ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคกลาง,ดาร์ค,รัก,พระเอกค่าตัวแพง,พระเอกปากหมา ,พระเอกธงแดง,พระเอกรวย,พระเอกร้าย,พระเอกคลั่งรัก,พระเอกขี้หึง,พระเอกขี้หวง,นายเอกจน,ดยุก,พีเรียดยุโรป,พีเรียดตะวันตก,ลูซิเฟอร์,ซาตาน,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
𝕳𝖚𝖘𝖇𝖆𝖓𝖉'𝖘 𝖇𝖔𝖉𝖞 𝖚𝖓𝖉𝖊𝖗 𝖙𝖍𝖊 𝕵𝖚𝖓𝖎𝖕𝖊𝖗 𝖙𝖗𝖊𝖊
𝕵𝖚𝖍𝖆𝖗𝖆𝖍
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
...มันคือความผิดพลาด....
ขอเพียงแค่ 'จินดริชผู้น่ารังเกียจ' ได้หลุดพ้นจากสามีนักบุญอย่าง 'ลูเซียส คิว แมทธีโอนี' ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่รับฟังคำขอ ทว่าผู้มอบข้อเสนอกลับเป็นปรปักษ์ของพระเจ้า...
วิญญาณของสามีไร้รัก เขาจะมอบให้...ซาตาน
❝ จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ ❞
แต่จินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ซาตานต้องการ...ไม่ใช่สามี
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
TWITTER X: @juha_rah | FACEBOOK: Juharah
แท็ก #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Story: Juharah | Cover: WP Seazebra
FACEBOOK: Juharah
TWITTER X: @juha_rah
Tag: #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Chapter 10
"Graveyard keeper"
มือใหญ่ผละออกไปเชื่องช้าติดอ้อยอิ่ง สายตาหรี่คมมองซีกหน้าขาวขณะเดินสวนร่างโปร่งออกไปด้านนอกโบสถ์ ทิ้งให้คนชุดดำยืนนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม กระทั่งเสียงประตูปิดลงดังสะท้อนทั้งโบสถ์กว้าง
นัยน์ตาฟ้าสั่นระริกจดจ้องถุงเงินบนมือทั้งสองข้าง ช่างหนักอึ้งราวกับเป็นเหล็กกล้าหลายสิบกิโลกรัม แทบจะทำร่วงลงพื้นอยู่รอมร่อ
'งานน่ารังเกียจ'
พูดแบบนั้นแล้วเขาจะกล้าใช้เงินที่รับมาได้อย่างไร
คำคำนั้นมีอานุภาพกับจิตใจเมื่อมันออกจากปากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักบุญ ความดีเอื้อเฟื้อกว้างขวาง เขาหรือคนในเมืองไม่เคยพบเจอและได้ยินลูเซียสเอ่ยตำหนิดุด่าผู้ใด
เว้นแต่ตัวจินดริชผู้น่ารังเกียจ...เขาได้รับสิ่งนั้น
ไหล่ลู่ลง สีหน้าตกใจแฝงความเศร้าเลือนหายทีละนิดจนเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งอารมณ์และยอมรับในความเป็นจริงที่พบเจอ นัยน์ตาฟ้าเชยจดจ้องรูปปั้นพระบิดาที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน มองใบหน้าสลักพลิ้วไหวอย่างไม่เข้าใจ เหตุผลใดที่ทำให้จินดริชไม่ได้รับความเห็นใจ
แม้กระทั่งจากนักบุญ...
"สวัสดีคุณวิสลี วันอากาศดีว่าไหมครับ?"
