ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

เหนือมาร สะท้านเทพ - บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1) โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า,ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหนือมาร สะท้านเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,จีน,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,จีนโบราณ,แก้แค้น,เทพเซียน,รักต่างวัย,กำลังภายใน,ฝึกปราณ,มาร,ไม่ฮาเร็ม,สงคราม,นางเอกเก่ง,พระเอกเทพ,รักแฟนตาซี,ต่อสู้

รายละเอียด

ทุกผู้คนล้วนทราบว่ามารคือผู้กระทำชั่ว แต่หากเทพทำชั่วบ้างเล่า เช่นนั้นยังคงเรียก 'เทพ' ได้อีกหรือ และหากมารกระทำดี คนผู้นั้นยังคงต้องเป็น 'มาร' ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์

ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ

สารบัญ

เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 2 เรียนรู้มนุษย์ 1,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 3 เรียนรู้มนุษย์ 2,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 4 เรียนรู้มนุษย์ 3,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 5 เรียนรู้มนุษย์ 4,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ 5,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 7 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 8 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 9 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 11 วัฏจักรเทพแปดทิศ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 12 วัฏจักรเทพแปดทิศ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 13 วัฏจักรเทพแปดทิศ (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 14 วัฏจักรเทพแปดทิศ (5),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 15 เทพยุทธ์หยั่งรู้ มหาเทพต้วนเจี้ยน,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 16 การแข่งขันจัดอันดับ (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 17 การแข่งขันจัดอันดับ (กลาง),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 18 การแข่งขันจัดอันดับ (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 19 ปราชญ์ไตรลักษณ์อายุน้อยที่สุด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 20 ประตูความลับฟ้า,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 21 พบเจอ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 22 โฉมสะคราญเหนือแดนสรวง,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 23 สงสัย,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 24 เทพธิดาเผยโฉม,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 25 อู๋เชียนหยิงผู้ได้รับพรจากสวรรค์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 26 บทเรียนก่อนวิวาห์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 27 กระต่ายราตรีเหมันต์และมหาพฤกษาแรกกำเนิด,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 28 ฝึกฝนสามปี,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 29 หอร้อยมังกร (ต้น),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 30 หอร้อยมังกร (ปลาย),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 31 ข้าเหนื่อยจัง พักสักนิดไม่ได้หรือ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 32 งานประลองกระชับมิตร (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 33 งานประลองกระชับมิตร (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 34 งานประลองกระชับมิตร (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 35 งานประลองกระชับมิตร (4),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 36 สังหารในเสี้ยวพริบตา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 37 สู่เทพเทวาขั้นสิบ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 38 เตรียมตัวสู่แดนเทพ,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 39 ร่ำลา,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 40 แดนมังกรเหมันต์ เมืองนภาเหมันต์,เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 41 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (1),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 42 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (2),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 43 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (3),เหนือมาร สะท้านเทพ-บทที่ 44 ด่านทดสอบสำนักเหมันต์บรรจบ (4)

เนื้อหา

บทที่ 10 วัฏจักรเทพแปดทิศ (1)

เรื่องที่ศิษย์สายนอกชั้นยอดต้องมีระดับลมปราณอย่างน้อยที่สุดคือรวมปราณขั้นที่หนึ่งนั้นอู๋เชียนหยิงทราบอยู่แล้ว แต่เสี่ยวเฮยบอกว่านางสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ถึงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ นั่นคือ นางสามารถต่อสู้กับผู้ที่มีลมปราณระดับรวมปราณขั้นที่แปดได้โดยไม่พ่ายแพ้ ทำให้นางคิดต่อสู้ท้าชิงตำแหน่งศิษย์สายนอกชั้นยอด นางเพียงคิดว่าหากนางสามารถเอาชนะได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา อาจารย์ทั้งหลายสมควรยอมรับในความสามารถของนาง ไม่คาดว่ากลับมาเจอปัญหาว่าระดับลมปราณดังกล่าวคือข้อกำหนดว่าผู้ท้าสู้ก็ต้องมีลมปราณอยู่ในระดับนี้ ทำให้ยามนี้ระดับลมปราณของนางต่ำเกินไป นางไม่สามารถท้าสู้พวกเขาได้

ทว่าความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับถึงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่นี้ไม่สามารถบอกผู้ใดได้ นี่เป็นผลจากร่างนภาพิสุทธิ์ของนาง ทว่าอู๋เชียนหยิงย่อมไม่ทราบว่านางมีร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบเพราะอักขระเวทที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียสลักไว้ที่หน้าผากของนางนั้น สามารถปกปิดได้อย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้เสี่ยวเฮยย่อมทราบดี

ระดับรวมปราณขั้นที่หนึ่งทำให้อู๋เชียนหยิงลำบากใจไม่น้อย หากนางยังฝึกฝนที่แท่นมังกรขดกาญจนา ขอเวลานางไม่เกิน 5 เดือน นางย่อมสามารถเลื่อนระดับลมปราณได้ตามที่กำหนดแน่นอน เช่นนี้นางควรทำอย่างไรจึงจะสามารถเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วกว่านี้

