นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ตามรักจิ้งจอกน้อย - บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย) โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตามรักจิ้งจอกน้อย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง

รายละเอียด

นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ ได้สร้างสรรค์สัตว์เทพขึ้นมาเจ็ดเผ่า ได้แก่ มังกร กิเลน จิ้งจอกเก้าหาง หงส์แดง สิงโต เต่ามังกร และเสือขาว แต่ละเผ่าล้วนมีความสามารถและเก่งกาจแตกต่างกันไป

แดนเซียนที่มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียนสร้างขึ้นถูกเรียกว่า สี่ทะเลแปดดินแดน แน่นอนว่าเผ่ามังกรย่อมทรงพลังและอำนาจสูงสุด ครอบครองสี่ทะเลและสองดินแดน อีกหกเผ่าที่เหลือครอบครองกันเผ่าละหนึ่งดินแดน

เผ่ามังกรนั้น มหาเทพตว๋อเทียนได้รังสรรค์มหาเทพองค์หนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติขึ้นปกครองเผ่ามังกรและเป็นดั่งนายเหนือของทุกเผ่า มหาเทพองค์นี้จึงเป็นที่รับทราบกันทั่วว่าเป็นบุตรชายสุดที่รักของมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน นามของเขาคือ หยางหลง (มังกรสุริยัน)

มหาเทพหยางหลงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดินได้ราว 300,000 ปี ก็สละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยน (กระบี่สุริยัน) แม่ทัพคู่ใจของเขาขึ้นครองแทน มหาเทพหยางหลงที่ยามนี้มีเวลาว่างมากมายเพราะหาแพะรับบาปมารับภาระแทนตนเองได้สำเร็จ จึงถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนและแดนมนุษย์ถึง 80,000 ปี ก่อนจะกลับสู่แดนบูรพาที่เผ่ามังกรครอบครอง และพักผ่อนอยู่เพียงผู้เดียวที่วังมังกรสวรรค์ของตนมาได้ 20,000 ปีแล้ว

แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ร่างเงาของจิ้งจอกเก้าหางที่ส่องแสงสีทองปรากฏขึ้นกลางผืนฟ้า ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงสงสัยว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากไม่มีผู้ใดไขปริศนานี้ได้กระทั่งมหาเทพหยางหลงเอง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มหาเทพจึงทราบว่าเหม่ยเมิ่ง ราชินีของราชาจิ้งจอกเก้าหางเสวี่ยหมิง ให้กำเนิดธิดาน้อยนางหนึ่ง นามของนางคือ เสวี่ยหลิน ทราบแล้วจึงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเสียหน่อย แต่ผู้ใดจะคาดได้ว่าผ่านไปอีกเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันปี เขาจะมีโอกาสได้พบเจอจิ้งจอกน้อยนี้ ทั้งยังคบหานางเป็นกึ่งสหายต่างวัยกึ่งหลานสาว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีเซียนบุรุษมากหน้าหลายตาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนาง

สารบัญ

ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 1 ตายแล้วก็ข้ามภพมาเกิดใหม่,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 3 คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 4 จตุธาตุอัญมณี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 5 เร่งศึกษา,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 6 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 7 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 10 หุบเขาบูรพานิรันดร์,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 11 ข้อเสนอไม่คาดหมาย,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 12 การตอบโต้ของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 13 หยางเค่อ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 14 ประลองสามต่อสาม (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 15 ประลองสามต่อสาม (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 16 ชมชอบไม่รู้ตัว (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 17 ชมชอบไม่รู้ตัว (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 18 ชมชอบไม่รู้ตัว (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 19 ก่นด่าไม่ไว้หน้า,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 20 เริ่มใกล้ชิด (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 21 เริ่มใกล้ชิด (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 22 สู่ขอ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 23 เกือบอกหัก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 24 โชว์อันน่าตื่นตา (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 25 โชว์อันน่าตื่นตา (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 26 เพลงอันทรงพลัง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 27 เสี่ยวหลง (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 28 เสี่ยวหลง (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 29 เสี่ยวหลง (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 30 สมดุลพลังที่เปลี่ยนไป,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 31 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 32 ผีเสื้อขยับปีก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 33 ความเป็นไปได้ของสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 34 เริ่มต้นแห่งสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 35 เปิดเผยและซ่อนเร้น,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 36 ว่าที่มหาเทวี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 37 เสริมสร้างข่ายปราณ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 38 ฆ่าปิดปาก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 39 เปลี่ยนม้ากลางศึก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 40 กุนซือผู้ร้ายกาจ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 41 ความผูกพันอันห่างเหิน,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 42 ในวงล้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 43 ผีหลอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 44 ไมตรีจากสิงโต

เนื้อหา

บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย)

จิ้นเหอรับมาด้วยอาการตกตะลึง หากเมื่อขวานนั้นอยู่ในมือกลับรู้สึกได้ว่ามันเหมาะกับตนเองอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเองที่เพิ่มขึ้น

