ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง) โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง)

“เสวียนหย่ง” อู๋เชียนหยิงเรียกหาเมื่อเดินมาถึงแปลงปลูกสมุนไพรที่เสวียนหย่งกำลังขุดหลุมไปได้เพียง 5-6 หลุมเท่านั้น

“เชียนหยิง เจ้ามีอะไรรึ”

“ข้าปลูกสมุนไพรเสร็จแล้ว เลยมาช่วยเจ้า”

“เจ้าอย่ามาล้อข้าเล่น นี่เพิ่งผ่านไปยังไม่ทันไร เจ้าจะปลูกเสร็จครึ่งแปลงได้อย่างไร”

“ข้าปลูกเสร็จทั้งแปลงแล้วต่างหาก ข้าถึงจะมาช่วยเจ้า”

“ทั้งแปลง ! !” เสวียนหย่งอุทานอย่างตกตะลึงก่อนจะมีสีหน้าไม่เชื่อถือทันที

“เจ้านี่ล้อเล่นเกินไปแล้ว”

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าทำตามที่ข้าสอนดีกว่า รับรองว่าเจ้าปลูกสมุนไพรเสร็จเร็วแน่”

เสวียนหย่งยังคงมีสีหน้าไม่เชื่อถือ

“เจ้าใช้ธาตุดินของเจ้าตรวจสอบพื้นดินว่ามันเป็นอย่างไร มีวารีธาตุเพียงพอหรือไม่ เมื่อเจ้าตรวจเสร็จแล้ว จงใช้ธาตุดินของเจ้าทำให้พื้นดินยุบลงเป็นหลุมเล็กๆ ให้เหมาะสมสำหรับการปลูกสมุนไพร เมื่อเจ้าใส่เมล็ดสมุนไพรเรียบร้อย ค่อยใช้ธาตุดินปิดหลุมนั้น”

“หากยามที่เจ้าตรวจสอบก่อนหน้ามีวารีธาตุในพื้นดินไม่เพียงพอ เจ้าก็ใช้วารีธาตุแทรกเข้าไปในพื้นดินให้มีความชุ่มชื้น”

เสวียนหย่งฟังอย่างประหลาดใจแต่ก็รู้สึกว่าน่าจะทำได้ เสวียนหย่งทาบฝ่ามือลงบนพื้นดิน โคจรลมปราณในร่างกระตุ้นธาตุดินในกายตนก่อนจะชักนำธาตุดินนั้นผ่านฝ่ามือลงสู่พื้นดิน เพียงครู่ก็สัมผัสได้ถึงลักษณะทั้งหมดของพื้นดินในแปลงว่าเป็นอย่างไร

ธาตุดินในร่างถูกลมปราณกระตุ้นขึ้นมากกว่าเดิม เพียงครู่พื้นดินในแปลงเพาะปลูกค่อยๆ ยุบลงเป็นหลุมเล็กๆ สำหรับการปลูกสมุนไพร ผ่านไปราวสามสิบลมหายใจ หลุมเล็กๆ จำนวน 100 หลุมก็เสร็จเรียบร้อย เสวียนหย่งกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

“ข้าทำได้แล้ว ข้าทำได้แล้ว เชียนหยิง ขอบใจเจ้ามาก นึกไม่ถึงเลยว่าธาตุดินก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย” ทว่า...

“เจ้าทำได้อย่างไร เชียนหยิง” เสวียนหย่งถามทันทีอย่างสงสัย

“เอ่อ...ข้าคิดได้แล้วก็ลองทำดู ที่บ้านข้า เวลาข้าปลูกดอกไม้ ข้าทำเช่นนี้มาตลอด”

เสวียนหย่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “จริงของเจ้า ทำเช่นนี้ก็ได้ แต่ไฉนผู้ใช้ธาตุทั้งหลายนึกกันไม่ได้อย่างเจ้านะ มัวแต่เอาไปต่อสู้กันเสียหมด เรื่องดีๆ แบบนี้กลับคิดไม่ออก”

เสวียนหย่งเดินถือถุงสมุนไพรไปหยอดลงตามหลุมต่างๆ เมื่อเสร็จสิ้นก็ทาบฝ่ามือลงบนพื้นดินอีกครั้ง มองเห็นพื้นดินค่อยๆ ขยับมาปิดปากหลุมทั้งร้อยหลุมไว้อย่างเรียบร้อย เสวียนหย่งประกบฝ่ามือเข้าหากันชั่วครู่ ประกายแสงสีครามวาบขึ้น ฝ่ามือสองข้างที่ประกบกันแยกออกก่อนจะวางทาบลงที่พื้นดินทั้งสองข้าง ประกายแสงสีครามไหลซึมลงพื้นดิน เขาทาบฝ่ามืออยู่นานราวยี่สิบลมหายใจจึงค่อยยกฝ่ามือออก

