ”

“เจ้าต้องทำให้ลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่งเสียก่อน ทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกจนหมดสิ้น”

“ข้าจะทำให้ได้ ถึงวันนั้นพี่เสี่ยวเฮยต้องบอกข้าทุกอย่าง”

เสี่ยวเฮยลอบทอดถอนใจ แม้จะมีลมปราณระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง มันก็ทราบดีว่ายังห่างไกลนักที่อู๋เชียนหยิงจะกระทำสิ่งใดเมื่อนางเข้าสู่ห้วงแห่งสุขาวดี

“พวกเราไปหอภารกิจเทพกันเถิด จะได้ทราบว่ามีภารกิจใดบ้างที่เจ้าสามารถทำได้ จะได้นำมาแลกเป็นเวลาที่ใช้ในห้องฝึกฝนนี้” เสี่ยวเฮยชักชวนขึ้น

อู๋เชียนหยิงยื่นมือมาอุ้มเสี่ยวเฮยไปใส่ไว้ในถุงผ้าที่นางคล้องคอติดตัวเสมอก่อนจะลุกเดินออกไป

 

 

 

ณ หอภารกิจเทพ สำนักวิญญาณเทพ

มีเหล่านักเรียนมากมายมาที่หอภารกิจเทพเพื่อมาขอรับภารกิจ อู๋เชียนหยิงเดินเมียงมองอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มถามผู้ใดดี เพราะยามนี้อาจารย์ที่ประจำที่นี่กำลังวุ่นวายกับการจดบันทึกภารกิจที่มีคนมาขอรับและภารกิจที่มีคนมาส่ง

“นี่ นี่ เชียนหยิง เจ้าก็มาหาภารกิจ?”

เสียงของเด็กชายผู้หนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ ตัว เมื่อหันไปมองดูจึงพบว่าเป็นเสวียนหย่ง สหายที่พบเจอกันก่อนการทดสอบฝีมือ อู๋เชียนหยิงต้องแย้มยิ้มอย่างดีใจ อย่างน้อยนางก็พบเจอคนรู้จักแล้ว

“ใช่ แต่ข้ายังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”

“ข้ารู้แล้วล่ะ เห็นเจ้าชะเง้อชะแง้ไม่รู้จะถามผู้ใด ตอนที่เจ้าออกจากห้องฝึกฝน พอดีข้าออกมาก่อนเจ้าเพราะคาดไว้อยู่แล้วว่าคนต้องมาที่นี่มาก เลยรีบมาก่อนเผื่อจะได้สอบถามได้มากขึ้น”

“แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง บอกข้าบ้างสิ”

“เจ้ามาทางนี้กับข้าดีกว่า ข้าไปขอรายละเอียดมาจากอาจารย์ประจำหอภารกิจเทพแล้วล่ะ พวกเรามานั่งดูด้านนี้กันดีกว่า”

เสวียนหย่งเดินนำอู๋เชียนหยิงมายังด้านนอกหอภารกิจเทพที่มีโต๊ะเก้าอี้อยู่หลายชุดจัดวางไว้สำหรับให้นั่งพักผ่อน เด็กชายเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษออกมาวางตรงหน้าของตนเองและอู๋เชียนหยิง

“ภารกิจจะแบ่งเป็นระดับดาว เริ่มตั้งแต่หนึ่งดาวไปจนถึงห้าดาว สี่ดาวคือภารกิจระดับสูงสุด ระดับดาวของภารกิจจะกำหนดตามระดับลมปราณของผู้รับภารกิจ หนึ่งดาวสำหรับลมปราณระดับแตกหน่อ สองดาวสำหรับผลิดอก สามดาวสำหรับรวมปราณ สี่ดาวสำหรับพิชิต และห้าดาวสำหรับมองทะลุ”

“ตอนนี้พวกเรารับได้เพียงภารกิจระดับหนึ่งดาวเท่านั้น เมื่อใดที่ลมปราณเลื่อนไปอยู่ในระดับผลิดอก เราถึงจะรับภารกิจระดับสองดาวได้”

“แล้วภารกิจระดับหนึ่งดาวมีอะไรบ้าง” อู๋เชียนหยิงถามต่ออย่างสนใจ

“เรื่องนั้นเดี๋ยวข้าค่อยบอก มาดูคะแนนที่พวกเราต้องสะสมเพื่อใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของที่ต้องการ” เสวียนหย่งวางกระดาษอีกแผ่นก่อนจะเริ่มอธิบาย

