นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ตามรักจิ้งจอกน้อย - บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตามรักจิ้งจอกน้อย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง

รายละเอียด

นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ ได้สร้างสรรค์สัตว์เทพขึ้นมาเจ็ดเผ่า ได้แก่ มังกร กิเลน จิ้งจอกเก้าหาง หงส์แดง สิงโต เต่ามังกร และเสือขาว แต่ละเผ่าล้วนมีความสามารถและเก่งกาจแตกต่างกันไป

แดนเซียนที่มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียนสร้างขึ้นถูกเรียกว่า สี่ทะเลแปดดินแดน แน่นอนว่าเผ่ามังกรย่อมทรงพลังและอำนาจสูงสุด ครอบครองสี่ทะเลและสองดินแดน อีกหกเผ่าที่เหลือครอบครองกันเผ่าละหนึ่งดินแดน

เผ่ามังกรนั้น มหาเทพตว๋อเทียนได้รังสรรค์มหาเทพองค์หนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติขึ้นปกครองเผ่ามังกรและเป็นดั่งนายเหนือของทุกเผ่า มหาเทพองค์นี้จึงเป็นที่รับทราบกันทั่วว่าเป็นบุตรชายสุดที่รักของมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน นามของเขาคือ หยางหลง (มังกรสุริยัน)

มหาเทพหยางหลงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดินได้ราว 300,000 ปี ก็สละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยน (กระบี่สุริยัน) แม่ทัพคู่ใจของเขาขึ้นครองแทน มหาเทพหยางหลงที่ยามนี้มีเวลาว่างมากมายเพราะหาแพะรับบาปมารับภาระแทนตนเองได้สำเร็จ จึงถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนและแดนมนุษย์ถึง 80,000 ปี ก่อนจะกลับสู่แดนบูรพาที่เผ่ามังกรครอบครอง และพักผ่อนอยู่เพียงผู้เดียวที่วังมังกรสวรรค์ของตนมาได้ 20,000 ปีแล้ว

แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ร่างเงาของจิ้งจอกเก้าหางที่ส่องแสงสีทองปรากฏขึ้นกลางผืนฟ้า ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงสงสัยว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากไม่มีผู้ใดไขปริศนานี้ได้กระทั่งมหาเทพหยางหลงเอง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มหาเทพจึงทราบว่าเหม่ยเมิ่ง ราชินีของราชาจิ้งจอกเก้าหางเสวี่ยหมิง ให้กำเนิดธิดาน้อยนางหนึ่ง นามของนางคือ เสวี่ยหลิน ทราบแล้วจึงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเสียหน่อย แต่ผู้ใดจะคาดได้ว่าผ่านไปอีกเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันปี เขาจะมีโอกาสได้พบเจอจิ้งจอกน้อยนี้ ทั้งยังคบหานางเป็นกึ่งสหายต่างวัยกึ่งหลานสาว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีเซียนบุรุษมากหน้าหลายตาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนาง

สารบัญ

ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 1 ตายแล้วก็ข้ามภพมาเกิดใหม่,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 3 คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 4 จตุธาตุอัญมณี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 5 เร่งศึกษา,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 6 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 7 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 10 หุบเขาบูรพานิรันดร์,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 11 ข้อเสนอไม่คาดหมาย,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 12 การตอบโต้ของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 13 หยางเค่อ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 14 ประลองสามต่อสาม (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 15 ประลองสามต่อสาม (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 16 ชมชอบไม่รู้ตัว (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 17 ชมชอบไม่รู้ตัว (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 18 ชมชอบไม่รู้ตัว (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 19 ก่นด่าไม่ไว้หน้า,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 20 เริ่มใกล้ชิด (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 21 เริ่มใกล้ชิด (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 22 สู่ขอ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 23 เกือบอกหัก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 24 โชว์อันน่าตื่นตา (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 25 โชว์อันน่าตื่นตา (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 26 เพลงอันทรงพลัง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 27 เสี่ยวหลง (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 28 เสี่ยวหลง (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 29 เสี่ยวหลง (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 30 สมดุลพลังที่เปลี่ยนไป,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 31 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 32 ผีเสื้อขยับปีก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 33 ความเป็นไปได้ของสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 34 เริ่มต้นแห่งสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 35 เปิดเผยและซ่อนเร้น,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 36 ว่าที่มหาเทวี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 37 เสริมสร้างข่ายปราณ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 38 ฆ่าปิดปาก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 39 เปลี่ยนม้ากลางศึก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 40 กุนซือผู้ร้ายกาจ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 41 ความผูกพันอันห่างเหิน,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 42 ในวงล้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 43 ผีหลอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 44 ไมตรีจากสิงโต

เนื้อหา

บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง

ฮุ่ยหลันลืมตาตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เหมือนเธอลอยตัวอยู่กลางห้วงน้ำบางอย่าง

ลอยตัว? ห้วงน้ำ? หรือว่า...ตอนนี้ฉันอยู่ในท้องของคุณแม่คนใหม่ ใช่ ต้องใช่แน่ๆ

ฮุ่ยหลันคิดในใจ แต่ตอนนี้เธอสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แทรกตัวเข้ามาในห้วงน้ำนี้ พลังประหลาดที่ทำให้เธอรู้สึกสบายไปทั้งตัว และยังกระตุ้นให้ร่างของเธอกระปรี้กระเปร่ามากๆ เสียด้วย