“เรียบร้อยแล้ว ขอบใจเจ้ามาก เชียนหยิง”

“ไม่เป็นไร ภารกิจนี้ได้มาก็เพราะเจ้า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”

“ไม่เล็กน้อยหรอกนะ หากศิษย์พี่ผู้นั้นได้เห็นผลงานของพวกเรา เขาต้องตาค้างแน่ๆ พวกเราไปขอรับคะแนนกันเถิด วันนี้ก็ได้คนละ 40 คะแนนแล้ว มากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

หากเมื่อศิษย์หอโอสถเทพนั้นได้มาเห็นผลงานของอู๋เชียนหยิงกับเสวียนหย่ง มันมิเพียงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเท่านั้น หากแต่เข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปทันทีก่อนจะหันมามองหน้าเด็กน้อยทั้งสองอย่างแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่แปลงเพาะปลูกของอู๋เชียนหยิง ทาบฝ่ามือลงตรวจสอบทันที หากสีหน้ายิ่งตื่นตะลึงกว่าเดิม

“พวกเจ้าทำได้อย่างไร” ศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้นถามขึ้นอย่างตื่นเต้น

อู๋เชียนหยิงจึงบอกเล่าวิธีการของนางให้ฟัง สีหน้าของมันตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุด

“เอาถุงสมุนไพรของเจ้ามาให้ข้าทดลองทำ” มันยื่นมือมาขอถุงเมล็ดสมุนไพร นางก็ส่งให้ทันที

มองเห็นศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้น เอามือทาบลงที่พื้นดินในแปลงเพาะปลูกถัดไป มันกระทำตามที่อู๋เชียนหยิงบอก หากการเพาะปลูกสมุนไพรนั้นเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่นางกระทำมากนักเพราะระดับลมปราณที่สูงส่งกว่า

“เยี่ยม วิธีของเจ้าดีมากจริงๆ พวกเจ้ามากับข้า ข้าจะพาไปพบท่านอาจารย์ จะได้บันทึกคะแนนให้พวกเจ้า”

ศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้นเดินนำเด็กน้อยทั้งสองเข้าสู่หอโอสถเทพไปที่ห้องปรุงโอสถห้องหนึ่ง มันมิได้เคาะประตูขออนุญาตแต่ค่อยๆ เปิดประตูให้มีเสียงน้อยที่สุด เมื่อเข้าไปด้านในจึงได้เห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังปรุงโอสถ ศิษย์หอโอสถเทพผู้นั้นยืนสำรวมนิ่งรอให้บุรุษผู้นั้นปรุงโอสถให้เสร็จสิ้น ผ่านไปราวหนึ่งเค่อการปรุงโอสถจึงเสร็จสิ้นลง

“หลิวเฉิน เจ้ามีอะไร” บุรุษผู้นั้นทักถามขึ้น

อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งจึงได้ทราบนามของศิษย์พี่ผู้นี้

“เรียนอาจารย์หม่าผู ศิษย์มีเรื่องการปลูกสมุนไพรมาแจ้งขอรับ”

“ปลูกสมุนไพร? มีอะไรรึ”

หูเฉินเล่าให้หม่าผูฟังถึงวิธีการปลูกสมุนไพรแบบใหม่ที่ทำตามวิธีของอู๋เชียนหยิง หม่าผูฟังอย่างประหลาดใจ

“จริงรึ”

“จริงขอรับ ศิษย์ทดลองทำตามที่ศิษย์น้องอู๋เชียนหยิงบอก วิธีของนางทำได้จริงและให้ผลดีจริงแน่นอน ท่านอาจารย์สามารถไปตรวจสอบตอนนี้ได้เลยขอรับ”

“ได้ พวกเจ้ารอที่นี่ เดี๋ยวข้ามา”

หม่าผูหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี

“พวกเจ้าสองคนทำได้ดีมาก เช่นนี้หอโอสถเทพก็ไม่ขาดแคลนสมุนไพรอีกต่อไปแล้ว” หม่าผูกล่าวชื่นชม

“พรุ่งนี้พวกเจ้าสองคนไม่ต้องมาปลูกสมุนไพรแล้ว ข้าให้พวกเจ้าผ่านภารกิจนี้ได้ทันที”

หม่าผูบอกกล่าวหากอู๋เชียนหยิงกับเสวียนหย่งเริ่มมีสีหน้าย่ำแย่ หากพวกเขาไม่ได้มาปลูกในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป พวกเขาก็ไม่มีคะแนนพอ ต้องไปขอรับภารกิจอื่นที่คะแนนน้อยกว่านี้มาก กว่าจะรวบรวมได้ครบ 100 คะแนน พวกเขาก็แย่น่ะสิ

“ตอบแทนที่พวกเจ้าสร้างผลงานให้หอโอสถเทพ คะแนนภารกิจนี้ข้าให้พวกเจ้าคนละ 1,000 คะแนน”

อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งอ้าปากค้าง

 

หนะ...หนึ่งพันคะแนน ! หนึ่งพันคะแนนเชียวนะ ! !

