ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคกลาง,ดาร์ค,รัก,พระเอกค่าตัวแพง,พระเอกปากหมา ,พระเอกธงแดง,พระเอกรวย,พระเอกร้าย,พระเอกคลั่งรัก,พระเอกขี้หึง,พระเอกขี้หวง,นายเอกจน,ดยุก,พีเรียดยุโรป,พีเรียดตะวันตก,ลูซิเฟอร์,ซาตาน,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
𝕳𝖚𝖘𝖇𝖆𝖓𝖉'𝖘 𝖇𝖔𝖉𝖞 𝖚𝖓𝖉𝖊𝖗 𝖙𝖍𝖊 𝕵𝖚𝖓𝖎𝖕𝖊𝖗 𝖙𝖗𝖊𝖊
𝕵𝖚𝖍𝖆𝖗𝖆𝖍
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
...มันคือความผิดพลาด....
ขอเพียงแค่ 'จินดริชผู้น่ารังเกียจ' ได้หลุดพ้นจากสามีนักบุญอย่าง 'ลูเซียส คิว แมทธีโอนี' ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่รับฟังคำขอ ทว่าผู้มอบข้อเสนอกลับเป็นปรปักษ์ของพระเจ้า...
วิญญาณของสามีไร้รัก เขาจะมอบให้...ซาตาน
❝ จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ ❞
แต่จินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ซาตานต้องการ...ไม่ใช่สามี
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
TWITTER X: @juha_rah | FACEBOOK: Juharah
แท็ก #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Story: Juharah | Cover: WP Seazebra
FACEBOOK: Juharah
TWITTER X: @juha_rah
Tag: #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Chapter 7
"The Juniper Tree"
เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏมอบแสงสว่าง ชาวเมืองก็ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันและหาเงิน ชนบทอาร์คาเนียยังคงเป็นไปอย่างเรียบง่าย
ล้อรถม้าเคลื่อนตัวไปตามพื้นถนนติดจะขรุขระ ตัวถังรถม้าแต่งลวดลายสีทองอร่าม ผ้าม่านติดขอบหน้าต่างยังขลิบทอง ถูกลากด้วยม้าตัวสีดำกำยำเป็นสง่า ธงที่ปักบนรถม้าบ่งบอกยศผู้ที่นั่งอยู่ด้านใน
สัตว์เลี้ยงตัวสีขาวตาสองสีจับจ้องยานพาหนะนั้นตั้งแต่ไกล จนกระทั่งใกล้เข้ามาและกำลังผ่านหน้า สี่ขาวิ่งว่องไวกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่ที่บันไดเหยียบขึ้นรถม้าอย่างชำนิชำนาญ นั่งมั่นคงไม่ให้ตกลงจากรถที่เคลื่อนตัวรุนแรงเพราะทางที่ไม่ดีนัก หูกระดิกฟังเสียงทุ้มแหบบ่นเสียงดังกับพ่อบ้านส่วนตัวตลอดทาง
“นักบุญลูเซียสสมบูรณ์แบบเสียทุกอย่าง ติดก็แค่เรื่องอาชีพของเขาที่ดูไม่สมเกียรติ”
“ยังไงหรือครับลอร์ดวัตสัน”
“มีเงินตั้งมากมายทำไมต้องมาอาศัยอยู่กับพวกชาวไร่ชาวนา เส้นทางไปคฤหาสน์ก็กันดาร มองดูก็รู้ว่าเป็นป่าช้า”
“โอ้ เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับท่านลอร์ด”
“หากเขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง อย่าหวังว่าฉันจะลำบากลำบนเดินทางไกลขนาดนี้”
