ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย) โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย)

“พี่เสี่ยวเฮย เมื่อคืนข้าฝันถึงท่านพ่อด้วยล่ะ” อู๋เชียนหยิงบอกเล่าให้เสี่ยวเฮยฟังอย่างมีความสุขระหว่างที่เดินไปหอลมปราณเทพ

เสี่ยวเฮยหูผึ่งทันที “เจ้าฝันว่าอย่างไร”

“ข้าฝันว่าท่านพ่อมาสอนกระบี่วิญญาณเทพให้ข้า แต่ในฝันนั้น กระบี่วิญญาณเทพมีถึง 49 กระบวนท่า แต่ตอนนี้ข้าจำได้เพียง 25 กระบวนท่าเท่านั้น”

เสี่ยวเฮยนิ่งอึ้ง คาดเดาได้ทันทีว่าแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยเริ่มเปิดเผยความลับออกมาแล้ว ทั้งยังเปิดเผยอย่างเงียบเชียบเสียด้วย หากอู๋เชียนหยิงไม่เล่าให้ฟัง มันจะไม่มีทางทราบได้เลย

“เจ้าบอกว่าเจ้าจำได้ 25 กระบวนท่า แล้วเมื่อวานนี้ที่เจ้าเรียนที่หอศาสตราเทพ อาจารย์สอนเจ้ากี่กระบวนท่า”

อู๋เชียนหยิงนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “สิบแปดกระบวนท่า”

“เช่นนั้นยามเจ้าฝึกซ้อมเพียงลำพัง เจ้าสามารถฝึกซ้อมได้จนครบ 25 กระบวนท่า แต่เมื่อเจ้าฝึกซ้อมร่วมกับผู้อื่น จำไว้ว่าต้องฝึกซ้อมเพียง 18 กระบวนท่าแรกเท่านั้น หากเจ้าร่ายรำเกิน 18 กระบวนท่า ทุกคนย่อมสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายและเรื่องราวต้องวุ่นวายแน่นอนเพราะเจ้าเป็นเพียงศิษย์สายนอกและยังเพิ่งเข้ามาเรียนไม่นาน”

“เจ้าค่ะ

อู๋เชียนหยิงนั่งฝึกฝนลมปราณในห้องฝึกฝนนานติดต่อกันถึง 11 ชั่วยาม สิบชั่วยามย่อมเป็นนางใช้แต้มภารกิจจากหอโอสถเทพแลกมา อีกหนึ่งชั่วยามนั้นเป็นไปตามสิทธิของนางที่ศิษย์สายนอกทุกคนจะได้ใช้ห้องฝึกฝนวันละหนึ่งชั่วยาม

อู๋เชียนหยิงมิได้ไปเล่าเรียนที่หอโอสถเทพและหอทวยเทพ หากยังคงไปฝึกซ้อมกระบี่วิญญาณเทพที่ลานฝึกซ้อมของหอศาสตราเทพร่วมกับผู้อื่นและไปนั่งฝึกฝนลมปราณที่หอลมปราณเทพทุกวัน วันละหนึ่งชั่วยาม

ระหว่างนี้เสี่ยวเฮยก็พยายามสืบหาเรื่องราวของวิชากระบี่วิญญาณเทพ ทว่ากลับไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น มันพยายามค้นหาอยู่ครึ่งเดือนก็ยังคงไร้วี่แววจนต้องตัดใจปล่อยวางไปก่อน ได้แต่คาดคิดว่าหากอู๋เชียนหยิงศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพนานกว่านี้ คงต้องได้ทราบเบาะแสอะไรบ้าง

เวลาส่วนใหญ่อู๋เชียนหยิงจะอยู่ที่เรือนธาราเทพอันเป็นเรือนพักเพื่อศึกษาทำความเข้าใจกับตำราสมุนไพรและตำราอักขระเวท ทั้งยังหัดหลอมกระดูกไปด้วย หลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟาง ศิษย์พี่ร่วมเรือนพักของนาง บางครั้งจะอยู่ที่เรือนพักกับนาง บางครั้งก็ออกไปเพื่อไปศึกษาวิชาที่พวกนางสนใจ

นับจากคืนนั้นที่นางฝันถึงท่านพ่อที่มาสอนกระบี่วิญญาณเทพให้นาง ทุกคืนนางจะฝันถึงท่าน บางคืนท่านพ่อของนางมาทบทวนกระบี่วิญญาณเทพให้ บางคืนก็สอนนางเรื่องสมุนไพรวิเศษ บางคืนก็สอนนางเกี่ยวกับอักขระเวทที่แสนยากให้ บางคืนก็สอนนางหลอมกระดูกว่ากระดูกเช่นใดควรหลอมอย่างไร ทว่าท่านพ่อของนางสอนอักขระเวทและการหลอมกระดูกให้นางเข้าใจได้อย่างง่ายดายนัก นางสามารถถามได้ทุกคำถามที่นางไม่เข้าใจ และท่านพ่อก็จะตอบนางจนเข้าใจ ท่านพ่อจะสอนนางอยู่ราวสองชั่วยามทุกคืน