“เชียนหยิง พี่แนะนำให้เจ้าไปฝึกฝนลมปราณให้ถึงระดับรวมปราณขั้นที่หนึ่งเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดเรื่องศิษย์สายนอกชั้นยอด”

กล่าวจบแล้วอู๋จิ่นฟานพลันมีสีหน้านึกอะไรได้ จึงวาดฝ่ามือขึ้นก่อนจะปรากฏห้วงมิติเล็กๆ สำหรับเก็บของขึ้นมา มองเห็นเขาล้วงมือเข้าไปหยิบบางสิ่งออกมา ที่แท้เป็นขวดหยกเล็กๆ ใบหนึ่ง เขาวาดฝ่ามืออีกครั้ง ห้วงมิตินั้นก็เลือนหาย

อู๋จิ่นฟานยื่นขวดหยกใบน้อยให้นาง “นี่เป็นโอสถจันทร์สว่าง โอสถนี้จะช่วยเพิ่มลมปราณในร่างให้เจ้าได้มาก โอสถนี้หนึ่งเม็ดสามารถเพิ่มพูนลมปราณให้เจ้าได้ถึงสองในสิบส่วนที่เจ้ามีอยู่ มันสมควรช่วยให้เจ้าเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วขึ้น”

“แต่ว่านี่เป็นโอสถล้ำค่า พี่ใหญ่ ท่านเอาไว้ใช้เถิด สำหรับข้าแล้ว มันยังไม่จำเป็นถึงเพียงนั้น” นางปฏิเสธทันที เพราะโอสถจันทร์สว่างเป็นโอสถที่ปรุงยากไม่น้อย ทุกคนในสำนักทราบดีว่านี่เป็นโอสถสำหรับศิษย์สายนอกชั้นยอด

“เจ้าเอาไปเถิด มันไม่มีประโยชน์กับพี่แล้ว พี่ใช้โอสถที่ดีกว่านี้สำหรับศิษย์สายใน”

อู๋เชียนหยิงยังคงไม่ยื่นมือไปรับ อู๋จิ่นฟานจึงจับมือของนางแบออกก่อนจะวางขวดหยกลงไป

“เอาไปเสีย แล้วอย่าทำให้พี่ผิดหวัง ครั้งหน้าที่เจ้ามาพบกับพี่ พี่ควรได้ทราบว่าระดับลมปราณของเจ้าสูงขึ้นกว่าเดิม” อู๋จิ่นฟานยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู

เห็นพี่ใหญ่ของนางลุกขึ้น เป็นสัญญาณว่าเขาจะกลับเข้าไปที่เรือนพักของศิษย์สายในแล้ว ทว่ามือของอู๋จิ่นฟานกลับยื่นมาจับศีรษะของนางแล้วโยกจนนางหัวสั่นหัวคลอนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือออกพร้อมกับเดินจากไปด้วยเสียงหัวเราะชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งน้องสาว

“พี่ใหญ่ ท่านทำผมข้ายุ่งหมดเลย ข้าจะฟ้องท่านแม่” นางบ่นไล่หลัง หากยิ่งได้ยินเสียงของอู๋จิ่นฟานหัวเราะดังกว่าเดิม

 

 

 

“พี่เสี่ยวเฮย ข้าควรทำอย่างไรจึงจะเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วกว่านี้ ยามนี้ลมปราณข้าคือผลิดอกขั้นที่แปด อีกตั้งสามขั้นกว่าข้าจะเลื่อนเป็นรวมปราณขั้นที่หนึ่ง” อู๋เชียนหยิงปรึกษาเสี่ยวเฮยทันทีที่อยู่ในห้องนอนของตนที่เรือนธาราเทพ

“เร็วที่สุด เจ้าต้องไปฝึกฝนที่แท่นมังกรขดกาญจนา แต่เวลานี้ย่อมทำไม่ได้ แม้เจ้าจะสำเร็จท่าเท้าเงาจันทร์เลือนลับได้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ระดับลมปราณของเจ้าหากคิดลอบออกจากสำนักวิญญาณเทพ เกรงว่าคงถูกจับได้เสียก่อน”

นางต้องถอนหายใจ เรื่องนี้นางก็ทราบดี

ไว้ข้าปรึกษาท่านพ่อคืนนี้ดีกว่า เผื่อท่านจะมีวิธีทำให้ข้าเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วขึ้น นางคิดในใจอย่างนึกขึ้นได้ว่าทุกคืนนางจะได้พบท่านพ่อของนางในความฝัน

 

 

 

