นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ตามรักจิ้งจอกน้อย - บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตามรักจิ้งจอกน้อย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,แอคชั่น,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ต่อสู้,เทพเซียน,สงคราม,ไม่ฮาเร็ม,พระเอกเทพ,ีจีนโบราณ,ทะลุมิติ,เกิดใหม่ ,นางเอกเก่ง

รายละเอียด

นางเป็นหลานสาวของข้า ข้าหวง...เอ่อ...ห่วงหลานสาวข้า ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าจะมาสงสัยอะไร

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ ได้สร้างสรรค์สัตว์เทพขึ้นมาเจ็ดเผ่า ได้แก่ มังกร กิเลน จิ้งจอกเก้าหาง หงส์แดง สิงโต เต่ามังกร และเสือขาว แต่ละเผ่าล้วนมีความสามารถและเก่งกาจแตกต่างกันไป

แดนเซียนที่มหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียนสร้างขึ้นถูกเรียกว่า สี่ทะเลแปดดินแดน แน่นอนว่าเผ่ามังกรย่อมทรงพลังและอำนาจสูงสุด ครอบครองสี่ทะเลและสองดินแดน อีกหกเผ่าที่เหลือครอบครองกันเผ่าละหนึ่งดินแดน

เผ่ามังกรนั้น มหาเทพตว๋อเทียนได้รังสรรค์มหาเทพองค์หนึ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติขึ้นปกครองเผ่ามังกรและเป็นดั่งนายเหนือของทุกเผ่า มหาเทพองค์นี้จึงเป็นที่รับทราบกันทั่วว่าเป็นบุตรชายสุดที่รักของมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน นามของเขาคือ หยางหลง (มังกรสุริยัน)

มหาเทพหยางหลงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดินได้ราว 300,000 ปี ก็สละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยน (กระบี่สุริยัน) แม่ทัพคู่ใจของเขาขึ้นครองแทน มหาเทพหยางหลงที่ยามนี้มีเวลาว่างมากมายเพราะหาแพะรับบาปมารับภาระแทนตนเองได้สำเร็จ จึงถือโอกาสนี้ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนและแดนมนุษย์ถึง 80,000 ปี ก่อนจะกลับสู่แดนบูรพาที่เผ่ามังกรครอบครอง และพักผ่อนอยู่เพียงผู้เดียวที่วังมังกรสวรรค์ของตนมาได้ 20,000 ปีแล้ว

แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ร่างเงาของจิ้งจอกเก้าหางที่ส่องแสงสีทองปรากฏขึ้นกลางผืนฟ้า ทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนได้เห็นเหตุการณ์นี้ต่างงุนงงสงสัยว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากไม่มีผู้ใดไขปริศนานี้ได้กระทั่งมหาเทพหยางหลงเอง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มหาเทพจึงทราบว่าเหม่ยเมิ่ง ราชินีของราชาจิ้งจอกเก้าหางเสวี่ยหมิง ให้กำเนิดธิดาน้อยนางหนึ่ง นามของนางคือ เสวี่ยหลิน ทราบแล้วจึงส่งของขวัญไปแสดงความยินดีเสียหน่อย แต่ผู้ใดจะคาดได้ว่าผ่านไปอีกเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันปี เขาจะมีโอกาสได้พบเจอจิ้งจอกน้อยนี้ ทั้งยังคบหานางเป็นกึ่งสหายต่างวัยกึ่งหลานสาว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีเซียนบุรุษมากหน้าหลายตาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนาง

สารบัญ

ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 1 ตายแล้วก็ข้ามภพมาเกิดใหม่,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกทองเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 3 คทาห้วงฝันแห่งจิ้งจอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 4 จตุธาตุอัญมณี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 5 เร่งศึกษา,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 6 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 7 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 8 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 10 หุบเขาบูรพานิรันดร์,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 11 ข้อเสนอไม่คาดหมาย,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 12 การตอบโต้ของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 13 หยางเค่อ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 14 ประลองสามต่อสาม (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 15 ประลองสามต่อสาม (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 16 ชมชอบไม่รู้ตัว (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 17 ชมชอบไม่รู้ตัว (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 18 ชมชอบไม่รู้ตัว (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 19 ก่นด่าไม่ไว้หน้า,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 20 เริ่มใกล้ชิด (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 21 เริ่มใกล้ชิด (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 22 สู่ขอ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 23 เกือบอกหัก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 24 โชว์อันน่าตื่นตา (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 25 โชว์อันน่าตื่นตา (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 26 เพลงอันทรงพลัง,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 27 เสี่ยวหลง (ต้น),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 28 เสี่ยวหลง (กลาง),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 29 เสี่ยวหลง (ปลาย),ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 30 สมดุลพลังที่เปลี่ยนไป,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 31 เตรียมพร้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 32 ผีเสื้อขยับปีก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 33 ความเป็นไปได้ของสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 34 เริ่มต้นแห่งสงคราม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 35 เปิดเผยและซ่อนเร้น,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 36 ว่าที่มหาเทวี,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 37 เสริมสร้างข่ายปราณ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 38 ฆ่าปิดปาก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 39 เปลี่ยนม้ากลางศึก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 40 กุนซือผู้ร้ายกาจ,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 41 ความผูกพันอันห่างเหิน,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 42 ในวงล้อม,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 43 ผีหลอก,ตามรักจิ้งจอกน้อย-บทที่ 44 ไมตรีจากสิงโต

