นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ตามรักจิ้งจอกน้อย - บทที่ 6 เตรียมพร้อม โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตามรักจิ้งจอกน้อย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง

รายละเอียด

นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ ได้สร้างสรรค์สัตว์เทพขึ้นมาเจ็ดเผ่า ได้แก่ มังกร กิเลน จิ้งจอกเก้าหาง หงส์แดง สิงโต เต่ามังกร และเสือขาว แต่ละเผ่าล้วนมีความสามารถและเก่งกาจแตกต่างกันไป

แดนเซียนที่มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียนสร้างขึ้นถูกเรียกว่า สี่ทะเลแปดดินแดน แน่นอนว่าเผ่ามังกรย่อมทรงพลังและอำนาจสูงสุด ครอบครองสี่ทะเลและสองดินแดน อีกหกเผ่าที่เหลือครอบครองกันเผ่าละหนึ่งดินแดน

เผ่ามังกรนั้น มหาเทพตว๋อเทียนได้รังสรรค์มหาเทพองค์หนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติขึ้นปกครองเผ่ามังกรและเป็นดั่งนายเหนือของทุกเผ่า มหาเทพองค์นี้จึงเป็นที่รับทราบกันทั่วว่าเป็นบุตรชายสุดที่รักของมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน นามของเขาคือ หยางหลง (มังกรสุริยัน)

มหาเทพหยางหลงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดินได้ราว 300,000 ปี ก็สละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยน (กระบี่สุริยัน) แม่ทัพคู่ใจของเขาขึ้นครองแทน มหาเทพหยางหลงที่ยามนี้มีเวลาว่างมากมายเพราะหาแพะรับบาปมารับภาระแทนตนเองได้สำเร็จ จึงถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนและแดนมนุษย์ถึง 80,000 ปี ก่อนจะกลับสู่แดนบูรพาที่เผ่ามังกรครอบครอง และพักผ่อนอยู่เพียงผู้เดียวที่วังมังกรสวรรค์ของตนมาได้ 20,000 ปีแล้ว

แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ร่างเงาของจิ้งจอกเก้าหางที่ส่องแสงสีทองปรากฏขึ้นกลางผืนฟ้า ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงสงสัยว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากไม่มีผู้ใดไขปริศนานี้ได้กระทั่งมหาเทพหยางหลงเอง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มหาเทพจึงทราบว่าเหม่ยเมิ่ง ราชินีของราชาจิ้งจอกเก้าหางเสวี่ยหมิง ให้กำเนิดธิดาน้อยนางหนึ่ง นามของนางคือ เสวี่ยหลิน ทราบแล้วจึงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเสียหน่อย แต่ผู้ใดจะคาดได้ว่าผ่านไปอีกเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันปี เขาจะมีโอกาสได้พบเจอจิ้งจอกน้อยนี้ ทั้งยังคบหานางเป็นกึ่งสหายต่างวัยกึ่งหลานสาว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีเซียนบุรุษมากหน้าหลายตาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนาง

สารบัญ

ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 1 ตายแล้วก็ข้ามภพมาเกิดใหม่,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 3 คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 4 จตุธาตุอัญมณี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 5 เร่งศึกษา,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 6 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 7 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 10 หุบเขาบูรพานิรันดร์,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 11 ข้อเสนอไม่คาดหมาย,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 12 การตอบโต้ของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 13 หยางเค่อ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 14 ประลองสามต่อสาม (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 15 ประลองสามต่อสาม (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 16 ชมชอบไม่รู้ตัว (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 17 ชมชอบไม่รู้ตัว (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 18 ชมชอบไม่รู้ตัว (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 19 ก่นด่าไม่ไว้หน้า,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 20 เริ่มใกล้ชิด (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 21 เริ่มใกล้ชิด (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 22 สู่ขอ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 23 เกือบอกหัก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 24 โชว์อันน่าตื่นตา (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 25 โชว์อันน่าตื่นตา (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 26 เพลงอันทรงพลัง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 27 เสี่ยวหลง (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 28 เสี่ยวหลง (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 29 เสี่ยวหลง (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 30 สมดุลพลังที่เปลี่ยนไป,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 31 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 32 ผีเสื้อขยับปีก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 33 ความเป็นไปได้ของสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 34 เริ่มต้นแห่งสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 35 เปิดเผยและซ่อนเร้น,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 36 ว่าที่มหาเทวี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 37 เสริมสร้างข่ายปราณ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 38 ฆ่าปิดปาก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 39 เปลี่ยนม้ากลางศึก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 40 กุนซือผู้ร้ายกาจ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 41 ความผูกพันอันห่างเหิน,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 42 ในวงล้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 43 ผีหลอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 44 ไมตรีจากสิงโต

เนื้อหา

บทที่ 6 เตรียมพร้อม

“เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เจ้าจึงสามารถหาจตุธาตุอัญมณีได้” เสวี่ยหมิงเชื่อมโยงเรื่องราวได้ทันที

“เพคะ” เสวี่ยหลินรับคำเสียงอ่อย นึกชื่นชมและหวาดผวาไปพร้อมกันว่าบิดาของนางเฉลียวฉลาดยิ่ง หากนางคิดปิดบังเรื่องราวใดจากบิดาก็ต้องวางแผนมาให้ดี