ก่อนนางจะผล็อยหลับไปทุกครั้ง ท่านพ่อจะกอดนางไว้และจุมพิตหน้าผากของนาง อู๋เชียนหยิงอบอุ่นยิ่งนักในความฝันนั้น นางอยากให้ท่านพ่อกอดนางได้ในความเป็นจริง มิใช่เพียงความฝันเช่นนี้

 

 

 

ยามนี้ครบกำหนด 1 เดือนที่อาจารย์ที่หอโอสถเทพกำหนดแล้ว วันนี้เป็นวันที่อาจารย์ทดสอบความรู้ของนักเรียนใหม่ทั้ง 20 คน

“ข้าจะต้องได้คะแนนภารกิจ 500 คะแนน” อู๋เชียนหยิงบอกอย่างมุ่งมั่น

“เจ้าคิดจะทำคะแนนเต็ม?” เสี่ยวเฮยถามหยั่งเชิง

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าตั้งใจจะทำให้ได้ 95 คะแนน ข้าคิดว่าหากมีคนทำได้ ดีที่สุดพวกเขาสมควรทำได้เต็มที่ราว 90 คะแนน หากข้าทำ 95 คะแนน ข้าก็ชนะ ได้อันดับหนึ่ง”

“ดีที่เจ้าไม่ลืมว่าสมควรทำเช่นไร” เสี่ยวเฮยชมเชย

ยามนี้อู๋เชียนหยิงกำลังนั่งเขียนคำตอบอย่างขะมักเขม้น ข้อสอบครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับนาง กล่าวได้ว่าง่ายมากสำหรับนางด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เขียนคำตอบในแต่ละคำถาม นางจะเขียนอย่างไม่สมบูรณ์เพื่อให้คะแนนรวมออกมาไม่เกิน 95 คะแนนจาก 100 คะแนนตรงตามที่นางตั้งใจไว้

ผ่านไปอีกสามวัน หอโอสถเทพจึงประกาศผลการสอบ นางได้ 95 คะแนน ครองอันดับหนึ่งตามที่นางคาดไว้ ได้รับคะแนนภารกิจ 500 คะแนน หากผู้ที่ได้อันดับสองกลับเป็นเสวียนหย่ง เด็กน้อยทำได้ 92 คะแนน อู๋เชียนหยิงต้องนึกทึ่งในตัวสหายผู้นี้ ไม่เคยทราบเลยว่าเสวียนหย่งจะรู้เรื่องสมุนไพรได้ดีเช่นนี้

เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้น อาจารย์ที่หอโอสถเทพจึงเริ่มให้นักเรียนใหม่หัดปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวสมุนไพร

“เมล็ดสมุนไพรระดับฟ้าดินที่หอโอสถเทพมีมากมาย พวกเจ้าไปเลือกขอมาได้ตามต้องการว่าอยากจะปลูกสมุนไพรใด จำกัดเพียงว่าสมุนไพรหนึ่งชนิดสามารถขอได้ไม่เกิน 20 เมล็ด ต่อเมื่อพวกเจ้าเก็บเกี่ยวได้ดี นั่นจึงจะเป็นคะแนนให้พวกเจ้านำไปแลกเมล็ดสมุนไพรหรือแลกเป็นโอสถระดับฟ้าดินตามต้องการ เมล็ดสมุนไพรและโอสถในระดับศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกเจ้าต้องใช้คะแนนภารกิจมาแลกเท่านั้น”

“ด้านหลังหอโอสถเทพมีแปลงเพาะปลูกที่ยังว่างอยู่ 100 แปลง พวกเจ้าจะได้รับคนละหนึ่งแปลง หากอยากได้แปลงเพาะปลูกเพิ่ม พวกเจ้าก็ต้องเอาคะแนนจากการเก็บเกี่ยวสมุนไพรมาแลก”

อู๋เชียนหยิงเลือกแปลงเพาะปลูกได้แปลงหนึ่ง เสวียนหย่งก็เลือกแปลงที่อยู่ติดกับนางทันที

“ข้าต้องเลือกแปลงติดกับเจ้า เผื่อข้าสงสัยอะไร ข้าจะได้เดินมาดูที่แปลงของเจ้าได้และยังถามเจ้าได้ด้วย” เสวียนหย่งบอกกล่าวอย่างไม่คิดอะไรให้มากความ