เนื้อหา

บทที่ 9 พบหน้าครั้งแรก

“หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดอยากไปเปิดร้านชาที่แดนประจิมของอาบ้างหรือไม่” ราชาไป๋เฮ่อถามขึ้นก่อนจะกลับไปแดนประจิม

“จริงๆ หลานก็อยากไปเปิดนะเพคะ แต่มันติดที่หลานจะดูแลได้ไม่ดีเท่าที่นี่ ชาและของว่างออกมาถูกพระทัยเสด็จอาก็เพราะหลานควบคุมดูแลมาอย่างดีทุกขั้นตอน แต่ที่แดนประจิมหลานไม่สามารถควบคุมดูแลได้เพคะ ต้องขออภัยเสด็จอาด้วยจริงๆ”

ไป๋เฮ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แต่หลานขอฝากให้เสด็จอาช่วยบอกกล่าวให้ชาวเสือขาวทั้งหลายได้ทราบถึงร้านชาของหลานด้วยนะเพคะ ร้านชาจิ้งจอกน้อยยินดีต้อนรับเผ่าเสือขาวเสมอ”

“ได้ แล้วอาจะบอกให้”

“ขอบพระทัยเพคะ” เสวี่ยหลินยิ้มแก้มปริ ก่อนจะส่งกล่องกระดาษสามกล่องใหญ่ที่บนฝากล่องมีรูปจิ้งจอกน้อยสีส้ม ภายในอัดแน่นไปด้วยขนมหวานและของว่างหลากหลายชนิด

“นี่เป็นของหวานและอาหารว่างที่หลานฝากไปให้เสด็จอาหญิงและเชื้อพระวงศ์เผ่าเสือขาวได้ลองชิมเพคะ”

“ขอบใจ แล้วนี่จะคิดเงินกับอาหรือไม่” ไป๋เฮ่อถามด้วยรอยยิ้มกลั้วหัวเราะเพราะเหลือบเห็นสีหน้าบูดบึ้งของราชาเสวี่ยหมิง ผู้เป็นสหาย

“ไม่คิดเพคะ มีคนชำระให้เสด็จอาแล้ว ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ เสด็จอาไงเพคะ” นางตอบด้วยรอยยิ้มกลั้วหัวเราะเช่นกัน

แน่นอนว่าเสวี่ยหลินขูดรีดบิดาของนางมาหนึ่งพันตำลึงทอง เป็นค่าของหวานและอาหารว่างที่มอบให้กับราชาไป๋เฮ่อ แม้ที่จริงแล้วนางย่อมไม่คิดเงิน แต่เหม่ยเมิ่ง มารดาของนางบอกว่าให้คิดเงิน เพราะอยากกลั่นแกล้งราชาเสวี่ยหมิง เมื่อถูกฟูเหรินสุดที่รักออกปากขูดรีดด้วยตนเอง ราชาเสวี่ยหมิงจึงจำใจหยิบถุงทองมามอบให้เสวี่ยหลิน

ราชาไป๋เฮ่อกลับสู่แดนประจิมได้ไม่กี่วัน ร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงมีโอกาสได้ต้อนรับเทพเสือขาวจากแดนประจิมที่มาเยือน เพียงพวกเขาได้ลิ้มลองชา ขนมหวาน และของว่าง ต่างติดอกติดใจอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่นานนักจึงมีชาวเสือขาวจำนวนมากขึ้นแวะมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย ชื่อเสียงของร้านชาจิ้งจอกน้อยแห่งแดนพายัพจึงยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นในแดนประจิม

ผ่านไปอีกสามพันปี ชื่อเสียงของร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงเป็นที่รู้จักกันทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน ไม่มีเทพเซียนคนใดในสี่ทะเลแปดดินแดนไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินนาม ‘ร้านชาจิ้งจอกน้อย’ อีกต่อไป เหล่าเทพเซียนทุกคนล้วนหาโอกาสแวะมาที่แดนพายัพเพื่อมาลิ้มลองชา ขนมหวาน และของว่างที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยอยู่เสมอ

พวกเขาทั้งหมดยังได้ทราบว่าเจ้าของร้านชาจิ้งจอกน้อยคือ องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลิน ธิดาองค์เล็กของราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่ง องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวขององค์ชายใหญ่เสวี่ยซานที่กำลังศึกษาอยู่ที่หุบเขาบูรพานิรันดร์

ยามนี้เสวี่ยหลินอายุได้ 18,000 ปีแล้ว เลเวลของนางเลื่อนขึ้นเป็น 140 จากเดิม 120 ลมปราณอยู่ที่เซียนนภาขั้นสิบจากเดิมอยู่ที่เซียนเมธีขั้นสิบ ขณะที่เด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับนางอยู่ไม่เกินเลเวล 130 ระดับลมปราณไม่เกินเซียนปฐพีขั้นสิบ กล่าวได้ว่านางก้าวล้ำผู้อื่นหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ นี่ย่อมเป็นเพราะนางสามารถโคจรลมปราณเพื่อฝึกฝนไว้ตลอดเวลา ทำให้นางแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น