"มิสเตอร์วิลเลียม ดอกไม้เต็มเลยนะครับ เมื่อวานมีคนมาเยี่ยมคุณอีกแล้วเหรอ เป็นคนดังนี่ดีจริง ๆ นะ"
"คุณแฟรงก์ หน้าดินคุณดูแห้งนะ"
หากใครผ่านไปผ่านมา ณ สุสานคงพากันขนลุก เมื่อเห็นว่ามีคนพูดคุยกับป้ายหลุมศพนับร้อยราวกับมีคนโต้ตอบกับเจ้าตัว ชายหนุ่มวัยยี่สิบที่ควรจะไปเที่ยวเล่นจีบหญิงตามช่วงอายุกำลังใช้ไม้กวาดปัดเศษใบไม้บริเวณหลุมศพ เขาสวมหมวกป้องกันแสงแดดอ่อน ๆ แขนเสื้อเลิกขึ้นถึงข้อศอกให้ผิวขาวผ่องออกมารับลม สถานที่นี้มีจินดริชเพียงผู้เดียวที่ยังมีลมหายใจ นอกนั้นเป็นร่างเน่าเปื่อยอยู่ในโลงศพใต้ดิน แท่นปูนและไม้กางเขนปักด้านบนบอกชื่อผู้ล่วงลับ
จินดริชถอนหายใจคลายเหนื่อย กวาดตามองโดยรอบที่ตนเพิ่งปัดกวาดใบไม้รวมกันเป็นกองใหญ่ ยิ้มเจื่อนมองหลุมศพที่รายล้อม
"ถึงผมจะคุยด้วย แต่ได้โปรดอย่าตอบกลับมา"
แม้จินดริชจะเฝ้าสุสานมานานหลายปี แต่เขาไม่เคยอยู่กะกลางคืนด้วยเพราะความที่เชื่อและกลัวภูตผีปีศาจ เขาไม่เคยชินกับความกลัวแต่ต้องจำยอมนั่งเฝ้าสามวันต่อสัปดาห์ ร่างโปร่งเดินไปที่ต้นหูกระจงแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสองต้น มีผ้าเปลผูกเอาไว้สำหรับนอนพักผ่อน
“เฮ้อ” นั่งพักเหนื่อยเงยหน้ามองท้องฟ้าแจ่มใส...
ดีที่หน้าร้อนไม่น่ากลัวเท่าหน้าหนาว เพราะท้องฟ้าจะสว่างไสวเมฆลอยล่อง สุสานไร้ความอึมครึม จินดริชถอดหมวกสานออกแล้วเหยียดตัวนอนในเปล ดวงตาจับจ้องแสงที่ลอดกิ่งไม้ เสียงลมดังหวิวเข้าหูพัดผ่านรูขุมขนชื้นเหงื่อ สุสานเงียบสงบทำหนังตาเริ่มหนักอึ้งและปรือเล็กลง กระทั่งใบหน้าขาวผ่อนคลายจากการหลับลึก เปลแกว่งช้าลงกระทั่งหยุดนิ่ง
เวลาล่วงเลยไปเท่าใดไม่รู้ จากเดิมที่ใบหน้าผ่อนคลายเริ่มเครียดขึง คิ้วเรียงสวยสีดำเหมือนเส้นผมขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยจนกระทั่งลืมตาขึ้น นัยน์ตาฟ้ามองเพดานไม้โอ๊คแก่คุ้นเคยอยู่ในความทรงจำที่ไม่มีทางลืมเลือน เขาชันตัวขึ้นอย่างง่ายดายคล้ายไร้น้ำหนัก ศีรษะหันมองฟูกที่ตนเองนอน จะบอกเป็นฟูกก็ไม่ถูกเพราะมันไม่ได้ยัดนุ่น เป็นเพียงพรมที่ปูบนฟางแห้งอัดก้อน สองขาปล่อยลงข้างเตียง ถึงได้เห็นว่าขาสองข้างนั้นเล็กนิดเดียว จินดริชเดินย่ำเท้าเปล่าไปเปิดประตู ลูกบิดอยู่สูงระดับสายตาของเขา เมื่อเปิดออกก็พบเจอความวุ่นวายที่ด้านนอก เสียงเด็กสาวสองคนกำลังทะเลาะกันเนื่องจากแย่งตุ๊กตาหมีตัวเก่า
ปึก!