เมื่อถึงคฤหาสน์ไม้ขนาดกลางสีอึมครึมอันเป็นที่หมาย มาร์ควิสร่างท้วมก็เดินลงจากตัวรถม้าไปหาคุณชายแมทธีโอนีที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าทางเข้า ชายหนุ่มร่างสูงเด่นในชุดสูทสีอ่อนค่อนข้างเรียบร้อย พร้อมต้อนรับแขกที่เป็นถึงขุนนางเชื้อพระวงศ์
“ยินดีต้อนรับครับมาร์ควิสวัตสันแห่งอาร์คาเนีย”
ใบหน้าของท่านลอร์ดยิ้มแย้มแจ่มใส จับมือทักทายคนเด็กกว่าหนึ่งรอบราวกับว่าตนเองไม่เคยบ่นตำหนิอีกฝ่ายมาก่อน ซ้ำยังพูดปดเพื่อเอาใจ
“สวัสดียามบ่ายครับคุณลูเซียส คฤหาสน์ร่มรื่นน่าอยู่ทีเดียว เข้าถึงธรรมชาติ”
“ขอบคุณครับ อากาศค่อนข้างเย็น เราเข้าไปด้านในกันดีกว่าครับ”
ลูเซียสกล่าวพลางยิ้มบาง พ่อบ้านเจสันรู้หน้าที่รีบไปช่วยถือสัมภาระ ขณะที่พ่อบ้านของมาร์ควิสช่วยพยุงผู้เป็นนายเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ เจสันกล่าวยิ้มแย้มต้อนรับ
“สาวใช้เตรียมชาและของว่างไว้ให้ท่านลอร์ดที่ห้องรับแขกแล้วครับ คุณชายเลือกชาเอิร์ลเกรย์อย่างที่ท่านลอร์ดชื่นชอบ”
พอแขกได้ยินเช่นนั้นก็หน้าบาน ยิ้มกว้างให้เจ้าของบ้าน
“คุณลูเซียสช่างรู้ใจผมดีจริง ๆ”
ชายหนุ่มไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาควักนาฬิกาในเสื้อสูทออกมาดู ตอนนี้บ่ายสามโมงแล้ว ตามมารยาทแขกไม่ควรอยู่นานเกินห้าโมงเย็น เขาเดินไปนั่งที่โซฟาหลังจากแขกประจำที่ก่อนแล้ว มาร์ควิสวัยกลางกวาดตามองภายในตัวห้องรับแขกของเขาอย่างสำรวจ ลูเซียสมองเงียบ ๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ถึงด้านนอกจะดูเก่าแต่ภายในดูดีกว่าที่คิด และยังมีงานศิลปะราคาแพงแปลกตาเต็มไปหมด”
ทั้งภาพวาด แจกัน งานปั้นประติมากรรม
“ไม่ได้แพงอะไรหรอกครับ ผมประมูลได้จากงานการกุศลช่วยเหลือเหล่าศิลปินยากไร้”
หลายชิ้นที่เขามอบเงินเพิ่มให้จากราคาที่ประมูลเพราะชื่นชอบเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นภาพวาดสีน้ำมันของหญิงสาวที่นอนอยู่ในอ่างอาบน้ำสีเลือด มาร์ควิสจ้องมองภาพนั้นเช่นกัน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เป็นอีกครั้งที่เขาพูดสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดในหัว
“รสนิยมของคุณลูเซียสช่าง...น่าสนใจ”
“งานศิลปะตีความได้หลากหลาย ความน่ากลัวก็งดงามได้เช่นกัน”
แขกยังคงกวาดตามองรอบบ้านเงียบสงบ สาวใช้ พ่อบ้านน้อยคน ไม่วุ่นวายจนรู้สึกอึดอัด เขาหันมาหยุดสายตาที่เจ้าของบ้านอย่างลูเซียส ก่อนจะชะงักยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อถูกจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“ขออภัยที่สำรวจอย่างเสียมารยาท พอดีไม่ได้มานานแล้วตั้งแต่งานเลี้ยงฉลองคล้ายวันเกิดของคุณดักลาส แมทธีโอนี”