 

“คะแนนนี้ไม่ได้มากมายอะไร ถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเจ้าทำให้หอโอสถเทพ พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่ากว่าคนของหอโอสถเทพจะปลูกสมุนไพรได้สักแปลงต้องเสียเวลาหลายวัน ขณะที่วิธีของพวกเจ้าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ ข้าให้พวกเจ้าคนละ 1,000 คะแนน ยังรู้สึกว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ แต่ภารกิจนี้ คะแนนสูงสุดที่สามารถให้ได้ก็คือ 1,000 คะแนนเท่านั้น พวกเจ้าอยากได้อะไรอีกหรือไม่”

อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งทำตาปริบๆ พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ

“เอ่อ...ข้ากับสหายอยากเรียนการปรุงโอสถขอรับ” เสวียนหย่งรีบบอกกล่าวทันที

“ยามนี้ลมปราณของพวกเจ้าอยู่ในระดับแตกหน่อ เรียนได้ก็เพียงขั้นพื้นฐานเท่านั้น เพราะขั้นสูงกว่านี้ต้องใช้ระดับลมปราณที่สูงขึ้น ไว้ให้พวกเจ้ามีระดับลมปราณที่สูงกว่านี้ค่อยมาขอรับการทดสอบ”

“ขอรับ”

“เอาป้ายภารกิจเทพของพวกเจ้ามาให้ข้า ข้าจะได้บันทึกคะแนนภารกิจนี้ให้”

 

 

 

“เชียนหยิง ขอบใจเจ้ามาก เพราะเจ้าแท้ๆ ข้าถึงได้หนึ่งพันคะแนนนี้มา” เสวียนหย่งกล่าวอย่างดีใจเมื่อออกมานอกหอโอสถเทพ

“เจ้าก็ช่วยให้ข้าได้ภารกิจนี้เหมือนกันถือว่าพวกเราต่างช่วยเหลือกันเถิด”

“ก็ได้ แต่ก็...ขอบใจเจ้าจริงๆ นะ”

“แล้วพวกเราจะแลกอะไรดี” อู๋เชียนหยิงถามเชิงปรึกษา

“พวกเราไปที่หอภารกิจเทพก่อน ไปดูว่ามีอะไรน่าสนใจนอกเหนือจากห้องฝึกฝนลมปราณ”

เมื่อมาถึงหอภารกิจเทพแล้ว ทั้งอู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งจึงพบว่าจำนวนชั่วยามสำหรับห้องฝึกฝนลมปราณนั้นดีที่สุดแล้ว ของสิ่งอื่นดูไม่น่าสนใจสักเท่าใด เด็กน้อยทั้งสองจึงใช้คะแนนทั้งหมดแลกจำนวนชั่วยามมาทั้งหมด 10 ชั่วยาม

“ข้าจะจองห้องในอีกสี่วันข้างหน้า เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องเรียนเรื่องปรุงโอสถ วันมะรืนเรียนอักขระเวทและการหลอมกระดูกสัตว์อสูร วันถัดไปเรียนกระบี่”

“ตกลง เช่นนั้น ข้าจะทำเหมือนเจ้า” เสวียนหย่งตอบรับ

 

 

 

วันนี้เริ่มเรียนเรื่องการปรุงโอสถ หากกลับเริ่มต้นที่วิชาสมุนไพร

“แม้พวกเจ้าจะเรียนเพื่อเป็นนักปรุงโอสถและในอนาคตเพื่อกลายเป็นแพทย์โอสถ แต่เหนืออื่นใดทั้งหมด พวกเจ้าต้องรู้จักสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงโอสถ มิฉะนั้นพวกเจ้าก็ไม่สามารถหยิบจับสมุนไพรมาปรุงโอสถและรักษาได้อย่างถูกต้อง สมุนไพรแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือฟ้าดิน ศักดิ์สิทธิ์ บรรพกาล และอนันตกาล ระดับของของวิเศษ สัตว์วิเศษ และอักขระเวทก็แบ่งเป็นระดับนี้เช่นกัน”