หรือว่า...นี่คือปราณทิพย์ที่คุณตาตว๋อเทียนบอก น่าจะใช่

แบบนี้ ฉันควรเร่งฝึกฝนสิ จะได้เลื่อนระดับลมปราณและเลเวลเร็วๆ แต่…แล้วต้องฝึกไงล่ะ

มือไวเท่าความคิด มือเล็กๆ ที่เพิ่งเติบโตได้นิดเดียวก็ยกวาดออก Platform ของระบบปรากฏตรงหน้า ฮุ่ยหลันรีบจิ้มไปยัง Icon ที่เป็นระบบของการฝึกฝน กวาดตามองอย่างรวดเร็วก็พบทันทีว่าเธอต้องเข้าไปตั้งค่าการฝึกฝนหรือในที่นี้ก็คือการโคจรลมปราณเพื่อให้ร่างของเธอสามารถโคจรลมปราณเพื่อฝึกฝนได้ตลอดเวลา

ฮุ่ยหลันจัดการตั้งค่าเสร็จสรรพ เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าพลังที่ทำให้เธอรู้สึกสบายตัวกำลังไหลเข้ามาในร่างและแทรกซึมไปทั่วร่าง เส้นชีพจรลมปราณ และจุดชีพจรทั้งห้าสิบสี่จุด แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ได้ทะลวงจุดชีพจร ทำให้การโคจรลมปราณเพื่อฝึกฝนจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรก็ตาม

ตอนนี้คงทำได้แค่นี้แหละ งั้นก็นอนดีกว่า ไว้เจอกันเมื่อคลอดนะคะคุณแม่ ฮุ่ยหลันนึกในใจก่อนจะหลับตาลง

 

 

ฮุ่ยหลันหลับไปนานเท่าใด เธอก็ไม่รู้ หากตอนนี้เธอพยายามลืมตาแต่กลับลืมตาไม่ขึ้น แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามีแรงผลักดันบางอย่างในห้วงน้ำที่เธอนอนอยู่ แรงผลักดันนี้กำลังผลักดันให้เธอออกไปยังช่องทางหนึ่ง

หรือว่า...วันนี้เป็นวันคลอด? ใช่แน่ๆ เลย แล้วฉันต้องทำไงล่ะ ฮุ่ยหลันนึกอย่างกังวล หากก็พยายามทำให้ตัวเองอยู่ในท่าทางที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่เธอพอรู้แบบงูๆ ปลาๆ เพื่อที่คุณแม่คนใหม่ของเธอจะได้คลอดเธอได้ง่ายและไม่เจ็บมากจนเกินไป

ครู่เดียวฮุ่ยหลันก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าส่วนศีรษะของเธอค่อยๆ โผล่ออกมาด้านนอก แสงสว่างที่สาดเข้ามาอย่างกะทันหัน ทำให้เธอรู้สึกแยงตามาก เธอขมวดคิ้วทันที

“อ๊ะ...ศีรษะออกมาแล้ว” เสียงของสตรีผู้หนึ่งกล่าวอย่างดีใจ

“องค์ราชินี เบ่งอีกเพคะ ออกแรงเบ่งอีก”

คราวนี้ฮุ่ยหลันได้ยินชัดเต็มสองหูเลย

หาาา...ระ...ราชินี ! ! นี่คุณแม่คนใหม่ของฉันเป็นราชินีเลยเหรอ เกินคาดไปหน่อยมั้ยเนี่ย ฮุ่ยหลันคิดในใจอย่างตกตะลึง

ท่ามกลางเสียงให้กำลังใจและแรงเบ่งที่มากขึ้นพร้อมกับฮุ่ยหลันที่พยายามช่วยคุณแม่คนใหม่ให้คลอดเธอได้ง่ายๆ ผ่านไปราวสิบอึดใจ ฮุ่ยหลันก็ถูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย

“องค์ราชินีเพคะ องค์หญิงน้อยเพคะ สมพระทัยแล้ว เป็นองค์หญิงน้อย” เสียงของสตรีผู้หนึ่งหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี

ฮุ่ยหลันรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าสตรีนางนี้ต้องเป็นคนช่วยทำคลอดให้คุณแม่คนใหม่ของเธอ และยามนี้มือของสตรีผู้นี้ก็จัดการตัดสายสะดือของเธอและจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย

“ลูก...ลูกข้าเป็นหญิง ลูกแม่” เสียงไพเราะของสตรีผู้เป็นมารดาของเธอดังขึ้นอย่างปลาบปลื้ม

“เอ๋ ! ! ทำไมองค์หญิงน้อยไม่ร้องเลยล่ะ” สตรีนางนั้นทักขึ้น หากทำให้ฮุ่ยหลันอึ้งไป ก็วิญญาณเธอไม่ใช่เด็กๆ แล้วนี่ จะให้มาร้องอะไรล่ะ

“ว้ายยยย” ฮุ่ยหลันอุทานออกมาเมื่อจู่ๆ ก็ถูกจับห้อยหัวและตบก้นเธอเบาๆ ให้เธอส่งเสียงร้อง ทว่าเสียงร้องอย่างตกใจของเธอกลับกลายเป็น

“อุแว้ อุแว้...”

