ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,ยุคกลาง,ดาร์ค,รัก,พระเอกค่าตัวแพง,พระเอกปากหมา ,พระเอกธงแดง,พระเอกรวย,พระเอกร้าย,พระเอกคลั่งรัก,พระเอกขี้หึง,พระเอกขี้หวง,นายเอกจน,ดยุก,พีเรียดยุโรป,พีเรียดตะวันตก,ลูซิเฟอร์,ซาตาน,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์ผู้มัวหมองล่อลวงนักบุญทำสามี ถูกครหาเหยียบย่ำจนจมธรณี... “เพื่ออิสรภาพ” เขาขายวิญญาณสามีให้แก่ซาตาน ❝จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ และเป็นของข้า❞
𝕳𝖚𝖘𝖇𝖆𝖓𝖉'𝖘 𝖇𝖔𝖉𝖞 𝖚𝖓𝖉𝖊𝖗 𝖙𝖍𝖊 𝕵𝖚𝖓𝖎𝖕𝖊𝖗 𝖙𝖗𝖊𝖊
𝕵𝖚𝖍𝖆𝖗𝖆𝖍
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
...มันคือความผิดพลาด....
ขอเพียงแค่ 'จินดริชผู้น่ารังเกียจ' ได้หลุดพ้นจากสามีนักบุญอย่าง 'ลูเซียส คิว แมทธีโอนี' ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่รับฟังคำขอ ทว่าผู้มอบข้อเสนอกลับเป็นปรปักษ์ของพระเจ้า...
วิญญาณของสามีไร้รัก เขาจะมอบให้...ซาตาน
❝ จงฝังร่างเขาใต้ต้นจูนิเปอร์ ❞
แต่จินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ซาตานต้องการ...ไม่ใช่สามี
•• <<──≪•◦⚜◦•≫──>> ••
TWITTER X: @juha_rah | FACEBOOK: Juharah
แท็ก #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
Story: Juharah | Cover: WP Seazebra
FACEBOOK: Juharah
TWITTER X: @juha_rah
Tag: #หลุมศพสามีใต้ต้นจูนิเปอร์
>>> จิ้ม โพรโมชันอีบุ๊ก 180฿
Chapter 12
"I forgot my bookmark"
จากที่ได้พบเจอลูเซียส คิว แมทธีโอนีแถวบาร์เบียร์แหล่งซ่องโสเภณี จินดริชก็มักจะแอบมองออกไปนอกตัวร้านอยู่บ่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่ได้พบอีกฝ่ายตามที่คิดเอาไว้
หรือไม่ใช่คุณแมทธีโอนีจริง ๆ
การมาทำความสะอาดโบสถ์และนั่งทบทวนชีวิตให้อยู่ในหลักคำสอนของพระเจ้าเป็นเรื่องที่จินทำเป็นปกติ โบสถ์จะคึกคักเฉพาะวันที่มีพิธีกรรมทางศาสนาหรืองานแต่งที่เกิดขึ้นน้อยในชนบท เพราะส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่างถึงชนชั้นกลาง พวกเขาไม่ได้มีเงินมากพอจะสู่ขอหญิงสาว ฉะนั้นงานแต่งจึงไม่ค่อยมีให้พบเห็น
ส่วนมากจะไม่มีใครมาโบสถ์ตอนเช้าตรู่ ทว่าสามวันมานี้จินดริชมักจะพบเจอคนคนหนึ่งที่มักนึกถึงบ่อยครั้ง เหตุใดนักบุญลูเซียสถึงมาโบสถ์ได้ทุกวัน?
แปดโมงเช้าเขาจะมานั่งอยู่ในโบสถ์ นัยน์ตามืดทึบมองดูรูปปั้นพระเยซูอยู่เช่นนั้นหลายชั่วโมง หรือเดินเล่นอยู่ด้านนอกรับลมในฤดูร้อน รวมถึงส่งสายตามองจินดริชอย่างโจ่งแจ้ง...อย่างเช่นตอนนี้
ไม้กวาดลากไปตามพื้นดินเชื่องช้า จินดริชขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างอึดอัดเพราะเขารับรู้ถึงการจ้องมอง หันหน้าลอบมองร่างสูงที่ยืนพิงต้นไม้ สายตานั้นสบตอบเขาก่อนจะผละหนีไปราวกับว่าไม่สนใจ
บางทีลูเซียสอาจมีเรื่องคุยกับจินดริช แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตรงเข้ามาทักทาย และจินดริชไม่กล้าเดินเข้าไปถาม...