คำตอบนี้ทำให้พวกเขานิ่งอึ้งไป คาดไม่ถึงว่าเทพผู้สร้างที่เร้นกายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด และนับจากรังสรรค์แดนเซียนขึ้นมาแล้วก็ไม่ยอมพบปะผู้ใดทั้งสิ้น บัดนี้ถึงกับมอบพรล้ำค่าให้บุตรสาวของพวกเขา

“ได้ พ่ออนุญาตให้เจ้าไป แต่พ่อจะให้แม่ของเจ้าไปกับเจ้าด้วย พ่อไม่อาจละทิ้งการดูแลแดนพายัพและคนทั้งเผ่าไปได้”

“ขอบพระทัยเพคะ” เสวี่ยหลินยิ้มกว้างทันที

“เหม่ยเมิ่ง เอาเสวี่ยปิงไปกับเจ้าด้วย จะได้ช่วยดูแลพวกเจ้าทั้งสองคน”

“ไม่ต้องดอก ฟูจวิน ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ฟังจากที่หลินเอ๋อร์บอกเล่าและระดับชั้นของสัตว์อสูรเหล่านี้แล้ว พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ให้เสวี่ยปิงอยู่ที่นี่คอยดูแลความเรียบร้อยในวังพายัพดีกว่า ท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยากระหว่างที่ข้าไม่อยู่”

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”

 

 

วันรุ่งขึ้นเหม่ยเมิ่งจึงพาเสวี่ยหลินมาพบอาจารย์ใหญ่ที่สถานศึกษาพายัพ พร้อมทั้งขออนุญาตพาบุตรสาวไปฝึกฝนนอกสถานที่เป็นเวลาหกเดือน แน่นอนว่าอาจารย์ใหญ่อนุญาตทันที ก็แน่ล่ะ ราชินีแห่งเผ่าจิ้งจอกเก้าหางมาออกปากด้วยตนเองเช่นนี้ จะเอาเหตุผลใดมาปฏิเสธล่ะ

ใช้เวลาราวสามชั่วยาม เสวี่ยหลินก็พามารดาของนางเดินทางมายังจุดที่มีสัตว์อสูรตัวแรกที่ตนต้องการ เหม่ยเมิ่งต้องประหลาดใจอย่างยิ่งกับสถานที่ที่บุตรสาวพามา เพราะนางคาดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรในที่นี้จะให้ของอะไรที่เสวี่ยหลินต้องการได้แม้มันจะเป็นสัตว์อสูรอันร้ายกาจก็ตาม

“เสด็จแม่ ลงมือกับสัตว์อสูรได้เลยนะเพคะ แต่เสด็จแม่อย่าสังหารให้มันตาย ลูกต้องเป็นผู้สังหารมันเอง มิฉะนั้น ลูกจะไม่ได้ของที่ต้องการเพคะ”

เสวี่ยหลินบอกกล่าวชัดเจน และเวลานี้นางก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นวิธีฟาร์มที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยนี่นา มารดาของนางตอนนี้เรียกได้ว่า OP เพราะเลเวลของมารดาคือ 185 ตัวนางเองเลเวล 90 แต่บอสพวกนี้เลเวล 105 แล้วมันจะเอาอะไรไปสู้มารดาของนางได้ มิหนำซ้ำบอสพวกนี้อาจตายด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวของมารดาด้วยซ้ำ

ฟังคำพูดของบุตรสาวตัวน้อยแล้ว เหม่ยเมิ่งออกจะงุนงงสักหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้

“เจ้าหมายถึง ให้แม่ลงมือให้มันบาดเจ็บมากที่สุดจนมันเกือบตาย แล้วปล่อยให้เจ้าสังหารมัน ใช่หรือไม่”

“ถูกต้องเพคะ เดี๋ยวเสด็จแม่ลองลงมือสักตัวหรือสองตัว เสด็จแม่จะเข้าใจได้ทันทีเลยเพคะ” เสวี่ยหลินยิ้มแฉ่ง นี่มันสุดยอดการฟาร์มเลยล่ะ

เสวี่ยหลินมองในแผนที่ที่นางมองเห็นเพียงผู้เดียว ครู่หนึ่งจึงมีจุดสีแดงกะพริบวาบเป็นสัญลักษณ์ว่าบอสเข้ามาอยู่ในแผนที่นี้แล้ว นางเหลียวมองเหม่ยเมิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อดูค่าสถานะของมารดา เพียงได้เห็น เสวี่ยหลินก็มีสีหน้าบอกไม่ถูก

 

MATK        1,786,315

Max HP    38,954,731

Max SP        771,649

PDEF           678,543

MDEF          992,761

 

เสด็จแม่ OP จริงๆ ด้วย นางนึกในใจ

นี่คือค่าสถานะของเหม่ยเมิ่งที่เสวี่ยหลินมองเห็น เหลือบมองอุปกรณ์ที่มารดาสวมใส่อยู่ กลับมีเพียงกระบี่จิ้งจอกแดงพิโรธ นอกเหนือจากนี้ไม่มีอีกเลย กล่าวได้ว่าสถานะและความสามารถของมารดานั้นมาจากระดับเลเวลที่ผ่านการบำเพ็ญล้วนๆ