“ไม่เป็นไรครับ บ้านหลังนี้คงเปลี่ยนไปจากที่ท่านลอร์ดเคยเห็น เพราะผมกับคุณพ่อมีรสนิยมที่ต่างกัน” ลูเซียสกล่าวยิ้ม ๆ พลางยกชาขึ้นจิบ จมูกโด่งสูดดมกลิ่นใบชาช่วยผ่อนคลาย
“คุณผู้ชายและคุณนายแมทธีโอนีมาหาบ่อยหรือเปล่าคุณลูเซียส” มาร์ควิสเอ่ยถามถึงผู้เป็นใหญ่สุดของตระกูลนักบุญ
“ไม่มาร่วมห้าปีแล้วตั้งแต่ผมมารับช่วงต่อธุรกิจการเกษตร ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่และน้องชายกำลังวุ่นวายกับงานบริการที่เมืองหลวงน่ะครับ”
มาร์ควิสวัตสันตาวาวระยิบระยับ
“โอ้ ดูเหมือนโรงแรมจะไปได้สวยสินะ มันแน่อยู่แล้วเพราะเป็นช่วงเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวและพ่อค้าชาวต่างชาติ”
“ครับ ห้องพักเต็มทุกวันมาได้หกเดือนแล้ว ตอนนี้ก็กำลังเดินหน้าขยายโรงแรมต่อ”
“เห็นทีผมคงต้องไปเยี่ยมชมและขอเป็นหุ้นส่วน ฮ่า ฮ่า”
ลูเซียสยิ้ม “ผมจะเขียนจดหมายแจ้งคุณพ่อให้เตรียมการต้อนรับล่วงหน้าครับ”
มาร์ควิสวัตสันยิ้มรับพึงพอใจ ลาภปากจนต้องยกชาขึ้นจิบเป็นการกลบเกลื่อนรอยยิ้ม บรรยากาศภายในบ้านเงียบขึ้นมาอีกครั้งดูวังเวงจนไม่อยากอยู่นาน วัตสันรีบเข้าเรื่อง
“คุณลูเซียสรู้ใช่ไหมว่าผมเดินทางมาทำไม”
“ครับ คงเป็นเรื่องงานเลี้ยงขอบคุณที่ผมปฏิเสธลอร์ดจาเร็ตไป”
“เพราะคุณปฏิเสธผมจึงต้องเดินทางมาหาด้วยตนเองนี่ไง คุณนักบุญลูเซียส คิว แมทธีโอนี”
“อย่าเรียกเช่นนั้นเลยครับ” ยังยืนยันว่าเขาไม่ได้ชอบสรรพนามนั้นอันเป็นคำเรียกติดปากของชาวเมือง
“ให้เราได้ตอบแทนตระกูลแมทธีโอนีสักหน่อยเถอะสำหรับสิ่งที่ทำมาให้ตลอดหลายทศวรรษ โดยเฉพาะในรุ่นของคุณ”
ลูเซียสยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง นัยน์ของเขาว่างเปล่าแม้ว่าปากจะยกยิ้ม เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ การต่อกรกับขุนนางที่ยศสูงกว่าบารอนจาเร็ตนั้นยุ่งยากจริง ๆ เขาไม่อาจปฏิเสธอย่างเสียมารยาทได้บ่อยตามต้องการ
“ผมแค่เกรงใจ ไม่อยากจะใช้เงินที่ชาวบ้านมอบให้”
มาร์ควิสปัดมือไล่คำพูดนั้นไม่ใส่ใจ “มันไม่ถึงร้อยเหรียญด้วยซ้ำ เงินส่วนใหญ่นั้นเป็นของผมและเหล่าขุนนางที่ดูแลเมืองอาร์คาเนีย หากคุณคิดมากผมจะคืนเศษเงินเหล่านั้นกับพวกเขา”
เศษเงิน...แต่ลูเซียสรู้ว่ามันไม่ใช่เศษเงินสำหรับชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ เศษเงินนั้นมากกว่าเหรียญในถุงเก่า ๆ ของเด็กหนุ่มผู้มีตำหนิใต้ตาซ้าย เจ้าตัวทำสวนร่วมสามชั่วโมงเพื่อแลกค่าจ้างที่น้อยกว่า ‘เศษเงิน’ ด้วยซ้ำ
ภาพของจินดริชที่นั่งนับเหรียญยังอยู่ในหัวของเขา...
