ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคกลาง,ดาร์ค,รัก,พระเอกค่าตัวแพง,พระเอกปากหมา ,พระเอกธงแดง,พระเอกรวย,พระเอกร้าย,พระเอกคลั่งรัก,พระเอกขี้หึง,พระเอกขี้หวง,นายเอกจน,ดยุก,พีเรียดยุโรป,พีเรียดตะวันตก,ลูซิเฟอร์,ซาตาน,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
𝕳𝖚𝖘𝖇𝖆𝖓𝖉'𝖘 𝖇𝖔𝖉𝖞 𝖚𝖓𝖉𝖊𝖗 𝖙𝖍𝖊 𝕵𝖚𝖓𝖎𝖕𝖊𝖗 𝖙𝖗𝖊𝖊
𝕵𝖚𝖍𝖆𝖗𝖆𝖍
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
...มันคือความผิดพลาด....
ขอเพียงแค่ 'จินดริชผู้น่ารังเกียจ' ได้หลุดพ้นจากสามีนักบุญอย่าง 'ลูเซียส คิว แมทธีโอนี' ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่รับฟังคำขอ ทว่าผู้มอบข้อเสนอกลับเป็นปรปักษ์ของพระเจ้า...
วิญญาณของสามีไร้รัก เขาจะมอบให้...ซาตาน
❝ จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ ❞
แต่จินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ซาตานต้องการ...ไม่ใช่สามี
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
TWITTER X: @juha_rah | FACEBOOK: Juharah
แท็ก #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Story: Juharah | Cover: WP Seazebra
FACEBOOK: Juharah
TWITTER X: @juha_rah
#หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Chapter 8
"Legs that can't walk"
ยาเนื้อครีมถูกทาบริเวณรอยจ้ำช้ำเพราะจักรยานล้มบริเวณข้อศอกแผ่วเบา จากนั้นฝาก็ถูกปิดที่กระปุกยาตามเดิม จินดริชไปที่หน้ากระจกบานเล็กเพื่อส่องดูใบหูยามสวมจิวไม้กางเขน เขาหยิบผ้าพันคอมาสวมหลวม ๆ แล้วเดินไปหยิบกระป๋องทูน่าหมักมาเปิด เทใส่ถาดอะลูมิเนียมเอาไว้ให้ลีโอนาร์ด ร่างโปร่งจ้องมองอาหารในถาดอยู่ครู่หนึ่ง
“วันนี้ไม่เห็นเลยแฮะ”
ปกติแมวตัวสีขาวมักจะเดินผ่านหูผ่านตาเขาอยู่บ้าง ทว่าวันนี้ตั้งแต่ช่วงสายเขาไม่เห็นมันอีก ทั้งที่โบสถ์หรือในเมือง
“ติดตัวเมียหรือเปล่านะ?”
จินพยายามไล่ความคิดด้านลบไปจากหัวสมอง เขาไหวไหล่แล้วออกจากห้องในหอนาฬิกาตอนเกือบเที่ยงคืน เดินเอื่อยฝ่าอากาศเย็นเพื่อไปทำงานที่บาร์ของคุณจูเลียอย่างเช่นทุกวัน เขาจะต้องทำตัวร่าเริงเพื่อไม่ให้เธอไล่เขากลับเหมือนเมื่อวานนี้
“สวัสดีครับคุณจูเลีย”
จินดริชรีบทักทายเจ้าของร้านตัวสูงในชุดกระโปรงเมื่อเปิดประตูเข้าร้าน เธอมองเขาขณะนับกองเหรียญทองบนโต๊ะ
“หายดีแล้วเหรอ?”