เดี๋ยวรอศึกษาวิชาที่สถานศึกษาพายัพให้จบเรียบร้อยก่อนเถิด ข้าจะล่าบอสมาสร้างอุปกรณ์ต่างๆ ให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ส่วนพี่ใหญ่ คงต้องรอไปเจอที่บูรพานิรันดร์เสียก่อน เสวี่ยหลินตั้งใจไว้ทันที

“เสด็จแม่โจมตีสัตว์อสูรตัวนั้นเพคะ เบามือด้วยนะเพคะ อย่าให้มันตาย เอาแค่สาหัสใกล้ตายพอ” นางชี้นิ้วไปที่สัตว์อสูรตัวหนึ่งพร้อมกับย้ำความ

 

เปรี้ยงงงงงงง

 

มารดาของนางลงมือเพียงครั้งเดียว เสวี่ยหลินก็ได้เห็นกับตาเลยว่าสัตว์อสูรที่นางต้องสิ้นเปลืองหัวคิดในการจัดการกับมันนั้น บัดนี้อาการร่อแร่ใกล้ตาย แค่นางสะกิดนิ้วใส่มัน มันคงตายได้เลย เสวี่ยหลินต้องถอนหายใจเฮือก

มากับพวก OP ก็ดีงี้แหละ ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองแรง นางคิดในใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอกในมือของเสวี่ยหลินสาดประกายสีทองเจิดจ้า นางวาดคทาไปยังสัตว์อสูรตัวนั้น มองเห็นแสงสีทองพุ่งทะลวงร่างของสัตว์อสูร พริบตามันก็สิ้นใจตาย

 

ผลึกเมฆา 3 ชิ้น

บุปผาสนธยา 2 ต้น

 

เสียงไร้ที่มาดังขึ้นในใจของเสวี่ยหลิน

เหม่ยเมิ่งมองเห็นบุตรสาวเดินไปทำท่าเก็บของบางอย่างขึ้นมา ครู่หนึ่งนางก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นของในมือให้ดู

“นี่เป็นผลึกเมฆากับบุปผาสนธยาเพคะ ผลึกเมฆาใช้สร้างของวิเศษได้ บุปผาสนธยาใช้ปรุงโอสถและทำอาหารได้”

เหม่ยเมิ่งนิ่งอึ้งตะลึงลาน ของสองสิ่งนี้ นางก็รู้จักเช่นกัน หากแต่จดจำได้ว่าผลึกเมฆานั้นต้องไปขุดหาในแดนอุดรของเผ่าเต่ามังกร ส่วนบุปผาสนธยาจะเกิดขึ้นที่ยอดเขาสูงชันและหนาวเหน็บ แต่บัดนี้ของสองอย่างที่หาได้ยาก กลับปรากฏต่อหน้านางด้วยการให้บุตรสาวของนางสังหารสัตว์อสูรนั้น มันง่ายถึงเพียงนี้เลยหรือ

“แม่เข้าใจที่เจ้าบอกแล้ว หลินเอ๋อร์” เหม่ยเมิ่งกล่าวออกมาหลังจากตั้งสติได้

“เช่นนั้น เจ้าก็พาแม่ไปหาสัตว์อสูรตัวอื่นต่อ พวกเราจะได้ช่วยกันหาของเหล่านี้ให้ครบตามที่เจ้าต้องการ”

“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่รักลูกที่สุดเลย”

เสวี่ยหลินพาเหม่ยเมิ่งไปตามสถานที่ที่บอสอยู่จนครบ การล่าบอสที่ตอนแรกนางคิดว่ากว่าจะจบหนึ่งรอบคงต้องใช้เวลานานนั้น กลายเป็นว่าใช้เวลาทั้งเดินทางและสังหารบอสกลับกินเวลาไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น

“จบรอบแรกแล้วเพคะ เสด็จแม่ สัตว์อสูรสิบห้าตัวที่ลูกต้องล่า เดี๋ยวรออีกสองชั่วยาม พวกเราค่อยวนไปล่าสัตว์อสูรตัวแรกที่สังหารกันเพคะ”

เหม่ยเมิ่งจ้องมองบุตรสาวอย่างประหลาดใจแต่ก็คิดได้ในที่สุด

“นี่เจ้าถึงกับทราบด้วยว่าสัตว์อสูรตัวใหม่จะออกมาเมื่อใดเลยรึ”

“เพคะ พวกมันทั้งสิบห้าตัวจะออกมาวันละสี่ครั้ง เดี๋ยวพอพวกเรารอครบสองชั่วยาม ก็ไปล่ารอบสองได้เลย พวกเราจะต้องวนทำแบบนี้ไปทุกวันเพคะจนกว่าจะได้ของครบ”

“ได้ แม่ตามใจเจ้าทุกอย่างเลย”

“ยามนี้พวกเราว่างสองชั่วยาม เสด็จแม่พาลูกเที่ยวในแดนพายัพนะเพคะ ลูกยังไม่รู้จักดินแดนบ้านเกิดของตัวเองเท่าไหร่เลย”