“เอ่อ...ถ้าท่านอาจะทดลองใช้มัน ช่วยทดลองให้ห่างจากร้านและบ้านของข้าด้วยเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินรีบบอกทันทีเมื่อเห็นจิ้นเหอกำลังจะฟาดขวานออกในอากาศ

คำบอกเล่านี้ทำให้จิ้นเหอนึกขึ้นได้ เขารีบเหาะขึ้นกลางผืนฟ้าก่อนจะฟาดขวานออกมา

 

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง

 

เสียงสนั่นดังสะท้านฟ้า สร้างความตื่นเต้นยินดีให้กับจิ้นเหอยิ่งนัก

“ขอบพระทัยองค์หญิงน้อย ต่อไปหากองค์หญิงน้อยมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้ เรียกข้าได้ทุกเวลาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าค่ะ เช่นนั้น ข้าฝากให้ท่านอาช่วยบอกกล่าวผู้คนที่ท่านรู้จักให้มาอุดหนุนร้านชาของข้าด้วยนะเจ้าคะ”

“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นเหอรับคำด้วยความยินดีก่อนจะลาจากไป

ยามนี้เหลือเพียงการฝึกฝนนางกำนัลและเซียนรับใช้ให้ทำหน้าที่เพาะปลูก ชงชา ทำขนม และให้บริการแก่ลูกค้า

“ท่านน้าเสวี่ยปิงช่วยคัดเลือกคนให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ ข้าอยากได้เซียนรับใช้ที่มาทำหน้าที่เพาะปลูกจำนวนสิบคน นางกำนัลจำนวนหกสิบคน แยกเป็นทำหน้าที่ชงชาจำนวนสิบคน ทำขนมจำนวนสิบห้าคน ให้บริการลูกค้าจำนวนสามสิบคน และขายขนมสำหรับนำกลับไปบ้านจำนวนห้าคน”

“ได้เพคะ”

เสวี่ยหลินใช้เวลาเจ็ดวันในการสอนพวกเขาทั้งหมดให้ทราบว่าต้องปลูกและดูแลอย่างไร ชงชาอย่างไร ทำขนมอย่างไร และนางจึงได้พบว่าการสอนเหล่าเทพเซียนให้ทำงานนี้ช่างง่ายดายจนนางนึกไม่ถึง เพราะพวกเขาเข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วกว่ามนุษย์มากนัก

มิน่า ตอนสอนเสด็จแม่ทำขนม เราก็ยังรู้สึกว่าทำไมสอนง่ายนัก ที่แท้นี่เป็นคุณสมบัติของพวกเขาอยู่แล้ว ประการสำคัญคือสิ่งที่สอน มันไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เสวี่ยหลินคิดขึ้นได้ในที่สุด

เสวี่ยหลินตัดสินใจจะเปิดร้านชาจิ้งจอกน้อยของนางในอีกสามวันข้างหน้า และก่อนที่จะเปิดร้าน นางก็ให้คนไปป่าวประกาศถึงร้านชาจิ้งจอกน้อยที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขาทะเลหมอก เมื่อเหล่าเซียนจิ้งจอกทั้งหลายได้ทราบข่าวต่างพากันมาดูร้านชานี้ พวกเขาต่างประหลาดใจและชื่นชมร้านชานี้อย่างยิ่ง

ก่อนจะถึงวันเปิดร้าน เสวี่ยหลินให้นางกำนัลที่นางฝึกหัดไว้ทำขนมหวานจัดเก็บไว้ให้มากพอ ส่วนเรื่องราคาที่จะขาย นางพิจารณาตามวัตถุดิบที่ใช้ เหม่ยเมิ่ง เสด็จแม่ของนางจะบอกให้นางทราบว่าราคาขายของชาและขนมหวานควรจะมีราคาเท่าใด และแน่นอนว่าเสวี่ยหลินย่อมต้องบวกค่าบริการและกำไรลงไปด้วย เมื่อได้ราคาออกมา จึงเป็นระดับที่ค่อนข้างจะราคาสูง

“เสด็จแม่ว่ามันจะแพงไปหรือไม่เพคะ” เสวี่ยหลินถามขึ้น นางไม่อยากขายของดีแต่ราคาแพงแล้วไม่มีคนซื้อหรือมีคนซื้อน้อย

“ไม่หรอก หลินเอ๋อร์ เซียนจิ้งจอกทั้งหลายน่ะมั่งคั่งนะ หากไม่นับเผ่ามังกรที่ขึ้นชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดในเจ็ดเผ่าแล้วล่ะก็ อีกหกเผ่าที่เหลือก็เรียกได้ว่ามั่งคั่งไม่น้อยหน้ากัน ดังนั้น เจ้าเพิ่มราคาไปอีกสักหน่อย พวกเขาก็พร้อมยอมจ่ายหากพวกเขาถูกใจ”