จินดริชโดนชนจนตัวเซทว่าเขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มองเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผ่านหน้าเขาไปโดยไม่เอ่ยขอโทษที่วิ่งชน จินดริชเดินตามแผ่นหลังเล็ก กลางห้องครัวบ้านไม้เก่ามีชายร่างใหญ่กำยำนั่งที่โต๊ะอาหาร มือขนดกข้างหนึ่งกำขวดสุรา หัวโยกไหวตั้งไม่ตรง กลิ่นเหม็นเหมือนคนไม่อาบน้ำมาร่วมเดือน สองขาเล็กหยุดกับที่ไม่ก้าวต่อ ตัวเริ่มสั่นเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นหันมามองเขา ดวงตาประกายกร้าวดุดันน่าหวาดกลัว ชายตรงหน้าลุกขึ้นยืนเผยรูปร่างน่าเกรงขาม ย่างสามขุมมาหาจินดริชที่รู้สึกกลัวสุดขีดแต่ไม่วิ่งไหนไปไหน
“แกเพิ่งตื่นหรือไงจิน?”
เขาไม่ได้ตั้งใจตื่นคนสุดท้าย
“ไร้ประโยชน์แล้วยังนอนกินบ้านกินเมืองอีกหรือไง!”
จินป่วยจากการไปทำสวนตากแดดตากลม
“ไปหาอาหารมาให้ฉันกิน!”
ไม่มีอาหาร...ไม่มีเงิน
“ทำไมยังนิ่งอยู่อีก! ลูกนังแพศยา!”
ฝ่ามือใหญ่ประเคนลงบนใบหน้าของจินจนล้มกับพื้น เขาไม่เจ็บแต่ตกใจจนสติแทบหลุด เมื่อเงยหน้าก็เห็นฝ่าเท้าที่กระทืบลงมา เด็กสาวสองคนยืนจับจ้องไม่ช่วยเหลือ เด็กชายตัวเล็กขำร่าที่เห็นพี่ชายถูกทำร้ายทารุณ
“แกเกิดมาทำไมไอ้ตัวน่าสมเพช!”
ได้โปรดอย่าดุด่า...
บนเปลนอนใต้ต้นหูกระจงมีคนกำลังนอนฝันร้าย ร่างกายเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะฝืนลืมตาตื่นขึ้นมา เจ้าตัวไม่อาจดึงวิญญาณกลับมายังปัจจุบัน มีแต่จมปลักกับอดีตที่ขมขื่น
ช่างน่าเวทนาจริงหนอ...
บนกิ่งต้นหูกระจงมีคนนั่งห้อยขาแผ่นหลังพิงลำต้นสบายอารมณ์ ชุดคลุมตัวยาวสีดำทำกลืนไปกับความมืด แต่ไม่อาจปกปิดเส้นผมสีขาวที่ปรอยออกมาจากฮู้ดสวมศีรษะ และดวงตาสีแดงส่องสว่างคล้ายมีแสงตลอดเวลา บุรุษเสื้อโค้ตจับจ้องฝันร้ายที่ฝังหัวของชายหนุ่มผู้มีชีวิตน่าสังเวช เขาเคลื่อนตัวลงมาที่ข้างเปลง่ายดายราวกับไม่เคยอยู่บนต้นไม้มาก่อน ยืนมองใบหน้าทรมานไม่อาจหลุดพ้น ส่งฝ่ามือไปจับแก้มเย็นชืดเพียงผิวเผิน นิ้วโป้งลูบไล้ตำหนิจาง ๆ ใต้ตาซ้ายแผ่วเบา กายของเขานั้นถ่ายโอนความร้อนไปให้หวังให้ผ่อนคลาย ก่อนจะโน้มตนเองลงเพื่อจ้องใบหน้าขาวนั้น ใกล้เสียจนจมูกเกือบชน
ฝันร้ายเหมือนยาวนานทั้ง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์สั้น ๆ ร่างกายเริ่มหนาวเหน็บจนสั่นเทา ทว่าใบหน้าอุ่นวาบ ตอนนั้นจินดริชได้รู้ตัวแล้วว่าเขาฝันและจะต้องตื่นขึ้นเดี๋ยวนี้ ตั้งสติเพื่อเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะแปลกใจเมื่อเขารับรู้ถึงฝ่ามือบางคนที่กุมใบหน้า ไหนจะไอร้อนที่เผื่อแผ่ให้
แต่จินดริชอยู่สุสาน
ไม่อาจมีใครอื่นนอกจากเขาอีก ความคิดน่ากลัวเช่นนั้นทำเปลือกตาเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วกะทันหัน เงาดำของบางคนอยู่เหนือร่าง ไม่อาจเห็นใบหน้าเพราะอีกฝ่ายบดบังแสงอาทิตย์ สิ่งที่จินเห็นชัดเจนคือดวงตาสีแดงก่ำประกายราวกับไม่ใช่มนุษย์ จินดริชกำลังส่งเสียงร้องตกใจ
“เฮือก!”