“ตำราที่พวกเจ้าได้รับมาจากหอเริ่มต้น ทั้งหมดเป็นตำราขั้นต้นที่พวกเจ้าจะต้องศึกษาทุกวิชา แต่พวกเจ้าจะเน้นศึกษาด้านใดก็แล้วแต่ความชอบของพวกเจ้า ข้าคงไม่กล่าวอะไรมากเกี่ยวกับสมุนไพรพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับใด เพราะพวกเจ้าต้องท่องจำให้ได้ว่าพวกมันมีสรรพคุณอย่างไร ต้องปลูกและดูแลมันอย่างไร เก็บเกี่ยวอย่างไรจึงจะรักษาคุณวิเศษของมันไว้ได้มากที่สุด ยิ่งพวกเจ้ารักษาคุณวิเศษของมันไว้ได้มากเท่าใด ยามพวกเจ้าปรุงมันเป็นโอสถ โอสถที่พวกเจ้าปรุงได้ย่อมมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น”

“พวกเจ้าทุกคนจงไปอ่านทำความเข้าใจสมุนไพรระดับฟ้าดินให้หมด อีก 1 เดือนข้างหน้า ข้าจะทดสอบความรู้ของพวกเจ้าว่าทำความเข้าใจไปได้มากน้อยเพียงใด ผู้ที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งจะได้รับคะแนนภารกิจ 500 คะแนน ที่สองจะได้ 400 คะแนน ที่สามจะได้ 300 คะแนน ที่เหลือจะได้รับคนละ 200 คะแนน”

“พวกเจ้าอาจคิดว่าเช่นนั้นก็ไม่ต้องทำได้คะแนนก็ได้เพราะอย่างไรก็ได้ 200 คะแนน ตรงนี้ข้าต้องบอกพวกเจ้าว่าหากพวกเจ้าทำคะแนนได้ต่ำกว่า 70 คะแนน พวกเจ้าจะไม่ได้คะแนนภารกิจเลย ดังนั้น ถ้าหวังเพียง 200 คะแนนภารกิจ พวกเจ้าก็ต้องสอบให้ได้อย่างน้อย 70 คะแนน”

อู๋เชียนหยิงจึงได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าภารกิจมิใช่มีที่หอภารกิจเทพเท่านั้น แต่ละวิชาที่ศึกษา อาจารย์ของแต่ละวิชาสามารถกำหนดภารกิจขึ้นมาได้ และคะแนนจากภารกิจเหล่านี้มากกว่าภารกิจระดับหนึ่งดาวทั้งสิ้นทั้งไม่จำกัดระดับลมปราณในการรับภารกิจด้วย

ข้าต้องได้ 500 คะแนนภารกิจ อู๋เชียนหยิงคิดในใจอย่างมุ่งมั่น ยามนี้นางกระหายคะแนนภารกิจอย่างยิ่ง

 

 

 

วันถัดมาจึงเริ่มเรียนอักขระเวท เป็นครั้งแรกที่นางรู้จักอักขระเวท อักขระเวทก็แบ่งเป็นสี่ระดับเช่นเดียวกับสมุนไพรคือฟ้าดิน ศักดิ์สิทธิ์ บรรพกาล และอนันตกาล อักขระเวทขั้นฟ้าดินมีทั้งสิ้น 54 ตัว ระดับศักดิ์สิทธิ์มี 108 ตัว แต่ระดับบรรพกาลมีเพียง 27 ตัว ขณะที่ระดับอนันตกาลมี 27 ตัวเท่ากับระดับบรรพกาลแต่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบอักขระเวทระดับอนันตกาลทั้ง 27 ตัวนั้น จึงกล่าวได้ว่าอักขระเวทระดับอนันตกาลเป็นตำนานอย่างแท้จริง

เรื่องการหลอมกระดูกสัตว์อสูรนั้น กระดูกที่หลอมจะมีคุณวิเศษไม่ต่างจากโอสถที่ปรุงจากสมุนไพรวิเศษ ระดับของกระดูกที่หลอมได้ก็แบ่งเป็นสี่ระดับเช่นเดียวกับการปรุงโอสถ

“อักขระเวทนั้นยากไม่น้อย การจะทำความเข้าใจต้องใช้เวลา แม้พวกเจ้าจะจดจำอักขระเวทได้ทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะใช้มันได้ดี นั่นเพราะอักขระเวทแต่ละตัวมีความซับซ้อนอยู่ในตัวของมันเอง”

“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามเดือนในการจดจำและทำความเข้าใจอักขระเวทขั้นฟ้าดินทั้ง 54 ตัวนี้ เมื่อครบสามเดือน ข้าจะสอบวัดระดับความรู้ความเข้าใจของพวกเจ้า ผู้ที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งจะได้รับคะแนนภารกิจ 2,000 คะแนน ที่สองจะได้ 1,500 คะแนน ที่สามจะได้ 1,200 คะแนน ที่เหลือจะได้รับคนละ 800 คะแนน ผู้ที่จะได้ 800 คะแนนจะต้องสอบได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่ำกว่านี้จะถือว่าสอบตกและไม่ได้รับคะแนนภารกิจ”