“ได้สิ พวกเราเป็นสหายกัน เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า เป็นเรื่องธรรมดา”

เสวียนหย่งต้องมองอู๋เชียนหยิงอย่างแปลกใจเมื่อเห็นนางทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนแปลงเพาะปลูก ครู่หนึ่งจึงได้เห็นประกายสว่างขึ้นใต้ฝ่ามือ ประกายสว่างนั้นพลันถูกดูดหายลงไปใต้พื้นดินอย่างรวดเร็ว ครู่ใหญ่เสวียนหย่งก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินทั่วทั้งแปลงเพาะปลูกของอู๋เชียนหยิงมีความสมบูรณ์อย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยเห็นพื้นดินในแปลงเพาะปลูกค่อยๆ ยุบลงเป็นหลุมเล็กๆ สำหรับการปลูกสมุนไพร ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจ หลุมเล็กๆ จำนวน 100 หลุมก็เสร็จเรียบร้อย

“เจ้าทำอะไรน่ะ เชียนหยิง” เสวียนหย่งถามอย่างสงสัย แม้วิธีการคล้ายเดิมที่เคยเห็นแต่กลับมีบางอย่างผิดไปจากเดิม

“ข้าเติมเต็มธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับสมุนไพรแล้วจึงค่อยปลูกมัน” เสวียนหย่งพยักหน้าเข้าใจก่อนจะทำตามอู๋เชียนหยิง

ไม่เกินหนึ่งเค่อทั้งสองก็ปลูกสมุนไพรเสร็จสิ้น นักเรียนอื่นได้แต่มองพวกเขาอย่างแปลกใจว่าไฉนพวกเขาจึงปลูกเสร็จเร็วนัก

อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งแวะไปดูแลแปลงปลูกสมุนไพรทุก 7 วัน ทุกครั้งที่ไปนางจะคอยตรวจดูพื้นดินในแปลงเสมอว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมนางจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมทุกครั้ง ด้วยเพราะนางสามารถใช้ได้ทุกธาตุเช่นเดียวกับมหาเทพชางเล่ยผู้เป็นบิดา การปรับเปลี่ยนธาตุในพื้นดินจึงง่ายดายสำหรับนางนัก แต่กับเสวียนหย่งที่ไม่สามารถใช้ทุกธาตุเช่นเดียวกับนาง จึงต้องพึ่งพาอู๋เชียนหยิงให้ช่วยปรับปรุงให้ด้วย

สมุนไพรในแปลงที่นางปลูกล้วนเติบโตเร็วกว่าแปลงอื่นและยามนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว แน่นอนว่าสมุนไพรจากแปลงของนางและเสวียนหย่งย่อมสมบูรณ์กว่าของผู้อื่น หากความผิดแปลกนี้ยังคงไม่สะดุดตาผู้ใด ทุกคนเพียงคิดว่านางและเสวียนหย่งมีฝีมือปลูกสมุนไพรได้ดีเท่านั้น

ผ่านมาอีกสองเดือนจึงครบกำหนดสามเดือนที่หอทวยเทพกำหนดให้มีการทดสอบอักขระเวทและการหลอมกระดูกสัตว์ ช่วงที่ผ่านมาแม้อู๋เชียนหยิงจะร่ำเรียนกระบี่วิญญาณเทพจากในความฝัน หากนางก็ยังคงจดจำได้เพียง 25 กระบวนท่า แต่ความชำนาญใน 25 กระบวนท่ากลับเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมานี้ อู๋เชียนหยิงสามารถจดจำอักขระเวทระดับฟ้าดินจำนวน 54 ตัวได้ทั้งหมด ส่วนความเข้าใจในอักขระเวททั้ง 54 ตัวนี้ นางสามารถทำความเข้าใจไปได้สี่ในสิบส่วนแล้ว

“การทดสอบอักขระเวทในวันนี้จะมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นการทดสอบความรู้ว่าพวกเจ้าสามารถจดจำมันได้มากเพียงใด พวกเจ้าต้องสอบให้ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าเจ็ดในสิบส่วนจึงจะถือว่าสอบผ่านข้อเขียน”

“อีกส่วนจึงเป็นการทดสอบความเข้าใจอักขระเวท พวกเจ้าต้องใช้อักขระเวทสร้างสิ่งที่ข้าจะกำหนดขึ้นมา เกณฑ์การสอบผ่านคือพวกเจ้าต้องทำได้ตามเงื่อนไขที่ข้ากำหนด หากทำไม่ได้จะถือว่าเจ้าสอบตกในส่วนนี้และต้องมาสอบใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”