“ผมยังยืนยันว่าเกรงใจจะรับไว้ ขออภัยท่านลอร์ดด้วยครับ”
“คุณปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติผมอันเป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์”
น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้างไม่พอใจ เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาเชื่อฟังยากกว่าที่คิด นั่นเพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ตระกูลแมทธีโอนีกำลังไปได้ดีในเรื่องของธุรกิจ นามสกุลนี้มั่งคั่งเสมือนมีทองคำเคลือบตัว
“ผม-”
“เหมียว~”
คำพูดของชายผมขาวสะดุดลงกับเสียงสามที่แทรกกลางคัน ทุกสายตาจับจ้องไปยังสัตว์เล็กสี่ขาที่กระโดดขึ้นมานั่งอยู่ขอบหน้าต่างกว้าง ดวงตาสองสีงดงาม ขนสีขาวยาวสลวยแม้จะมอมแมมไปบ้างก็ตาม มันจ้องมองลูเซียสผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่วางตา ลูเซียสเองก็มองตอบเหมือนพูดไม่ออก ทั้งยังแปลกใจที่เห็นแมวขาวในที่ดินของตนเอง แต่ดูเหมือนแขกที่นั่งตรงข้ามจะรู้จักมัน
“ทำไมมันถึงโผล่หัวมาที่นี่กันนะ?” มาร์ควิสวัตสันนึกสงสัยที่พบเจอมัน เพราะกลางชนบทอาร์คาเนียกับคฤหาสน์ของลูเซียสไม่ใช่ระยะทางสั้น ๆ
“ผมจะไล่ให้ครับคุณชาย” เจสันเตรียมเดินไปหยิบไม้
ทว่าลูเซียสยกมือขึ้นปรามก่อน เขาเอ่ยถามมาร์ควิสทั้งที่ยังจับจ้องแมวขาวไม่วางตา “สัตว์เลี้ยงของลอร์ดวัตสันหรือครับ?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนเพราะผมเกลียดแมวน่ะ มันเป็นสัตว์เลี้ยงของจินดริชผู้น่ารังเกียจ”
ขณะพูดชื่อนั้นก็อดทำสีหน้าขยะแขยงไม่ได้
“จินดริชผู้น่ารังเกียจ? หมายถึงคุณออสวาลด์หรือครับ?” ใช่ว่าลูเซียสจะไม่เคยได้ยินฉายานั้น เพียงแต่เขาไม่เคยสนใจจนกระทั่งตอนนี้
“ออสวาลด์? นั่นนามสกุลเขางั้นเหรอ ถ้าหมายถึงเด็กผู้ชายตัวผอมมีไฝใต้ตาซ้ายและมักสวมชุดดำล่ะก็ นั่นคือจินดริชผู้น่ารังเกียจ”
‘ไฝ’ จะต้องมีขนาดใหญ่และขนคุด ที่อยู่บริเวณใต้ตาของจินดริชย่อมไม่ใช่ไฝแน่นอน ลูเซียสมั่นใจอย่างมากเพราะเขาสังเกตบ่อยครั้ง
“ทำไมถึงเรียกเขาแบบนั้นครับ?”
“ไม่เพียงแต่ผมที่เรียก ทุกคนในเมืองอาร์คาเนียย่อมรับรู้ในฉายานั้น เด็กหนุ่มน่ารังเกียจ พระเจ้าไม่โอบกอด”
พ่อบ้านเจสันลอบมองคุณชายแมทธีโอนีนั่งนิ่งตั้งใจฟัง สลับกับมองแมวขาวที่นั่งขอบหน้าต่างเฉย ๆ อย่างเจียมตัว มันไม่ทำอะไรเลยนอกจากมองลูเซียสสลับกับสำรวจพื้นที่รอบด้านตัวมันเอง เสียงมาร์ควิสยังคงดังอย่างต่อเนื่องเพื่อเล่าเรื่องของบุคคลที่สาม
“เขาเป็นพวกรักร่วมเพศที่เข้าโบสถ์ขอความรักจากพระเจ้า ทำงานขายร่างกายอยู่ในบาร์เกย์ของจูเลียสาวประเภทสอง”
รักร่วมเพศ...ขายร่างกาย?