“องค์หญิงน้อยร้องแล้วเพคะ องค์ราชินีรอสักครู่นะเพคะ ให้ข้าเช็ดตัวทำความสะอาดให้องค์หญิงน้อยก่อน”

ฮุ่ยหลันถูกอุ้มไปที่อีกด้านหนึ่งของห้องอย่างรวดเร็ว มือของสตรีผู้นั้นวักน้ำอุ่นกำลังพอเหมาะค่อยๆ รดใส่ตัวเธอก่อนจะใช้มือค่อยๆ ลูบเนื้อตัวเธอเพื่อเช็ดคราบเลือดและคราบอย่างอื่นออกจนหมด ฮุ่ยหลันถูกพันอยู่ในผ้าอ้อมเนื้อนุ่มละเอียดอย่างยิ่ง ตอนนี้เธอถูกอุ้มมายื่นส่งให้คุณแม่คนใหม่ของเธอแล้ว

“องค์หญิงน้อยเพคะ ยังไม่ลืมตาเลย แต่ไม่ดื้อสักนิด ยอมให้อาบน้ำทำความสะอาดดีมากเลยเพคะ”

ฮุ่ยหลันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่เต็มตื้นเข้ามาในหัวใจของเธอจนล้นอย่างกะทันหัน จุมพิตอบอุ่นของมารดาแตะสัมผัสที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา

“ลูกแม่ น่ารักเหลือเกิน”

“องค์ราชินีเพคะ องค์หญิงน้อยมีปานสีทองเหมือนจะเป็นรูปหางทั้งเก้าของจิ้งจอกที่หน้าผากด้วยเพคะ” สตรีที่ช่วยทำคลอดให้คุณแม่ของเธอทักขึ้น

“จริงด้วยสิ แปลกจริง เสวี่ยปิง (หิมะน้ำแข็ง) เจ้าพานางไปให้องค์ราชาดูเถิด ป่านนี้เขาคงรออย่างกระวนกระวายแย่แล้ว”

“เพคะ”

สตรีนามเสวี่ยปิงเข้ามาอุ้มฮุ่ยหลันออกไปนอกห้อง

“องค์ราชา ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ เป็นองค์หญิงน้อยสมพระทัยแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ลูกสาว ข้าได้ลูกสาวแล้ว” เสียงหัวเราะกึกก้องอย่างดีใจสุดขีดดังขึ้น ฮุ่ยหลันรู้สึกได้ว่ามีมือใหญ่เข้ามารับร่างของเธอไปอุ้มไว้อย่างทะนุถนอม

คุณพ่อคนใหม่ของเธอก้มลงจุมพิตเธอที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา หากแต่เธอยังลืมตาไม่ขึ้น

เฮ้อ เป็นทารกแรกเกิดนี่ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ฮุ่ยหลันคิดในใจอย่างเซ็งนิดๆ

จริงด้วยสิ คุณแม่เป็นราชินี คุณพ่อก็ต้องเป็นราชา ว่าแต่ราชาและราชินีของที่ไหนกันล่ะ เธอคิดอย่างงุนงง

“ลูกสาวพ่อ ในที่สุดเจ้าก็มาให้พ่อชื่นใจเสียที พ่อรอเจ้ามาถึงสามหมื่นปีเลยนะ”

หาาาา...สะ...สะ...สามหมื่นปี...เอ่อ...หมายความว่าไงค้าาา คุณพ่อ ฮุ่ยหลันคิดอย่างตกใจ นัยน์ตาที่ว่ายังลืมไม่ขึ้น พลันลืมขึ้นพรึ่บเพราะความตกใจ

“อาา...ลูกสาวข้าลืมตาแล้ว”

“โอ ! ตาเจ้าสวยมาก ลูกพ่อ ดำสนิทดั่งราตรีกาลแต่แจ่มจรัสราวหมู่ดารา”

“เสด็จพ่อ ให้ข้าดูน้องสาวบ้างสิ” เสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้น ทำให้องค์ราชาต้องส่งทารกน้อยในอ้อมแขนให้เด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างไม่เต็มใจ

“ซานเอ๋อร์ เจ้าอุ้มน้องระวังด้วย น้องเพิ่งคลอด” เสียงขององค์ราชาเข้มงวดยิ่งนัก คราวนี้ฮุ่ยหลันก็ได้รู้แล้วว่าเธอมีพี่ชายหนึ่งคน ว่าแต่เขาชื่ออะไรล่ะ รู้แค่ว่า ‘ซาน’ แต่เธอยังไม่รู้แซ่ของบิดาตนเองเลย

“เสด็จพ่อ ไม่ต้องมาบ่นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ข้าน่ะอุ้มลูกของคนอื่นมาเยอะแล้ว” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างหมั่นไส้ผู้เป็นบิดา

“หืมม...ปานสีทองรูปพวงหางทั้งเก้าของจิ้งจอก” เด็กหนุ่มอุทานออกมา

“ใช่เพคะ องค์หญิงน้อยมีปานนี้มาแต่กำเนิดเพคะ” สตรีนาม ‘เสวี่ยปิง’ บอกออกมา

องค์ราชาผู้นี้จ้องมองปานสีทองรูปหางจิ้งจอกเก้าหางเขม็ง ตอนแรกเขาไม่ทันสนใจเพราะมัวแต่ดีใจว่าได้ลูกสาว เขาวางมือลงบนศีรษะของร่างเล็กจ้อยนั้นทันที พลันฮุ่ยหลันก็รู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างไหลเข้ามาในร่างของเธออย่างรวดเร็วแต่ก็นุ่มนวลนัก พลังนั้นไหลไปทั่วร่างของเธอราวกับต้องการจะสำรวจตรวจดูบางอย่าง เพียงครู่พลังนั้นก็ถูกดึงออกในพริบตา