“ครับ”
จูเลียจับผิดพลันถอนหายใจด้วยความขี้เกียจเถียง
“อืม ๆ ไปจัดเก้าอี้ได้แล้ว”
จินดริชไม่ทันเดินถึงห้องครัว จูเลียก็เอ่ยกับเขาโดยที่ไม่มองหน้า เสียงของเธอค่อนไปทางเคร่งเครียด
“เมื่อวานคุณทิมตันบอกว่าเธอเสียมารยาทกับเขา”
ต้นเรื่องหันมองเสี้ยวหน้าคุณจูเลีย เขาไม่คิดจะแก้ต่างให้ตนเอง
“อย่าทะเลาะกับแขกบ่อยนักเลยเพราะร้านอาจถูกปิดได้ คุณทิมตันเคยเป็นทหารของท่านดยุกมาก่อนด้วย”
“ขออภัยครับคุณจูเลีย มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ความอึดอัดก่อร่างขึ้นในจิตใจเพราะเห็นว่าคุณจูเลียดูตึงเครียดกว่าปกติ เมื่อวานทิมตันคงโกรธมากจนกดดันเธอ จินดริชรู้สึกผิดแทบจะร้องไห้ออกมาที่ทำให้ผู้มีพระคุณมาเดือดร้อนด้วย
ชีวิตของจินดริชยังยากเย็นได้ยิ่งกว่าเดิม เพราะวันนี้ทิมตันเข้ามาเปิดโต๊ะในร้านพร้อมเพื่อทหารตรวจตราอีกสามคน ศีรษะของทหารหนุ่มมีผ้าพันแผลพับเป็นก้อนอุดแผลแตกเอาไว้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เข้ามาหาเรื่องจินเหมือนเมื่อวาน ทว่าสายตากดดันมักจะจับจ้องมาอยู่ตลอด จินดริชทำหน้าที่ถือเบียร์ไปเสิร์ฟอีกฝ่ายที่โต๊ะ เขาโน้มตัวลงตั้งแก้วเบียร์ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน
หมับ
ขนทั่วกายลุกชันเมื่อก้นของเขาถูกลอบจับแน่น จินดริชหันมองทิมตันที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว อีกฝ่ายเชยตามองเขาพลางกระตุกยิ้มมุมปาก มือที่วางก้นบีบนวดไม่ยอมปล่อย จินดริชรีบผละตัวออกมาเดินตาแข็งค้างกลับไปที่บาร์ มือของเขากำแน่นจดจ้องใบหน้าทิมตันไม่ละไปไหน
นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ
“จิน เอาน้ำไปเทหน่อย”
แม่ครัววางถังน้ำที่หน้าประตู จินถึงได้หลุดจากอารมณ์โกรธแค้น
“ครับ”
น้ำล้างผักถูกเททิ้งที่ข้างต้นไม้หน้าร้านเบียร์ จินดริชใช้เท้าเหยียบมันให้ซึมไปกับดินก่อนจะกลับเข้าร้าน ทว่าสายตาเขาชะงักเข้ากับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้อันเป็นจุดเกิดเหตุของเขากับทิมตันเมื่อวานนี้ ความมืดสลัวไม่อาจทำให้มองเห็นชัดเจน ทว่าแสงจากร้านเบียร์ละแวกนั้นทำให้พอรู้ว่าอีกฝ่ายคือชายร่างสูงสวมชุดคลุมกรอมเท้า เส้นผมสีขาวสว่างแลบออกมาจากฮู้ด ส่วนสูงและรูปร่างเช่นนั้นมีเพียงผู้เดียวในชนบทอาร์คาเนีย
ลูเซียส คิว แมทธีโอนี
เกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมนักบุญแห่งอาร์คาเนียถึงมาอยู่ในละแวกแหล่งอบายมุขกลางดึกเช่นนี้ จินดริชยืนมองตอบโต้เช่นนั้นอยู่หลายนาที จนกระทั่งอีกฝ่ายหันหลังและเดินจากไปเพียงลำพัง จินดริชเดินตามไปแบบไม่รู้ตัว แต่สองขาก็หยุดเคลื่อนไหว นัยน์ตาฟ้ามองแผ่นหลังที่หายไปในเส้นทางมืดสนิทเชื่องช้าจนกระทั่งอีกคนเดินลับสายตาในที่สุด เขาก้มมองที่ปลายเท้าตนเอง ก้มตัวลงหยิบบางอย่างขึ้นมาดู
ใบสนสีเขียวแก่
มองดูรอบด้านแล้ว นอกจากต้นกระดุมเงินอันเป็นต้นไม้ประจำประเทศ ก็ไม่เห็นว่าจะมีต้นสนอยู่แถวนี้ เป็นไปได้ว่าลูเซียสอาจจะทำตกเอาไว้
ไม่อาจรับรู้ในการกระทำของตนเอง จินดริชเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงอย่างระมัดระวัง เดินกลับมาที่ร้านอีกครั้งก็พบทิมตันกำลังยืนพิงประตูสูบบุหรี่อยู่โดยที่จับจ้องจินดริชไม่วางตา เป็นอีกครั้งที่จินพยายามเมินเฉย แต่ลำแขนล่ำดันประตูไม่ให้เปิดออก ใบหน้าทหารหนุ่มยียวนพ่นควันฟุ้ง ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นก่อน
“ขอโทษเรื่องเมื่อวานที่ทำให้คุณไม่พอใจ”
คำขอโทษที่จินดริชจำใจเอ่ยออกไปเพื่อจบปัญหา แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่ใช่ความผิดของตนเองเลยสักนิดเดียว
“นอนกับฉันแล้วจะยกโทษให้”
“ทิมตัน แม้ผมจะทำงานแบบนี้แต่ผมเป็นผู้ชาย”
“คิดว่าเชื่อคำพูดตอแหลนั่นหรือไง ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าแกขายตัวให้คนแก่รวย ๆ ทั้งเมือง...แกมันเป็นโสเภณี”
“...”