“ข้าอยากเลื่อนระดับลมปราณให้เร็วขึ้น ข้าต้องการเลื่อนไปที่ระดับรวมปราณขั้นที่หนึ่ง ท่านพ่อมีวิธีใดแนะนำหรือไม่เจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงเอ่ยถามบิดาของนางที่กระทั่งยามนี้นางก็ยังไม่ทราบนามของท่าน จริงๆ นางเคยถามท่าน แต่ท่านไม่ตอบ เพียงยิ้มให้นางเท่านั้น

นางเห็นท่านพ่อนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ต่อมานางจึงเห็นท่านแบมือออกเบื้องหน้านาง ที่ปรากฏบนฝ่ามือของผู้เป็นบิดาคือกระดาษแผ่นหนึ่ง ท่านพ่อยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้นาง ในกระดาษนั้นเขียนรายชื่อสิ่งของห้าชนิด

 

หยกประกายดาราสามชิ้น แต่ละชิ้นมีน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งจิน (1 จิน = 500 กรัม)

กลีบบัวปีกฟ้าสามสิบกลีบ

โสมเลือดมังกรที่มีอายุไม่น้อยกว่าหนึ่งพันปีสามต้น

หยาดน้ำค้างยามเที่ยงคืนสามร้อยหกสิบหยด

หญ้าวิหคทองน้ำหนักห้าตำลึง (1 ตำลึงจีน ประมาณ 31-32 กรัม)

 

“เจ้าจงทำให้หยกประกายดารา กลีบบัวปีกฟ้า โสมเลือดมังกร และหญ้าวิหคทองกลายเป็นผงและทำให้มันบริสุทธิ์เต็มสิบส่วน จากนั้นหลอมรวมและควบผนึกพวกมันทั้งหมดเข้ากับหยาดน้ำค้างยามเที่ยงคืนด้วยวารีธาตุของเจ้าให้เหลือเพียง 180 หยด มันจะกลายเป็น ‘น้ำทิพย์ข้ามตะวัน’ อันล้ำเลิศ”

“เจ้าดื่มน้ำทิพย์นี้วันละหนึ่งหยดแล้วฝึกฝนลมปราณวันละสามชั่วยามทุกวัน สามเดือนแรกลมปราณของเจ้าจะเลื่อนระดับจากผลิดอกขั้นที่แปดเป็นผลิดอกขั้นที่สิบ อีกสามเดือนให้หลังลมปราณจึงจะเลื่อนเป็นรวมปราณขั้นที่หนึ่ง”

“หลังจากเจ้าใช้มันครบทั้ง 180 หยดแล้ว ห้ามเจ้าแตะต้องมันเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มนับจากวันสุดท้ายที่เจ้ารับประทานมัน ไม่อาจขาดไปแม้แต่วันเดียว เพราะภายในหนึ่งปีนั้น ไม่ว่าเจ้าจะรับประทานมันมากเท่าใด มันจะไม่ให้ผลใดกับเจ้าเลย เสมือนหนึ่งเจ้ารับประทานน้ำธรรมดา”

อู๋เชียนหยิงตื่นตะลึง ใช้เวลาเพียงหกเดือนเท่านั้น นางก็สามารถเลื่อนระดับลมปราณได้ถึงสามขั้น นี่แทบจะเทียบเท่าแท่นมังกรขดกาญจนาเลยทีเดียว แม้จะต้องงดเว้นการใช้น้ำทิพย์ไปถึงหนึ่งปีก็ตาม

นางจ้องหน้าท่านพ่อของนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าลงอ่านรายชื่อสิ่งของห้าชนิดนั้นและจดจำมันไว้อย่างรวดเร็ว เพราะนางทราบดีว่านี่เป็นเพียงความฝันที่นางไม่สามารถนำสิ่งใดออกมาจากความฝันได้ มีเพียงความทรงจำเท่านั้นที่จะติดตัวนางมา

น้ำทิพย์ข้ามตะวัน นางเพิ่งเคยได้ยินนามของมันเป็นครั้งแรก หากพิจารณาจากคุณวิเศษของมันแล้ว สมควรเป็นโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์หรือสูงกว่า ทว่าส่วนประกอบของน้ำทิพย์นี้กลับใช้เพียงสิ่งของในระดับฟ้าดินเท่านั้น ทั้งยังเป็นสิ่งของที่หาได้ทั่วไป หรือว่ามันจะเป็นโอสถระดับฟ้าดินกันแน่

อู๋เชียนหยิงอ่านสูตรโอสถนี้ถึงห้ารอบเพื่อให้จดจำได้แม่นยำไม่ผิดพลาด ส่วนวิธีปรุงนั้น เพียงท่านพ่อบอก นางก็จดจำได้ทันทีเพราะมันช่างปรุงได้ง่ายแสนง่ายนัก