“ส่วนการหลอมกระดูก พวกเจ้าต้องหลอมให้กระดูกมีความบริสุทธิ์อย่างน้อยสามในสิบส่วน ต่ำกว่านี้ถือว่าสอบตกและต้องมาสอบใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเช่นกัน” อาจารย์ผู้สอนวิชาอักขระเวทและหลอมกระดูกบอกกล่าวอย่างชัดเจน

เมื่อได้อ่านข้อสอบแล้ว อู๋เชียนหยิงแทบจะหลุดยิ้มกว้าง เพราะข้อสอบนี้ง่ายกว่าที่นางคาดไว้มากนัก คำถามในข้อสอบง่ายกว่าที่ท่านพ่อทดสอบนางในความฝันอย่างมาก นางจรดพู่กันเขียนคำตอบอย่างสบายใจโดยไม่ลืมว่านางต้องทำคะแนนให้ได้ไม่เกิน 95 คะแนน จาก 100 คะแนน

เขียนคำตอบจนเสร็จเรียบร้อย หากเมื่อเหลือบตามองรอบด้านจึงพบว่ายังไม่มีผู้ใดทำเสร็จ เสวียนหย่งเองก็กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับการเขียนคำตอบ นางจึงแสร้งทำทีก้มหน้าต่อไป จนกระทั่งเกือบหมดเวลาจึงมีผู้ลุกขึ้นนำข้อสอบไปส่งอาจารย์ อู๋เชียนหยิงลุกตามทันที นางนั่งเบื่อมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะไม่ต้องการให้ตนเองสะดุดตาผู้ใดจึงจำใจนั่งรอ

ยามนี้มาถึงช่วงการทดสอบความเข้าใจในอักขระเวท อาจารย์เริ่มเรียกนักเรียนแต่ละคนออกมาก่อนจะสั่งให้พวกเขาใช้อักขระเวททำตามที่กำหนด อู๋เชียนหยิงนั่งฟังและนั่งมองการทดสอบที่เกิดขึ้นอย่างเพลิดเพลิน เมื่อได้ยินคำสั่งของอาจารย์ที่สั่งนักเรียนที่กำลังทดสอบ นางก็นึกตามไปด้วยว่าต้องใช้อักขระเวทใดบ้าง

“อู๋เชียนหยิง” อาจารย์เรียกชื่อของนาง

“เจ้าค่ะ”

“เจ้าจงสร้างไฟที่ร้อนที่สุดเท่าที่เจ้าสร้างได้” คำสั่งนี้ง่ายกว่าที่ท่านพ่อสั่งสอนนางมากนัก

นิ้วเล็กๆ ตวัดเขียนอักขระเวทสีครามสามตัวออกมา อักขระเวทหลอมรวมกันก่อนจะกลายเป็นเพลิงอันร้อนแรงกองมหึมากลางลานฝึกซ้อม ความร้อนของเพลิงนั้นร้อนระอุแผดเผาอากาศรอบด้านจนอบอ้าวอย่างรวดเร็วก่อนจะทวีความร้อนขึ้นจนทุกคนที่เฝ้ามองอยู่รอบด้านเหงื่อออกโซมกาย ความร้อนยังคงไม่มีท่าทีจะลดลง ผ่านไปเพียงห้าลมหายใจ ความร้อนจากเพลิงกองใหญ่นั้นทวีสูงขึ้นจนแทบจะแผดเผาผู้คนรอบด้านให้มอดไหม้ตามไป

“อู๋เชียนหยิง ดับเพลิงของเจ้าเดี๋ยวนี้” อาจารย์ผู้สอนอักขระเวทตวาดสั่งอย่างรวดเร็วหลังจากหายตกตะลึง

นิ้วเล็กๆ ตวัดเขียนอักขระเวทสีครามออกมาเพียงหนึ่งตัว มองเห็นอักขระเวทนั้นลอยลับหายไปในกองเพลิง ราวสามลมหายใจกองเพลิงนั้นก็ดับวูบ เหลือทิ้งไว้เพียงความร้อนแรงและภาพกองเพลิงขนาดใหญ่ที่ยังคงติดตา

ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึง กระทั่งอาจารย์ผู้สอนอักขระเวทก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

“อู๋เชียนหยิง สอบผ่าน” อาจารย์กล่าวออกมาหลังจากหาเสียงของตนเองเจอ แม้จะทราบดีว่าอักขระเวทระดับฟ้าดินสามารถสร้างเพลิงได้ หากก็ไม่คาดว่าจะสามารถสร้างเพลิงที่ร้อนแรงได้ถึงเพียงนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีเด็กหลายคนทำได้หากก็ไม่มีผู้ใดทำได้ดีเท่าอู๋เชียนหยิง