“เหมือนแม่ของแกไง”
จินดริชกำมือแน่น ดวงตาเขาคลอสั่นด้วยความโกรธ แต่แล้วก็หายไปเมื่อจินดริชเผลอมองจูเลียที่จ้องจากในร้าน
“ผมไม่ได้ขายตัว ได้โปรดเลิกยุ่งกับผมเถอะนะครับ ทิมตัน”
ทหารหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อจินดริชทำท่าเมินเฉยเขาอีกครั้ง ฝ่ามือหยาบกร้านเอื้อมไปจับท่อนแขนอีกคน ทว่าสัมผัสที่รับรู้คือความร้อนระดับน้ำเดือด
“อ๊าก!”
จินดริชสะดุ้งโหยงกับเสียงร้องดังสนั่น เขาหันขวับไปหาทิมตันที่ยืนกุมมือตนเอง ใบหน้าอีกฝ่ายดูเจ็บปวด คนในร้านเริ่มออกมาดู
“เกิดอะไรขึ้น” จูเลียเอ่ยถาม
จินดริชขมวดคิ้วงุนงง เมื่อครู่ทิมตันจับแขนเขาแล้วก็ผละออก จู่ ๆ ก็ร้องออกมาไม่มีสาเหตุเหมือนเจ็บปวด ควรเป็นจินดริชหรือเปล่าที่ต้องเจ็บเพราะมีแผลถลอก เขาหมายเอื้อมมือไปจับไหล่ทหารรับจ้าง “คุณทิมตัน?”
“โอ๊ย!” ทหารหนุ่มยิ่งกระโดดหนีไปไกล หน้าแดงก่ำขอบตาคลอใส ขยับหนีจินดริชราวกับรังเกียจ “ทำไมแกตัวร้อนราวกับไฟแบบนี้จินดริช!”
“หา?!”
คนถูกกล่าวหางุนงง จูเลียที่ได้ยินดังนั้นเดินมาใช้หลังมือแตะหน้าผากกว้าง เธอยิ่งขมวดคิ้วจับแก้มนุ่มของจิน “ก็ปกตินี่”
จินดริชกังวลในท่าทีของทิมตันไม่น้อย รู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ
“ขอผมดู-”
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ไอ้เวรเอ๊ย!”
ทหารหนุ่มเดินหลบเลี่ยงจินดริชอย่างหวาดระแวง เขาจับฝ่ามือตนเองที่แดงเถือก ซ้ำร้ายมันยังเหมือนมีรอยไหม้คล้ายโดนไฟ แต่ทิมตันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็นบาดแผลนั้นของเขาเลยสักคน ทิมตันหมดอารมณ์ที่จะอยู่ดื่มเบียร์ต่อ
“ผะ ผมไม่รู้เรื่องนะครับคุณจูเลีย” จินดริชรีบแก้ตัวหน้าตาใสซื่อ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้คืออะไรเขาไม่เข้าใจ
จูเลียเพียงแค่ตบไหล่จินดริชเบา ๆ ออกปากไล่ลูกจ้างให้กลับไปทำงานของตนเองเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ เธอมองซีกหน้าของจินที่ยืนสับสนไม่หาย สุดท้ายก็เลิกสนใจแต่โดยดี
“วันนี้คุณชายจะไปโบสถ์งั้นหรือครับ?”