ร้านชาจิ้งจอกน้อยยังคงขายดิบขายดีเป็นที่นิยมของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย เพราะด้วยการตกแต่งร้านที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ชาชนิดใหม่ ขนมและของว่างชนิดใหม่ที่มีเพิ่มเข้ามาทุกหนึ่งร้อยปี และร้านชาจิ้งจอกน้อยยังคงรักษาคุณภาพของชา ขนมหวาน ของว่าง และการให้บริการชั้นเลิศ ทำให้เป็นที่ติดอกติดใจของผู้มาเยือนทุกคน

นางกำนัลที่ทำงานที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย หลายนางยังได้ดิบได้ดี บ้างได้เป็นพระสนม ภรรยารอง บางคนก็ได้เป็นภรรยาเอก แม้เสวี่ยหลินจะนึกไม่ชอบใจที่พวกนางบางคนแต่งออกไปเป็นภรรยาน้อย แต่ด้วยธรรมเนียมสามภรรยาสี่อนุในแดนเซียน เสวี่ยหลินจึงไร้คำพูดว่ากล่าว นางกำนัลคนใดที่แต่งออกไป เสวี่ยหลินจะมอบของขวัญแต่งงานให้เป็นทองคำจำนวนหนึ่งแสนตำลึงทองทุกคน เพราะของที่นางมอบให้ก็เพื่อให้เป็นสินเจ้าสาว มิให้ผู้ใดดูถูกได้ว่ามาทำงานที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยแล้ว ไม่มีทรัพย์สินใดติดตัว เรื่องนี้สร้างความปลาบปลื้มซาบซึ้งใจแก่นางกำนัลทุกคนยิ่งนัก

หยางเจี้ยนเทียนจวินเองก็ยังเคยมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย เมื่อมาแล้วก็ต้องติดอกติดใจกับชา ขนมหวาน และของว่างที่ร้านอย่างยิ่ง เมื่อหยางเจี้ยนคิดจัดงานเลี้ยงรับรองยามบ่ายแก่เหล่าเทพเซียนที่มาอวยพรวันเกิดก่อนจะถึงงานเลี้ยงจริงในค่ำคืนนั้น เขาคิดให้ร้านชาจิ้งจอกน้อยมาจัดการในเรื่องนี้ ทว่าเสวี่ยหลินปฏิเสธทันที นางตอบกลับเซียนรับใช้ของหยางเจี้ยนว่า

“ท่านช่วยทูลเทียนจวินด้วยว่าข้าเองก็อยากรับงานนี้ แต่จำต้องปฏิเสธเพราะข้าไม่สามารถส่งชาไปให้ในงานได้ ชาของที่ร้านเป็นการชงสดใหม่ทั้งสิ้น หากเทียนจวินคิดให้ร้านของข้ารับงานนี้ ข้าต้องปิดร้านไปรับงานซึ่งไม่คุ้มกับรายได้ที่ข้าเสียไป หากเทียนจวินยังมีพระประสงค์ให้ข้ารับงานนี้ เทียนจวินต้องเหมาร้านของข้าสามวัน เพราะเมื่อข้าไปรับงาน คนของข้าต้องเตรียมทำขนมและของว่างไว้ล่วงหน้าหนึ่งวัน และยังไม่สามารถเตรียมของสำหรับวันรุ่งขึ้นที่ร้านต้องเปิดขายได้ ดังนั้น สามวันที่ข้าต้องเสียไป ข้าคิดสี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง ไม่อาจน้อยกว่านี้เด็ดขาด”

เมื่อเซียนรับใช้นำคำตอบของเสวี่ยหลินไปทูลหยางเจี้ยนเทียนจวิน เขาก็อึ้งไปทันที คาดไม่ถึงว่านางเซียนน้อยนี้จะตอบอย่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน สี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง เขาย่อมสามารถจ่ายได้ เพราะคิดเป็นเพียงสองในสิบส่วนของค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยงยามค่ำของเขา ทั้งยังเป็นการบอกเขาว่ารายได้ของร้านชาจิ้งจอกน้อยคือวันละหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทอง

หยางเจี้ยนเทียนจวินย่อมไม่ทราบว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองนี้เป็นเพียงรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำสุดของหนึ่งวันเท่านั้น เพราะเฉลี่ยแล้ว ร้านชาจิ้งจอกน้อยสามารถทำรายได้ราวหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นตำลึงทองต่อวัน

“เจ้าไปบอกนางว่าข้ายินดีจ่าย เจ้านำหีบนี้ไปให้นาง นี่เป็นค่าจ้างที่นางเรียกมา” หยางเจี้ยนเทียนจวินตอบรับข้อเสนอของเสวี่ยหลิน

เมื่อเสวี่ยหลินได้รับทองสามหีบใหญ่ เหม่ยเมิ่ง เสด็จแม่ของนางเป็นผู้ตรวจนับ

“ครบสี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง” นางบอกบุตรสาว

เสวี่ยหลินต้องยิ้มในใจทันที

จ่ายง่ายแบบนี้ จัดให้เพคะ เทียนจวิน

“พี่ชาย งานเลี้ยงยามบ่าย จะจัดขึ้นเมื่อใด” นางถามเซียนรับใช้ที่นำหีบใส่ทองคำมาส่ง