แม้จะถึงรอบของเด็กคนอื่นที่ต้องสอบการใช้อักขระเวท หากก็ไม่มีผู้ใดกระทำได้เช่นอู๋เชียนหยิงอีก

ยามนี้มาถึงรอบทดสอบการหลอมกระดูกสัตว์อสูร อู๋เชียนหยิงกลับหลอมกระดูกได้ความบริสุทธิ์เพียงสามส่วนพอดิบพอดี ทำให้ความสนใจในตัวนางของคนรอบข้างแปรเปลี่ยน เพราะตอนแรกพวกเขาคาดหวังว่าจะได้เห็นนางหลอมกระดูกได้ความบริสุทธิ์มากกว่านี้

ผ่านไปอีกสามวันจึงประกาศผลการสอบออกมา อู๋เชียนหยิงสอบได้ 95 คะแนนในวิชาอักขระเวท สูงสุดในบรรดานักเรียนใหม่ 20 คน ดังนั้น นางย่อมได้คะแนนภารกิจ 2,000 คะแนน แน่นอนว่าแต้มภารกิจนี้นางต้องนำไปแลกเป็นจำนวนชั่วยามสำหรับห้องฝึกฝนลมปราณ

อู๋เชียนหยิงใช้ชีวิตและศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพอย่างระมัดระวัง นางทุ่มเทศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ทั้งจากสำนักวิญญาณเทพและท่านพ่อของนางที่มาพบนางในความฝันทุกค่ำคืน แต่ไม่ว่าความสามารถของนางจะเลิศล้ำเพียงใด หากนางยังคงทำตามที่เสี่ยวเฮยย้ำเตือนนางไว้เสมอนั่นคือ การปกปิดความสามารถที่แท้จริงของนาง ทำให้ความสามารถของนางกลมกลืนไปกับผู้อื่นจนหมดสิ้น แม้ไม่อ่อนด้อยแต่ก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นควรแก่การสนใจ

ครบหนึ่งปีที่นางมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพ ระดับลมปราณของนางเลื่อนมาอยูที่แตกหน่อขั้นที่แปดจากเมื่อแรกเข้าอยู่ที่แตกหน่อขั้นที่หก สิ้นสุดปีที่สองระดับลมปราณเลื่อนขึ้นเป็นผลิดอกขั้นที่สอง สิ้นสุดปีที่สามระดับลมปราณของนางอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่หก

ตลอดสามปีนี้อู๋เชียนหยิงอาศัยทั้งโอสถวิเศษที่นางปรุงได้และการใช้แต้มภารกิจแลกโอสถมา เพื่อเสริมให้ระดับลมปราณของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้น ส่วนการหลอมกระดูกสัตว์อสูรนั้น แต้มที่ใช้แลกกระดูกสัตว์อสูรในระดับสูงนั้นต้องใช้มากนัก นางยังไม่สามารถรับภารกิจออกนอกสำนักไปล่าสัตว์อสูรได้ ดังนั้น เรื่องนี้นางจึงละความสนใจไป

ทุกครั้งที่ฝึกฝนในห้องฝึกฝนลมปราณ อู๋เชียนหยิงอดนึกถึงแท่นมังกรขดกาญจนาไม่ได้จริงๆ หากเป็นที่แท่นมังกรขดกาญนา ป่านนี้ระดับลมปราณของนางคงอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่เก้ามิใช่ขั้นที่หกเช่นตอนนี้

ชีวิตที่สำนักวิญญาณเทพตลอดสามปีที่ผ่านมาเป็นปกติสุขอย่างยิ่ง และนางเองก็พึงพอใจยิ่งนัก แม้จะอึดอัดขัดข้องอยู่บ้างที่ต้องปกปิดทุกสิ่งแต่เมื่อแลกมาด้วยความสุขกายสบายใจ นางจึงเห็นว่าคู่ควร

 

 

 

“ท่านแม่” อู๋เชียนหยิงเรียกอย่างดีใจเมื่อพบเห็นหวงจิ้งหรง ยามนี้ครบกำหนดที่สำนักวิญญาณเทพอนุญาตให้ศิษย์สายนอกที่เล่าเรียนครบสามปีกลับมาเยี่ยมบ้านได้เป็นเวลา 10 วัน นางจึงรีบกลับมาที่จวนอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน

“เชียนหยิง เจ้ามาได้อย่างไร ไยจึงไม่ส่งจดหมายมาบอก แม่จะได้ไปรับเจ้าที่สำนัก” หวงจิ้งหรงต่อว่าอย่างดีใจ บุตรีบุญธรรมที่นางคิดถึงกลับมาแล้ว