สายตาขององค์ราชาปรากฏความแตกตื่นตะลึงลานถึงขีดสุด มือข้างที่วางอยู่บนศีรษะเล็กๆ ต้องสั่นสะท้าน

“ทูลองค์ราชา ท้องฟ้าเหนือแดนพายัพของพวกเราปรากฏภาพร่างเงาจิ้งจอกเก้าหางขนาดใหญ่ ร่างเงานั้นทอประกายสีทองงดงามมากพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ทุกคนกำลังตื่นเต้นกันมาก นี่เป็นครั้งแรกที่แดนพายัพเราปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้” ทหารที่เฝ้าเวรประจำตำหนักธารพายัพบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ฮุ่ยหลันมองเห็นคุณพ่อของเธอขมวดคิ้ว สายตากวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอพลอยมองตามไปด้วย ผู้คนรอบข้างเวลานี้มีเพียงนางกำนัลที่ยืนรอรับใช้ห้าถึงหกคน สีหน้าของพวกนางทุกคนมีเพียงรอยยิ้มยินดีที่องค์ราชาได้มีบุตรสาวเสียที

“ซานเอ๋อร์ เจ้าอุ้มน้องตามพ่อเข้ามาในห้อง เสวี่ยปิง เจ้าเข้ามาด้วย”

พี่ชายของเธออุ้มเธอเข้าไปในห้องที่องค์ราชินีนอนพักผ่อนอยู่หลังจากคลอดเธอเสร็จสิ้น ในห้องมีเพียงนางกำนัลสองคน

“พวกเจ้าสองคนออกไป” องค์ราชาสั่งทันที

“เพคะ”

มือขององค์ราชายกขึ้นวาดออกก่อนจะปรากฏม่านปราการครอบคลุมห้องนั้นไว้ ปกปิดมิให้ผู้ใดทราบว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ฟูจวิน ท่านมีอะไร ทำไม...” องค์ราชินีถามด้วยความงุนงงผสมความอ่อนเพลีย

“เหม่ยเมิ่ง (ความฝันอันงดงาม) เจ้าคงไม่ทันสังเกตกระมัง” องค์ราชาถามขึ้น และเวลานี้ฮุ่ยหลันก็ได้รู้แล้วว่าคุณแม่คนใหม่ของเธอชื่อ เหม่ยเมิ่ง

เหม่ยเมิ่งส่ายหน้าช้าๆ

“ลูกสาวของเราคนนี้เป็นจิ้งจอกทองเก้าหาง” คำตอบนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง

“เจ้าคงลืมไปว่าเผ่าจิ้งจอกเก้าหางของเรามีน้อยคนยิ่งนักที่จะมีปานบนหน้าผาก แต่ลูกสาวเรากลับมีปานสีทองรูปหางทั้งเก้าของจิ้งจอก ปานนี้คือสิ่งยืนยันว่านางเป็นจิ้งจอกทองเก้าหาง และเมื่อข้าแผ่ปราณออกตรวจในร่างของนางยิ่งชัดเจนว่านางเป็นจิ้งจอกทองเก้าหางจริงๆ”

“ทั้งยามนี้ บนท้องฟ้าเหนือแดนพายัพของพวกเรายังปรากฏร่างเงาของจิ้งจอกเก้าหาง ร่างเงานั้นทอประกายสีทอง จึงยิ่งยืนยันได้ว่านางเป็นจิ้งจอกทองเก้าหาง จิ้งจอกอันเป็นเหมือนตำนานที่เล่าขานในเผ่าของเรา”

คราวนี้ฮุ่ยหลันก็รู้ชัดแล้วว่าครอบครัวใหม่ของเธอเป็นเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง

โชคดีนะเนี่ยที่เราเลือกเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง ถ้าเลือกเป็นมังกรหรือกิเลนนี่ จะเป็นไงวะ ครอบครัวเป็นจิ้งจอก แต่ดันมีลูกเป็นมังกรหรือกิเลน คงยุ่งพิลึก ดีไม่ดีคุณแม่ได้ถูกหาว่ามีชู้แน่ ฮุ่ยหลันคิดในใจก่อนจะถอนหายใจเฮือก

“เจ้าสมควรทราบดีว่าจิ้งจอกทองเก้าหางไม่เคยปรากฏมาก่อน ครั้งนี้ปรากฏขึ้นแม้เป็นเรื่องอัศจรรย์และเรื่องน่ายินดี แต่ก็เป็นเรื่องร้ายเช่นกัน จิ้งจอกทองเก้าหางย่อมนำพาความรุ่งเรืองมาสู่เผ่าของเราอย่างมากมาย แต่ความสามารถสำคัญที่สุดของจิ้งจอกทองเก้าห้างคือ เสน่ห์ของจิ้งจอกจะทำให้ผู้อื่นหลงรักนางได้อย่างง่ายดาย ยิ่งหากนางตั้งใจโปรยหว่านเสน่ห์ ไม่มีผู้ใดจะรอดมือนางไปได้”