“ได้เพคะ” เสวี่ยหลินยิ้มกว้างทันที แล้วนางก็บวกราคาเพิ่มเข้าไป ราคาที่ออกมาแม้จะแพงสักนิด แต่เมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสและดื่มด่ำอยู่ในร้านชา นางก็เชื่อว่าพวกเขายินดีจ่ายแน่นอน เพราะบรรยากาศในร้านชาของนางจะเป็นเหมือนที่นั่งพักผ่อน สังสรรค์กับมิตรสหาย นางกำนัลทั้งหลายจะให้บริการอย่างเหมาะสม รู้กาละเทศะ นั่นเพราะนางฝึกหัดนางกำนัลทั้งหมดมาอย่างดี พวกนางสามารถให้บริการได้อย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่ต่างจากร้านชาหรูหราในเมืองมนุษย์ที่นางเคยอยู่

 

 

วันนี้เป็นวันเปิดร้านชาจิ้งจอกน้อยวันแรก เสวี่ยหลินเห็นเหล่าเทพเซียนมากมายมารอกันอยู่ที่หน้าร้านของนาง ทำให้นางต้องนึกไม่ถึง หากนางเตรียมการมาพร้อมแล้ว

“ทุกท่านช่วยเข้าแถวด้วยเจ้าค่ะ ร้านชาของข้าจะได้บริการพวกท่านได้อย่างเต็มที่” เหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างพากันเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับมนุษย์โดยสิ้นเชิง ทำเอาเสวี่ยหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก

“พวกท่านมากันกี่คนเจ้าคะ” เสวี่ยหลินถามเซียนคนแรกที่อยู่หน้าสุดของแถว

“สามคน ข้ามากับสหายสองคน”

“เจ้าพาพวกเขาไปยังที่นั่งที่เจ้าดูแลอยู่” นางหันไปสั่งนางกำนัลที่ยืนรอ พวกนางใส่ชุดที่แปลกตาสำหรับทุกคนที่ได้พบเห็นแต่กลับดูทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว

“เชิญท่านเซียนทั้งสามตามข้ามาเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้หนึ่งที่ก้าวมาต้อนรับพวกเขาบอกกล่าวก่อนจะพาพวกเขาทั้งสามเข้าไปในร้าน

“ข้ามาห้าคน เป็นท่านพ่อ ท่านแม่ บุตรภรรยาของข้า”

นางกำนัลผู้หนึ่งก้าวเข้ามา “เชิญท่านเซียนทั้งห้าตามข้ามาเจ้าค่ะ”

ด้วยการจัดเตรียมอย่างพร้อมพรัก เพราะเสวี่ยหลินก็คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าสมควรมีคนมาเยือนร้านชาของนางเป็นจำนวนมาก ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย นางกำนัลทั้งสามสิบคนที่มีหน้าที่ดูแลลูกค้าสามารถทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ ร้านชาจิ้งจอกน้อยก็เต็มทุกที่นั่ง หากยังมีเทพเซียนยืนรอคอยอยู่นอกร้านของนางอีกสิบคน

“องค์หญิงน้อย ไม่มีที่นั่งแล้วหรือ” เซียนจิ้งจอกผู้หนึ่งถามขึ้น เมื่อมองเข้าไปในร้านแล้วจึงพบว่าทุกที่นั่งเต็มหมด

“ต้องขออภัยท่านเซียนจริงๆ เจ้าค่ะ เป็นความผิดของข้าเอง คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ให้ความสนใจกับร้านชาของข้ามากเช่นนี้”

“ร้านของท่านสามารถรับคนได้เท่าใด”

“สามร้อยห้าสิบคนเจ้าค่ะ”

ได้ยินจำนวนแล้ว เซียนทั้งหมดต้องมีสีหน้าตกตะลึง จำนวนเช่นนี้ แม้แต่งานเลี้ยงรับรองของหยางเจี้ยนเทียนจวินยังมีไม่ถึง

“เอ่อ...ไม่ทราบว่าพวกท่านจะยินดีนั่งจิบชาด้านนอกหรือไม่เจ้าคะ” เสวี่ยหลินถามขึ้น หลังจากมองเห็นพื้นที่ด้านหนึ่งที่นางเว้นไว้ให้เป็นที่ยืนชมทิวทัศน์

“ได้สิ”

“เช่นนั้นพวกท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ”

เสวี่ยหลินเดินไปตรงที่นั้น ก่อนจะยกมือร่ายเวท เพียงครู่ก็ปรากฏโต๊ะและเก้าอี้น่าสบายพร้อมเบาะรองนั่งสีสวยจำนวนห้าที่

“พวกท่านเชิญเลือกนั่งได้ตามสบายเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเป็นผู้ให้บริการแก่พวกท่านเอง” เพราะมันฉุกละหุก เสวี่ยหลินจึงต้องลงมือเอง

นางก้าวเข้าไปยังโต๊ะหนึ่งที่นั่งไว้ด้วยเซียนสตรีจำนวนสามคน

“ไม่ทราบว่าท่านเซียนทั้งสามอยากลิ้มลองชาใดเจ้าคะ หรือจะให้ข้าแนะนำให้”

“ให้องค์หญิงน้อยแนะนำดีกว่า พวกข้ายังไม่เคยชิมเลย แต่สหายข้าที่เคยชิมชาที่ท่านเอาไปแจกเมื่อคราวนั้น นางชอบมาก แต่วันนี้นางมีธุระ มาไม่ได้ จึงให้พวกข้าทั้งสามมาลองก่อนเพคะ”