“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วพวกท่านจัดสถานที่อย่างไร มีแขกกี่ท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงยามบ่าย” คำถามนี้ของนางทำให้เซียนรับใช้ผู้นี้แปลกใจอย่างยิ่ง

“ยังไม่ทราบว่าจะจัดสถานที่อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ทราบเพียงว่าจะจัดงานเลี้ยงยามบ่ายที่อุทยานบุปผามังกร ส่วนแขกที่มาร่วมงานมีเพียงสามร้อยท่านเท่านั้นที่ได้รับเทียบเชิญ รวมเทียนจวิน เทียนโฮ่ว และโอรสธิดาด้วย ทั้งหมดก็สามร้อยห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”

“แขกสามร้อยท่านนี้ มีท่านใดที่สูงศักดิ์เป็นพิเศษหรือไม่”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะมีก็คงเป็นมหาเทพหยางหลงเพียงพระองค์เดียว แต่คาดเดาได้ว่าไม่เสด็จมาร่วมงานแน่ เพราะไม่โปรดงานเลี้ยงที่มีผู้คนมากมาย ท่านมักจัดงานเลี้ยงส่วนพระองค์ที่วังมังกรสวรรค์ เชิญแขกเพียงสามถึงห้าท่านเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เสวี่ยหลินพยักหน้ารับรู้ แต่ในใจกลับนึกตงิดๆ แปลกๆ

ข้าเตรียมเผื่อมหาเทพหยางหลงไว้ด้วยดีกว่า หากไม่มาก็แล้วไป แต่ถ้าดันมาแล้วไม่มีของเตรียมไว้ งานนี้ร้านชาข้าได้เสียชื่อแน่ เสวี่ยหลินคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า

“พี่ชาย ข้าขอรายชื่อแขกทั้งหมดที่ได้รับเชิญด้วยเจ้าค่ะ เพราะข้าจะได้จัดเตรียมได้ถูกต้อง และอีกสิบห้าวันข้างหน้า ข้าจะไปดูสถานที่จัดงาน ท่านช่วยทูลเทียนจวินให้ด้วยว่าข้าจะเตรียมสถานที่ให้ด้วย เพราะข้าจะยกร้านชาจิ้งจอกน้อยไปเปิดที่อุทยานบุปผามังกร”

“พ่ะย่ะค่ะ” เซียนรับใช้ผู้นั้นรับคำอย่างตื่นเต้น คาดไม่ถึงว่าเสวี่ยหลินจะถึงกับยกร้านชาจิ้งจอกน้อยไปเปิดที่อุทยานบุปผามังกรเป็นการชั่วคราว งานนี้ลาภปากเซียนรับใช้และนางกำนัลทุกคนของเทียนจวินแน่นอน

เสวี่ยหลินให้คนไปบอกข่าวกับจิ้นเหอเพื่อให้เขาเตรียมตัวเมื่อนางจะไปวังมังกรนภาของหยางเจี้ยนเทียนจวินเป็นครั้งแรก

ผ่านไปอีกสิบห้าวัน ราชาเสวี่ยหมิงจึงพาเสวี่ยหลินและเทพจิ้นเหอมาเฝ้าหยางเจี้ยนเทียนจวิน หยางเจี้ยนให้เสวี่ยหลินดูพื้นที่จัดงานในอุทยานบุปผามังกรตามสบาย นางจึงมาพร้อมกับเทพจิ้นเหอและหั่วเย่เซียนกวนที่เป็นเซียนรับใช้คนสนิทของเทียนจวิน

หั่วเย่บอกให้เสวี่ยหลินทราบว่าพื้นที่ในอุทยานบุปผามังกรส่วนใดที่จะใช้จัดงานเลี้ยงยามบ่าย เสวี่ยหลินและเทพจิ้นเหอเหาะขึ้นเหนือพื้นที่อุทยานเพื่อดูอาณาบริเวณให้ชัดตาก่อนจะเหินร่อนลงมาเพื่อเดินดูให้ละเอียดชัดเจน

เสวี่ยหลินถามหั่วเย่ถึงความสัมพันธ์ของแขกทั้งสามร้อยคนและครอบครัวของเทียนจวิน เพื่อจะได้ทราบว่าควรจัดที่นั่งอย่างไร ทำให้หั่วเย่แปลกใจแต่ก็ตอบไปตามที่นางถามจนครบถ้วน

เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนตามต้องการแล้ว เสวี่ยหลินจึงกลับมาพบบิดาของนางที่นั่งคุยอยู่กับเทียนจวิน ก่อนจะทูลลาจากไป

เสวี่ยหมิงและเสวี่ยหลินมาที่หุบเขาบูรพานิรันดร์เพื่อมาพบเสวี่ยซาน

“ซานเอ๋อร์ เจ้าพาพ่อกับน้องไปดูที่พักของเจ้าหน่อยสิ หลินเอ๋อร์อยากมาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง อีกสี่พันปีข้างหน้า นางก็จะต้องมาศึกษาที่นี่แล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยซานรับคำอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปี เสด็จพ่อของเขาไม่เคยขอมาดูที่พักของเขาในหุบเขาบูรพานิรันดร์ ครั้งนี้กลับมาขอดูเสียได้