“ได้สิ” ได้ยินบุตรสาวอ้อนขอให้พาเที่ยว เหม่ยเมิ่งก็ตามใจทันที และนางก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรมากมาย สัตว์อสูรเหล่านี้ระดับชั้นต่ำกว่านางเกินไป แค่ยกมือก็สังหารได้แล้ว หากเป็นเสวี่ยหลินลงมือเอง เกรงว่ากว่าจะสังหารได้สักตัวคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งเค่อ ขณะที่นางสามารถสังหารภายในอึดใจเดียว

 

 

ด้วยระดับชั้นที่แตกต่างกันมากเกินไประหว่างเหม่ยเมิ่งและสัตว์อสูรที่เสวี่ยหลินต้องล่า ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเสวี่ยหลินก็สามารถเก็บสะสมแร่และวัตถุดิบได้ครบถ้วน ทั้งการล่าสัตว์อสูรนี้นางยังได้ปราณมาเลื่อนระดับลมปราณของตนเองด้วย ทำให้ยามนี้เลเวลของนางเลื่อนเป็น 100 จาก 92 ระดับลมปราณเลื่อนเป็นแปลงเซียนขั้นสิบจากแปลงเซียนขั้นสอง

เหม่ยเมิ่งมองดูบุตรสาวของนางด้วยความประหลาดใจ นางเพิ่งทราบว่าการสังหารสัตว์อสูรก็สามารถเลื่อนระดับลมปราณได้ด้วย แต่นี่เกิดขึ้นได้เพราะเป็นเสวี่ยหลิน หากเป็นผู้อื่นย่อมไม่สามารถกระทำได้

เมื่อมีวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว เสวี่ยหลินจึงเริ่มสร้างเครื่องประดับอันได้แก่ แหวนจิ้งจอก สร้อยจิ้งจอก ต่างหูจิ้งจอก และปิ่นจิ้งจอก ทันที เหม่ยเมิ่งมองเห็นเสวี่ยหลินนำวัตถุดิบสี่ถึงห้าอย่างมาวางรวมกัน ก่อนจะใช้คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอกร่ายเวท ประกายเวทมนตร์จากคทาพุ่งลงครอบคลุมวัตถุดิบเหล่านั้น ก่อนจะค่อยๆ หลอมรวมกันอย่างแช่มช้า ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ประกายแสงสีทองก็เจิดจ้าจนแสบตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดับวูบลง เบื้องหน้าของเสวี่ยหลินปรากฏดวงแสงสว่างนวลสบายตา กลางดวงแสงเป็นต่างหูรูปจิ้งจอกตัวน้อยกำลังเปล่งประกายอันงดงามคู่หนึ่ง

“ต่างหูจิ้งจอก?” เหม่ยเมิ่งกล่าวออกมาแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเครื่องประดับรูปจิ้งจอกที่งดงามน่ารักเช่นนี้

เสวี่ยหลินถอดต่างหูคู่เดิมออกก่อนจะใส่ต่างหูจิ้งจอกคู่ใหม่นี้ไว้ทันที จากนั้นจึงเริ่มสร้างแหวนจิ้งจอก สร้อยจิ้งจอก และปิ่นจิ้งจอกจนครบถ้วนทั้งหมด เมื่อนางสวมใส่เครื่องประดับครบสี่ชิ้น ร่างของเสวี่ยหลินก็มีแสงสีทองทอประกายขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองคงอยู่ครู่หนึ่งก็ดับวูบ เหม่ยเมิ่งก็รับรู้ได้ทันทีว่าบุตรสาวตัวน้อยของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ

“เรียบร้อยแล้ว?”

“เรียบร้อยแล้วเพคะ เครื่องประดับที่ลูกต้องการเสร็จสิ้นหมดแล้ว”

“ได้ของครบหมดแล้ว เช่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถิด”

“อย่าเพิ่งกลับเลยนะเพคะ เสด็จแม่ ลูกอยากสร้างของให้เสด็จแม่ได้ใช้”

“เจ้าน่ะรึ?” เหม่ยเมิ่งเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ

“แหม เสด็จแม่ อย่าหัวเราะลูกสิเพคะ ลูกน่ะคิดไว้แล้วว่าจะสร้างของสิ่งใดให้เสด็จแม่บ้าง ไหนๆ ก็พวกเรายังมีเวลาอีกห้าเดือน ลูกเชื่อว่าลูกจะสร้างของวิเศษให้เสด็จแม่สำเร็จแน่นอนเพคะ”

“เจ้าจะสร้างอะไรให้แม่”

“เสด็จแม่เป็นจิ้งจอกแดง บทเวทของเสด็จแม่ย่อมต้องเน้นอัคคีธาตุ แต่อัคคีธาตุนี้หากเสด็จแม่ไม่มีจตุธาตุอัญมณี ความรุนแรงของมันต้องเป็นรองเผ่าหงส์แดง แต่ในเมื่อเสด็จแม่มีจตุธาตุอัญมณีแล้ว อัคคีธาตุของเสด็จแม่ย่อมทัดเทียมกับเผ่าหงส์แดงได้ เพราะฉะนั้น...” เสวี่ยหลินกล่าวอย่างครุ่นคิดก่อนจะจ้องมองมารดาอย่างละเอียดอีกครั้ง นางกำลังมองค่าสถานะของมารดา และดูว่ามีจุดอ่อนที่ใด จุดแข็งที่ใด

ผ่านไปครู่ใหญ่ เหม่ยเมิ่งก็มองเห็นเสวี่ยหลินวาดฝ่ามือ แม้มิได้มีสิ่งใดปรากฏขึ้นแต่นางก็ทราบว่าเสวี่ยหลินต้องมองเห็นอะไรบางอย่างเสวี่ยหลินจับจ้องความว่างเปล่าอย่างละเอียด นางก็ปล่อยให้บุตรสาวทำตามใจตนเอง ส่วนนางก็เอนอิงพิงต้นไม้หลับตานอนพักผ่อน ทว่า...