“ตอนนี้พวกเราต้องการจำนวนชั่วยามในห้องฝึกฝนเพิ่มขึ้น คะแนนสำหรับเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วยามคือ 100 คะแนน”

“ร้อยคะแนนก็ไม่มากเท่าใด พวกเราทำได้แน่”

“เจ้าอย่าเพิ่งกล่าวเช่นนั้น เจ้าดูคะแนนที่พวกเราจะได้จากการทำภารกิจหนึ่งดาวเสียก่อนสิ” เสวียนหย่งบอกเสร็จก็ยื่นกระดาษอีกสามแผ่นมาให้ดูด้วยสีหน้าอ่อนใจ

ในกระดาษทั้งสามแผ่นนั้นมีภารกิจระดับหนึ่งดาวมากมาย แต่คะแนนของภารกิจหนึ่งดาวนั้นน้อยอย่างยิ่ง เพียง 10 คะแนนต่อหนึ่งภารกิจ มากสุดก็เพียง 20 คะแนนต่อภารกิจ ดังนั้น กว่าจะสะสมได้ครบ 100 คะแนนก็ต้องทำถึง 10 ภารกิจ ทั้งภารกิจที่ให้ 20 คะแนนนั้น ก็มีไม่มากนัก

อู๋เชียนหยิงต้องถอนหายใจทันที “แล้วเจ้าสนใจภารกิจใดบ้าง เสวียนหย่ง”

“ข้าว่าข้าจะไปช่วยศิษย์หอโอสถเทพปลูกสมุนไพร อย่างน้อยก็ยังได้ความรู้เรื่องสมุนไพรมาด้วย จะได้เรียนเรื่องปรุงโอสถรู้เรื่องมากขึ้น ไปช่วยพวกเขาห้าวันก็ได้ 100 คะแนนแล้ว”

อู๋เชียนหยิงก้มลงอ่านภารกิจปลูกสมุนไพรอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าภารกิจนี้ให้ 20 คะแนนต่อวัน ทำห้าวันก็ได้ 100 คะแนน นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

นางกวาดสายตาอ่านภารกิจจนหมดสิ้นก็ไม่พบเจอภารกิจใดน่าสนใจ

“เสวียนหย่ง ข้าทำภารกิจปลูกสมุนไพรเช่นเดียวกับเจ้าได้หรือไม่”

“ได้สิ ภารกิจนี้ถึงจะให้คะแนนดีแต่ไม่มีใครอยากทำ เพราะเจ้าต้องปลูกสมุนไพรตามข้อกำหนดของหอโอสถเทพว่าต้องปลูกต้นอะไรบ้าง จำนวนกี่ต้น และต้องปลูกให้ได้ครบจำนวนที่กำหนดในแต่ละวันเจ้าจึงจะได้คะแนน ขุดดินปลูกสมุนไพร ใครก็ไม่อยากทำเพราะเปรอะเปื้อนดิน มันดูสกปรกมอมแมม ทั้งยังต้องอยู่ท่ามกลางแดดร้อนๆ ไม่มีผู้ใดสนใจภารกิจนี้เลยด้วยซ้ำ”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นพวกเราไปรับภารกิจนี้กันเถอะ จะได้เริ่มปลูกพรุ่งนี้เลย”

 

 

 

เช้าวันนี้หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งจึงมาพบกันที่หอโอสถเทพ

“หอภารกิจเทพแจ้งมาแล้วว่าพวกเจ้าสองคนรับภารกิจปลูกสมุนไพร ได้พวกเจ้ามาช่วยก็ดีเหมือนกัน หอโอสถเทพปลูกสมุนไพรกันเองก็ปลูกกันไม่ทันแล้ว ไม่ค่อยมีศิษย์คนใดอยากรับภารกิจนี้ดอก นี่ถึงขั้นเพิ่มให้เป็น 20 คะแนนต่อวัน ก็มีเพียงพวกเจ้าสองคนนี่ล่ะที่มาทำภารกิจนี้” ศิษย์หอโอสถเทพบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“เอ้า นี่เป็นถุงเมล็ดสมุนไพรที่ใช้ปลูก พวกเจ้าเอาไปปลูกไว้ในแปลงให้ครบทั้งสิบแปลง มีกันสองคนก็คนละห้าแปลง ข้าให้เวลาพวกเจ้าสิบวัน ปลูกให้ได้วันละครึ่งแปลง” ศิษย์หอโอสถเทพยื่นถุงเมล็ดสมุนไพรถุงใหญ่และกระดาษแผ่นหนึ่งให้พวกเขาคนละหนึ่งชุด ในกระดาษนั้นเขียนบอกว่าแต่ละแปลงต้องปลูกสมุนไพรอะไรบ้างและจำนวนเท่าใด ถุงเมล็ดสมุนไพรมีถึงสิบถุงเล็กในหนึ่งถุงใหญ่ที่พวกเขาได้รับมาคนละถุง