“จิ้นเหอ เจ้ารออยู่ที่นี่” เสวี่ยหมิงหันไปสั่งเทพจิ้นเหอที่มาด้วยกัน

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเข้ามาในห้องพักของเสวี่ยซานแล้ว เสวี่ยหมิงแผ่ปราณจิ้งจอกออกตรวจสอบทันทีว่ามีผู้อื่นแอบซ่อนอยู่ในห้องพักหรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้อื่น เสวี่ยหมิงจึงวาดมือสร้างม่านปราการครอบคลุมห้องพักนี้ทันที ก่อนจะหยิบกล่องหยกหนึ่งออกมายื่นส่งให้เสวี่ยซาน

“เจ้าหลอมรวมกับจตุธาตุอัญมณีเสีย”

คำ ‘จตุธาตุอัญมณี’ ทำให้เสวี่ยซานตกตะลึง หากยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ

“พี่ใหญ่หลอมรวมเสียก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวข้ากับเสด็จพ่อจะเล่าให้ฟัง”

ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ เสวี่ยซานก็หลอมรวมกับจตุธาตุอัญมณีเรียบร้อย เสวี่ยหลินจึงเล่าให้พี่ชายของนางฟังว่านางได้จตุธาตุอัญมณีมาอย่างไร เสวี่ยซานตะลึงงันไปกับเรื่องราวที่ได้ยิน

“ตอนนี้น้องมาอยู่ที่นี่แล้ว พี่ใหญ่ท่านอยู่เฉยๆ สักครู่ ให้ข้าได้ดูท่านสักหน่อย” เสวี่ยหลินบอกกล่าว เสวี่ยซานแม้งุนงงกับคำขอของน้องสาว หากก็ยอมอยู่เฉยแต่โดยดี

เสวี่ยหลินจับจ้องมองค่าสถานะของพี่ชาย จึงได้พบว่าค่าสถานะของเขาล้วนแต่มาจากการหมั่นฝึกฝนทั้งสิ้น ทั้งตัวมีเพียงอาวุธคู่กายคือ กระบี่ใจเหมันต์ ที่ทำให้เขาใช้วารีธาตุได้ดี

เสวี่ยซานมองเห็นน้องสาวของตนเองวาดฝ่ามือขึ้น นางจับจ้องมองความว่างเปล่านั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะใช้มือปาดผ่านอะไรบางอย่าง เสวี่ยหมิงนั่งรอโดยไม่เอ่ยปากใดๆ เพราะไม่ต้องการรบกวนสมาธิของเสวี่ยหลิน เขาทราบดีว่านางกำลังค้นหาของวิเศษที่เหมาะสมกับเสวี่ยซานและจะสร้างของวิเศษนั้นให้

ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม เสวี่ยหลินจึงค้นหาของที่เหมาะสมกับพี่ชายได้จนครบ นางล้วงหยิบแร่และวัตถุดิบต่างๆ ที่ยังเหลืออยู่มากจากที่ไปเสาะหากับบิดามารดาในครั้งนั้น

“แร่และวัตถุดิบที่ข้ามีในตอนนี้ เพียงพอจะสร้างอาวุธและเกราะอ่อนให้ท่านได้เท่านั้น ไว้รอข้ามาศึกษาที่บูรพานิรันดร์ ข้าจะสร้างให้พี่ใหญ่จนครบ”

เสวี่ยหลินนำแร่และวัตถุดิบออกมาก่อนจะร่ายเวทสร้างอาวุธและเกราะอ่อนให้เสวี่ยซาน ไม่นานนักเขาก็ได้เห็นเกราะอ่อนสีเงินยวงงดงามทอประกายงดงาม และกระบี่เหมันต์ลวงตา

เสวี่ยหลินยื่นกระบี่และเกราะอ่อนให้เสวี่ยซาน พี่ชายของนางรับไปอย่างตื่นตะลึงก่อนจะแผ่ปราณออกตรวจสอบก่อนจะยิ่งมีสีหน้าแตกตื่นตะลึงลาน เพราะของวิเศษที่น้องสาวของเขาสร้างให้ดีกว่าที่เขาใช้อยู่จนเทียบไม่ติด

“น้องเล็ก เจ้าทำได้อย่างไร จึงสร้างของที่เหมาะกับพี่ได้เช่นนี้”

เสวี่ยหลินแย้มยิ้มไม่ตอบคำ

“ซานเอ๋อร์ เจ้าเก็บกระบี่และเกราะอ่อนนี้ไว้ให้ดี ของที่หลินเอ๋อร์สร้างให้ ล้วนดีเลิศ ยามเจ้าใช้ออกและมีผู้ใดถามเจ้า ก็ให้บอกไปว่าพ่อเป็นคนสร้างให้เจ้า อย่าได้บอกใครว่าเป็นฝีมือของน้องสาวเจ้าเด็ดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ผ่านไปจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันจัดงานเลี้ยงยามบ่าย เสวี่ยหลินบอกลูกค้าทุกคนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่าจะปิดร้านสามวันคือวันนี้ วันรุ่งขึ้น และวันมะรืน เสวี่ยหลินพานางกำนัลในร้านชาจิ้งจอกน้อย เสวี่ยปิง และเทพจิ้นเหอ มาที่อุทยานบุปผามังกร ด้วยอาภรณ์อันแปลกตาของนางกำนัลประจำร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงเรียกความสนใจของทุกคนในวังมังกรนภาได้ทันที