“เสด็จแม่เพคะ ตื่นมาชิมชากับขนมหวานนี่สักหน่อยสิเพคะ ว่าจะถูกใจเสด็จแม่หรือไม่” เสียงใสเล็กๆ ของบุตรสาวเรียกนางพร้อมกับกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ บางอย่างโชยแตะจมูก

เหม่ยเมิ่งลืมตาขึ้นก็มองเห็นโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางไว้ด้วยชาร้อนในกาขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ยังมีถ้วยชา จานรอง และช้อนคันเล็ก ข้างๆ กันมีจานกระเบื้องสีขาวใบเล็ก วางไว้ด้วยขนมก้อนกลมหกชิ้น เป็นขนมที่สีสันสวยงามเลยทีเดียว

“อะไรน่ะ หลินเอ๋อร์ ชาหอมจริงๆ ขนมก็น่ารับประทาน”

“เสด็จแม่ลองชิมฝีมือลูกหน่อยสิเพคะ ลูกเพิ่งหัดทำได้ไม่นานนัก แต่ก็เชื่อว่าเสด็จแม่น่าจะชอบ” เสวี่ยหลินคะยั้นคะยอให้มารดาชิมฝีมือของนาง

เสวี่ยหลินรินชาใส่ถ้วยให้มารดา “เสด็จแม่ลองจิบชาฝีมือลูกหน่อยสิเพคะ”

เหม่ยเมิ่งหยิบถ้วยชาขึ้นมาสูดกลิ่นหอมครู่หนึ่งก่อนจะจิบชาไปหนึ่งคำ นางต้องหลับตาพริ้มดื่มด่ำไปกับรสชาติและกลิ่นหอมของชา

“เจ้าชงชาเก่งมาก หลินเอ๋อร์ แม่ชอบ”

“เสด็จแม่ลองชิมขนมนี่สักนิดสิเพคะ” เสวี่ยหลินเลื่อนจานขนมให้มารดา เหม่ยเมิ่งหยิบขึ้นมากัดไปชิม เพียงขนมเข้าปาก นางต้องเบิ่งตากว้าง ก่อนจะหลับตาดื่มด่ำกับรสชาติหอมหวานกำลังดี

“ขนมอะไรลูก อร่อยจริง แม่ชอบเสียแล้วสิ ที่สถานศึกษาพายัพมีสอนชงชาและทำขนมแบบนี้ด้วย?”

“ไม่ใช่เพคะ นี่เป็นชาและขนมที่ลูกคิดขึ้นเอง ใช้เวลาคิดค้นและแก้ไขอยู่นานพอดูเพคะ” เสวี่ยหลินจำต้องโกหกไปก่อน จะบอกได้อย่างไรล่ะว่าเป็นของจากโลกมนุษย์

“หลินเอ๋อร์ เจ้าเก่งมาก เช่นนี้ กลับไปถึงวังแล้ว เจ้าสอนแม่ทำหน่อยสิ แม่ชอบชาและขนมของเจ้ามาก พ่อของเจ้าต้องชอบด้วยแน่ๆ”

“ได้เพคะ มีหลายสูตรเลย แล้วลูกจะสอนเสด็จแม่ให้ทำได้ทุกสูตรเลยเพคะ ตอนนี้เสด็จแม่นั่งจิบชา ชิมขนม และชมทิวทัศน์ไปก่อนนะเพคะ จะได้ไม่เบื่อระหว่างนั่งรอลูก”

บอกกล่าวเสร็จแล้ว เสวี่ยหลินก็หันมาสนใจกับหน้าจออุปกรณ์ที่เปิดค้างไว้อยู่ ยามนี้นางกำลังคัดเลือกของที่เหมาะสมกับมารดา แน่นอนว่าต้องมีอาวุธ ชุดเกราะ สนับแขน สนับขา รองเท้า ครบชุด เครื่องประดับย่อมต้องเป็นปิ่น สร้อย แหวน ต่างหู

เสวี่ยหลินใช้เวลาคัดเลือกนานถึงสองชั่วยามกว่าจะคัดเลือกได้ของที่เหมาะกับมารดาที่สุด จากนั้นใช้อีกหนึ่งชั่วยามเพื่อดูว่าต้องไปล่าบอสตัวใด นางนั่งจดรายละเอียดออกมาจนครบก่อนจะเงยหน้ามาเห็นมารดาที่เอนอิงพิงต้นไม้หลับสนิทไปแล้ว ชาในกาหมดแล้ว ขนมก็หมดแล้วเช่นกัน

“เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่” เสียงเล็กๆ ร้องเรียกมารดา