“แปลงสมุนไพรอยู่ด้านหลังหอโอสถเทพ เมื่อออกไปด้านหลังให้พวกเจ้าเดินเลี้ยวขวาแล้วตรงไป ไม่นานก็จะพบแปลงสมุนไพรเริ่มต้น พวกเจ้าก็เริ่มปลูกได้เลย” บอกกล่าวเสร็จสิ้น ศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้นก็เดินหายเข้าไปที่ห้องปรุงโอสถห้องหนึ่ง

อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งพากันเดินไปตามที่ศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้นบอกกล่าว เมื่อไปถึงก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะสิบแปลงที่ว่าช่างกว้างใหญ่ กว่าจะครบสิบแปลง พวกเขาไม่หมดแรงกันก่อนหรอกรึ

“เมื่อครู่ ศิษย์พี่ท่านนั้นบอกว่าสิบแปลง เจ้ากับข้าคนละห้าแปลง” เสวียนหย่งครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา

“ใช่ คนละห้าแปลง...” อู๋เชียนหยิงเอ่ยออกมาอย่างกระอักกระอ่วน นางพลิกดูกระดาษอีกครั้ง

“วันนี้พวกเราต้องปลูกให้ได้ครึ่งแปลง” นางบอกกล่าวก่อนจะถอนหายใจ

“มิน่าถึงไม่มีใครยอมรับภารกิจนี้ทั้งๆ ที่ให้คะแนนดีมากด้วยซ้ำ” เสวียนหย่งพูดอย่างปลงตก

“เอาเถิด รับมาแล้วก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ พวกเราต้องถูกหักคนละ 50 คะแนนเชียวนะ คิดดูสิ ยังไม่ทันมีคะแนนก็ติดลบเสียแล้ว”

“เชียนหยิง เจ้าปลูกแปลงนั้นแล้วกัน ใกล้หน่อย เดี๋ยวข้าเดินไปอีกแปลงเอง” เสวียนหย่งบอกกล่าวอย่างมีน้ำใจก่อนจะหยิบหมวกปีกกว้างที่วางอยู่ที่มุมหนึ่งที่ด้านนอกของหอโอสถขึ้นมาสวม เพราะยามนี้แม้แดดจะยังไม่แรง แต่การอยู่กลางแดดนานๆ ก็ร้อนได้เช่นกัน

“ขอบใจ ถ้าข้าเสร็จเร็ว ข้าจะไปช่วยเจ้าปลูก” อู๋เชียนหยิงตอบกลับน้ำใจของเสวียนหย่ง

ร่างเล็กสวมหมวกปีกกว้างเดินมาที่แปลงปลูกสมุนไพร อ่านรายละเอียดในกระดาษอีกครั้ง แยกถุงสมุนไพรออกมาวางอย่างเรียบร้อย มือก็ถือเสียมเตรียมพร้อมจะขุดหลุมเล็กๆ เพื่อหยอดเมล็ดสมุนไพรลงไป

“เชียนหยิง เจ้าอ่านสิ่งที่เจ้าต้องกระทำแล้วจำให้ได้ทั้งหมด” เสี่ยวเฮยเอ่ยบอกเมื่ออยู่ตามลำพัง ห่างไกลจากเสวียนหย่ง

อู๋เชียนหยิงจ้องมองเสี่ยวเฮยที่ยามนี้ออกมานั่งหมอบอยู่นอกถุงผ้าแล้ว นางไม่กล่าวสิ่งใดเพียงทำตามที่เสี่ยวเฮยบอก

“ในนี้บอกว่าในหนึ่งแปลงต้องปลูกสมุนไพรให้ครบทั้งสิบชนิด หนึ่งแปลงสามารถขุดหลุมปลูกสมุนไพรได้ 100 หลุม นั่นหมายความว่าสมุนไพรหนึ่งชนิดต้องปลูกลงในสิบหลุม”