เสวี่ยหลินให้เทพจิ้นเหอเนรมิตร้านชาจิ้งจอกน้อยตามแบบที่นางคิดไว้ ครั้งนี้ร้านชาจิ้งจอกน้อยที่อุทยานบุปผามังกรมิได้มีลักษณะเดียวกับที่แดนพายัพ หากเป็นซุ้มขนาดใหญ่ที่หลังคาเป็นระแนงไม้และกรุไว้ด้วยเถาไม้ที่เต็มไปด้วยบุปผาดอกเล็กๆ สีขาว พื้นที่ครึ่งหนึ่งของซุ้มนี้ถูกเนรมิตให้เป็นพื้นที่สำหรับการชงชา ผนังด้านหลังของพื้นที่เป็นชั้นไม้เพียงสี่ชั้น ชั้นไม้นี้กว้างและยาวจนเต็มพื้นที่ผนัง ใกล้ๆ กันเป็นพื้นที่สำหรับเตาต้มน้ำร้อน พร้อมโถกระเบื้องขนาดใหญ่สำหรับใส่น้ำที่จะนำมาต้มและชงชา อีกครึ่งหนึ่งของซุ้มจึงเป็นตู้ขนาดใหญ่มากมาย และพื้นอีกส่วนเป็นพื้นที่ครัวสำหรับทำขนมหวานและของว่าง

“พวกเจ้าที่ทำหน้าที่ชงชา ทำขนมหวานและของว่าง เข้าไปจัดเตรียมทุกอย่างเสียให้เรียบร้อย หากมีสิ่งใดขาด ให้รีบบอก” เสวี่ยหลินหันไปสั่งนางกำนัลกลุ่มหนึ่งที่ยืนรอรับคำสั่ง

“เพคะ”

มองเห็นนางกำนัลเหล่านั้น เข้าไปจัดเตรียมข้าวของต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ชี้ให้เห็นว่าพวกนางทุกคนล้วนถูกฝึกมาอย่างดี

ที่เหลือจึงเป็นการตกแต่งสถานที่เพื่อทำเป็นที่นั่งจิบชาและรับประทานขนมหวานและของว่าง เทพจิ้นเหอเนรมิตหลังคาระแนงไม้โปร่งต่อจากชายคาของส่วนที่ใช้ชงชาและทำขนม หลังคานี้มีเสาไม้สีขาวเรียบช่วยค้ำยันที่มุมทั้งสี่และตรงกลาง หากพริบตาต่อมา ทุกคนที่มองเห็นก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อปรากฏพวงบุปผาสีม่วงเข้ม สีม่วงอ่อน สีชมพู และสีขาวขึ้นมาปกคลุมจนเต็ม นี่ย่อมเป็นจื่อเถิงหลัว (ดอกวิสทีเรีย) และอิงฮวา (ดอกซากุระ) เสาไม้สีขาวเรียบก็มีเถาไม้ที่มีดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ เช่นเดียวกับที่เห็นที่หลังคาของซุ้มชงชาเลื้อยพันจนปิดบังเสาไม้หมดสิ้น มุมหนึ่งของพื้นที่นี้เป็นยกพื้นสำหรับให้นักดนตรีนั่งบรรเลงดนตรี

ที่นั่งจิบชารับประทานขนมเป็นโต๊ะไม้สีขาวสะอาดเรียบง่าย เก้าอี้บุด้วยผ้าหนานุ่มสีชมพูเกือบขาว ทั้งหมดถูกจัดวางตามมุมต่างๆ อย่างเหมาะสม เทพจิ้นเหอเดินเคียงข้างเสวี่ยหลินคอยร่ายเวทสร้างสิ่งต่างๆ ตามที่นางต้องการ ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ถูกจัดแต่งแก้ไขอย่างละเอียดในทุกจุด

กุ้ยตานเทียนโฮ่วที่มายืนดูต้องมองอย่างตื่นตะลึง นางไม่เคยพบเห็นการตกแต่งที่งดงามแปลกตาเช่นนี้มาก่อนจริงๆ นางเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่าร้านชาจิ้งจอกน้อยตกแต่งได้งดงามน่าสบาย ยามนี้ได้มาเห็นการตกแต่งร้านชาจิ้งจอกน้อยที่แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวหากก็งดงามและดูอ่อนหวาน ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง

เสวี่ยหลินใช้เวลาตกแต่งเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ ไปถึงสองชั่วยาม หลายจุดนางให้เทพจิ้นเหอเนรมิตสร้างให้ใหม่

 

 

วันนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายแล้ว แขกที่ได้รับเทียบเชิญต่างทราบดีว่าผู้ที่รับผิดชอบงานเลี้ยงนี้คือ ร้านชาจิ้งจอกน้อยแห่งแดนพายัพ แขกที่ได้รับเชิญทยอยมางานอย่างต่อเนื่อง