ครั้งนี้คะแนนภารกิจของหอทวยเทพสูงยิ่งกว่าหอโอสถเทพเท่ากับบอกว่าความยากของอักขระเวทนั้นมากมายเพียงใด

“สำหรับการหลอมกระดูกสัตว์อสูร ความยากของมันอยู่ที่ความบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าหลอมได้ ยิ่งกระดูกสัตว์อสูรบริสุทธิ์มากเท่าใด คุณวิเศษของมันยิ่งมากเพียงนั้น ความบริสุทธิ์ของการหลอมจะเริ่มที่สามส่วน ต่ำกว่าสามส่วนจะไม่นับ และความบริสุทธิ์ที่ดีที่สุดคือสิบส่วนเช่นเดียวกับการปรุงโอสถ”

“การหลอมกระดูกจะใช้ลมปราณของพวกเจ้าในการหลอม ดังนั้น ยิ่งระดับลมปราณสูงเท่าใด ความบริสุทธิ์ในการหลอมยิ่งสูงตามไปด้วย”

“หลักการในการหลอมก็คือ พวกเจ้าค่อยๆ ถ่ายเทลมปราณเข้าสู่กระดูก ใช้ลมปราณขัดเกลาพวกมันให้บริสุทธิ์มากที่สุด สิ่งเจือปนในกระดูกคือธาตุต่างๆ”

“พวกเจ้าจะพบว่าเมื่อปล่อยลมปราณเข้าสู่กระดูก พวกเจ้าจะรับรู้ได้ถึงธาตุต่างๆ ในกระดูกนั้น จงพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่ากระดูกนั้นประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง สมมติเช่นกระดูกนั้นมีธาตุไฟเป็นธาตุหลัก แต่เจ้าพบว่ามันเจือปนด้วยธาตุดิน ดังนั้น เจ้าต้องขับสลายธาตุดินที่พบในธาตุไฟให้หมดไปโดยต้องให้ธาตุไฟนั้นได้รับความกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุด เพราะแม้เจ้าจะขจัดธาตุที่เจือปนไปได้ แต่หากการขจัดนั้นทำให้ธาตุไฟที่มีอยู่เดิมเสียหาย ความบริสุทธิ์และสมบูรณ์ของกระดูกที่หลอมนั้นย่อมลดลง ทั้งยังลดลงอย่างมาก”

“พวกเจ้ามาหยิบถุงตรงนี้ไป ในถุงนี้มีกระดูกสัตว์อสูรระดับต่ำถุงละสิบชิ้น เอาไปฝึกฝนการหลอมกระดูก ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยามทดลองหลอมกระดูกมาให้ข้าดู ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหลอมให้ได้ความบริสุทธิ์สามส่วน ข้าเพียงต้องการดูว่าพวกเจ้าสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด มีข้อบกพร่องที่ใด”

นักเรียนทุกคนลุกไปหยิบถุงกระดูกที่วางอยู่ที่โต๊ะของอาจารย์ผู้สอน ในถุงนั้นมีกระดูกสัตว์อสูรขนาดกว้างยาวราวหนึ่งหัวแม่มือจำนวน 10 ชิ้น

“เชียนหยิง เจ้าใช้ธาตุได้ดีอยู่แล้ว เมื่อเจ้าปลดปล่อยลมปราณเข้าสู่กระดูก เจ้าย่อมสามารถแยกแยะธาตุได้ทันที ดังนั้น บังคับและควบคุมธาตุให้ดี การหลอมกระดูกจะมิได้ยากเกินไป” เสี่ยวเฮยกระซิบบอกยามนี้มันนอนหมอบอยู่ข้างกายอู๋เชียนหยิง ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับมัน เพราะนักเรียนใหม่ทุกคนเริ่มคุ้นชินแล้วว่าอู๋เชียนหยิงมีลูกแมวดำตัวหนึ่งมาด้วยเสมอ

อู๋เชียนหยิงวางกระดูกไว้กลางฝ่ามือ ลมปราณถูกถ่ายทอดเข้าสู่กระดูกนั้นอย่างแช่มช้า พริบตาที่ลมปราณเข้าสู่กระดูก นางก็ทราบทันทีว่ากระดูกชิ้นนี้มีถึงสามธาตุหลักด้วยกัน นั่นคือ ธาตุไฟ ธาตุไม้ และธาตุทอง แต่ทั้งสามธาตุยามนี้มีธาตุอื่นเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก มันจึงถูกจัดเป็นกระดูกระดับต่ำ