นั่นเป็นข้อมูลใหม่อันน่าตกใจสำหรับลูเซียส แม้ว่าเขาไม่แสดงออกทางสีหน้าเรียบเฉย ไร้รอยยิ้ม แววตาเอาแต่ครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างหนัก
“เขาค่อนข้างหัวสูงเพราะจับแต่ผู้ชายที่มีเงินหรือเป็นเศรษฐี อย่างเช่นคุณแรมเบิร์ธ สามีของลิลลี่ แรมเบิร์ธ”
“คุณแรมเบิร์ธ? ชายวัยห้าสิบปีที่ขายผักสวนครัวงั้นหรือครับ?” ลูเซียสถาม เขาคุ้นชื่อเพราะเป็นอีกคนที่บริจาคเงินบำรุงศาสนาจำนวนไม่น้อย
“ใช่แล้วล่ะ เขาเรียกจินดริชไปปรนเปรอตนเองสัปดาห์ละสองครั้งเป็นอย่างต่ำ คิดมีชู้ยังไม่พอ ชู้ยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก น่ารังเกียจจริง ๆ”
ตลอดที่อยู่อาร์คาเนียมาลูเซียสเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้จากชาวบ้านผ่านหูอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่ใส่ใจเพราะการนินทาคือกิจกรรมคลายเครียดอย่างหนึ่ง พอมันออกจากปากของขุนนาง ลูเซียสจำต้องพิจารณาอีกครั้งทว่านึกภาพตามไม่ออก เขาไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ แต่ยอมรับว่าอยากจะฟัง “ยังไงต่อครับ?”
“เขาพยายามจับผู้ชายร่ำรวยในอาร์คาเนียทุกคน เคยแสร้งทำเป็นมาหาผมที่บ้านเพื่อของานทำ แต่แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของเขาน่ารังเกียจ ผมจึงไล่ตะเพิดกลับไป”
ลูเซียสมองมาร์ควิสร่างท้วมอีกครั้ง เครื่องแต่งกายประดับเพชรพลอยหรูหรา บ่งบอกถึงความร่ำรวย ลูเซียสมองไปยังแมวขาวอีกครั้งโดยไม่โต้ตอบ
ฝั่งวัตสันมองดูชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้า สง่าราศีเปล่งประกาย หนุ่มแน่นและร่ำรวย อดถามไม่ได้ “เขาเคยมาเสนอตัวกับคุณลูเซียสหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้ลูเซียสนึกย้อนถึงที่ผ่านมา เขาเคยอาศัยอยู่ที่อาร์คาเนียตอนยังเด็ก และไปอยู่ในเมืองหลวงหลายปี เพิ่งกลับมาดูแลที่นี่ต่อเมื่ออายุยี่สิบสี่ ตอนนี้ก็เข้าปีที่ห้าแล้ว
เขาเจอจินดริชบ่อยครั้ง ไม่มีครั้งใดที่อีกฝ่ายจะไม่หลบเลี่ยงเขา เด็กหนุ่มเจ้าของตำหนิใต้ตามักมองเขาด้วยแววตาเฉยเมย ไม่เคยทักทายพูดคุยกันจนกระทั่งช่วงนี้ ไร้วี่แววสิ่งที่มาร์ควิสวัตสันคิดสงสัย
“ไม่เลยครับ”
สักนิดก็ไม่...
“ดีแล้วล่ะครับ เขาคงละอายใจที่จะทำให้นักบุญลูเซียสมีมลทิน แนะนำว่าคุณลูเซียสอยู่ห่างเขาจะดีกว่า”
“...ครับ”
“น่าขัดใจที่งานเลี้ยงครั้งนี้ผมจะต้องจ้างเขามาช่วยเสิร์ฟอาหารเพราะคนงานของเราไม่พอ คุณลูเซียสคงไม่รังเกียจใช่ไหมครับ”
“หมายถึงงานเลี้ยงที่จะจัดให้ตระกูลแมทธีโอนี?”
“ใช่แล้วล่ะครับ หวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สามหรือสี่”
สีหน้าของวัตสันจริงจัง ผู้ถูกเชื้อเชิญส่งเสียงครางในลำคอเล็กน้อยเป็นการตอบรับ เขาส่งยิ้มบางให้ขุนนางร่างท้วม
“คงต้องตอบรับ ไม่ทราบว่ารายละเอียดงานมีอะไรบ้างครับ?”
“งานเลี้ยงกลางคืนทั่วไป มีแสดงละครเวที เต้นรำเฉลิมฉลองและกล่าวปราศรัย ผมจัดเตรียมที่พักไว้ให้อย่างสมเกียรติ”
“อืม...”