“ข้าอยากให้ท่านแม่แปลกใจเจ้าค่ะจึงไม่ได้จดหมายมาบอก”

“แล้วเจ้าได้พบจิ่นฟานบ้างหรือไม่ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ลูกไม่ได้พบพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ คาดว่าพี่ใหญ่คงฝึกหนักมาก พี่ใหญ่เป็นศิษย์สายในแล้ว ไม่มีเวลาสักเท่าใด”

“จิ่นฟานได้เป็นศิษย์สายในแล้วรึ” หวงจิ้งหรงถามอย่างดีใจ คาดไม่ถึงว่าอู๋จิ่นฟานจะสามารถเป็นศิษย์สายในได้เร็วเช่นนี้

“ใช่เจ้าค่ะ เจ้าสำนักเพิ่งประกาศออกมาเมื่อ 10 วันก่อนที่ข้าจะกลับมาหาท่านแม่”

“พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ตัวเจ้าล่ะ เชียนหยิง คิดจะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดบ้างหรือไม่” หวงจิ้งหรงถามขึ้น

ควรทราบว่าสำนักวิญญาณเทพนั้นแบ่งระดับศิษย์ออกเป็นสี่ระดับ ระดับแรกคือศิษย์สายนอกเช่นที่อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งเป็นอยู่ในตอนนี้ ลำดับที่สองคือศิษย์สายนอกชั้นยอด จะมีจำนวนเพียงสิบคนเท่านั้นที่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ ลำดับที่สามคือศิษย์สายใน จะมีเพียงสิบคนเช่นกัน ลำดับที่สี่คือศิษย์ส่วนตัว ศิษย์ส่วนตัวนี้จะมาจากเจ้าสำนักและสองรองเจ้าสำนักคัดสรรมาเอง หากศิษย์ส่วนตัวมีได้เพียงสามคน เพราะเจ้าสำนักและรองเจ้านักสามารถรับศิษย์ส่วนตัวได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น

อู๋เชียนหยิงนิ่งไปชั่วครู่ เรื่องนี้นางขบคิดมาหลายวันแล้วหากยังคิดไม่ตก ปรึกษาเสี่ยวเฮยแล้ว มันก็บอกให้นางตัดสินใจเอง นั่นเพราะยามนี้นางเติบโตขึ้นมากแล้ว เรียนรู้เรื่องราวมากมาย สมควรที่นางต้องตัดสินใจเอง อีกทั้งเมื่อระดับลมปราณของนางอยู่ในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่งและทราบเรื่องของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเมื่อใด ยามนั้นการตัดสินใจย่อมยากกว่าเวลานี้อย่างเทียบกันไม่ติด

“ท่านแม่คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ ลูกคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้วแต่ยังตัดสินใจไม่ได้”

“ยามนี้ระดับลมปราณของเจ้าอยู่ขั้นใด” หวงจิ้งหรงไม่ตอบหากถามกลับ

“ผลิดอกขั้นที่เจ็ดเจ้าค่ะ” เพียงได้ยินเช่นนี้ หวงจิ้งหรงต้องเบิ่งตากว้าง

อายุ 15 ปี ระดับลมปราณกลับสูงส่งถึงผลิดอกขั้นที่เจ็ด นี่เป็นไปได้อย่างไร

หวงจิ้งหรงคิดอย่างประหลาดใจก่อนจะยื่นมือไปตรวจชีพจรของอู๋เชียนหยิง หากเมื่อตรวจแล้ว นางยิ่งต้องทอดถอนใจ ลมปราณของบุตรสาวของนางช่างหนาแน่นและเสถียรอย่างยิ่ง เด็กสาวในวัยเดียวกับนางไม่มีผู้ใดเป็นเช่นนี้ นางฝึกฝนอย่างไรจึงทำได้ดีถึงเพียงนี้

หวงจิ้งหรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก

“การเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดมีข้อเสียประการเดียวคือเจ้าจำต้องเปิดเผยฝีมือแท้จริงของเจ้าออกมา เจ้าคงทราบแล้วกระมังว่าการเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดและศิษย์สายใน เจ้าต้องท้าประลองผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนั้น หากเจ้าชนะ เจ้าจึงเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดได้ ดังนั้น เจ้าจะอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ไม่อาจหลบเลี่ยงเช่นที่ผ่านมาได้อีก ทั้งยังต้องรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้ เพราะไม่ว่าผู้ใดก็สามารถท้าประลองเจ้าเพื่อชิงตำแหน่งได้เช่นกัน”

“ส่วนข้อดีก็คือ เจ้าจะได้เข้าถึงสิ่งที่มีประโยชน์กับเจ้ามากขึ้นในสำนักวิญญาณเทพ ไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษ วิชาต่าง และอื่นๆ อีกหลายประการ”