นางค่อยๆ ถ่ายเทลมปราณเพิ่มเข้าไปเพื่อขจัดธาตุที่เจือปนอยู่ ใช้เวลาราวครึ่งเค่อก็ขจัดธาตุที่เจือปนออกได้เกือบทั้งหมด

“เชียนหยิง นี่เป็นกระดูกระดับต่ำ เจ้าจึงสามารถขจัดธาตุที่เจือปนออกได้อย่างง่ายดาย แต่ยิ่งกระดูกนี้อยู่ในระดับสูงเท่าใด การทำให้มันบริสุทธิ์ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ยามนี้เจ้าเข้าใจการหลอมกระดูกในเบื้องต้นแล้ว กระดูกที่เหลืออีกเก้าชิ้น จงค่อยๆ ทำไป เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำมันได้เร็วขึ้น ก็ทำให้เร็วขึ้นตามที่เจ้ารู้สึก ไม่ต้องกังวลว่าจะแตกหักเสียหาย เพราะนี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น” เสี่ยวเฮยกระซิบบอก

ใช้เวลาจนครบครึ่งชั่วยาม นางก็หลอมกระดูกได้ครบทั้งสิบชิ้น ขณะที่ผู้อื่นทำไปได้เพียงห้าชิ้น และหลายคนก็ทำกระดูกแตกหักเสียหาย

“พวกเจ้าแต่ละคนส่งกระดูกที่หลอมแล้วและเป็นชิ้นที่ดีที่สุดของเจ้ามาให้ข้าดู เริ่มที่เจ้าคนแรก” อาจารย์ผู้สอนชี้มาที่นักเรียนคนหนึ่ง

“พี่เสี่ยวเฮย ข้าจะส่งชิ้นนี้ให้อาจารย์” นางกระซิบบอกก่อนจะหยิบกระดูกที่หลอมแล้วให้เสี่ยวเฮยดู ทว่า...

“เจ้าส่งชิ้นนี้ไป ที่เหลือเก็บให้พ้นสายตาทุกคน” เสี่ยวเฮยกระซิบสั่งก่อนจะยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งเขี่ยกระดูกชิ้นที่ต้องการมาให้นาง

นักเรียนที่ถูกเรียกนำกระดูกไปให้ เห็นอาจารย์พลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง

“ความบริสุทธิ์สองส่วน ถือว่าใช้ได้ เริ่มแรกทำได้เท่านี้ก็ดีไม่น้อยแล้ว”

นักเรียนทยอยกันส่งกระดูกให้อาจารย์ได้ดูจนกระทั่งมาถึงอู๋เชียนหยิง อาจารย์ผู้นั้นรับไปก่อนจะแผ่ลมปราณออกตรวจสอบ ทว่าอาจารย์กลับมีสีหน้าตื่นตะลึง ลมปราณถูกแผ่ออกตรวจสอบกระดูกชิ้นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แววตายิ่งแสดงอาการตกตะลึงมากกว่าเดิม อาจารย์หันมามองหน้านางทันที

“เจ้ามีเพียงชิ้นเดียวรึ ที่เหลืออีกเก้าชิ้น เอาออกมาให้ข้าดู”

อู๋เชียนหยิงพูดไม่ออก เสี่ยวเฮยก็นิ่งอึ้ง ทว่า...

“อีกเก้าชิ้นข้าทำหักหมดเลยเจ้าค่ะ มีชิ้นนี้เหลือชิ้นเดียว” อู๋เชียนหยิงโกหกออกไปทันที นึกเฉลียวใจว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเพราะก่อนจะส่งกระดูก เสี่ยวเฮยก็ให้นางส่งกระดูกชิ้นนี้ซึ่งไม่ใช่ชิ้นที่ดีที่สุดที่นางทำได้

อาจารย์ผู้นั้นมีสีหน้าเสียดาย “เอาเถิด ไม่เป็นไร ทำได้เท่านี้ก็ดีเกินคาดมากแล้ว เจ้ากลับไปนั่งเถิด”

อาจารย์เอ่ยชมเชยแต่ก็ไม่ได้บอกว่ากระดูกที่นางหลอมนั้นมีความบริสุทธิ์เท่าใด

“ทุกเจ็ดวันพวกเจ้าทุกคนสามารถมาขอรับกระดูกที่หอทวยเทพจำนวนสามสิบชิ้นไปฝึกฝนการหลอมได้ หากต้องการมากกว่านี้ก็ใช้คะแนนภารกิจไปแลกได้ที่หอภารกิจเทพ” อาจารย์ผู้นั้นบอกกล่าวก่อนจะจบการเรียนอักขระเวทและการหลอมกระดูก

“พี่เสี่ยวเฮย กระดูกที่ข้าหลอมมีอะไรผิดปกติ?” อู๋เชียนหยิงเอ่ยถามทันทีที่กลับมาถึงเรือนพัก