“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้น ข้าแนะนำเป็นรายการนี้น่าจะถูกใจพวกท่าน” เสวี่ยหลินกางรายการชาและขนมหวานให้พวกนางได้ดู

“เป็นชุดพระจันทร์สีเงิน ในชุดนี้จะประกอบด้วย Silver Moon Tea เป็นชาร้อนรสนุ่มที่ได้มาจากชาเขียวผสมกับสตรอว์เบอร์รี่ และวานิลลาฝักใหญ่ ส่วนขนมจะเป็น Passion Fruit Panna Cotta เนื้อนุ่ม หอมกลิ่นวานิลลา ด้านบนจะเป็นผลไม้สดอย่าง สตรอว์เบอร์รี่และองุ่น ล้อมรอบด้วยซอสเสาวรส รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นชาเอิร์ลเกรย์และชาบลอสซั่มอ่อนๆ”

“ขนมอีกอย่างจะเป็น Matcha Nara เค้กชาเขียวหวานกลมกล่อม ด้านในประกอบไปด้วยอัลมอนด์ ไวท์ช็อกโกแลต และมัทฉะครีม สุดท้ายจะเป็น Earl Grey d’Amour เค้ก 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นเฟโยติน แป้งบางกรอบ ต่อมาเป็นแครมบรูเล รสหวานหอม ที่มีส่วนผสมของชาเอิร์ลเกรย์ ส่วนชั้นบนสุดเป็นเค้กดาร์กช็อกโกแล็ต เคลือบด้วยโกโก้ไซรัปรสเข้มข้น”

ฟังที่เสวี่ยหลินบอกแล้ว พวกนางได้แต่งุนงง ชื่อชาและขนมแปลกหูทั้งสิ้น แต่ฟังแล้วก็น่าลิ้มลอง

“ได้เพคะ องค์หญิงน้อยจัดมาได้เลย”

“เจ้าค่ะ ชุดนี้ห้าสิบตำลึงทอง ข้าต้องขอเก็บเงินเลยนะเจ้าคะ เพราะนี่เป็นระเบียบที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่กำหนดไว้ เพื่อให้ทุกอย่างไม่วุ่นวายและไม่รบกวนระหว่างที่พวกท่านพักผ่อน” เสวี่ยหลินอ้างราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่ง

“ได้เพคะ” เซียนสตรีนางนั้นบอกกล่าวก่อนจะส่งก้อนทองคำเล็กๆ ให้เสวี่ยหลิน

เสวี่ยหลินเดินไปหาเหล่าเซียนที่นั่งรออยู่อีกสองโต๊ะเพื่อรับคำสั่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกับถือถาดใส่ชาและขนมมาให้นางเซียนทั้งสามที่โต๊ะแรกก่อน

เพียงได้กลิ่นหอมของชาและเห็นขนมหวานที่นำมาวางบนโต๊ะ นางเซียนทั้งสามต้องตื่นตะลึงยิ่ง เพราะมันทั้งหอมและน่ารับประทานยิ่งนัก

“รับประทานให้อร่อยนะเจ้าคะ” เสวี่ยหลินบอกกล่าวหลังจากรินชาใส่ถ้วยให้พวกนางเสร็จสิ้น

เสวี่ยหลินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งพร้อมกับถือถาดที่ใส่ชาและขนมหวานมาส่งให้อีกสองโต๊ะที่เหลือ แล้วนางจึงไปยืนรอห่างออกไปเพื่อรอให้บริการทั้งสามโต๊ะที่นั่งอยู่ด้านนอกของร้าน ผ่านไปครู่ใหญ่

“องค์หญิงน้อยเพคะ” นางเซียนจากโต๊ะแรกเรียกหา

“ท่านเซียนจะรับอะไรเพิ่มหรือเจ้าคะ”

“ชากับขนมของท่านดีมากจริงๆ” คำชมแรกออกมาทันที

“ชาหอม ขนมอร่อย ดีเสียจนข้าแทบไม่เชื่อ แถมทิวทัศน์ก็ยังงดงาม นั่งจิบชาและชิมขนมที่ร้านนี้ ผ่อนคลายจริงๆ”

“ห้าสิบตำลึงทองนี่ คุ้มค่ามาก องค์หญิงน้อย ท่านตั้งราคาถูกไปหรือไม่” ประโยคนี้ของนางทำให้เสวี่ยหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง

เราก็ว่าตั้งแพงแล้วนะ นางยังว่าถูกอีกหรือ นี่แสดงว่าเราตั้งต่ำไปสินะ เสวี่ยหลินคิดในใจ

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าเพิ่งเปิดร้าน จึงตั้งใจว่าสามวันแรกที่เปิดจะลดราคาให้ทุกท่านหนึ่งในสิบส่วนเจ้าค่ะ พอเปิดร้านวันที่สี่จึงจะเป็นราคาที่จะขายจริงเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินแถได้อย่างรวดเร็ว