พ่อบ้านวัยกลางถามผู้เป็นนายที่ยืนนิ่งให้สาวใช้สวมเครื่องแต่งกายสีขาว เนกไทผูกที่คอเสื้อแนบแน่นทำผิวที่ขาวจัดขึ้นรอยแดง เข็มขัดสอดเข้าที่เอวและล็อกพอดี สูทสีครีมสวมทับด้านนอก ตามด้วยเครื่องประดับเล็กน้อยพอแสดงเกียรติสมกับฐานะ ที่ขาดไม่ได้คือจิวเพชรเสียบเข้าสองรูบริเวณติ่งหูสองข้าง ใบหน้าหล่อเหลาพิมพ์รอยยิ้ม
“ครับ เมื่อวันก่อนยุ่งมากถึงขนาดที่ไม่ได้เข้าพิธีมิสซา”
ขลุกตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ เซ็นเอกสารการเงินและตอบจดหมายคู่ค้าต่างชาติ เขาไม่ได้ออกไปพบปะกับใครเลย มีก็เพียงสัตว์หน้าขนตัวสีขาว
“วันนี้แมวตัวนั้นมาหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นมาสองวันแล้วครับ แต่ปกติมันมักจะมานอนเล่นที่ระเบียงช่วงสายของวัน”
ลูเซียสขานรับพ่อบ้านในลำคอเป็นการรับรู้ แมวตัวนั้นมักจะชอบมายืนที่ขอบหน้าต่างในตอนที่เขานั่งดื่มชาพักผ่อน รอให้เคาะนิ้วสามครั้งเรียกมันมาลูบขนสาก หากวันใดเขาอยู่ชั้นบนก็จะเห็นมันปีนขึ้นต้นพีชข้างคฤหาสน์มายืนมองเฉย ๆ เขาเริ่มพบเจอมันได้บ่อยครั้ง
“บอกสาวใช้จับมันอาบน้ำหน่อยนะครับ”
เผลอ ๆ เจอบ่อยยิ่งกว่าเจ้าของของมัน
“ตัวมันเริ่มเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลา”
ไม่รู้ว่าเจ้าของเอาอะไรให้กิน อาจจะเป็นทูน่ากระป๋อง...
“คุณออสวาล์ดคงไม่มีเวลาดูแล”
“ครับคุณชาย ถ้าหากคุณชายชอบมันผมจะขอซื้อต่อจากจินดริชให้”
คำแนะนำนั้นทำให้ลูเซียสเงียบไปเพื่อครุ่นคิด เขาก้าวขายาวเดินออกจากคฤหาสน์ไปขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว ตามด้วยเจสันที่ขึ้นไปนั่งข้างคนขับรถ เขาตอบคำถามที่ค้างไว้
“ไม่ต้องหรอกครับ”
ซื้อมันมางั้นเหรอ...
“คุณออสวาลด์คงรักมันพอสมควร”
“ถ้าผมเป็นมันคงอยากจะมีคุณชายเป็นเจ้าของมากกว่าครับ”
เสียงขำของเจสันและคนขับรถดังตามมาเล็กน้อย
ลูเซียสหลุบตามองตักตนเอง ก่อนจะยกมือขึ้นขยับเนกไทที่ชิดลำคอจนอึดอัด เขาเบนสายตาออกไปนอกตัวรถที่กำลังมุ่งหน้าไปโบสถ์กลางเมือง
เจสันเริ่มรายงานข่าวสิ่งที่ได้รับฟังจากโทรศัพท์บ้าน
“คุณไบรอันจะเดินทางมาที่อาร์คาเนียในสัปดาห์หน้าครับ คุณชายกลางจะเป็นตัวแทนคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเข้าร่วมงานเลี้ยงครับ”
ไบรอัน แมทธีโอนี
คุณชายกลางหรือบุตรชายคนที่สองของตระกูลแมทธีโอนี ไบรอันเป็นน้องชายของลูเซียสวัย 26 ปีที่อาศัยอยู่กับบิดามารดา ณ เมืองหลวงเกรซ ช่วยเหลือดูแลงานโรงแรมที่กำลังเฟื่องฟู ใบหน้าของน้องชายลอยเข้ามาในหัว ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูง ผมสีทองนัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ ใบหน้าใจดีติดขี้เล่น พูดจาเสียงดังฟังชัดและทะเล้น
“งานเลี้ยงจัดในเดือนหน้า ทำไมถึงได้รีบมานัก?”
“คุณไบรอันบอกว่าอยากกลับมาพักผ่อนครับ เห็นว่าเริ่มเหนื่อยกับงานโรงแรมที่เกรซ”
ใบหน้าของลูเซียสเรียบเฉยทีละนิด ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องที่ได้ยิน แววตาสงบนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างที่ซับซ้อน เขาเอ่ยออกคำสั่ง
“รีบทำความสะอาดห้องนอน เลือกผ้าห่มแบบบางเพราะเขาค่อนข้างขี้ร้อนครับและจ้างแม่บ้านเพิ่มอีกสักคน”
“รับทราบครับคุณลูเซียส”
ไบรอัน...