“กระดูกที่เจ้าหลอมได้ แทบทุกชิ้นมีความบริสุทธิ์ 4-5 ส่วน ชิ้นที่ดีที่สุดที่เจ้าทำได้มีความบริสุทธิ์ 7 ส่วน ด้วยความบริสุทธิ์ระดับนี้สำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มศึกษาการหลอมกระดูกเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ดังนั้น เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าหากต้องส่งกระดูกที่หลอมแล้วให้อาจารย์ดู เจ้าต้องหลอมให้มันมีความบริสุทธิ์เพียง 3 หรือ 4 ส่วน ห้ามมากกว่านี้โดยเด็ดขาด นอกเสียจากว่ามีผู้ใดที่เรียนร่วมกับเจ้าทำได้มากกว่านั้น เจ้าจึงค่อยทำให้เท่าเขา”

“แต่เมื่อเจ้าฝึกซ้อมเพียงลำพังเจ้าต้องหลอมให้ได้ความบริสุทธิ์อย่างน้อย 6 ส่วนขึ้นไป และจงพยายามทำให้ได้ 10 ส่วน”

“เจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงเข้าใจได้ทันทีว่านางยังคงต้องปกปิดความสามารถแท้จริงเอาไว้ นางต้องทำตัวให้กลืนไปกับผู้คนรอบข้างมากที่สุด

 

 

 

วันนี้อู๋เชียนหยิงเริ่มเรียนกระบี่ที่หอศาสตราเทพ ที่ผ่านมานั้นเสี่ยวเฮยและหวงจิ้งหรงเพียงสอนวิชาหมัด วิชาฝ่ามือ และท่าเท้าให้เท่านั้น ยังมิได้สอนกระบี่หรืออาวุธใดให้ เพราะเด็กอายุไม่ถึง 12 ปียังไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ

อาจารย์ที่หอศาสตราเทพเริ่มสอนวิชากระบี่วิญญาณเทพแล้ว วิชากระบี่นี้สืบทอดกันมาตั้งแต่เจ้าสำนักวิญญาณเทพรุ่นแรกที่ก่อตั้งสำนักเมื่อ 50,000 ปีก่อน

“วิชากระบี่วิญญาณเทพมีทั้งสิ้น 49 กระบวนท่า แต่ข้าจะสอนให้พวกเจ้าเพียง 18 กระบวนท่าเท่านั้น กระบวนท่าที่ 19-25 จะสอนให้เฉพาะศิษย์สายนอกชั้นยอด กระบวนท่าที่ 26-30 จะสอนให้ศิษย์สายใน กระบวนท่าที่ 31-40 จะสอนให้ศิษย์ส่วนตัว สำหรับเก้ากระบวนท่าสุดท้ายนั้น ไม่สามารถสอนได้เพราะมันได้หายสาบสูญไปราว 14,000 ปีก่อน” อาจารย์ผู้สอนบอกเล่าถึงประวัติของวิชากระบี่วิญญาณเทพ

เสี่ยวเฮยนั่งหมอบอยู่ริมลานฝึกมองดูอู๋เชียนหยิงรำกระบี่ตามที่อาจารย์สอน มันจับตามองอย่างสนใจแต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อจดจำได้ว่าวิชากระบี่วิญญาณเทพนี้ เหมือนกับวิชากระบี่ครองฟ้าของมหาเทพชางเล่ยที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเคยเห็นมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

ประการสำคัญคือเสี่ยวเฮยคล้ายมองเห็นเงาร่างเลือนรางของมหาเทพชางเล่ยยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของอู๋เชียนหยิง มหาเทพโอบเอวและจับมือของนางพารำกระบี่ เสี่ยวเฮยสะบัดหน้าอยู่ 2-3 หน เพราะคิดว่าตนเองตาฝาด แต่เมื่อมองไปที่อู๋เชียนหยิงอีกครั้ง มันก็ยังคงเห็นเงาร่างของมหาเทพชางเล่ยเช่นเดิม ทว่าผู้คนรอบข้างกลับไม่มีผู้ใดมองเห็น

“อู๋เชียนหยิง เจ้าทำได้ดีมาก จดจำได้เร็วและถูกต้องทุกกระบวนท่า” อาจารย์ผู้สอนกล่าวชมเชย

นางได้แต่ยิ้มรับ ทว่านางก็รู้สึกเช่นกันว่านางจดจำและเข้าใจกระบี่วิญญาณเทพได้รวดเร็วกว่าปกติราวกับมีใครสักคนคอยบอกคอยสอนอยู่ตลอดเวลาที่นางรำกระบี่