“เจ้าลองไตร่ตรองชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียสองเรื่องนี้ให้ดีว่าเจ้าสมควรเลือกอย่างไร” หวงจิ้งหรงให้ข้อคิดหากไม่ได้ตัดสินใจให้นาง บุตรสาวของนางเติบโตแล้ว สมควรต้องให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง นางให้ได้เพียงการชี้แนะที่เหมาะสมเท่านั้น

อู๋เชียนหยิงนิ่งงัน นัยน์ตาทอแววครุ่นคิดใคร่ครวญ

พักผ่อนอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านได้เพียงหนึ่งวัน นางก็เอ่ยปากกับหวงจิ้งหรงขอไปป่ามรณะเพื่อล่าสัตว์อสูร แต่แท้จริงแล้วนางต้องการไปที่แท่นมังกรขดกาญจนาเพื่อเพิ่มพูนระดับลมปราณให้เลื่อนระดับเร็วขึ้น เพราะยามนี้ระดับลมปราณของนางใกล้จะทะลวงด่านขึ้นสู่ผลิดอกขั้นที่แปดแล้ว

หวงจิ้งหรงยอมอนุญาตเพราะเห็นว่าระดับลมปราณของนางสูงพอที่จะดูแลตนเองได้แล้ว

เมื่อออกมานอกนครประกายเทพ เพียงแผ่ปราณออกแล้วพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้เคียง นางสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางก็พุ่งวาบดุจประกายสายฟ้ามุ่งหน้าสู่ผาจันทร์ลอยน้ำพร้อมกับเจ้าแมวน้อยเสี่ยวเฮย ด้วยความเร็วสูงสุดที่ใช้ออก ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึง

เพียงได้เห็นผาจันทร์ลอยน้ำ นัยน์ตาของนางต้องทอแววคิดถึงออกมาทันที เพราะสถานที่แห่งนี้นางอาศัยมาเนิ่นนานนัก เนิ่นนานถึง 14,000 ปี นางทราบดีว่าตนเองมิใช่มนุษย์เพราะเมื่อไม่นานนี้นางเพิ่งฉุกคิดได้ถึงเมื่อครั้งที่เสี่ยวเฮยให้นางโคจรลมปราณเพื่อปรับสภาพร่างกายให้สามารถเติบโตเช่นมนุษย์ จะได้ไม่ผิดสังเกตกับผู้ใด

แท้จริงแล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่ ทว่าเสี่ยวเฮยไม่ยอมตอบคำถามนี้ มันบอกเพียงว่าลมปราณของนางอยู่ในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่งเมื่อใด ทุกอย่างที่นางสงสัย มันจะยอมบอกจนหมดสิ้น ร่างบอบบางพุ่งลงสู่ก้นหุบเหวด้านล่าง ไม่นานนักจึงมาถึงถ้ำที่นางเคยอาศัย

 

ถ้ำมังกรขดกาญจนา !

 

นางเรียกมันเช่นนี้เพราะถ้ำแห่งนี้มีแท่นมังกรขดกาญจนา

เมื่อก้าวเข้าไปในถ้ำ แท่นมังกรสีทองอร่ามยังคงทอแสงเรืองรองเช่นเดิม นางจากถ้ำนี้ไปแปดปีเต็ม เป็นแปดปีที่นางคิดถึงแท่นมังกรขดกาญจนา คล้ายดั่งว่าสถานที่แห่งนี้มีเบื้องหลังบางประการที่ทั้งน่ายินดีและน่าโศกเศร้า

อู๋เชียนหยิงก้าวเข้าไปนั่งที่แท่นมังกรนี้อย่างคุ้นเคยก่อนจะเริ่มโคจรลมปราณ

ผ่านไปสามวันสามคืน นางก็สามารถทะลวงด่านลมปราณได้สำเร็จ บัดนี้ลมปราณของนางเลื่อนขึ้นสู่ระดับผลิดอกขั้นที่แปดแล้ว และเช่นเดียวกับทุกครั้งที่นางทะลวงด่านลมปราณ จะมีพลังประหลาดจากหัวใจของนางพุ่งตรงมาที่จุดตันเถียนเพื่อช่วยให้นางทะลวงขั้นลมปราณได้อย่างง่ายดาย