ครู่หนึ่งเหม่ยเมิ่งลืมตาขึ้น

“เสด็จแม่เพคะ พวกเราต้องไปล่าสัตว์อสูรพวกนี้เพคะ ลูกคิดว่าไม่น่าเกินสองเดือน ก็ได้ของครบ ลูกจะได้สร้างของวิเศษให้เสด็จแม่”

“แต่สัตว์อสูรพวกนี้อยู่ทั้งในแดนพายัพเรา แดนประจิม และแดนอุดร พวกเราสามารถข้ามไปล่าพวกมันในแดนประจิมและแดนอุดรได้หรือไม่เพคะ” เสวี่ยหลินถามอย่างกังวล

“ได้สิ แดนประจิมและแดนอุดรเป็นมิตรกับพวกเรามาเนิ่นนานแล้ว ผู้คนทั้งสามแดนไปมาหาสู่กันตลอด ไม่มีปัญหาดอก”

“เยี่ยมเลย งั้นเราเริ่มที่แดนพายัพให้เสร็จเสียก่อน จากนั้นค่อยไปที่แดนประจิม ได้ของจากสองที่นี้แล้ว ลูกสามารถสร้างของวิเศษให้เสด็จแม่ได้ห้าอย่างเลย จากนั้นค่อยขึ้นไปที่แดนอุดร”

“ตกลง แล้วก็ทำเหมือนเดิมใช่หรือไม่ เจ้าต้องเป็นผู้สังหารสัตว์อสูร”

“ใช่เลยเพคะ เสด็จแม่เป็นงานแล้ว” เสวี่ยหลินยิ้มร่า

“อะไรของเจ้า เป็นงาน” เหม่ยเมิ่งถามอย่างแปลกใจ

“เอ่อ...หมายถึง เสด็จแม่เก่งขึ้นไงล่ะเพคะ” เสวี่ยหลินเลี่ยงหาข้อแก้ตัวได้สำเร็จหลังจากหลุดปากด้วยคำคุ้นเคยจากโลกมนุษย์

ไม่เกินสองเดือนตามที่เสวี่ยหลินคำนวณไว้ นางก็สามารถสร้างของวิเศษให้มารดาได้ครบถ้วน เหม่ยเมิ่งที่สวมใส่ของที่บุตรสาวสร้างให้ต้องรู้สึกนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากมายจริงๆ กระบี่จิ้งจอกแดงพิโรธที่นางเคยใช้เป็นประจำ เหม่ยเมิ่งโยนมันเก็บไว้ในมิติส่วนตัวอย่างไม่ไยดีอีกต่อไป กระบี่คู่กายนางยามนี้คือ กระบี่จิ้งจอกเพลิงสวรรค์ที่บุตรสาวของนางสร้างขึ้นมาให้ มันเหมาะมือนางอย่างยิ่ง และทำให้นางสามารถใช้อัคคีธาตุได้ดียิ่งกว่าเดิม

เพราะด้วยเลเวลของสัตว์อสูรในสองเดือนนี้ที่สูงกว่าเลเวลของเสวี่ยหลินกว่าเดิมไปไม่น้อย ทำให้เลเวลของนางเพิ่มขึ้นถึง 10 เลเวล เป็น 110 จากเดิม 100 ลมปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งช่วงชั้นใหญ่เป็นเซียนกนกขั้นสิบจากแปลงเซียนขั้นสิบ

เสวี่ยหลินจ้องดูค่าสถานะของมารดาด้วยความปลาบปลื้มดีใจอย่างยิ่ง นางสามารถทำให้เสด็จแม่ของนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก และตลอดสองเดือนนี้นางยังขอร้องแกมบังคับให้มารดารับประทานอาหารที่นางทำให้ตามจำนวนที่นางกำหนด เพื่อให้มารดาได้ค่าสถานะเพิ่มขึ้นอย่างถาวร ดังนั้น เมื่อมารดาสวมใส่ของที่นางคัดสรรและสร้างให้อย่างดี เหม่ยเมิ่งจึงยิ่งแข็งแกร่งและร้ายกาจกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

“ลูกมั่นใจเลยว่าหากยามนี้เสด็จแม่เผชิญหน้ากับยัยฉิงเฟิ่งนั่น นางเอาชนะเสด็จแม่ไม่ได้แน่นอน เต็มที่คือเสมอ” เสวี่ยหลินบอกกล่าวอย่างมั่นใจ

“หลินเอ๋อร์ ลูกไปสนใจอะไรกับนางล่ะ”

“แหม ก็นางเคยมาชอบเสด็จพ่อของลูกนี่เพคะ พอเสด็จพ่อไม่เล่นด้วย ยังมาทำเป็นรังเกียจเผ่าจิ้งจอกเก้าหางเราอีก จะให้ลูกนึกชอบเผ่าหงส์แดง ยากส์” เสวี่ยหลินเผลอหลุดคำพูดเมื่อยามเป็นฮุ่ยหลันออกมา

“อะไรนะลูก ยากส์”

“เอ่อ...ไม่มีอะไรเพคะ เสด็จแม่”

“แล้วแม่ต้องใส่ของพวกนี้ไว้ตลอดเลยหรือ แม่ว่ามันไม่สะดวกสำหรับแม่นะ”