“ฟังข้าให้ดีนะ เชียนหยิง เจ้าสามารถใช้ได้ทุกธาตุอยู่แล้ว ยามนี้เจ้าย่อมต้องใช้ธาตุดิน เจ้าใช้ธาตุดินของเจ้าตรวจสอบพื้นดินในแปลงดูว่ามันเป็นอย่างไร พื้นดินมีวารีธาตุเพียงพอหรือไม่ เมื่อเจ้าตรวจเสร็จแล้ว จงใช้ธาตุดินของเจ้าทำให้พื้นดินยุบลงเป็นหลุมเล็กๆ ให้เหมาะสมสำหรับการปลูกสมุนไพร เมื่อเจ้าใส่เมล็ดสมุนไพรเรียบร้อย ค่อยใช้ธาตุดินปิดหลุมนั้น จากนั้นจึงใช้วารีธาตุแทรกเข้าไปในพื้นดินให้มีความชุ่มชื้นเพียงพอ สมุนไพรเหล่านี้ก็จะเติบโตได้ดี”

“จริงด้วย ทำไมข้าไม่ทันนึกนะ”

“ที่ข้าบอกเจ้าเป็นเพียงการใช้ธาตุดินในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น จริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับบางสถานที่ เมื่อเจ้าเข้าใจการใช้ธาตุดินแล้ว หากพบเจอธาตุอื่น เจ้าก็ลองใช้ในรูปแบบที่เจ้าคิดขึ้นเอง ไม่ช้าความสามารถด้านธาตุของเจ้าจะดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก”

“ขอบคุณพี่เสี่ยวเฮย”

อู๋เชียนหยิงทาบฝ่ามือลงบนพื้นดิน โคจรลมปราณในร่างกระตุ้นธาตุดินในกายตนก่อนจะชักนำธาตุดินนั้นผ่านฝ่ามือลงสู่พื้นดิน เพียงครู่นางก็สัมผัสได้ว่าธาตุดินในแปลงปลูกสมุนไพรนี้ค่อนข้างขาดความชุ่มชื้นของวารีธาตุ นั่นแปลว่าเมื่อปลูกสมุนไพรเสร็จเรียบร้อย นางต้องเพิ่มวารีธาตุลงในแปลงเพาะปลูกนี้

ธาตุดินในร่างถูกลมปราณกระตุ้นขึ้นมากกว่าเดิม ใต้ฝ่ามือบังเกิดประกายแสงสีเทาหม่นก่อนจะซึมหายไปในพื้นดิน เพียงครู่พื้นดินในแปลงเพาะปลูกค่อยๆ ยุบลงเป็นหลุมเล็กๆ ขนาดพอดีสำหรับการปลูกสมุนไพร ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจ หลุมเล็กๆ จำนวน 100 หลุมก็เสร็จเรียบร้อย อู่เชียนหยิงเดินถือถุงสมุนไพรไปหยอดลงตามหลุมต่างๆ เมื่อเสร็จสิ้นนางก็ทาบฝ่ามือลงบนพื้นดินอีกครั้ง มองเห็นพื้นดินค่อยๆ ขยับมาปิดปากหลุมทั้งร้อยหลุมไว้อย่างเรียบร้อย

อู๋เชียนหยิงประกบฝ่ามือเข้าหากันชั่วครู่ ประกายแสงสีครามวาบขึ้น ฝ่ามือสองข้างที่ประกบกันแยกออกก่อนจะวางทาบลงที่พื้นดินทั้งสองข้าง ประกายแสงสีครามไหลซึมลงพื้นดิน นางทาบฝ่ามืออยู่นานราวสิบลมหายใจจึงค่อยยกฝ่ามือออก

“พี่เสี่ยวเฮย ข้าสอนเสวียนหย่งให้เขาทำเช่นเดียวกับข้าได้หรือไม่” นางอยากตอบแทนน้ำใจของเสวียนหย่ง

“ได้สิ นี่เป็นเรื่องพื้นฐานเท่านั้น หากเด็กน้อยนั่นถามเจ้า เจ้าก็บอกไปว่าเจ้าคิดขึ้นเองและทำเช่นนี้มานานแล้ว จะได้ไม่มีผู้ใดสงสัยเจ้า”

“เจ้าค่ะ”