“ข้าแนะนำเลยนะ อย่างชุดพระจันทร์สีเงินที่องค์หญิงแนะนำให้ ข้าเห็นว่าสักเจ็ดสิบตำลึงทองกำลังเหมาะ”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านเซียนที่แนะนำเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินรับลูกต่อทันที เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่ นางไม่มีทางยอมพลาดแน่

ลูกค้าทั้งร้านแทบจะไม่มีผู้ใดยอมออกจากร้าน พวกเขาล้วนสั่งชาและขนมเพิ่มเติมตลอด ลูกค้าที่เข้ามาใหม่แม้จะมีไม่กี่ราย แต่เมื่อได้เห็นบรรยากาศภายในร้าน กลิ่นชาอ่อนๆ ที่หอมตรลบอบอวล ขนมหวานที่น่าลิ้มลอง เสียงเพลงจากนักดนตรีที่บรรเลงแว่วหวาน ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดจึงมีเทพเซียนน้อยรายยิ่งนักที่ยอมออกไปจากร้าน ผู้ที่ก้าวเท้าออกจากร้าน ล้วนแต่สั่งขนมหวานที่ร้านกลับไปมากมายเพื่อนำไปฝากคนที่บ้าน

เมื่อถึงกลางยามโหย่ว (18.00 น.) ซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน ลูกค้าทั้งหลายแทบไม่อยากออกจากร้านกันเลยทีเดียว กว่าจะจัดการส่งลูกค้าออกไปนอกร้านเสร็จก็ล่วงเข้าปลายยามโหย่ว (19.00 น.)

เพียงลูกค้าคนสุดท้ายจากไป ประตูร้านชาจิ้งจอกน้อยก็ปิดลงอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะมีใครเข้ามาอีก

“โอยยย องค์หญิงน้อยเพคะ ข้าชงชามือเป็นระวิงเลย” นางกำนัลผู้หนึ่งบ่นออกมา หากสีหน้าปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่ง

“ขนมก็แทบไม่พอขายเลยเพคะ นี่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว”

“พวกเขาติดใจชากับขนมหวานขององค์หญิงน้อยมากจริงๆ”

“พวกเราต้องเร่งทำขนมหวานกันแล้วเพคะ ไม่รู้ว่าวัตถุดิบยังพออยู่หรือไม่ แต่ใบชาต่างๆ ยังมีเหลืออยู่มาก” เสวี่ยปิงบอกออกมา

“หลินเอ๋อร์ แม่นั่งนับเงินจนเมื่อยแล้วลูก” คราวนี้เป็นเหม่ยเมิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มแม้จะอ่อนล้าอยู่บ้าง

เสวี่ยหลินเดินเข้าไปดูที่มารดาจดไว้ให้ จึงได้ทราบว่าวันนี้ร้านชาจิ้งจอกน้อยของนางขายได้ถึง 48,654 ตำลึงทอง จำนวนเช่นนี้กล่าวได้ว่าคืนทุนจบสิ้นในวันเดียวทั้งยังมีกำไรถึงสามในสิบส่วน

เสวี่ยหลินเรียกทุกคนมา ก่อนจะยื่นก้อนทองให้คนละ 200 ตำลึงทอง นี่เป็นสินน้ำใจที่พวกเจ้าทุกคนทำงานได้ดี นอกเหนือจากที่ข้าจะให้พวกเจ้าเดือนละ 40 ตำลึงทอง”

เหล่านางกำนัลและเซียนรับใช้ต่างนิ่งอึ้งกันไปหมด แค่ให้เดือนละสี่สิบตำลึงทอง นั่นก็มากแล้ว นี่ยังได้พิเศษอีกคนละ 200 ตำลึงทอง องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินช่างใจกว้างยิ่งนัก

“ขอบพระทัย เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”

“คืนนี้ต้องรบกวนพวกเราทุกคนช่วยกันทำขนมหวานเตรียมไว้ด้วยนะ ส่วนวัตถุดิบไม่ต้องกังวล ข้ายังมีเก็บไว้อีกมาก”

“เพคะ องค์หญิงน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”

วันรุ่งขึ้น เหล่าเทพเซียนมากมายยังคงมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยที่เปิดขายตั้งแต่กลางยามอู่ (10.00 น.) และจะปิดลงกลางยามโหย่ว วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ทุกคนทำงานหนัก

ผ่านไปอีกเจ็ดวัน เหล่าเซียนจิ้งจอกทั้งหลายยังคงมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย เพราะยามนี้ร้านชาแห่งนี้ได้กลายเป็นที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าเซียน พวกเขาชมชอบกลิ่นชาที่ลอยอวลอยู่ทั่วร้าน ดื่มด่ำกับรสชาติของชาและขนมหวานที่นุ่มละมุนเข้ากัน ทิวทัศน์รอบด้านที่งามตระการของธรรมชาติ ทั้งในร้านยังมีนักดนตรีฝีมือดีบรรเลงดนตรีให้ฟังเบาๆ กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อนและพูดคุยอย่างแท้จริง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เสวี่ยหลินต้องคิดหาทางขยับขยายร้าน เพราะตอนแรกที่วางแผนไว้ก็คิดว่าด้วยพื้นที่ร้านที่กว้างเช่นนี้ สมควรจะต้อนรับลูกค้าได้ครบ แต่ดูเหมือนว่าลูกค้าจะมากกว่าที่คิด