“ไม่ต้องหรอกเพคะ แต่เสด็จแม่ควรใส่มันไว้ในมิติเก็บของเพคะ เมื่อใดที่ต้องการสวมใส่ เสด็จแม่จะได้เรียกมันออกมาสวมใส่ได้ทันที”

“จริงของเจ้า”

“เอ่อ...เรากลับแดนพายัพกันก่อนดีกว่านะเพคะ ลูกจะได้เอาของไปส่งท่านอาจารย์ แล้วจะได้ไปพบเสด็จพ่อด้วย ลูกอยากสร้างของให้เสด็จพ่อเพคะ แล้วตอนนี้เราก็มีเวลาอีกตั้งสามเดือนกว่าลูกจะต้องกลับไปเรียนที่สถานศึกษาพายัพ”

 

 

เสวี่ยหลินเอาแร่และวัตถุดิบต่างๆ จำนวน 15 ชนิดๆ ละ 100 ชิ้น มาส่งให้อาจารย์ผู้สอนวิชาค้นหาและขุดแร่ เพียงได้เห็นของที่นางนำมาให้ อาจารย์ผู้นั้นก็ให้นางได้คะแนนเต็มในการสอบทันที เพราะของที่เสวี่ยหลินนำมานั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างยิ่ง

เมื่อเสวี่ยหลินและเหม่ยเมิ่งกลับมาถึงวังพายัพ ราชาเสวี่ยหมิงที่ได้พบเจอเหม่ยเมิ่งยังสัมผัสได้ชัดเจนว่าเหม่ยเมิ่งทรงพลังกว่าเดิมมากนัก

“เหม่ยเมิ่ง เจ้าไปทำอะไรมา ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าเดิมยิ่งนัก”

เหม่ยเมิ่งจึงเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวระหว่างที่นางกับเสวี่ยหลินออกล่าสัตว์อสูร

“ยามนี้ หลินเอ๋อร์จะมาเอาตัวท่านไปด้วย ลูกอยากทำให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นเหมือนอย่างที่ทำให้ข้า” เหม่ยเมิ่งบอกกล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวบุตรสาว ก่อนจะหยิบยื่นของทั้งหมดที่เสวี่ยหลินสร้างขึ้นให้เขาได้ดู

เมื่อได้ตรวจสอบถึงคุณวิเศษของสิ่งที่เสวี่ยหลินสร้างขึ้น ราชาเสวี่ยหมิงต้องประหลาดใจ

นี่บุตรสาวข้าเก่งกาจเช่นนี้เลยรึ นี่นางอายุเพียงหมื่นสี่พันกว่าปีเองนะ เขารำพึงอยู่ในใจ

“เสด็จแม่จะดูแลแดนพายัพจนกว่าเสด็จพ่อจะกลับมาเพคะ ลูกคิดว่าไม่เกินสองเดือน ทุกอย่างจะเรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกเดินทางกัน วันนี้ลูกจะศึกษาก่อนว่าลูกควรเสริมจุดแข็งลดจุดด้อยให้เสด็จพ่ออย่างไร และเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเสียก่อน”

“ทำตามที่ลูกบอกเถิด จะเป็นผลดีกับตัวท่านเองนะ ฟูจวิน” เหม่ยเมิ่งเอ่ยเสียงเข้ม เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้

ราชาเสวี่ยหมิงนิ่งอึ้ง

ใช้เวลาอีกสองเดือนตามที่เสวี่ยหลินคาดไว้ นางก็สามารถสร้างของวิเศษให้บิดาได้ครบถ้วน และแน่นอนว่าระหว่างสองเดือนนี้ บิดาของนางก็ต้องรับประทานอาหารเช่นเดียวกับที่นางให้มารดาของนางรับประทาน

และด้วยเลเวลของสัตว์อสูรในสองเดือนนี้ที่ยังคงสูงกว่าเลเวลของเสวี่ยหลินอยู่มาก ทำให้เลเวลของนางยังคงเพิ่มขึ้นอีก 10 เลเวล เป็น 120 จากเดิม 110 ลมปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งช่วงชั้นใหญ่เป็นเซียนเมธีขั้นสิบจากเซียนกนกขั้นสิบ

เวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลือ เสวี่ยหลินใช้ไปกับการสอนทำอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่มของแดนมนุษย์ทั้งหมดให้กับเหม่ยเมิ่งมารดาของนาง

เสวี่ยหลินกลับมาที่สถานศึกษาพายัพแล้ว ยามนี้นางเหลือเพียงวิชาการต่อสู้เท่านั้น เมื่อมาเข้าเรียนในวิชานี้ นางจึงทราบว่าเป็นการศึกษาในภาคปฏิบัติทั้งสิ้น มีทั้งกระบี่ ทวน ธนู ดาบใหญ่ กระบอง ง้าว แต่ไม่มีวิธีการต่อสู้ด้วยคทา ทำเอาเสวี่ยหลินต้องถอนหายใจเฮือก แต่ในเมื่อจำต้องเรียนเพื่อให้สำเร็จการศึกษาจากที่นี่ นางจึงเลือกเรียนกระบี่