ต้นหน้าร้อนได้มาถึงแล้ว อุณหภูมิในชนบทอาร์คาเนียเริ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังเย็นกว่าหลาย ๆ เมืองในประเทศ ผู้คนเริ่มสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง จากเดิมที่สวมไหมพรมก็เปลี่ยนเป็นผ้าฝ้ายโปร่ง ไร้ผ้าพันคอและเสื้อคลุมด้านนอก ร่างสูงโปร่งในชุดดำชินตาคนเมืองเดินแวะเข้าร้านขายเนื้ออบแห้งหลังจากเลิกงานจากร้านเบียร์สด คนที่เพิ่งออกมาเดินเลี่ยงหนีห่างเขาพลันทำสีหน้าตกใจแกมรังเกียจ
“อย่าได้เอาตัวสกปรกของแกมาเฉียดฉัน”
คนสกปรกได้แต่ยืนนิ่งให้หญิงร่างท้วมเดินผ่านไป เขาเปิดประตูเข้าไปในร้านและเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ
“ผมต้องการแฮมและเนื้อวัวอบแห้งสำหรับหนึ่งเดือน”
การซื้อขายที่พ่อค้ามอบสินค้าให้โดยที่มีสีหน้าไม่เต็มใจ ซ้ำยังไม่รับเงินจากมือของจินดริชโดยตรง ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นมาตลอดหลายปีที่จินอาศัยอยู่ในเมืองนี้
ลูกค้าที่แวะมานาน ๆ ครั้งออกจากร้านสีหน้าเรียบเฉย เขาปั่นจักรยานคันเก่าสีสนิมกลับไปที่โบสถ์อย่างเช่นทุกวัน เปิดประตูบานใหญ่เข้าไปก่อนจะชะงักเมื่อพบชายร่างท้วมวัยห้าสิบนั่งอยู่ต่อหน้ารูปปั้นพระเยซู จินดริชสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมและเศร้าหมอง เขาค่อย ๆ เดินไปนั่งลงด้านข้าง เงยหน้ามองรูปปั้นศาสดาที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ลวดลายสลักอย่างประณีตงดงามจากศิลปินมากฝีมือ เขาเอ่ยทักทายชายที่มานั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมถึงมาโบสถ์แต่เช้าล่ะครับ คุณแรมเบิร์ธ”
ชายวัยห้าสิบมีสีหน้าเศร้าซึม ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อพูดคุยกับเด็กหนุ่มข้างกาย เขาเงยหน้ามองจินที่นั่งตัวตรงด้านข้าง
“แค่รู้สึกว่าการอยู่บ้านเฉย ๆ มันทำให้ชีวิตสั้นลง”
จินดริชขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ?”
“เพราะฉันว่างจนคิดฟุ้งเฟ้อรอความตายที่ใกล้เข้ามา”
ประโยคนั้นแฝงความหมายบางอย่างที่ทำให้จินดริชหันไปมองคนด้านข้างอย่างถี่ถ้วน ขาสองข้างที่แรมเบิร์ธมักบ่นว่าปวด ตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าสีขาวทั้งสองข้าง
“เกิดอะไรขึ้นกับขาของคุณ?”
“...ฉันไม่ได้ปวดขาเพราะน้ำหนักเยอะอย่างเดียวหรอกนะจิน”
“...”
“ฉันทำสวนและซุ่มซ่ามทำจอบบาดขา เลือดอาบแต่ยังฝืนทำต่อโดยไม่คิดไปหาหมอ ลืมไปเลยว่าดินมันไม่ได้สะอาด แผลติดเชื้อจนหมอรักษาไม่ไหว”
เสียงที่เล่าออกมาพร้อมรอยยิ้มเริ่มสั่นเหมือนมีน้ำลายขวางเอาไว้
“ฉันเริ่มป่วยและเดินไม่สะดวก หมอบอกตัดมันทิ้งจะดีกว่า”
“คุณต้องตัดมันทิ้ง” จินดริชต่อประโยคนั้นโดยทันที “มีคนเกินครึ่งตายจากบาดแผลติดเชื้อ คุณต้องทิ้งขา”
“ฉันคงอยู่ไม่ได้หากต้องนั่งเฉย ๆ ในบ้านกว้างขวาง”
“...”
“การจากไปมันคงดีกว่า”
“คุณแรมเบิร์ธ...”