“คุณหนูโอลิเวียก็ไปงานเลี้ยงครั้งนี้ ได้ยินมาว่าคุณลูเซียสกับเธอกำลังดูใจกันอยู่ บางทีอาจใช้โอกาสนี้ประกาศข่าวดี”
มาร์ควิสแซวความสัมพันธ์อันน่าจับตามอง
ลูเซียสเลิกคิ้วก่อนจะขำแผ่ว “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“อย่าเขินอายไปเลย ปีนี้เธออายุยี่สิบ เป็นวัยกำลังดีเนื้อเด้งสู้ฟันและอึดเรื่องบนเตียง”
จากนั้นมาร์ควิสก็ชวนคุยเรื่องของผู้ชายอย่างออกรส หนีไม่พ้นสอนบทเรียนบนเตียงอย่างคนที่เจนสนาม จนกระทั่งได้เวลาห้าโมงเย็น ลูเซียสก็ออกไปส่งมาร์ควิสที่รถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับ
“วันนี้สนุกมากนักบุญลูเซียส ผมจะตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอวันเฉลิมฉลองในเดือนถัดไป”
“ขอบคุณในน้ำใจของท่านลอร์ดครับ เดินทางปลอดภัย”
ชายร่างท้วมยิ้มพอใจ คนหนุ่มมองดูรถม้าที่เคลื่อนตัวออกห่างไปเรื่อย ๆ จนลับสายตา เขาเดินกลับเข้าไปนั่งที่เดิม ถอดสูทและปลดกระดุมเสื้อคลายความอึดอัด ลำคอแดงเล็กน้อยจากความร้อน สาวใช้และพ่อบ้านพากันมาเก็บกวาดชุดน้ำชาออกไป ปล่อยให้ลูเซียสอยู่เพียงลำพัง ในตอนนั้นเขาจึงถอดชุดและสวมเสื้อคลุมสีขาวแทนอย่างสบายตัว
ฝ่ามือขาวยกขึ้นสางผมให้เสยขึ้นไปปรากฏหน้าผากเนียน เส้นผมขาวยาวระต้นคอนุ่มสลวย ใบหน้าเรียบเฉยนึกทบทวนประโยคมากมายที่ได้ยินมา
“เหมียว~”
ใบหน้าหันตามเสียงแหลมใส แมวของจินดริชยังคงนั่งสำรวมที่ขอบหน้าต่าง เขาจ้องมองมันอยู่เช่นนั้นนานหลายนาที
ลีโอนา์ด
เป็นชื่อที่เหมาะสมกับมันและดูคุ้นปากหากเอ่ยเรียกออกไป ขนสีขาวเหมือนเส้นผมของเขาหากนำมาวางเทียบกัน หวนนึกไปถึงคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มจนเผลอยกยิ้มมุมปากครู่หนึ่ง
ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะที่พนักวางแขนโซฟาสามครั้งเบา ๆ ขณะจ้องตาสองสีของแมวหน้าดุ มันลงจากขอบหน้าต่างทันทีและเดินเชื่องช้ามาหา กระโดดขึ้นนั่งบริเวณที่ลูเซียสเคาะนิ้ว ราวกับรู้ตัวว่าถูกเรียกแม้ชายหนุ่มรูปงามจะไม่เปล่งเสียงเลยสักแอะเดียว
นัยน์ตาสีเข้มแฝงทับทิมสำรวจแมวสีขาวขนกรังแบบเก็บรายละเอียด ไร้ปลอกคอ มอมแมมเปื้อนดิน มีกลิ่นสาบและมีกลิ่นหอมคล้ายกับเจ้าของเล็กน้อย มันคงนอนกกบดเบียดกับจินดริชมา
เด็กหนุ่มตาฟ้าประกายมักจะมีกลิ่นหอมติดตัวอยู่เสมอแม้ว่าเจ้าตัวจะสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ เลอะเทอะ คล้ายเป็นกลิ่นน้ำมันหอมหรือสบู่ ลูเซียสไม่มั่นใจในเรื่องนั้น พอจับจ้องแมวที่นอนนิ่งตรงหน้า อดยิ้มนึกขำไม่ได้ว่ามันเหมือนกับเจ้าของไม่แพ้กัน
มอมแมมเหมือนกัน...