ตำรากระบี่ของสถานศึกษาพายัพเหมือนเป็นตำราเบื้องต้น เพื่อสอนให้ทุกคนเข้าใจในวิถีกระบี่ เสวี่ยหลินอ่านทำความเข้าใจไปสองเที่ยวก็จดจำและเข้าใจได้ทั้งหมด เมื่อมาถึงภาคปฏิบัติ นางจึงผ่านการซ้อมได้อย่างง่ายดาย

เสวี่ยหลินขอออกจากสถานศึกษาพายัพกลับมาซ้อมกระบี่กับราชาเสวี่ยหมิง บิดาของนาง ซ้อมอยู่ราวสามเดือน จึงกลับไปสอบ ดูเหมือนครั้งนี้นางไม่ชอบกระบี่เอาเสียเลย แม้นางจะไม่ได้คะแนนเต็มเช่นที่เคยกระทำได้แต่ก็สอบผ่านได้ไม่ลำบาก

ยามนี้เสวี่ยหลินจึงหมดภาระหน้าที่ที่จะต้องเรียนที่สถานศึกษาพายัพเสียที นางตั้งใจจะสร้างที่พักใหม่แห่งหนึ่งตามแบบบ้านที่นางฝันไว้ยามที่เป็นมนุษย์ บ้านพักพร้อมสวนดอกไม้สวยๆ ริมทะเลสาบ และที่นางตั้งใจอีกอย่างคือ นางกำลังนึกอยากเล่นเกมสร้างฟาร์มและร้านชา

ตอนนี้นางมีครบทุกอย่างไม่ว่าจะสมุนไพร พืชผักผลไม้ และดอกไม้ต่างๆ ดังนั้น สิ่งที่นางต้องทำคือหาพื้นที่ในแดนพายัพที่สามารถตอบสนองความต้องการของนางได้ พื้นที่กว้างที่สามารถสร้างบ้านพัก ร้านขายชาและขนมหวาน และปลูกพืชได้ เพราะนางอยากมีร้านขายชาและขนมหวานเป็นของตนเอง ทั้งพื้นที่นี้ต้องมีทะเลสาบสวยๆ กว้างๆ ทิวทัศน์งามๆ ให้นางได้ชื่นชมเป็นส่วนตัวและเป็นจุดขายของร้านขายชาของนางด้วย

เสวี่ยหลินกำลังนั่งคิดถึงฤดูกาลในแดนพายัพ แดนพายัพมีสามฤดู เป็นฤดูหมอกสี่เดือน ฤดูใบไม้ร่วงสี่เดือน และฤดูหนาวสี่เดือน ดังนั้น ชาที่นางคิดขายต้องเน้นเป็นชาร้อน ขนมหวานนอกจากมาการองของโปรดของนางแล้ว ต้องมีขนมอื่นด้วย เพราะไม่แน่ว่าเหล่าเทพเซียนอาจอยากลิ้มลอง แต่เหนืออื่นใดทั้งหมดไม่ว่าชาหรือขนมหวาน ทั้งหมดนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ต้องทำให้จิตใจของทุกคนผ่อนคลาย มีความสุข

ในร้านของนางต้องมีวงดนตรีมาเล่นเพลงเบาๆ ให้ทุกคนได้ฟังอย่างผ่อนคลาย ร้านนี้ยังต้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาและส่วนประกอบของพืชและสมุนไพรต่างๆ เรียกได้ว่าเพียงก้าวเข้ามาในร้าน พวกเขาทั้งหมดต้องรู้สึกผ่อนคลายได้ทันที และยิ่งบรรยากาศของร้านที่นางตั้งใจจัดให้เหมือนนั่งอยู่ในสวนด้วยแล้วล่ะก็ พวกเขาไม่หลงอยู่ในร้านของนางก็ให้มันรู้ไป รับรองว่าจะทำให้พวกเขาสั่งชาและขนมหวานกันไม่เลิกเลยทีเดียว

แต่เหนืออื่นใด นางควรทำชา ขนมหวาน และของว่างออกมาให้คนในแดนพายัพได้ลองชิมเสียก่อน เพื่อทดสอบดูว่าพวกเขาจะชมชอบหรือไม่ และชอบมากน้อยเพียงใด เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาชมชอบ นางจึงค่อยมองหาพื้นที่ เรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาเตรียมการไม่น้อย เพราะหากเป็นไปตามที่คาดคิด นางต้องฝึกนางกำนัลและเซียนรับใช้ให้ชงชาและทำขนมหวานให้ได้รสชาติเดียวกับที่นางทำ ทั้งยังต้องฝึกฝนพวกเขาให้ทำหน้าที่บริกรของร้าน อีกส่วนหนึ่งต้องเป็นนักดนตรี และอีกส่วนทำหน้าที่ปลูกพืช

คิดไปคิดมา โครงการใหญ่เหมือนกันแฮะ เสวี่ยหลินคิดในใจก่อนจะค่อยๆ จดสิ่งที่นางต้องทำออกมา

 

 

 

OP (Over Power) เก่งเกิน พลังมากเกิน หรือบางครั้งหมายความถึง เก่งจนดูโกงเกิน

ฟาร์ม (Farm) ใช้เรียกลักษณะการหาเงินหรือเก็บเลเวลในเกม โดยอาศัยการตีมอนสเตอร์หรือเล่นในโหมดที่ง่าย เพื่อให้ได้มาซึ่งเลเวลหรือเงินในเกม