เมื่อนางเล่าเรื่องน้ำทิพย์ข้ามตะวันให้เสี่ยวเฮยฟัง มันยังต้องตื่นเต้น นั่นเพราะแดนมารในห้วงแห่งสุขาวดีนั้นล้วนเอื้อต่อการฝึกฝนของเผ่ามารทั้งสิ้น ดังนั้น โอสถที่ใช้ในการเลื่อนระดับลมปราณเช่นนี้จึงไม่เคยอยู่ในสายตา ขณะที่แดนเทพนั้นไม่ได้มีสภาพแวดล้อมเช่นแดนมาร การฝึกฝนต่างๆ ล้วนต้องอาศัยโอสถวิเศษและของวิเศษหลากหลายช่วยเพิ่มพูนลมปราณ

 

 

 

เช้าวันนี้อู๋เชียนหยิงรีบมาที่หอโอสถเทพ เพราะนางปลูกสมุนไพรและปรุงโอสถได้ล้ำเลิศ นางจึงมีคะแนนสะสมตลอดสามปีที่ผ่านมาทั้งหมด 55,000 คะแนน ยามนี้นางใช้ไป 25,000 คะแนน เพื่อแลกหยกประกายดารา กลีบบัวปีกฟ้า โสมเลือดมังกร หยาดน้ำค้างยามเที่ยงคืน และหญ้าวิหคทอง เมื่อแลกได้ของที่ต้องการ นางจึงมาที่ห้องอักษรของหอโอสถเทพเพื่อค้นหาสูตรโอสถน้ำทิพย์ข้ามตะวัน นางอยากรู้ว่ามันเป็นโอสถระดับใด

แต่ค้นหาอย่างไร กลับไม่มีตำราหรือคัมภีร์โอสถใดระบุถึงน้ำทิพย์ข้ามตะวัน นางตระหนักได้ทันทีว่าสูตรโอสถน้ำทิพย์ข้ามตะวันนี้ไม่อาจบอกผู้ใดได้ มิฉะนั้น เรื่องราวต้องวุ่นวายยิ่งนัก เพราะนี่เป็นโอสถที่ดีเสียยิ่งกว่าโอสถเต็มบุปผาอันเป็นโอสถที่ศิษย์สายในและศิษย์ส่วนตัวใช้กัน โอสถเต็มบุปผาเพียงช่วยเพิ่มลมปราณได้สี่ในสิบส่วน มากกว่าโอสถจันทร์สว่างเท่าตัว

ยามนี้อู๋เชียนหยิงอยู่ในห้องปรุงโอสถ นางปิดประตูห้องและยังเขียนอักขระเวทปิดกั้นไว้ ป้องกันมิให้ผู้ใดเข้ามาในระหว่างที่นางปรุงน้ำทิพย์ข้ามตะวัน ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ น้ำทิพย์ข้ามตะวันจำนวน 180 หยดก็อยู่ในขวดหยกเรียบร้อย ออกจากห้องปรุงโอสถ นางก็ตรงไปที่หอภารกิจเทพทันที ใช้คะแนนภารกิจไปทั้งสิ้น 36,000 คะแนนเพื่อแลกจำนวนชั่วยามในห้องฝึกฝนลมปราณมา 360 ชั่วยามสำหรับเวลา 180 วัน ก่อนจะรีบมาที่หอลมปราณเทพเพื่อมาจองห้องลมปราณเพิ่มอีกวันละ 2 ชั่วยาม ยาวนานถึง 180 วัน

“เจ้าจองห้องฝึกฝนลมปราณนานถึง 6 เดือนเช่นนี้ เจ้าคิดจะเลื่อนระดับลมปราณให้ได้อย่างน้อย 1 ขั้น?” อาจารย์ที่ทำหน้าที่บันทึกการจองห้องฝึกฝนเอ่ยถามนางอย่างแปลกใจ

“เจ้าค่ะ ระดับลมปราณของศิษย์ยังไม่มากพอ เกรงว่าฝึกฝนอะไรไปก็คงทำได้ไม่ดี”

“หกเดือน แม้นับว่านานแต่ย่อมไม่นานพอให้เจ้าเลื่อนระดับได้ง่ายๆ แต่ในเมื่อเจ้ามีความพยายามเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี” อาจารย์ผู้นั้นกล่าวชมเชยก่อนจะจองห้องฝึกฝนให้นางตามที่ต้องการ

ไม่มีผู้ใดในสำนักทราบว่าสามปีที่ผ่านมานี้ อู๋เชียนหยิงสามารถเลื่อนระดับลมปราณได้อย่างรวดเร็วจากเมื่อแรกเข้าสำนัก ลมปราณของนางอยู่ที่ระดับแตกหน่อขั้นที่ห้า หากยามนี้กลับอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่แปด เป็นการเลื่อนระดับถึง 13 ขั้นย่อยในเวลาสามปี หากมีผู้ใดทราบถึงความเร็วในการเลื่อนระดับของนาง พวกเขาทุกคนต้องตกใจตายกันแน่ เพราะกว่าทุกคนจะเลื่อนระดับได้ หนึ่งขั้นย่อยอย่างน้อยต้องใช้เวลา 6 เดือนถึงหนึ่งปี และยิ่งระดับสูงขึ้น การเลื่อนระดับยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม

อู๋เชียนหยิงสามารถเลื่อนระดับได้เร็วเช่นนี้มาจากเหตุผลสองประการ ประการแรกคือร่างนภาพิสุทธิ์ของนางที่สามารถเพิ่มพูนระดับลมปราณได้ดีกว่าผู้ใด และสองย่อมเป็นแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยที่คอยช่วยนางทะลวงด่านเพื่อการเลื่อนระดับเสมอมา

เมื่อพบเจอเสวียนหย่งที่หอศาสตราเทพยามที่นางมาเรียนและฝึกซ้อมกระบี่วิญญาณเทพ หลังฝึกซ้อมกระบี่เสร็จสิ้น นางจึงบอกว่านางจะฝึกฝนลมปราณวันละ 3 ชั่วยามทุกวันนาน 6 เดือน

“เจ้าจะเลื่อนระดับลมปราณรึ จึงฝึกฝนหนักเช่นนี้” เสวียนหย่งถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ ระดับลมปราณของข้ายังไม่ดีเท่าใด ยามนี้อยู่เพียงผลิดอกขั้นที่หกเท่านั้น ข้าอยากให้ระดับลมปราณเพิ่มอีกขั้น จะได้หลอมกระดูกได้ดีกว่านี้” อู๋เชียนหยิงกล่าวกลบเกลื่อนจุดประสงค์แท้จริงทั้งยังบอกว่าระดับลมปราณของตนอยู่เพียงผลิดอกขั้นที่หกเท่ากับเสวียนหย่ง

เสวียนหย่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าฝึกฝนเช่นเดียวกับเจ้าดีหรือไม่ วันละ 3 ชั่วยาม นาน 6 เดือน”

“ตามใจเจ้าสิ ฝึกฝนมาก คนที่ได้ประโยชน์ก็คือตัวเจ้าทั้งสิ้น”

เสวียนหย่งนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย “งั้นข้าไปหอภารกิจเทพก่อน ไปแลกจำนวนชั่วยามและจะได้ไปจองห้องฝึกฝน จะได้เริ่มฝึกพร้อมเจ้าพรุ่งนี้”

 

 

 

ผ่านมาสามเดือนแล้วที่อู๋เชียนหยิงฝึกฝนลมปราณ ยามนี้ลมปราณของนางเลื่อนสู่ระดับผลิดอกขั้นที่สิบตรงตามที่ท่านพ่อของนางบอกกล่าวอย่างไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้น เหลืออีกเพียงสามเดือนระดับลมปราณของนางย่อมเลื่อนสู่ระดับรวมปราณขั้นที่หนึ่ง

“เชียนหยิง เจ้าได้ยินข่าวแล้วหรือยัง” เสวียนหย่งถามขึ้นเมื่อพบเจอนางที่หอลมปราณเทพเช่นทุกวัน

“ข่าวอะไรรึ”

“ท่านนักพรตลิ่วเหริน เจ้าสำนัก ประกาศให้อีกสามเดือนข้างหน้าเป็นเทศกาลล่าสมบัติสำหรับศิษย์ทุกคน”

“เทศกาลล่าสมบัติ? มันคือเทศกาลอะไร”

“เจ้าไม่รู้จัก?” อู๋เชียนหยิงส่ายหน้า นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“ข้าก็เพิ่งทราบจากศิษย์พี่ที่พักที่เรือนเดียวกับข้าเมื่อวานนี้ ศิษย์พี่ของเจ้าที่เรือนพักไม่ได้บอกเจ้า?”

“ไม่ได้บอก เมื่อวานพวกนางกลับมาเรือนพักค่อนข้างล่าช้า พวกนางบอกว่าเมื่อวานหลอมโอสถผิดพลาด จึงถูกทำโทษให้ทำความสะอาดห้องปรุงโอสถทุกห้อง”

เสวียนหย่งพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเล่าต่อ “เทศกาลล่าสมบัติจะถูกจัดขึ้นทุกสิบปีในเขตแดนวัฏจักรเทพแปดทิศ เขตแดนนี้จะเปิดออกทุกสิบปีนาน 7 วัน เป็นเขตแดนวิเศษที่ภายในจะมีสมบัติล้ำค่าซุกซ่อนอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษ วิชาฝีมือ สัตว์วิเศษ อาวุธวิเศษ”

“เขตแดนวัฎจักรเทพแปดทิศยังจำกัดระดับลมปราณของผู้ที่จะเข้าไป นั่นคือผู้ที่เข้าไปได้จะต้องมีระดับลมปราณไม่เกินระดับมองทะลุขั้นสิบ หากเกินกว่านี้และฝืนเข้าสู่เขตแดน พวกเขาจะพบเจอกับแรงบีบอัดรุนแรงที่ทำให้ร่างกายระเบิดออกทันที”

อู๋เชียนหยิงต้องกลืนน้ำลายอย่างนึกหวาดเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “แล้วมีใครเคยฝ่าฝืนเข้าไปหรือไม่”