“ลีโอ...”
เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา เรียกเสียงครางครืดจากลำคอแมวขาวเมื่อมันอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย หูกระดิกอย่างรับรู้ว่าถูกเรียกชื่อ
“ลีโอนาร์ด”
คล้ายกับทวนชื่อสัตว์เลี้ยงให้จำฝังลึกในก้านสมอง ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบขนสากตั้งแต่หัวเล็กถึงกลางหลัง ลีโอเอียงหัวรับก่อนจะนอนลงอย่างว่าง่าย ลูเซียสลูบไล้เช่นนั้นไปเรื่อย ๆ โดยพึมพำชื่อของมันนาน ๆ ที จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดและไฟในคฤหาสน์เริ่มติดบางจุด เสียงฟืนถูกมอดไหม้ดังนอกตัวคฤหาสน์ คนใช้คงพากันก่อกองไฟให้ความอบอุ่น
จู่ ๆ เสียงครืดในลำคอแมวขาวที่นอนนิ่งก็หายไป มันลืมตาและยันตัวขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ปฏิกิริยาเช่นนั้นทำให้ลูเซียสจับจ้องไปในทิศทางเดียวกัน
เกิดอาการตกใจและชะงักงัน
นอกตัวคฤหาสน์มีบางคนยืนจับจ้องมาทางเขาจากมุมมืด รูปร่างพอคาดเดาได้ว่าเป็นชายร่างสูงใหญ่ในชุดโค้ตคลุมศีรษะตัวยาว นอกจากเขาแล้วในเขตพื้นที่นี้ไม่มีคนที่ตัวใหญ่ขนาดนั้น แสดงว่าเป็นบุคคลภายนอกที่บุกรุกมายามวิกาล กระทั่งร่างนั้นเดินเลี่ยงออกไปด้านข้างมุ่งไปที่หลังคฤหาสน์
ลูเซียสรีบยันตัวขึ้นเดินไปหยิบปืนยิงสัตว์ที่แขวนบนผนัง ก้าวขายาวออกไปด้านนอกตัวบ้านตามรอยผู้บุกรุกแบบไร้ความเกรงกลัว ไม่ลืมหยิบคบเพลิงส่องนำทางไปด้วย นัยน์ตาเขายังคงสงบแน่วแน่
แมวร่างปราดเปรียวเดินตามถึงแค่หน้าประตู ตาสองสีจับจ้องแผ่นหลังกว้างของเจ้าของบ้านจนสุดสายตาของมัน
ด้านข้างคฤหาสน์เป็นพื้นที่รกของตระกูลแมทธีโอนี มันติดป่าช้าและดินค่อนข้างชื้น ลูเซียสยังไม่มีแผนที่จะปรับปรุงเพราะงั้นมันถึงเงียบและมืดสนิท เขาก้าวเดินตามแผ่นหลังชายใส่ชุดคลุมสีดำตั้งแต่ศีรษะจรดข้อเท้า แต่เหมือนยิ่งเดินตามอีกคนยิ่งทิ้งระยะห่าง
“กา!”