นางกำนัลจากร้านจิ้งจอกน้อยที่เสวี่ยหลินจัดไว้แล้วว่าต้องดูแลแขกคนใด เมื่อเห็นแขกผู้นั้นก้าวเข้ามา พวกนางก็นำพวกเขาไปยังที่นั่งที่จัดเตรียมไว้อย่างรู้หน้าที่ รายการชา ขนมหวาน และของว่างถูกนำเสนอพร้อมคำแนะนำ เมื่อได้รายการสิ่งที่ต้องการ นางกำนัลจะนำไปแจ้งแก่นางกำนัลที่ทำหน้าที่ชงชา นางกำนัลที่ทำหน้าที่จัดขนมและของว่าง ราวหนึ่งในสามเค่อพวกนางก็นำชาและขนมของว่างมาวางให้อย่างเรียบร้อย การบริการอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยนี้สร้างความประทับใจให้แขกทุกคนในงานยิ่งนัก

หยางเจี้ยนเทียนจวินและกุ้ยตานเทียนโฮ่วชื่นชอบงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายนี้มาก เอ่ยชมบ่อยครั้งถึงความอร่อยของชา ขนมหวาน และของว่างที่ได้ลิ้มลอง ทั้งยังเอ่ยชมกับราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่งที่เป็นหนึ่งในแขกรับเชิญว่าองค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินเก่งกาจตั้งแต่ยังเยาว์

งานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายเริ่มไปได้ราวสองเค่อ พลันปรากฏแขกได้รับเชิญหนึ่งและไม่ได้รับเชิญหนึ่ง นางกำนัลที่มองเห็นแขกได้รับเชิญที่ตนเองต้องดูแลแล้วต้องชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อมองเห็นว่าแขกผู้นั้นมาพร้อมผู้ใด นางเหลือบตามององค์หญิงน้อยของนาง

“องค์หญิงน้อย นั่นมหาเทพหยางหลง ทำอย่างไรดีเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นกระซิบถามเสียงสั่น

เสวี่ยหลินหันมาสบตากับนาง “เจ้ารอที่นี่ ข้าจัดการเอง”

นางกำนัลผู้นั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก

แขกสองรายนี้ เสวี่ยหลินต้องออกหน้าเอง แม้จะรู้สึกสุ่มเสี่ยงอยู่สักหน่อยแต่นางก็เป็นรองหัวหน้ากิลด์มาก่อน การเผชิญหน้ากับหัวหน้ากิลด์ใหญ่หลายคน นางก็รับมือมาแล้วทั้งสิ้น

ให้มันได้อย่างนี้สิ ลางสังหรณ์ข้าก็แม่นเกิ๊น เสวี่ยหลินคิดในใจหากใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารักยังคงปั้นรอยยิ้มแจ่มใสเข้าไปรับหน้า

“คารวะมหาเทพหยางหลง ราชินีฉิงเฟิ่ง แม้ไม่ทราบล่วงหน้าว่ามหาเทพจะเสด็จร่วมงานนี้ด้วย แต่ร้านชาจิ้งจอกน้อยพร้อมถวายการต้อนรับเพคะ”

เสวี่ยหลินเปิดฉากด้วยคำพูดต้อนรับที่สร้างความสบายใจให้กับทุกคน กระทั่งหยางเจี้ยนเทียนจวินและกุ้ยตานเทียนโฮ่วต้องนึกทึ่ง คาดไม่ถึงว่าเซียนน้อยเยาว์วัยอายุเพียง 18,000 ปี ถึงกับสามารถออกรับรองแขกเหรื่อได้อย่างเหมาะสมเช่นนี้

ฉิงเฟิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีเผ่าหงส์แดงแทนบิดาของนางมา 30,000 แล้ว เสวี่ยหลินจึงต้องเรียกขานองค์หญิงฉิงเฟิ่งเป็นราชินีฉิงเฟิ่ง ศักดิ์ฐานะของฉิงเฟิ่งย่อมทัดเทียมกับราชาเสวี่ยหมิง บิดาของเสวี่ยหลิน

“มหาเทพเสด็จมาร่วมงานเช่นนี้ คาดว่าคงเพราะทราบถึงร้านชาจิ้งจอกน้อยกระมัง” หยางเจี้ยนเอ่ยทักทายต่อ

มหาเทพหยางหลงมิได้กล่าวตอบ หากหันมากล่าวกับเสวี่ยหลิน “ได้ยินว่าร้านชาจิ้งจอกน้อย เจ้าเป็นผู้ริเริ่มขึ้น”

“เพคะ ข้าเป็นคนริเริ่ม”

“เช่นนั้น จงแสดงให้ข้าดูว่าร้านชาของเจ้าจะดีเลิศสมคำร่ำลือหรือไม่”

“เพคะ เชิญมหาเทพเสด็จตามข้ามาด้านนี้เพคะ”

เสวี่ยหลินหันไปเรียกนางกำนัลผู้นั้นที่นางกำหนดให้ดูแลฉิงเฟิ่ง “เจ้ามาดูแลราชินีฉิงเฟิ่ง” ทว่า...