เหม่ยเมิ่งและเสวี่ยปิงเองก็สนุกกับการทำงานในร้านชาแห่งนี้ เพราะเหล่าเทพเซียนหลายคนที่รู้จักพวกนางต่างมาพูดคุยกับพวกนางอย่างเป็นกันเองมากกว่าเดิม

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อซักถามจากราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่งจนแน่ใจได้ว่าพื้นที่รอบข้างที่เสวี่ยหลินยึดครองไว้ทำร้านชานั้นไม่มีผู้ใดครอบครอง นางจึงบอกกล่าวลูกค้าทุกคนว่าขอปิดสิบวันเพื่อขยายพื้นที่ ลูกค้าทุกคนต่างยินดีกันถ้วนหน้า

ครั้งนี้เทพจิ้นเหอมารับงานอย่างรวดเร็วเมื่อเสวี่ยปิงไปตาม เขาเองก็เคยมาลิ้มรสชาและขนมหวานของที่นี่แล้ว เขาและทุกคนในครอบครัวล้วนติดใจชาและขนมหวานของที่นี่อย่างยิ่ง

เสวี่ยหลินขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปอีก 200 หมู่ โดยเพิ่มพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ใช้ปรุงน้ำทิพย์เติบโตอีก 10 หมู่ เป็น 20 หมู่ อีก 160 หมู่ ให้เป็นพื้นที่ปลูกชา ผลไม้ ดอกไม้ และ 30 หมู่เพิ่มให้เป็นพื้นที่สำหรับเรือนพักของนางกำนัล เซียนรับใช้

ส่วนร้านชานั้น นางขยายพื้นที่ร้านชาออกไปอีก 30 หมู่ โดยเพิ่มพื้นที่ครัวอีก 10 หมู่ เป็น 14 หมู่ เพิ่มพื้นที่ให้บริการอีก 20 หมู่ เป็น 28 หมู่ สามารถรองรับเหล่าเทพเซียนที่มาเยือนได้ราว 1,000 คนพร้อมกัน จากเดิมที่รองรับได้ 300-350 คน ด้านนอกร้าน นางยังให้จัดโต๊ะไว้ให้บริการอีกสิบโต๊ะ รองรับได้ 30-40 คน นี่กล่าวได้ว่านางยึดพื้นที่ทั้งหมดมาทำร้านชาและที่เพาะปลูกรวมทั้งโรงเก็บวัตถุดิบจนหมดสิ้นแล้ว แต่ทุกสิ่งที่นางให้เทพจิ้นเหอสร้างขึ้น ล้วนแต่กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศของเชิงเขาแห่งนี้ นางตกแต่งทุกสิ่งให้เข้ากัน ไม่ยอมให้มีสิ่งใดผิดแปลกอันจะทำลายความงดงามของสถานที่

ตอนแรกเสวี่ยหลินคิดทำร้านชาเป็นสองชั้น แต่เมื่อนั่งคิดอีกที นางต้องทิ้งความคิดนี้ไป เพราะนางเห็นว่าแม้ร้านชาสองชั้นจะเพิ่มพื้นที่ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่าหากลูกค้าต้องเดินขึ้นเดินลง นางว่ามันไม่สะดวก และคงไม่มีผู้ใดชอบ

ยามนี้มีนางเซียนมากมายและเซียนบุรุษหลายคนอยากมาทำงานที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย เพราะนอกจากจะได้ค่าจ้างที่ดีแล้ว ยังได้รับชาและขนมหวานทุกวันๆ ละหนึ่งชุด ทั้งยังสามารถเลือกได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้า ที่พัก และอาหารให้พร้อม รวมถึงยังได้ความรู้ในการเพาะปลูก ชงชา ทำขนมหวานติดตัวไปด้วย

เสวี่ยหลินจึงคัดเลือกคนเพิ่มได้ครบจำนวนที่นางคิดคำนวณไว้ พร้อมกับฝึกหัดให้พวกเขาทำงานให้เป็น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ยาก การฝึกหัดจึงใช้เวลาไม่กี่วันจึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์

ยามนี้เสวี่ยหลินจึงมีเซียนรับใช้ที่ทำหน้าที่เพาะปลูกจำนวน 25 คน นางกำนัลจำนวน 118 คน แยกเป็นทำหน้าที่ชงชาจำนวน 20 คน ทำขนมจำนวน 30 คน ให้บริการลูกค้าจำนวน 60 คน และขายขนมสำหรับนำกลับไปบ้านจำนวน 8 คน

นอกจากนี้ เสวี่ยหลินยังลงมาแดนมนุษย์ที่นางเคยอาศัยอยู่บ่อยครั้ง เพื่อหาขนมหวานและของว่างใหม่ๆ ไปลองทำและขายในร้านชาจิ้งจอกน้อย