“มีสิ เมื่อห้าพันปีก่อนมีเจ้าสำนักวิญญาณเทพผู้หนึ่งไม่เชื่อคำกล่าวนี้และฝืนเข้าไป เพียงเข้าไปเท่านั้น ทุกคนก็ได้เห็นทันทีว่าร่างของเขาระเบิดออกในพริบตา” อู๋เชียนหยิงอ้าปากค้าง

“เขตแดนนี้เข้าได้แปดเส้นทางตามชื่อของมันนั่นคือ วัฏจักรเทพแปดทิศ แม้จะเข้าได้แปดเส้นทางแต่แปดเส้นทางนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขตแดน ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าเขตแดนนี้กว้างใหญ่เพียงใด ทราบเพียงว่ามีมิติต่างๆ กระจายอยู่มากมาย สมบัติที่ได้ออกมากล่าวได้ว่าแล้วแต่วาสนาของผู้ที่ได้ครอบครอง แต่หากเจ้าได้ของดีมาก็ย่อมต้องเก็บเป็นความลับให้ดี เพราะภายในเขตแดนนั้นสามารถแย่งชิงกันได้ ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงมีศิษย์หลายร้อยคนตกตายในเขตแดนนี้เพราะการแย่งชิง”

“สำหรับของที่ได้ออกมา หากได้มามากกว่าหนึ่งชิ้น ต้องส่งมอบชิ้นที่ดีที่สุดให้สำนัก”

“เข้าร่วมได้ทุกคนเช่นนี้ ใครจะไปสู้ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชั้นยอดได้ล่ะ พวกเขาก็เอาไปหมดน่ะสิ ซ้ำยังแย่งชิงศิษย์สายนอกที่อ่อนด้อยอย่างพวกเราได้ด้วย” อู๋เชียนหยิงแย้งออกมา นางไม่เอ่ยถึงศิษย์ส่วนตัวเพราะยามนี้เจ้าสำนักและสองรองเจ้าสำนักยังไม่รับผู้ใดเป็นศิษย์ส่วนตัว

“เรื่องนี้พวกเราต้องทำใจ อย่างที่ข้าบอก มันมีมากมายหลายมิติ พวกเราอาจโชคดีเข้าไปแล้วไม่พบเจอพวกเขา เอาของดีกลับออกมาได้”

นางกรอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก “เสวียนหย่ง พี่ใหญ่ข้าเป็นศิษย์สายใน เจ้ากับข้าไปรวมกลุ่มกับพี่ใหญ่ดีหรือไม่ ให้พี่ใหญ่ช่วยคุ้มครองพวกเรา หากได้ของดี ของดีที่สุดก็ให้พี่ใหญ่ไป พวกเราก็เอาของที่รองลงมาก็ได้ หรือหากได้ของมาชิ้นเดียวก็มอบให้พี่ใหญ่ ตอบแทนที่เขาช่วยคุ้มครองพวกเรา อย่างน้อยการเข้าสู่เขตแดนวัฏจักรเทพแปดทิศก็ถือว่าพวกเราได้เปิดหูเปิดตา เจ้าว่าอย่างไร”

“จริงด้วย ข้าลืมไปเสียสนิทว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นศิษย์สายใน เช่นนั้นล่ะก็ เจ้ารีบเลย ไปบอกพี่ใหญ่ของเจ้าตอนนี้เลย”

“เจ้าจะบ้ารึ ศิษย์สตรีเข้าเขตเรือนพักศิษย์บุรุษไม่ได้ ข้าต้องส่งจดหมายขอเข้าพบให้อาจารย์ที่ดูแลเรือนพักของศิษย์สายในก่อน รอท่านอนุญาตจึงค่อยไปพบพี่ใหญ่ได้”

“เช่นนั้น เจ้าเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะเอาไปส่งให้อาจารย์เอง” เสวียนหย่งเร่งรัดอย่างใจร้อน

 

 

 

หลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟางเมื่อทราบว่าอู๋เชียนหยิงมีพี่ชายเป็นศิษย์สายใน พวกนางจึงขอร่วมกลุ่มมาด้วย ดังนั้น กลุ่มของอู๋เชียนหยิงจึงประกอบด้วย อู๋จิ่นฟานที่เป็นศิษย์สายในและพี่ชายของอู๋เชียนหยิง เสวียนหย่ง หลิวจื่อซิ่ว เฉินรุ่ยฟาง และอู๋เชียนหยิง

ศิษย์สายนอกจับกลุ่มกันไปขอให้ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชั้นยอดช่วยเหลือในการล่าสมบัติครั้งนี้ พวกเขาสัญญาว่าหากได้ของดีย่อมให้ศิษย์สายในกับศิษย์สายนอกชั้นยอดได้เลือกก่อน แน่นอนว่าข้อตกลงลักษณะนี้ย่อมเป็นเช่นเดียวกับที่อู๋เชียนหยิงบอกกล่าวกับอู๋จิ่นฟานหลังจากได้รับอนุญาตจากอาจารย์ให้พบพี่ชายของนางได้