“เชียนหยิง เจ้ารำกระบี่ให้ข้าดู” เสี่ยวเฮยบอกนางทันทีที่กลับมาถึงเรือนพัก

นางรำกระบี่ตามที่เสี่ยวเฮยบอก ยามนี้เสี่ยวเฮยก็ยังคงเห็นร่างเงาของมหาเทพชางเล่ยที่ยืนซ้อนด้านหลังของอู๋เชียนหยิง พานางรำกระบี่วิญญาณเทพ

นี่คงเป็นผลจากแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยกระมัง จึงปรากฏร่างเงาของมหาเทพขึ้น เสี่ยวเฮยค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเช่นนี้

หากจะบอกว่าวิชากระบี่ของสำนักวิญญาณเทพอาจเหมือนในบางกระบวนท่าของกระบี่ครองฟ้า เรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้ วิชากระบี่ครองฟ้าถือกำเนิดมาพร้อมมหาเทพชางเล่ย ไม่มีทางที่มนุษย์ในแดนดาราระดับต่ำเช่นนี้จะสามารถค้นคิดวิชากระบี่อันร้ายกาจได้

แต่การเหมือนกันทุกประการระหว่างกระบี่วิญญาณเทพและกระบี่ครองฟ้า นี่หมายความว่าอย่างไร ที่แท้แล้ววิชากระบี่นี้มีเบื้องหลังใดแอบแฝง สำนักวิญญาณเทพมีความเกี่ยวข้องกับมหาเทพชางเล่ยหรือไม่ หากเกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกันอย่างไร เสี่ยวเฮยอยากรู้เรื่องนี้นักและมันต้องรู้ให้ได้ เพราะนี่เกี่ยวพันกับอู๋เชียนหยิงโดยตรง

ยามนี้อู๋เชียนหยิงรำกระบี่วิญญาณเทพจบลงแล้ว ทุกกระบวนท่าที่นางร่ายรำล้วนสมบูรณ์แบบ ที่ขาดไปก็เพียงความคล่องแคล่วว่องไวและความชำนาญเท่านั้น แน่นอนว่าอาศัยเพียงการฝึกซ้อมก็สามารถลบข้อผิดพลาดในเรื่องความคล่องแคล่วไปได้ ส่วนความชำนาญนั้นย่อมต้องอาศัยประสบการณ์การต่อสู้เท่านั้น

“เจ้าเหนื่อยมากรึ เชียนหยิง” เสี่ยวเฮยทักถามเมื่อมองเห็นท่าทีเหน็ดเหนื่อยของนาง

“เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าทุกกระบวนล้วนใช้ลมปราณมากมายนัก”

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้จะดีขึ้นเมื่อระดับลมปราณของเจ้าเลื่อนขั้น เป็นไปได้ว่าวิชากระบี่นี้ ระดับลมปราณที่เหมาะสมอาจจะต้องเป็นแตกหน่อขั้นที่แปดเป็นต้นไป”

“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายามเลื่อนระดับลมปราณให้เร็วที่สุด” เพราะยามนี้ลมปราณของนางอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หก

 

 

 

“เชียนหยิง เจ้าดูให้ดี” เสียงของท่านพ่อของนาง บุรุษที่นางฝันถึงทุก 7 วันดังขึ้น ทว่าวันนี้นางกลับฝันถึงท่านพ่อได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ครบ 7 วัน

นางมองเห็นบิดาร่ายรำกระบี่วิญญาณเทพให้นางดู ทว่ามิใช่เพียง 18 กระบวนท่า แต่กลับมีมากถึง 49 กระบวนท่า นางแน่ใจว่านับไม่ผิด 49 กระบวนท่าจริงๆ เพราะท่านพ่อรำกระบี่นี้ให้นางดูถึงสามรอบ

“เจ้าลองดู” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกนางอย่างอ่อนโยน

ในฝันนั้น นางรำกระบี่ตามกระบวนท่าที่จดจำได้ หากก็จดจำได้เพิ่มอีกเพียง 7 กระบวนท่าจากเดิมที่นางจำได้ 18 กระบวนท่า นางรำกระบี่ให้ท่านพ่อดูสองรอบแต่ก็ได้เพียง 25 กระบวนท่า นอกเหนือจากนี้นางยังจดจำไม่ได้

“ไม่เป็นไร ฝึกให้มากหน่อย เดี๋ยวเจ้าก็จะคุ้นเคยและจำได้เอง นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าฝึก จดจำได้ถึง 25 กระบวนท่าก็ดีเกินคาดมากแล้ว” ท่านพ่อบอกนางอย่างปลอบโยนก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากของนางครู่หนึ่ง

“เจ้าพักผ่อนเถิด เด็กดี” ท่านพ่อบอกเสียงนุ่ม เสียงของท่านพ่อค่อยๆ ไกลออกไป อู๋เชียนหยิงพลันง่วงงุนก่อนจะหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า