“ประการสำคัญคือจิ้งจอกทองเก้าหางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าผู้ใดและซุกซ่อนร่องรอยรัศมีพลังของตนเองได้เก่งกาจไม่มีผู้ใดเทียบ คิดจับกุมกระทั่งค้นหาร่องรอยของนาง กล่าวได้ว่างมเข็มในมหาสมุทรยังง่ายเสียกว่า”

“เผ่าอื่นอาจจะมองว่าเผ่าจิ้งจอกเราจะใช้นางไปสืบความลับของพวกเขา หรือใช้นางล่อลวงราชาหรือรัชทายาทแห่งเผ่าให้หลงรักนาง ทำให้ทุกเผ่าวุ่นวาย เผ่าจิ้งจอกจะได้ยึดครองดินแดนของพวกเขา โดยเฉพาะเผ่าหงส์แดงที่ไม่เคยมองเราในแง่ดีสักครั้ง”

ฟังแล้วฮุ่ยหลันต้องนึกผวา

ไอ้ที่เราเลือกจิ้งจอกทองเก้าหางก็เพราะไอ้ความสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและซ่อนร่องรอยได้ดีที่สุดนี่แหละ ไหงกลายเป็นเรื่องแย่ไปได้ ฮุ่ยหลันนึกอย่างอ่อนใจด้วยความคาดไม่ถึง

“เสด็จพ่อ เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ น้องเล็กไม่มีความผิดที่เกิดมาเป็นจิ้งจอกทองเก้าหางนะพ่ะย่ะค่ะ” พี่ชายของเธอที่ยังอุ้มน้องสาวแรกเกิดไว้กล่าวออกมาอย่างกังวล

ราชาแห่งจิ้งจอกขาวเก้าหางพลันแบมือออก บนฝ่ามือปรากฏสร้อยหยกสีขาวหม่นราวพยับเมฆเส้นหนึ่ง เขาสวมใส่สร้อยนี้ให้บุตรสาวตัวน้อยทันที

“นี่เป็นสร้อยมายาจิ้งจอก มันจะซ่อนเร้นลักษณะแท้จริงของจิ้งจอกทองเก้าหางไว้ ยามนางใช้ร่างจิ้งจอก ไม่ว่าผู้ใดจะมองเห็นเพียงจิ้งจอกขาว และสร้อยนี้ยังสามารถอำพรางระดับที่แท้จริงของปราณจิ้งจอกของนางได้ด้วย”

“เหม่ยเมิ่ง เสวี่ยปิง เสวี่ยซาน (ภูเขาหิมะ) จำไว้ให้ดีว่าห้ามให้ผู้ใดถอดสร้อยเส้นนี้ออกจากตัวนาง และต้องไม่ให้ผู้ใดตรวจชีพจรของนางเด็ดขาดนอกจากพวกเราสี่คน ไว้เมื่อนางเติบโตรู้ความมากกว่านี้ พวกเราค่อยบอกเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง นางจะได้ระมัดระวังตัว”

ทั้งหมดพยักหน้าตอบรับทันที ฮุ่ยหลันเองก็จดจำไว้มั่นว่าเธอต้องไม่ถอดสร้อยเส้นนี้ออกเด็ดขาดไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม และเธอก็ได้รู้แล้วว่าพี่ชายของเธอชื่อ ‘เสวี่ยซาน’ แซ่ของเธอคือ ‘เสวี่ย’

“อีกเรื่องที่ข้าต้องบอกพวกเจ้า ยามนี้ระดับลมปราณของลูกสาวเราอยู่ที่แตกหน่อขั้นที่ห้า”

คำพูดนี้ทำให้เหม่ยเมิ่ง เสวี่ยซาน และเสวี่ยปิงแตกตื่นอย่างยิ่ง

“ฟูจวิน ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ ข้าเพิ่งคลอดนางออกมาเองนะ ระดับลมปราณของนางจะสูงเช่นนั้นได้อย่างไร”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองตรวจดูสิ”

เหม่ยเมิ่ง เสวี่ยซาน และเสวี่ยปิงแผ่ปราณเซียนจิ้งจอกออกตรวจสอบ หากครู่เดียวทั้งหมดก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง

“เป็นไปได้อย่างไร น้องเล็ก...เอ่อ...” เสวี่ยซานกล่าวออกมาอย่างแทบไม่อาจเชื่อ เพราะตอนที่เหม่ยเมิ่งให้กำเนิดเขา ตัวเขายังไม่มีลมปราณใดๆ ด้วยซ้ำ จนเมื่อเขาอายุได้หนึ่งหมื่นสี่พันปีจึงเริ่มต้นฝึกฝน ยามนี้ระดับลมปราณของเขาจึงอยู่ที่เซียนนภาขั้นที่แปด นี่มิหมายความว่าหากน้องสาวของเขาอายุเท่ากับเขา ระดับลมปราณของนางต้องไม่ต่ำกว่าเจ้าเซียนขั้นห้าหรอกรึ

นี่เขามีน้องสาวเป็นสัตว์ประหลาดใช่หรือไม่

“ทีนี้เชื่อข้าแล้วกระมัง ไว้รอให้นางอายุครบสิบสองเดือนเสียก่อน ข้าจะเปิดจุดชีพจรทั้งห้าสิบสี่จุดให้นาง ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ายามนั้น ระดับลมปราณของนางจะเป็นอย่างไร”