ร้านชาจิ้งจอกน้อยของเสวี่ยหลินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งแดนพายัพภายในเวลาสามเดือน เซียนจิ้งจอกทั้งหลายล้วนชมชอบมานั่งจิบชา ชิมขนมของว่าง และนั่งพักผ่อนที่ร้านนี้ ทำให้ร้านชาจิ้งจอกน้อยไม่เคยว่างตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน ร้านชาจะว่างเมื่อปิดร้านเท่านั้น

มีเซียนจิ้งจอกหลายคนคิดทำร้านชามาแข่งขันกับร้านชาจิ้งจอกน้อย หากพวกเขาก็ต้องจนหนทาง เพราะปัญหาคือวัตถุดิบ เสวี่ยหลินมีพื้นที่ในการเพาะปลูกวัตถุดิบอย่างเพียงพอและควบคุมคุณภาพของมันไว้ตลอด ทำให้ผู้ที่คิดจะเลียนแบบไม่สามารถกระทำได้ ทั้งการตกแต่งร้านที่งดงามแปลกตา เข้ากับธรรมชาติของพื้นที่ ก็เป็นอีกสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเลียนแบบได้เลย และมารยาทของนางกำนัลที่คอยดูแลลูกค้าในร้านก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเลียนแบบได้เช่นกัน

นางกำนัลในร้านชาจิ้งจอกน้อยทุกนาง ราวกับทราบอยู่เสมอว่าเมื่อใดจึงควรเข้าไปพบลูกค้า เมื่อใดจึงควรถอยห่างออกมา และพวกนางควรยืนอยู่ในจุดใดที่ลูกค้าสามารถมองเห็นและเรียกใช้ได้ทันทีแต่ไม่เกะกะรำคาญตา พวกนางยังให้บริการด้วยท่าทีสุภาพนุ่มนวล มารยาทเช่นนี้ยากยิ่งที่จะสามารถฝึกหัดให้เลียนแบบกันได้ พวกเขาต่างสงสัยว่าเสวี่ยหลินฝึกฝนอย่างไรจึงสามารถฝึกให้นางกำนัลทุกนางในร้านสามารถกระทำได้เช่นนี้

แม้จะมีร้านชาหลายร้านเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ห่างไกลจากนครพายัพอันเป็นนครหลวงของแดนพายัพ แต่ไม่มีร้านใดเลยที่จะมีเอกลักษณ์เท่าร้านชาจิ้งจอกน้อย หากเซียนจิ้งจอกคนใดไปถึงนครพายัพและซื้อขนมหวานจากร้านชาจิ้งจอกน้อยมาเป็นของฝาก ผู้ที่ได้รับต่างปลาบปลื้มยินดีกันถ้วนหน้า เพราะเมื่อพูดถึงชาชั้นเลิศ ขนมชั้นเยี่ยม บรรยากาศในร้านที่สบายและผ่อนคลาย มีเพียงร้านชาจิ้งจอกน้อยเท่านั้น

เซียนจิ้งจอกหลายคนถึงกับตั้งปณิธานว่าหากมีโอกาสมาเยือนนครพายัพ จะต้องแวะชิมชาและขนมที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยให้ได้ เพราะหากไม่มาร้านชาจิ้งจอกน้อย เท่ากับยังมาไม่ถึงนครพายัพ

ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี ชื่อเสียงของร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงเข้าไปถึงแดนประจิมของเผ่าเสือขาว เพราะไป๋เฮ่อ ราชาเสือขาวแห่งเผ่าเสือขาว สหายของราชาเสวี่ยหมิงมาเยี่ยมเยือน ด้วยความอยากอวดผลงานของลูกสาวสุดที่รัก ราชาเสวี่ยหมิงจึงพาราชาไป๋เฮ่อมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย

แรกที่เห็นร้านชานี้ ไป๋เฮ่อต้องมองอย่างแปลกใจ เพราะร้านชาจิ้งจอกน้อยตกแต่งอย่างแปลกตาแต่ก็งดงามเข้ากับธรรมชาติรอบด้านอย่างยิ่ง เสวี่ยหลินที่ทราบก่อนแล้วว่าวันนี้บิดาจะพาราชาไป๋เฮ่อมาเยือนจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

“เชิญเสด็จพ่อและเสด็จอามาด้านนี้เพคะ ลูกจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้แล้ว”

เมื่อเข้าไปในร้าน ไป๋เฮ่อจึงได้เห็นว่าร้านนี้ตกแต่งด้วยดอกไม้และพืชพรรณต่างๆ อย่างงดงาม กลิ่นชาอ่อนๆ หอมกรุ่นแตะจมูกจนเขาต้องสูดลมหายใจเพื่อดมกลิ่นให้ชื่นใจ มองเห็นเซียนจิ้งจอกหลายคนนั่งสนทนากันด้วยท่าทีสบายๆ คล้ายมาพักผ่อน เมื่อมองเลยไปก็เห็นชั้นขนาดใหญ่ที่จัดวางขนมสีสวยหน้าตาแปลกไว้มากมาย มีเหล่าเทพเซียนเข้าไปชี้ว่าต้องการอะไร จำนวนเท่าใด กันไม่ขาดสาย หูยังแว่วเสียงเพลงเบาๆ อันไพเราะที่ฟังแล้วผ่อนคลายอย่างยิ่ง