เสียงอีกาทำลูเซียสตกใจหันคบเพลิงส่องป่าด้านข้าง เมื่อไม่พบอะไรเขาจึงส่องกลับทางเดิม ก่อนจะผวาเมื่อคนที่เดินตามอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด ไม่ทันจะเห็นใบหน้านั้นชัดเจน ร่างใหญ่ในชุดคลุมก็วิ่งหนีไปเสียก่อน ลูเซียสวิ่งตามและเล็งปืน เขาไม่ลั่นไกเนื่องจากเล็งเป้าไม่ได้
เสียงเท้าย่ำใบไม้ดังตลอดทาง บรรยากาศหนาวเหน็บวังเวง พื้นที่เริ่มปกคลุมไปด้วยหมอกขาว ลูเซียสไล่ตามผู้บุกรุกไม่ทันและเขาพบว่าเหลือเพียงตัวเองท่ามกลางป่ารก ลูเซียสหอบหายใจเล็กน้อยจับปืนไว้มั่น เขาสำรวจรอบด้านที่ตนเองยืนอยู่ ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับต้นไม้เก่าแก่ด้านข้างที่มีอายุเกินสามร้อยปี มันสูงใหญ่แผ่ขยายกิ่งก้านไปกว้างขวางกว่าสายพันธุ์ของตัวมันเอง
ต้นสนจูนิเปอร์
ลูเซียสชะงักงันเงยหน้ามองต้นจูนิเปอร์ที่ไม่ได้เห็นมาหลายปีในพื้นที่ของตัวเอง เกิดความรู้สึกอึดอัดบีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายอย่างแปลกประหลาด ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ทีละนิด
ฝ่ามือกำลังจะวางทาบที่ลำต้นในอีกอึดใจ ทว่าเสียงฝีเท้าจากด้านหลังทำเขาชะงักค้าง ลูเซียสหันกลับไปตวัดปืนขึ้นรวดเร็ว
“คุณชายลูเซียส!”
พ่อบ้านเจสันยกมือขึ้นอย่างตกใจ อีกข้างหิ้วไฟฉายลำใหญ่ส่องสว่างผ่านม่านหมอก ลูเซียสขมวดคิ้วลดปืนลง
“คุณเจสัน?”
“ทำไมเข้ามาในป่าด้านหลังตอนค่ำมืดแบบนี้ครับ หากถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าจะทำยังไงครับ!?”
พ่อบ้านดูร้อนรนหวาดเกรงบริเวณที่ยืนอยู่ ขณะที่ลูเซียสมีสีหน้าตึงเครียดไปแย่งไฟฉายมาส่องดูโดยรอบเพื่อหาชายร่างใหญ่ปริศนา ออกคำสั่งเสียงเข้มแต่ไม่ตวาดให้อีกคนตกใจ
“ให้คนออกมาตระเวนตรวจตรารอบ ๆ ด้วยครับ เหมือนว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามา ผมเกรงว่าจะเป็นขโมย”
เจสันตกใจหน้าตาตื่น
“คุณชายอย่าออกมาคนเดียวอีกนะครับ แจ้งผมหรือคนใช้คนอื่นก็ได้”
“ผมรีบร้อนไปหน่อย”
ลูเซียสเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เขาหันกลับไปมองต้นสนจูนิเปอร์อีกครั้ง พึมพำเสียงเบา
“ลืมไปเลยว่ามีสนจูนิเปอร์อยู่ในที่ดิน”
“โอ้ จริงด้วยสินะครับ ต้นไม้ที่คุณชายคิดจะโค่นหลายต่อหลายครั้ง” เจสันนึกไปถึงเมื่อหลายปีก่อน เขาลอบมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นนาย “ทำไมคุณชายถึงอยากโค่นมันครับ?”
“...ไม่รู้สิครับ”
ลูเซียสครุ่นคิดหาคำตอบ
“แค่รู้สึกขนลุกยามจ้องมองมัน”
ต้นสนจูนิเปอร์เป็นต้นไม้ที่อยู่กับตระกูลแมทธีโอนีมาหลายปี ความจริงมันอยู่มาก่อนที่แมทธีโอนีจะซื้อที่ดินตรงนี้ ลูเซียสเกลียดต้นไม้ต้นนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นอย่างไม่มีเหตุผล เกลียดถึงขั้นอยากจะโค่นมันออกไปจากที่ดิน ทว่าบิดากลับออกคำสั่งเด็ดขาดว่าห้ามทำอะไรกับมันเด็ดขาด
‘นี่คือต้นไม้ของพระเจ้า...’
ตระกูลแมทธีโอนีเชื่อเช่นนั้น
ชายหนุ่มนักบุญเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเดินเข้าไปลึกพอสมควรตอนที่กลับถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาให้คนนำปืนไปเก็บ กวาดตามองหาแมวตัวขาวมอมแมมและพบว่ามันไม่อยู่แล้ว...
พูดคุยกันได้นะคะ ❤️ เรื่องนี้อาจจะมีติดเหรียญล่วงหน้านะคะ แต่ปลดฟรีทุกตอนแน่นอนค่ะ