“ฟูจวิน ท่านยังไม่ได้ตั้งนามให้นางเลย” เหม่ยเมิ่งท้วงขึ้น

ราชาแห่งเผ่าจิ้งจอกขาวเก้าหางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ให้นางใช้นาม เสวี่ยหลิน (หยกหิมะ)”

เสวี่ยหลิน ชื่อเพราะดีแฮะ ตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่ฮุ่ยหลันแล้วแต่เป็น ‘เสวี่ยหลิน’ เอ ! แล้วคุณพ่อของฉัน ท่านชื่ออะไรล่ะ เธอคิดในใจอย่างสงสัย เพราะแน่ใจว่ายังไม่ได้ยินใครเรียกชื่อของเขาเลย

“ท่านตั้งนามได้ไพเราะยิ่ง เสวี่ยหมิง (หิมะที่สว่างไสว)” เป็นเหม่ยเมิ่ง คุณแม่คนใหม่กล่าวชมออกมาราวกับรู้ใจว่าเธออยากรู้ชื่อของคุณพ่อคนใหม่

“เหม่ยเมิ่ง เดี๋ยวข้าจะพาเจ้ากับเสวี่ยหลินไปที่หอคอยเทพจิ้งจอก พวกเจ้าไปพักที่นั่นเถิด ปราณทิพย์ที่นั่นมีมากมาย เหมาะสมกับพวกเจ้าสองแม่ลูกที่สุด”

“ซานเอ๋อร์ เจ้าก็ไปหอคอยเทพจิ้งจอกด้วย เจ้าควรฝึกฝนให้ดี จะได้แข็งแกร่งพอจะปกป้องแม่กับน้องสาวของเจ้าและแดนพายัพของพวกเรา”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”

 

 

ณ วังมังกรสวรรค์ แดนบูรพา

“มหาเทพ นี่เป็นร่างเงาจิ้งจอกเก้าหางนี่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียน เซียนรับใช้คนสนิทของมหาเทพหยางหลง (มังกรสุริยัน) เอ่ยขึ้นขณะยืนดูปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า

“แต่แปลก ไฉนจึงทอแสงสีทองด้วย นี่หมายความว่าอย่างไร” หย่งเสียนรำพึงกึ่งถาม

หากมหาเทพหยางหลงไม่ตอบคำถามนี้ เพียงเพ่งพินิจร่างเงานี้อย่างละเอียด หากก็ไม่อาจทราบความใดทั้งสิ้น

“เป็นไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่าเผ่าจิ้งจอกเก้าหางน่าจะมีเรื่องมงคลใหญ่เกิดขึ้น”

“ข้าก็เชื่อว่าเป็นเรื่องมงคลใหญ่ของเผ่าจิ้งจอก เพียงแต่เรื่องใด คาดเดาไม่ออกจริงๆ” เสียงราบเรียบเฉยชาตอบกลับมา

 

 

ผ่านไปอีกสามวัน

“มหาเทพ ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ราชาเสวี่ยหมิงแห่งเผ่าจิ้งจอกเพิ่งได้องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินจากราชินีเหม่ยเมิ่งเมื่อสามวันก่อน ทางเผ่าจิ้งจอกเพิ่งประกาศเรื่องนี้ออกมาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียนบอกออกมา

มหาเทพหยางหลงพยักหน้ารับรู้ “ส่งของขวัญไปแสดงความยินดีกับเสวี่ยหมิงด้วย เขาอยากได้ลูกสาวมานาน เพิ่งจะสมใจก็ครั้งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เสวี่ยหลินถูกเลี้ยงดูในหอคอยเทพจิ้งจอกเช่นเดียวกับเสวี่ยซานเมื่อยังเยาว์ นางชมชอบหอคอยเทพจิ้งจอกยิ่งนักเพราะมีปราณทิพย์มากมายให้นางได้ฝึกฝนเพิ่มพูนลมปราณ

“องค์หญิงน้อยไม่ดื้อ ไม่งอแงเลย เลี้ยงง่ายจริงๆ” เสวี่ยปิงออกปาก เมื่อนางพบว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เสวี่ยหลินไม่เคยร้องกวนตอนดึกเลยสักครั้ง นางหลับสนิทตลอดทั้งคืน เมื่อใดที่หิวนมจึงจะร้องออกมา

“นั่นสิ เลี้ยงง่ายกว่าซานเอ๋อร์” เหม่ยเมิ่งสัพยอกบุตรชายที่เข้ามานั่งโคจรลมปราณในห้องที่นางเลี้ยงบุตรสาว

“แหม เสด็จแม่ ท่านน่ะรีบเข้าข้างน้องเล็กไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางเพิ่งอายุครบเดือนเอง เดี๋ยวอีกหน่อยต้องร้องกวนเสด็จแม่ตอนดึกแน่ๆ”

“ไม่หรอก หลินเอ๋อร์เป็นเด็กดี หลินเอ๋อร์ไม่กวนแม่ใช่หรือไม่” เหม่ยเมิ่งถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดูรักใคร่