นั่งฝึกฝนที่แท่นมังกรขดกาญจนาต่ออีกสามวัน อู๋เชียนหยิงก็รับรู้ได้ว่ายามนี้อีกเพียงครึ่งทาง ลมปราณของนางจะทะลวงสู่ผลิดอกขั้นที่เก้า หากมีเวลาฝึกฝนที่แท่นมังกรขดนี้อีกสักสองเดือน ลมปราณของนางจะสามารถทะยานขึ้นสู่ระดับผลิดอกขั้นที่สิบได้ไม่ยาก แต่ยามนี้ถึงเวลาที่นางต้องกลับสู่จวนอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านแล้ว

กลับมาพักผ่อนที่จวนได้สองวัน วันรุ่งขึ้นนางต้องเดินทางกลับสำนักวิญญาณเทพแล้ว

“เจ้าคิดได้หรือยังเรื่องศิษย์สายนอกชั้นยอด” หวงจิ้งหรงถามขึ้นเมื่อนั่งรถม้ามาส่งอู๋เชียนหยิง

“คิดได้แล้วเจ้าค่ะ ลูกจะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอด การปกปิดความสามารถของลูกนั้น อย่างไรก็ต้องเปิดเผยออกมาในสักวันหนึ่ง แต่การเปิดเผยเพื่อให้ได้เป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดนี้ ลูกจะพยายามไม่เปิดเผยทั้งหมด ต้องมีเก็บงำไว้บ้างเพื่อป้องกันตัวลูกเอง”

“ดีแล้ว ที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ กลับไปครั้งนี้ ระวังตัวให้ดี หากมีปัญหา ไปปรึกษาพี่ใหญ่จิ่นฟานของเจ้า เขาต้องทราบตื้นลึกหนาบางมากพอจะช่วยเหลือเจ้าได้”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ที่ชี้แนะ”

 

 

 

เมื่อตัดสินใจได้แน่นอนแล้วว่าจะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอด นางจึงส่งจดหมายแจ้งอาจารย์ผู้ดูแลเรือนพักศิษย์สายในเพื่อขอพบอู๋จิ่นฟาน พี่ชายของนาง เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าพบได้ วันนี้นางจึงมารอพบพี่ชายบุญธรรมที่ห้องรับรองของเรือนพักอาจารย์ผู้ดูแล

“ศิษย์สายนอกอู๋เชียนหยิงคำนับอาจารย์ ศิษย์พี่จิ่นฟาน” อู๋เชียนหยิงเรียกขานอู๋จิ่นฟานอย่างเป็นทางการ

“ตามสบายเถิด พวกเจ้าพูดคุยกันไป ข้าจะนั่งอยู่ที่นี้”

“ขอบคุณท่านอาจารย์”

“พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องปรึกษา” คราวนี้นางหันมาเรียกเช่นปกติที่เคยเรียกขาน

อู๋จิ่นฟานอดยิ้มเอ็นดูน้องสาวบุญธรรมผู้นี้ไม่ได้ “เจ้าจะปรึกษาเรื่องใด”

“ข้าอยากเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอด” คำตอบนี้ไม่ทำให้อาจารย์ผู้ดูแลเรือนพักศิษย์สายในแปลกใจ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะมีศิษย์สายนอกคิดเข้าสู่ทำเนียบเทพน้อย

ทว่าอู๋จิ่นฟานนิ่งงัน คาดไม่ถึงว่าไม่พบน้องสาวบุญธรรมผู้นี้เพียงแปดปี บัดนี้นางเติบโตจนคิดเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดแล้ว

“ลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับใด” เขาถามกลับอย่างรวดเร็ว

อู๋เชียนหยิงไม่ตอบหากยื่นข้อมือให้เขาตรวจชีพจร ยามนี้อู๋จิ่นฟานเป็นชายหนุ่มอายุ 23 ปี ระดับลมปราณของเขาย่อมแข็งแกร่งมากพอจะตรวจสอบระดับลมปราณของผู้อื่นได้ ยื่นมือตรวจชีพจรนางได้ครู่เดียว เขาก็ต้องเบิกตากว้าง

“เจ้า...”

“เจ้าค่ะ ข้าจึงคิดว่าข้าน่าจะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดได้”

“เชียนหยิง ระดับลมปราณของเจ้านับว่าน่าพอใจอย่างยิ่ง แต่การจะท้าสู้ศิษย์สายนอกชั้นยอดนั้น สำนักวิญญาณเทพนอกจากกำหนดระดับลมปราณไว้ที่รวมปราณขั้นที่หนึ่งให้ผู้ที่จะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดแล้ว มันยังเป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะท้าสู้พวกเขาด้วย ดังนั้น เจ้าต้องฝึกฝนให้ได้รวมปราณขั้นที่หนึ่งเสียก่อนจึงจะสามารถท้าสู้พวกเขาได้”

“รวมปราณขั้นที่หนึ่งหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยทวนด้วยสีหน้าครุ่นคิด