เดินตามเสวี่ยหลินไปไม่นาน ก็มาถึงซุ้มต้นไม้และดอกไม้ที่จัดวางโต๊ะและเก้าอี้ไว้ เก้าอี้นั้นกว้างและหุ้มไว้ด้วยผ้านุ่มหนาให้เอนอิงพักผ่อนสบายๆ

“เสด็จอาไป๋เฮ่อเพิ่งมาที่ร้านชาของหลานเป็นครั้งแรก หลานจึงเสนอชาและขนมหวานนี้ให้เจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินบอกกล่าวก่อนจะหยิบของจากในถาดที่นางกำนัลผู้หนึ่งนำมาให้

“Haute Couture Tea Set จะมี White House Tea ซึ่งเป็นชาขาวผสมผลไม้และกลีบกุหลาบ ให้กลิ่นหอมและมีรสชาติของผลเบอร์รี่”

“ส่วนขนมหวานในชั้นเหล่านี้นั้น ชั้นบนสุดจะเป็นขนมหวานที่เป็นสัญลักษณ์ของร้าน ประกอบด้วย พานาคอตต้า มาการอง คุกกี้รูปผีเสื้อ คุกกี้รูปดอกไม้ และสปันจ์เค้กชารูปหัวใจ”

“ชั้นที่สองจะเป็นของว่าง ประกอบด้วยปลาทูน่าและแซลมอนห่อด้วยแตงกวาและหอมแดงดอง แซนด์วิชสามชั้นไส้แซลมอนรมควัน หัวไชเท้าแดงและไข่ ปิดท้ายด้วยไข่นกกระทาบนขนมปังครอสตินี่ มาพร้อมกับครีมเปรี้ยว ส่วนชั้นล่างจะเป็นของว่างพิเศษ ซึ่งในของว่างแต่ละชนิดก็จะมีส่วนผสมของชาชั้นเลิศของเราผสมอยู่ด้วย”

“ชุดที่สองจะเป็น Lobster Timbale เป็นกุ้งล็อบสเตอร์หั่นเป็นชิ้นๆ ปรุงแบบสุกกำลังดี เนื้อหวาน คลุกเคล้ากับซอสสูตรพิเศษรสเข้มข้น กุ้งนี้จะอยู่ในกระทงทอดกรอบทำจากชีสพาร์เมซาน วางอยู่บนอะโวคาโดทิมเบล ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยซอสซึ่งมีส่วนผสมของ Love Me Tea ทำให้รู้สึกสดชื่น”

“ชุดที่สามเป็น Afternoon Tea Set ชั้นด้านบนจะประกอบด้วยมาการอง พานาคอตต้า ส่วนด้านล่างจะเป็นครัวซองต์แซลมอนรมควัน ที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของ Russian Earl Grey และโรลล์ไส้กรอกไก่”

“สุดท้ายจะเป็นชาที่สามารถเลือกได้สามรสชาติ ได้แก่ Strawberry Silver moon, Vanilla bourbon Banana and Honey และ  Blackberry Crumble แต่หลานนำมาให้เสด็จอาและเสด็จพ่อทั้งสามรสชาติเลยเพคะ”

ฟังแล้วไป๋เฮ่อต้องงุนงง ชื่อชาและขนมหวานช่างแปลกหูเหลือเกิน แต่กลิ่นชา ของว่าง และขนมหวานที่วางตรงหน้าก็ชวนให้อยากรับประทานเสียเหลือเกิน

“ทั้งหมดห้าร้อยตำลึงทองเพคะ เสด็จพ่อ” เสวี่ยหลินตบท้าย

ราชาเสวี่ยหมิงสะดุ้งทันที

“ห้าร้อยตำลึงทอง? ทำไมจึงแพงนักเล่า”

“เพราะลูกมาดูแลเสด็จพ่อและเสด็จอาเองไงเพคะ ก็ต้องแพงกว่าปกติ แต่เสด็จพ่อไม่ต้องห่วง รับประกันว่าได้ชิมแล้ว ท่านจะไม่เสียดายห้าร้อยตำลึงทองนี้เลย” นางบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับแบมือรับตำลึงทองที่เสวี่ยหมิงจำใจควักออกมา

“รับประทานให้อร่อยนะเพคะ” เสวี่ยหลินบอกกล่าวก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจที่นานๆ จะได้ขูดรีดบิดาสุดที่รักสักที

เมื่อเสวี่ยหมิงและไป๋เฮ่อได้ชิม พวกเขาก็ต้องทอดถอนใจ จริงอย่างที่เสวี่ยหลินบอกกล่าว เพียงชาคำแรกที่จิบเข้าไป พวกเขาต้องเคลิบเคลิ้มและผ่อนคลายลงทันที ยิ่งเมื่อได้ชิมของว่างและขนมหวานตรงหน้า รสชาติที่ลงตัวเข้ากับชาอย่างที่สุด กล่าวได้ว่าคุณภาพเกินห้าร้อยลตำลึงทองไปมาก