มองเห็นทารกน้อยเสวี่ยหลินพยักหน้าให้อย่างรวดเร็ว สร้างความประหลาดใจให้เหม่ยเมิ่ง เสวี่ยซาน และเสวี่ยปิงยิ่งนัก

“เอ่อ...เหมือนว่าน้องเล็กจะเข้าใจที่พวกเราพูดคุยกันนะพ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยซานเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ

“ไม่ใช่กระมัง นางเพิ่งเดือนเดียวเองนะ คงบังเอิญมากกว่า” เหม่ยเมิ่งไม่เชื่อ

“เมื่อไม่กี่วันก่อน มหาเทพหยางหลงส่งของขวัญอวยพรองค์หญิงน้อยมาให้องค์ราชาด้วยเพคะ เห็นองค์ราชากล่าวว่าเป็นกำไลหยกขาวที่สร้างจากหยกน้ำค้างหิมะ กำไลนี้สามารถเพิ่มพลังป้องกันให้กับผู้ใช้ได้สูงมาก มหาเทพคงจะทรงเห็นว่าองค์หญิงน้อยยังเยาว์นักจึงมอบให้เพื่อใช้ป้องกันตนเองยามเติบโตมากกว่านี้” เสวี่ยปิงบอกเล่าให้ฟัง

“กำไลหยกน้ำค้างหิมะ?”

“ใช่เพคะ ได้ยินว่าเป็นกำไลที่มหาเทพสร้างขึ้นเมื่อยังทรงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดิน ตั้งพระทัยจะประทานเป็นรางวัลให้ราชินีฉิงเฟิ่ง (หงส์แห่งวันฟ้าใส) แห่งเผ่าหงส์แดงเพื่อตอบแทนที่เผ่าหงส์แดงช่วยกันดับอัคคีผลาญพิภพเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนที่มหาเทพจะสละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยนเทียนจวินเพคะ แต่ราชินีฉิงเฟิ่งอยากได้เป็นหยกสีแดง มหาเทพจึงต้องสร้างกำไลหยกขึ้นมาใหม่ด้วยหยกเพลิงชาด ทำให้นางสามารถใช้อัคคีธาตุได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพคะ”

“บังเอิญเสียจริง กำไลหยกน้ำค้างหิมะ กับนามของบุตรสาวข้า เสวี่ยหลิน คือหยกหิมะ” เหม่ยเมิ่งกล่าวออกมา

“จริงด้วยเพคะ บังเอิญจริงๆ”

“ยามนี้ฉิงเฟิ่งก็อายุสองแสนหนึ่งหมื่นปี เท่ากับข้า แต่นางยังไม่สมรสเลย”

“ราชินีฉิงเฟิ่งจะเทียบกับองค์ราชินีได้อย่างไรเพคะ องค์ราชินีน่ะงดงามเพียบพร้อมทุกประการ พระทัยก็ดี แต่นางน่ะใจร้อน เอาแต่ใจตัวเองจนเหลือรับ ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ยิ่งตอนนี้นางดำรงตำแหน่งราชินีของเผ่าหงส์แดง ยิ่งเย่อหยิ่งกว่าเดิมนัก” เสวี่ยปิงค่อนแคะอย่างไม่เกรงใจ

“โชคดีนะเพคะว่าองค์ราชาเสวี่ยหมิงไม่สนใจนาง หากองค์ราชาสนใจนางล่ะก็ เสวี่ยปิงผู้นี้คงอกแตกตายแน่ๆ ถ้าต้องรับใช้นาง”

นั่นเพราะเสวี่ยปิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับราชาจิ้งจอกเสวี่ยหมิง หากนางมาจากตระกูลจิ้งจอกขาวสายรอง ขณะที่เหม่ยเมิ่งเป็นองค์หญิงของจิ้งจอกแดงเก้าหาง เมื่อเสวี่ยหมิงเข้าพิธีสมรสกับเหม่ยเมิ่ง ลูกหลานตระกูลจิ้งจอกขาวเก้าหางสายรองจึงถูกเลือกให้มาคอยช่วยเหลือและดูแลราชินีแห่งเผ่าจิ้งจอก เสวี่ยปิงจึงถูกเลือกให้มารับใช้เหม่ยเมิ่งตั้งแต่วันที่นางเข้าพิธีสมรสกับเสวี่ยหมิง

ช่วงก่อนที่เสวี่ยหมิงจะเข้าพิธีกับเหม่ยเมิ่ง ราชินีฉิงเฟิ่งที่ยามนั้นยังดำรงตำแหน่งองค์หญิงบังเอิญพบเจอเสวี่ยหมิงแล้วชมชอบเขาอย่างมาก จึงติดตามพัวพันเขาไม่เลิกราอยู่ถึงหนึ่งหมื่นปี เสวี่ยหมิงที่มิได้ชมชอบองค์หญิงฉิงเฟิ่งเมื่อทราบว่าบิดามารดาต้องการให้เขาแต่งกับเหม่ยเมิ่งแห่งเผ่าจิ้งจอกแดงเก้าหาง เขาจึงตอบตกลงทันที เพราะเขาเคยรู้จักกับเหม่ยเมิ่งมาก่อนแล้วว่านิสัยใจคอของนางน่าคบหากว่าฉิงเฟิ่งมากนัก แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ผิด