ในแง่ระดับลมปราณ อู๋จิ่นฟานย่อมอยู่ในระดับสูงสุดของกลุ่ม ลมปราณของเขาอยู่ในระดับพิชิตขั้นสี่ หลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟางอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่เจ็ด เสวียนหย่งอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่หก และอู๋เชียนหยิงยามนี้นางอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่สิบ แต่ด้วยสร้อยมายาลวงใจที่นางสวมใส่ติดตัวมาตลอด คนภายนอกจึงรับทราบเพียงว่าระดับลมปราณของนางคือผลิดอกขั้นที่หกเท่ากับเสวียนหย่ง

“พวกเจ้าทุกคนไปฝึกฝนให้ดี เวลาที่เหลืออีกสามเดือนนี้ ระดับลมปราณของพวกเจ้าควรหนาแน่นขึ้นกว่านี้ ยามเข้าสู่เขตแดนวัฏจักรเทพแปดทิศ พวกเจ้าจะได้ไม่ลำบากจนเกินไป” อู๋จิ่นฟานบอกกล่าวและตักเตือนให้ทุกคนหมั่นฝึกฝน

ยามนี้ศิษย์สายนอกทั้งหลายต่างรีบจับจองห้องฝึกฝนลมปราณกันถ้วนหน้า โชคดีว่าอู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งได้จับจองไว้ก่อนแล้วเพราะอู๋เชียนหยิงต้องการฝึกฝนเพื่อเลื่อนระดับลมปราณให้ถึงรวมปราณขั้นที่หนึ่ง เสวียนหย่งนั้นก็ฝึกฝนตามนาง

“ท่านอาจารย์ ทำไมอู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งถึงได้จองห้องฝึกฝนลมปราณได้จนถึงเทศกาลล่าสมบัติล่ะ นี่มันนานตั้งสามเดือนเชียวนะขอรับ” ศิษย์สายนอกผู้หนึ่งโวยวายเมื่อตนเองเห็นจากรายชื่อนักเรียนที่จองห้องฝึกฝนไว้และมันเองจองห้องฝึกฝนไม่ได้เพราะยามนี้ห้องฝึกฝนล้วนเต็มทุกเวลาและทุกห้อง แต่ไม่มีผู้ใดจองได้ยาวนานเท่าอู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่ง

“อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งจองใช้ห้องฝึกฝนเป็นเวลาหกเดือน พวกเขาจองล่วงหน้าเพื่อฝึกฝนมาตั้งแต่สามเดือนก่อน พวกเจ้าไม่ขยันเท่าพวกเขาก็ไม่ต้องมาบ่น” อาจารย์ที่ดูแลห้องฝึกฝนลมปราณบอกอย่างไม่สนใจ

ศิษย์สายนอกผู้นั้นได้แต่ฮึดฮัดไม่พอใจหากก็ทำอะไรมิได้

ศิษย์สายนอกหลายคนที่เห็นอู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งจองห้องฝึกฝนไว้นาน ต่างพากันมาพูดคุยเจรจาขอแลกเปลี่ยนกับพวกเขา แน่นอนว่าอู๋เชียนหยิงไม่ยอมแลกเพราะจุดมุ่งหมายของนางคือการเลื่อนระดับลมปราณให้ถึงรวมปราณขั้นที่หนึ่ง ขณะที่เสวียนหย่งก็ไม่ยอมแลกเช่นกันเพราะเขาก็ต้องการฝึกฝนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลล่าสมบัติ ดังนั้น เทศกาลล่าสมบัติครั้งนี้จึงมีศิษย์สายนอกหลายคนที่ต้องนั่งฝึกฝนที่เรือนพักของตนเอง แม้จะมีปริมาณปราณทิพย์น้อยกว่าก็ตาม

ผ่านไปอีกจนครบสามเดือน ยามนี้ลมปราณของอู๋เชียนหยิงเลื่อนสู่ระดับรวมปราณขั้นที่หนึ่งแล้ว ขณะที่เสวียนหย่งเลื่อนขึ้นมาอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่เจ็ดเท่ากับหลิวจื่อซิ่วและเฉินรุ่ยฟาง

“ข้าถามอาจารย์แทนพวกเจ้าแล้ว” อู๋จิ่นฟานเอ่ยขึ้นเมื่อได้พบอู๋เชียนหยิง เสวียนหย่ง หลิวจื่อซิ่ว และเฉินรุ่ยฟางที่มาพบเขาที่ห้องรับรองที่เรือนพักของอาจารย์ผู้ดูแลเรือนพักของศิษย์สายใน

“สิ่งที่พวกเจ้าทุกคนควรมีติดตัวไปคือเสบียงและอาหารแห้งต่างๆ ที่ต้องเพียงพอตลอดเจ็ดวันที่เข้าสู่เขตแดน โอสถที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายใน เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ควรเตรียมไปมากสักหน่อย”