“พระเจ้าอาจต้องการให้ฉันได้พัก”
“คุณต้องรักษาอย่างเต็มที่ อย่าเพิ่งด่วนคิดอะไรแย่ ๆ นั่นจะทำร้ายคุณมากกว่า อีกอย่างสมัยนี้มีคนนั่งรถเข็นตั้งมากมายเพื่อใช้มันแทนขา”
ไร้การตอบกลับมาหลายนาที ภายในโบสถ์เงียบจนเสียงหายใจเข้าออกชัดเจน แรมเบิร์ธมองเด็กหนุ่มที่ร้อนรนยิ่งกว่าเขาเสียอีก เจ้าตัวกำมือแน่นจนซีดเหลือง เขายิ้มมุมปาก
“ขอบใจนะจิน”
“...”
“เพิ่งสังเกตว่าเธอสูงขนาดนี้แล้ว”
จินมองหน้าคนที่เปลี่ยนเรื่องทั้ง ๆ ที่น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาช่วยเช็ดให้รวดเร็ว พวกเขามองหน้ากันแล้วพากันขำโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ผมยี่สิบแล้ว ไม่ใช่สิบขวบ”
“แต่เธอยังดูเด็กในสายตาฉันอยู่เลย เจ้าเด็กไม่รู้จักโต”
จินจับมือชายแก่ เขาบีบแน่นให้กำลังใจ “คุณจะไปไหนต่อ?”
“อืม คงกลับบ้านแหละนะ ความจริงจะไปแล้วล่ะ”
“น้ำพุกลางเมืองเพิ่งถูกทำความสะอาด มันสวยมาก คุณน่าจะลองแวะไปชื่นชมสักหน่อยนะครับ”
จินดริชไม่ต้องการใช้ชายวัยกลางอุดอู้อยู่แต่บ้าน
“ไว้ฉันจะแวะไปนะ”
“...”
“โบสถ์นี้ดูแปลกตาจัง มันดูระยิบระยับ มีอะไรแปลกไปนะ...”
จินดริชกวาดตามองโบสถ์กว้าง
“คุณชายแมทธีโอนีบริจาคเงินทำนุบำรุงครับ เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่ก็เพิ่งถูกนำมาส่ง ไม้โอ๊คเคลือบเงาอย่างดี”
“โอ้ จริงด้วยสินะ ขอพระเจ้าจงคุ้มครองท่านนักบุญ”
“ขอให้พระองค์คุ้มครองขาของคุณก่อนจะดีกว่า”
“เจ้าเด็กปากเสียนี่!”
คนต่างวัยนั่งคุยกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดแรมเบิร์ธก็ต้องไป เขาพยายามลุกขึ้นยืนกับไม้ค้ำ จินดริชรีบช่วยพยุง
“ผมจะไปส่งที่รถม้าครับ”
“ขอบใจมาก มีผักกาดอยู่ในรถ เธอเอาไปกินซะนะจิน”
“ผมขอซื้อมัน”
“ไม่ต้อง ๆ มันเหลือจากที่ฉันเอาไปขาย ค่อนข้างช้ำ”
“โกหก คุณก็พูดแบบนี้ตลอดแหละครับ”
“ฮ่า ๆ โดนรู้ทันจนได้”
“จับเอวผมเอาไว้ครับคุณแรมเบิร์ธ”
ชายแก่ไม่ขัดน้ำใจนั้นเพราะเขาเองก็เดินไม่ไหว
การพยุงคนเจ็บขาที่น้ำหนักตัวร้อยกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จินดริชช่วยแบกรับน้ำหนักของแรมเบิร์ธ มือเหี่ยวจิกเนื้อเขาเพื่อพยุงจนเจ็บ แต่จินก็ไม่ปริปากบ่น มีก็แต่ตำหนิคนใช้ของแรมเบิร์ธที่ไม่เข้ามาช่วยดูแล
“คุณควรให้คนมาช่วยดูแลแบบใกล้ชิด”
“เธออายุยี่สิบหรือสี่สิบ? ทำไมถึงบ่นตลอดเวลา”
โชคดีที่มีคนเปิดประตูเข้าโบสถ์มาพอดีกับที่จินกำลังออกไป เขาชะงักมองแผงอกใต้ชุดสูททางการ ไล่สายตาขึ้นเรื่อย ๆ จนพบกับนัยน์ตาสีเข้มและเรือนผมขาวเสยขึ้นสูงเป็นระเบียบ ขณะที่จินรู้สึกตกใจแต่คนแก่ด้านข้างทักทายอย่างตื่นเต้นออกนอกหน้า
“สวัสดีครับนักบุญลูเซียส!”