การแต่งงานนี้ทำให้องค์หญิงฉิงเฟิ่งเสียหน้าอย่างหนัก นางจึงพาลไม่ชอบเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไปเสียหมด และต่อมานางมีโอกาสได้พบเจอมหาเทพหยางหลง นางก็เปลี่ยนใจไปชมชอบมหาเทพทันที

เหม่ยเมิ่งได้แต่ยิ้มขบขันกับอาการของเสวี่ยปิง

 

 

เมื่อเสวี่ยหลินอายุครบหนึ่งปี เสวี่ยหมิงจึงเปิดจุดชีพจรทั้งห้าสิบสี่จุดให้นางทันที และการเปิดจุดชีพจรนี้ทำให้เขา เหม่ยเมิ่ง เสวี่ยซาน และเสวี่ยปิง ตกตะลึงตาค้าง นั่นเพราะระดับปราณเซียนจิ้งจอกของเสวี่ยหลินอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่ห้า จากเดิมที่อยู่ที่แตกหน่อขั้นที่ห้า เท่ากับภายในเวลาหนึ่งปี เสวี่ยหลินสามารถเพิ่มพูนปราณเซียนจิ้งจอกได้ถึงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ ทั้งการเพิ่มขึ้นนี้ยังหนาแน่นและเสถียรอย่างยิ่ง ! !

การเพิ่มขึ้นอย่างมากมายของระดับลมปราณนี้เป็นผลจากการที่เสวี่ยหลินสามารถฝึกฝนโคจรลมปราณได้ตลอดเวลาตามระบบที่นางตั้งไว้ เสวี่ยหลินจำได้ดีว่านางจะสามารถมองเห็นค่าสถานะของทุกคนได้เมื่อลมปราณของนางอยู่ที่ขึ้นสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง ดังนั้น นางจึงตั้งใจว่าเมื่อนางอายุหนึ่งหมื่นสี่พันปีที่เป็นวัยเริ่มต้นศึกษาหาความรู้ เวลานั้นระดับลมปราณของนางควรอยู่ที่ขึ้นสวรรค์ขั้นที่หนึ่งได้แล้ว

เหม่ยเมิ่งพาเสวี่ยหลินออกมาจากหอเทพจิ้งจอกได้เพียงวันเดียวก็ต้องพากลับไปใหม่ เพราะเมื่อออกมานอกหอเทพจิ้งจอกแล้ว เสวี่ยหลินสัมผัสได้ทันทีว่าปราณทิพย์ลดน้อยลงไปมากนัก นางไม่ต้องการเสียเวลาเพิ่มพูนลมปราณ ดังนั้น จึงร้องไห้โยเยมากมายจนเหม่ยเมิ่งนึกเฉลียวใจพานางกลับไปที่หอเทพจิ้งจอก เพียงกลับเข้าไป เสวี่ยหลินก็หยุดร้องไห้ทันทีราวกับสั่งได้ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนนัก

“ฟูจวิน ข้าคงต้องเลี้ยงหลินเอ๋อร์ในหอเทพจิ้งจอกเสียแล้ว นางไม่ยอมออกจากหอเทพเลย น่าจะติดใจปราณทิพย์กระมัง” เหม่ยเมิ่งคาดเดาได้ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไร ข้าจะมาพักที่หอเทพกับเจ้าด้วย” เสวี่ยหมิงตัดสินใจง่ายๆ

เสวี่ยหลินพักที่หอเทพจิ้งจอกจนกระทั่งอายุ 14,000 ปี (เทียบเป็นอายุมนุษย์ได้ที่ 7 ปี) จึงค่อยยอมออกมาอยู่ที่ตำหนักพยับหมอก

ระดับลมปราณของนางยามนี้อยู่ที่พ้นบาปขั้นห้าห่างจากขึ้นสวรรค์ขั้นที่หนึ่งอยู่หกขั้นย่อย หากระดับพ้นบาปขั้นห้านี้ก็ทำให้บิดามารดาของนางและเสวี่ยปิงตื่นตะลึงยิ่งนัก เพราะเด็กเซียนในวัยเดียวกับนางจะอยู่ไม่เกินนักพรตขั้นห้า

บิดามารดาของนางบอกกล่าวกับนางว่ายิ่งนางมีระดับลมปราณสูงเท่าใด นางจะสามารถเรียนรู้วิชาเวทได้มากขึ้นเท่านั้น จุดนี้ทำให้เสวี่ยหลินคาดเดาได้ทันที วิชาเวทนี้จะหมายถึง Skill ที่นางสามารถใช้ได้ในแต่ละเลเวลที่เพิ่มขึ้น ยามนี้ระดับลมปราณที่พ้นบาปขั้นห้า เทียบเป็นเลเวลได้ที่เลเวล 75 ดังนั้น นางจะมีแต้มในการอัพเกรด Skill จำนวน 75 แต้มเช่นกัน

 

 

***Icon คือสัญลักษณ์หรือรูปภาพที่ใช้แทนโปรแกรม Icon จะถูกนำมาสร้างเป็นภาพเล็กๆ เพื่อสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ในเกมออนไลน์ก็คือ เวลาเราต้องการใช้งานโปรแกรมหนึ่งโปรแกรม เราก็เพียง Click ที่ Icon ของโปแกรมนั้น แล้วโปรแกรมที่เราต้องการจะถูกเปิดขึ้นมาเป็นหน้าต่างโปรแกรมขึ้นมาทันที***