ร่างโปร่งผวาเฮือกขึ้นจากเปลนอน จินดริชถึงรู้ตัวว่าเขาได้ฝันซ้อนกับความฝันอีกทีหนึ่ง ความฝันแรกบีบรัดหัวใจ แต่ความฝันเมื่อครู่นี้น่าหวาดกลัว เขาไม่อาจลืมดวงตาแดงก่ำคู่นั้นที่ได้ทำการฝังในสมองเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศรอบด้านมืดสนิทจนน่าขนลุก ไม่ใช่สว่างจ้าเหมือนก่อนหลับใหล
จินดริชนอนเพลินจนฟ้ามืดและเขายังอยู่ที่สุสานเงียบสงัด ไม่รีรอที่จะผุดลุกขึ้น วิ่งแทบล้มไปควบจักรยานและปั่นออกจากสุสานด้วยความหวาดผวา
สิ่งที่จินไม่เห็นคือชายร่างใหญ่ที่ยืนข้างต้นไม้ตั้งแต่ต้น
นัยน์ตาทับทิมจับจ้องแผ่นหลังโปร่งบางลับสายตาของตนเองไป...
คนเฝ้าสุสานปั่นจักรยานสีสนิมกลับมาที่หอนาฬิกาแบบหน้าตาตื่นตกใจไม่หาย จินดริชกำลังสติหลุดเพราะแยกแยะระหว่างความฝันกับความจริงไม่ออก เมื่อนึกย้อนไปขนกายก็พากันลุกชันโดยพร้อมเพรียง
เกิดมายี่สิบปีเขาอาจจะโดนผีหลอกครั้งแรกเข้าให้แล้ว!
เข็มสั้นบนหอนาฬิกาชี้ที่เลขเก้า ไม่อยากจะเชื่อว่าจินเผลอหลับยาวเกือบห้าชั่วโมง ซ้ำยังเป็นที่สุสานฝังศพ ดูท่าจินจะนอนไม่หลับอีกแล้วในค่ำคืนนี้
“เหนียวตัวจัง”
เพราะเข้าหน้าร้อนเหงื่อจึงออกเยอะกว่าปกติ การอาบน้ำตอนค่ำไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่จินคิดว่าน้ำเย็น ๆ อาจช่วยให้สติสตังของเขากลับมาสู่ความเป็นจริงได้แบบเต็มร้อยเช่นเดิม จินดริชใช้ห้องน้ำที่โบสถ์เงียบสงัด น้ำเย็นรดลงที่ศีรษะปวดหนึบหลายต่อหลายรอบ เมื่อพึงพอใจก็ได้แต่ยืนเหม่อมองเงาสะท้อนของตนเองที่ผิวน้ำในถังไม้ คลื่นน้ำสั่นไหวทำภาพที่มองบิดเบี้ยว
ใบหน้าของจินดริชไม่ต่างจากวัยเยาว์สักเท่าใด...
นอกจากจะขยายใหญ่และสันกรามชัดขึ้นเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป เส้นผมสีดำ ผิวขาวและดวงตาสีน้ำเงิน ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปเลย ทั้งหมดนี้ไม่มีจุดที่คล้ายกับบิดาและมารดา แน่นอนว่าไม่เหมือนกับพี่สาวและน้องชายสักนิดเดียว ใบหน้านี้ทำให้เขาแปลกแยกแม้กระทั่งกับคนในครอบครัว
คำด่าทอสาปแช่ง
ฝ่ามือฝ่าเท้ากระแทกบนร่างกายเล็กแกร็น
เป็นเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
จนป่วยและเริ่มชินชากับความบอบช้ำทั้งกายและใจ...