จินดริชต้องแก้ปัญหาความอึดอัดที่เกิดขึ้น เขาไม่สามารถเดินดุ่มไปบอกลูเซียสให้เลิกมาโบสถ์ตอนเช้า เขาจึงเลือกที่จะรีบมาโบสถ์ไวกว่าลูเซียสและรีบทำความสะอาดให้เสร็จก่อนแปดโมง เป็นเช่นนั้นได้หลายวัน จินดริชจึงไม่พบเจอลูเซียสอีกเลย ดีเหมือนกัน...
กลายเป็นว่าชีวิตของจินดริชจะดูเร่งรีบขึ้นและเหลือเวลาช่วงสาย เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าไปทำความสะอาดในหอสมุดได้นานกว่าเดิม ค่าจ้างก็มากขึ้น งานที่หอสมุดนับว่าเป็นงานที่สบายใจรองลงมาจากดูแลโบสถ์ เงียบสงบไร้เสียง บันไดหมุนล้อมเป็นวงกลมตามชั้นหนังสือจนถึงด้านบนสุด ตรงกลางเป็นโต๊ะไม้อ่านหนังสือทั้งหมดห้าโต๊ะ มีคนเข้ามาใช้บริการนับครั้งได้ ส่วนมากจะเป็นนักเรียนและนักวิชาการ จินดริชมักจะอยู่กับแอนดี้ที่เป็นบรรณารักษ์วัยสามสิบต้น ๆ เธอไม่ได้พูดคุยกับเขาบ่อยนักคล้ายฝืนใจอยู่กับเขามากกว่า จำยอมเพราะนอกจากจินดริชก็ไม่มีใครทำงานน่าเบื่อเช่นนี้แลกค่าจ้างไม่กี่เหรียญ
“เข็นหนังสือพวกนี้ไปเก็บที่ชั้น ฉันจะออกไปพักเที่ยงสักครู่หนึ่ง”
หนังสือเล่มหนามากมายวางในรถเข็นขนาดใหญ่ เป็นหนังสือที่ผู้เช่าเอามาคืนหลังจากยืมครบจำนวนวัน จินดริชพยักหน้ากุมมืออย่างสำรวม
“รับทราบครับ”
“ดูหมวดหมู่ให้ดี อย่าใส่ผิดชั้น”
“เข้าใจแล้วครับคุณแอนดี้”
พอประตูหอสมุดปิดลงเสียงก้อง ภายในก็ค่อนข้างสลัวแม้จะมีไฟสีเหลืองนวลสบายตา จินดริชเข็นตัวรถมาที่ตีนบันได ก่อนจะถอนหายใจเมื่อพบว่าเป็นหมวดหมู่ที่อยู่ชั้นบนเป็นส่วนใหญ่ เขาทยอยหอบขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ และเก็บเข้าตามหมวดหมู่ของหนังสือและไล่ตามลำดับตัวอักษร
โชคดีที่จินดริชอ่านหนังสือออก เพราะสมัยเด็กยามที่ตามมารดามาทำงานเขามักจะเที่ยวเล่นไปทั่วเมือง บางครั้งก็มาขลุกอยู่ในหอสมุดหานิทานปรัมปราอ่านกับเพื่อนสมัยเด็ก พอกลับมาทำงานที่นี่ก็ได้รื้อฟื้นความรู้และเริ่มอ่านหนังสือประเภทอื่นบ้าง
ตึก ตึก ตึก
เป็นเสียงส้นรองเท้าหนังที่เหยียบเข้ามาในหอสมุด เนื่องจากเงียบมากจึงได้ยินเสียงชัดเจน จินดริชลงจากบันไดไม้สามเหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วกึ่งวิ่งลงจากชั้นบน เอ่ยบอกกับผู้มาเช่ายืม
“หากจะยืมหนังสือรบกวนรอคุณแอน...ดี้”
ประโยคค่อย ๆ ช้าลงและหายไปเมื่อจินดริชรู้ว่าเป็นใครที่เข้ามาใช้บริการ เขายืนนิ่งต่อหน้าร่างสูง เรือนผมสีขาวระกรอบหน้าถึงต้นคอ ติ่งหูสวมจิวเล็ก ๆ สองอัน ใบหน้าเหลี่ยมชัดสมบูรณ์แบบ
คนที่จินดริชหลบหน้ามาตลอดหลายวัน