“ข้ามาพร้อมมหาเทพ ไยเจ้าจึงกล้าละเลยข้า ให้นางกำนัลมารับรองข้า” เป็นฉิงเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ สีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง มหาเทพหยางหลงแม้ห้ามปรามนางได้แต่กลับปิดปากเงียบสนิท

ราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่งเองก็พูดไม่ออก ทราบดีว่าเสวี่ยหลินเห็นว่ามหาเทพมิได้มีความสัมพันธ์ใดกับฉิงเฟิ่ง เสวี่ยหลินจึงได้น้อมเชิญมหาเทพเพียงผู้เดียว และให้นางกำนัลมาดูแลฉิงเฟิ่งตามที่ควรจะเป็น ทั้งตามปกติแล้วการนั่งร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงจะต้องมีศักดิ์ฐานะเสมอกันหรือมีความสัมพันธ์อันดีและแนบแน่นกับผู้มีศักดิ์ฐานะสูงสุดของโต๊ะนั้น

อีตาหยางหลงนี่ จะพูดจาช่วยเด็กอย่างข้าสักนิดก็ไม่มี ชิส์ เสวี่ยหลินนึกบ่นอยู่ในใจ หากสีหน้ายังคงแย้มยิ้มเช่นเดิม

“ทูลมหาเทพ จะทรงอนุญาตให้ราชินีฉิงเฟิ่งนั่งร่วมโต๊ะกับท่านหรือไม่เพคะ” เสวี่ยหลินโยนกลับให้เป็นหน้าที่ของมหาเทพอย่างรวดเร็ว

ไม่ช่วยพูดให้ข้า ก็แก้ปัญหาเองแล้วกันย่ะ เสวี่ยหลินนึกค่อนอยู่ในใจ

เสวี่ยหลินพอคาดเดาท่าทีของมหาเทพออกว่าต้องการทดสอบนาง แต่ที่นางแน่ใจก็คือมหาเทพมิได้ชมชอบฉิงเฟิ่งเช่นชายหนุ่มหญิงสาว ท่าทียืนสองมือไพล่หลังซึ่งเป็นภาษากายที่มหาเทพแสดงออก ชัดเจนว่าเขามองฉิงเฟิ่งอย่างเทพเซียนทั่วไป เพราะหากเขาชมชอบนาง ท่าทีเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างย่อมดูละมุนละไมกว่านี้เหมือนเช่นที่นางเคยเห็นบิดามารดาแสดงต่อกัน

ดังนั้น คำถามที่นางถามออกไป จึงเป็นการบอกมหาเทพว่าหากท่านพอใจที่จะนั่งจิบชาอย่างอึดอัดตลอดงานเลี้ยงก็จงตอบรับ หากพอใจจะนั่งจิบชาอย่างสบายใจก็จงปฏิเสธ ทั้งการตอบรับหรือปฏิเสธนี้ ฉิงเฟิ่งไม่สามารถทำอะไรเสวี่ยหลินได้เพราะมหาเทพแสดงความต้องการออกมาเอง

คำถามของเสวี่ยหลินทำให้มุมปากของมหาเทพหยางหลงเผลอยกขึ้นเล็กน้อยที่หากไม่สังเกตให้ดีย่อมไม่มีทางพบเห็น หากเสวี่ยหลินนั้นเห็นชัดเจนเลยทีเดียว ก็นางจงใจจ้องหน้าและสบตามหาเทพอย่างไม่หวั่นเกรง

แหม สมัยเป็นมนุษย์ นางก็ตามกรี๊ดดาราหนุ่มหล่ออยู่หลายคนนะ เพียงแต่ไม่มีใครหล่อทิ่มตาทะลุใจขนาดมหาเทพหยางหลงก็เท่านั้น

มีคนหล่อลากไส้ขนาดนี้มาให้ข้าดูแล ข้าย่อมต้องดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว แถมไม่มีใครสงสัยข้าด้วย เพราะข้าเป็นเด็ก เสวี่ยหลินหัวเราะอยู่ในใจที่มีโอกาสใกล้ชิดคนหล่อโดยไม่มีผู้ใดผิดสังเกต

คำถามของเสวี่ยหลินยังทำให้เทพเซียนทุกคนต่างชื่นชมนางที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว

เห็นมหาเทพหยางหลงกรอกตารอบหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา “ฉิงเฟิ่ง เจ้าตามนางกำนัลผู้นั้นไปเถิด”

คำตอบนี้ชัดเจนว่ามหาเทพไม่ประสงค์ให้ฉิงเฟิ่งร่วมโต๊ะด้วย เสวี่ยหลินแทบหลุดหัวเราะออกมาทันที หากฉิงเฟิ่งกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจงใจเข้างานมาพร้อมมหาเทพเพราะหมายจะแสดงให้เหล่าเทพเซียนสำคัญที่ได้รับเชิญมาได้เห็นว่ามหาเทพหยางหลงโปรดปรานนาง และนางอาจเป็นว่าที่มหาเทวีของมหาเทพ

ฉิงเฟิ่งกล่าวอะไรไม่ออกทั้งสิ้นเมื่อได้ยินชัดเจน นางจำต้องเดินตามนางกำนัลที่เสวี่ยหลินจัดไว้ให้