ตอนนี้แยกตัวออกมาแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมจินดริชยังคงรู้สึกเจ็บร้าวบนผิวหนังเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ หัวใจบีบรัดรวดร้าวตลอดเวลายามที่คำกร่นด่าดังก้องในหัวไม่หยุดหย่อน
พระบิดา...ได้โปรดให้ลูกได้หลุดพ้นเสียที
ได้โปรดให้อภัยสิ่งที่ลูกเคยกระทำผิด...
ร่างโปร่งเดินกลับเข้าไปในห้องพักใต้หอนาฬิกา เสียงฟันเฟืองไขลานไม่อาจรบกวนโสตประสาทคนที่ชาชินเนื่องจากอาศัยอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาหลายปี ผ้าขนหนูพาดแขวนกับตะปูเจาะฝังผนังไม้ จินดริงนั่งขอบเตียงรอเวลาไปทำงานที่บาร์เบียร์ น้ำไหลตามเส้นผมหยดลงที่หน้าขา เปียกซึมใยผ้าทะลุถึงผิวหนัง
ตุบ
เสียงบางอย่างที่หน้าต่างสร้างความตกใจ จินดริชหันไปมองก็พบว่าเป็นลีโอนาร์ดที่กลับมาห้องพักเช่นเดียวกัน เขาลุกขึ้นเดินไปมองดูที่ขอบหน้าต่าง ความสูงจากพื้นทำเอาทึ่งในความสามารถของสัตว์เลี้ยง
"ปีนเก่งจริง ๆ นะลีโอ"
เจ้าแมวรับรู้ว่าชายร่างโปร่งผู้อุปถัมภ์กำลังคุยกับมันอยู่ ไม่ขานรับแต่ก็ไถศีรษะกับแขนขาวผ่องที่เคยเขียวช้ำ
สิ่งตอบแทนเป็นการถูกอุ้มแนบอกและฝ่ามือที่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน ทำให้มันอดนึกถึงสัมผัสอีกแบบหนึ่งที่ได้จากชายหนุ่มรูปงามผมสีขาว
คนคนนั้นอ่อนโยนเช่นกันแต่สัมผัสหนักแน่นกว่า ทางกลับกันจินดริชลูบหัวมันอย่างแผ่วเบาคล้ายว่ากลัวมันจะเจ็บ
"เหมียว~"
จินดริชพาลีโอนาร์ดมานั่งบนตักที่ขอบเตียง เขาขมวดคิ้วสงสัยสัมผัสลื่นมือ ขนก็ขาวสะอาดสะอ้าน แถมยังหอมฟุ้งโดยที่ไม่ต้องก้มไปสูดดม ไร้กลิ่นคาวปลาของทูน่ากระป๋องที่จินเทให้อยู่ทุกวัน เขาจับใบหน้าเล็กของสัตว์เลี้ยงขึ้นดูอย่างพินิจ
ขี้ตาก็ไม่มี!
อัญมณีสองสีเปล่งประกายงดงามขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะไร้คราบเหลืองเกรอะ ไม่มีน้ำมูกที่จมูกชมพูชื้น จินดริชก้มลงสูดดมหัวแมวบนตัก มันดิ้นหนีเหมือนไม่ชอบการกระทำของเขา
"ใครกันที่อาบน้ำให้แก ช่างเป็นคนที่มีน้ำใจจริง ๆ เลยนะ"
ลีโอกระโดดลงไปนอนกลิ้งที่พื้นพรมจนจินดริชกลัวว่ามันจะกลับมาคลุกฝุ่นสกปรก แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องออกไปเที่ยวเล่นจนมอมแมมอยู่ดี เพราะงั้นเขาจึงปล่อยไป ลีโอไม่ได้ไปยืนข้างถาดอาหารจ้องหน้าเขาอย่างทุกวัน จินดริชยิ้มบางหลงลืมเรื่องที่ทำให้เครียดกังวลโดยสิ้นเชิง
"เขาคงเอาอาหารให้แกกินด้วยสินะ"
ไร้การตอบกลับ สัตว์เลี้ยงกำลังตาปรือง่วงซึม จินดริชเห็นเช่นนั้นเขาจึงเบนตาไปมองถุงเงินบนชั้นหัวเตียง ใบหน้าไร้รอยยิ้มอีกครั้ง พึมพำกับตนเอง
"ประหยัดค่าอาหารได้เยอะทีเดียว ดีเหมือนกัน..."