“เช่นนั้นข้ากับรุ่ยฟางรับหน้าที่เตรียมเสบียงให้กลุ่มของเราเองเจ้าค่ะ คิดว่าเตรียมเสบียงไปสำหรับสิบวันน่าจะดีที่สุด เผื่อไว้สักสามวันกันเรื่องไม่คาดหมาย” หลิวจื่อซิ่วรับอาสาทันที

“ข้ากับเชียนหยิงจะปรุงโอสถสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วไปให้ขอรับ”

“เช่นนั้น เรื่องหลอมกระดูก พี่จะทำให้เอง อย่างไรพี่ก็มีลมปราณสูงกว่าพวกเจ้าทุกคน กระดูกที่หลอมย่อมได้คุณสมบัติที่ดีกว่า”

“เจ้าค่ะ”

“พวกเรามีเวลาอีกสามวันก่อนจะถึงเทศกาลล่าสมบัติ ไปเตรียมตัวมาให้ดี อีกสามวันข้างหน้า มาพบพี่ที่เชิงเขาวิญญาณเทพ ที่ตรงนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้”

 

 

 

ยามนี้ถึงกำหนดเทศกาลล่าสมบัติแล้ว ศิษย์สำนักวิญญาณเทพมารอคอยอย่างพร้อมเพรียงที่เชิงเขาวิญญาณเทพ นี่จึงเป็นครั้งแรกของศิษย์สายนอกหลายคนที่ได้พบเห็นศิษย์สายนอกชั้นยอดสิบคนและศิษย์สายในสิบคน

อันที่จริงแล้ว ศิษย์สายนอกทุกคนย่อมทราบนามและระดับลมปราณของศิษย์สายในและศิษย์สายนอกชั้นยอด เพราะที่สวนดอกไม้ด้านนอกเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนกลางของสำนัก จะมีม่านแสงขนาดใหญ่ที่ปรากฏรายชื่อและระดับลมปราณของพวกเขาทั้งยี่สิบคน ม่านแสงนี้คือทำเนียบเทพน้อย

อู๋จิ่นฟาน พี่ชายของอู๋เชียนหยิง ลมปราณระดับพิชิตขั้นที่สี่อยู่ในลำดับที่หกของศิษย์สายใน

เสี่ยวเฮยเองย่อมเคยเห็นทำเนียบเทพน้อยมาแล้ว เพราะมันที่เคยมาค้นหาเรื่องราวของกระบี่วิญญาณเทพย่อมเคยผ่านมาพบเจอม่านแสงนี้ หากแต่มันเพียงกวาดตามองแว่บเดียวก็มิได้สนใจอีกต่อไป ในสำนักวิญญาณเทพนี้มีเพียงอู๋เชียนหยิงเท่านั้นที่อยู่ในความสนใจของมัน แต่ในเมื่อมันบอกกล่าวนางว่านางสามารถต่อสู้ข้ามระดับชั้นได้ถึงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ เสี่ยวเฮยจึงค่อยยอมเสียเวลาพักผ่อนอันมีค่าของมันมาแวะดูทำเนียบเทพน้อยนี้สักหน่อยว่ามันสมควรให้อู๋เชียนหยิงท้าสู้กับผู้ใด

อู๋เชียนหยิงลอบกวาดตามองศิษย์สายนอกชั้นยอดทั้งสิบคนก่อนจะจดจำหน้าตาและรูปร่างลักษณะไว้ ท่าทีของศิษย์สายนอกชั้นยอดและศิษย์สายในล้วนมีท่าทีเย่อหยิ่งถือดี แต่เมื่อหันมามองดูอู๋จิ่นฟาน พี่ใหญ่ของนาง

พี่ใหญ่ของข้าน่ารักที่สุด ท่านทั้งสุภาพและไม่เย่อหยิ่ง ใจดีกับทุกคนด้วย นางคิดในใจอย่างชื่นชม

นั่นเพราะแม้จะมีศิษย์สายนอกผู้อื่นที่จับกลุ่มกันเองมาซักถามอู๋จิ่นฟาน หากเขาก็ตอบกลับด้วยดี ไร้วี่แววของความยโสโอหังเช่นศิษย์สายในและศิษย์สายนอกชั้นยอดคนอื่นๆ

“ศิษย์พี่จิ่นฟาน ท่านมาอยู่ตรงนี้เอง” เสียงของศิษย์สตรีผู้หนึ่งดังขึ้น

อู๋เชียนหยิงหันไปมองดูจึงได้เห็นว่าเป็นศิษย์สตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่ง

“เจ้านั่นเอง หว่านหรู มีธุระใดกับข้ารึ”

ที่แท้เป็นหูหว่านหรู ศิษย์สายในลำดับที่เก้า ลมปราณระดับพิชิตขั้นที่สอง