“คุณออสวาลด์ ไม่ควรวิ่งลงบันไดนะครับ มันอันตราย”
ถือเป็นการตำหนิที่หวังดี ลูเซียสมองใบหน้าเนียนที่บ่งบอกว่ากำลังทำตัวไม่ถูกเหมือนตกใจที่พบเจอเขา นัยน์ตาลุ่มลึกหรี่มองขี้แมลงวันสีดำจางใต้ตาซ้ายครู่หนึ่ง เขาเดินผ่านร่างโปร่งไปที่ชั้นหนังสือ ไล่สายตามองชื่อเรื่องที่สันแต่ละเล่มที่จัดเรียงตามตัวอักษรและหมวดหมู่ให้หาง่ายดาย
“คุณชายแมทธีโอนีต้องการหนังสืออะไรเหรอครับ”
จินดริชมองแผ่นหลังกว้างใต้สูทสีอ่อน อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่เดินไปเรื่อย ๆ จนเริ่มขึ้นบันได สีหน้ายังคงเฉยเมยไม่สนใจเขา จินดริชได้แต่เดินตามอย่างอึดอัด จนแล้วจนรอดลูเซียสก็ไม่ได้หยิบหนังสือเล่มใดออกมา เป็นจินดริชที่อดถามอีกครั้งไม่ได้
“ผมอ่านหนังสือออก ผมจะช่วยหาครับ”
คนตัวสูงหยุดเดินกะทันหัน ทำให้จินดริชตกใจและถอยหลังลงไปสองขั้น เขาเงยหน้าสบตาลูเซียสที่ก้มลงต่ำ ใบหน้าของลูเซียสไม่เผยรอยยิ้มสักนิด บางทีแล้วอาจจะไม่ต้องการคุยกับจินดริช
“ขออภัยครับ งั้นผม-”
“ผมลืมที่คั่นหนังสือในหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเล่มไหน”
คนดูแลหอสมุดเข้าใจโดยทันที ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนลืมที่คั่นหนังสือเอาไว้ “เป็นหนังสือที่เพิ่งคืนหรือเปล่าครับ ผมจะดูในรถเข็นให้”
“มันถูกคืนเมื่อสองสัปดาห์ก่อน”
อ่า...ยากล่ะสิ
“บางทีสมุดบันทึกการเช่ายืมอาจจะบอกได้ครับ รบกวนตามผมมาที่โต๊ะบรรณารักษ์”
ยืนนิ่งทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งจินดริชหันหลังลงบันไดไป ลูเซียสมองตามแผ่นหลังบางและไม่ปฏิเสธที่จะเดินตามไปอย่างเชื่องช้า เขากวาดสายตามองรถเข็นหนังสือและสภาพหอสมุดที่ค่อนข้างเก่า แน่นอนว่าที่มันสะอาดสะอ้านคงไม่พ้นเป็นเพราะฝีมือของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบที่กำลังเปิดสมุดบันทึกเล่มใหญ่ ชื่อของเขาถูกพึมพำออกมาเสียงเบาหวิว
“แมทธีโอนี อยู่ไหนนะ...”
จินดริชไล่เปิดหน้าสมุดเพื่อหารายการยืมและชื่อผู้ยืม กระทั่งเงาสูงคลุมทับด้านหลังเขา หนีไม่พ้นเป็นเศรษฐีนักบุญผู้ประสบปัญหาลืมที่คั่นหนังสือ จินดริชชะงักตัวแข็งค้างมองดูท่อนแขนที่เอื้อมมาวางกับโต๊ะตรงหน้าเขา ผิวเสื้อสูทสัมผัสแผ่นหลังเล็กน้อย ใกล้ชิดจนรับรู้ทุกการเคลื่อนไหว
ลมหายใจเข้าออกเชื่องช้าดังเหนือหัว
“อืม...”
เสียงทุ้มต่ำครางเบาทำขนกายจินดริชลุกชัน เขายืนตัวแข็ง หากขยับเขยื้อนเล็กน้อยมันอาจทำให้ตัวเขาสัมผัสกับลูเซียสมากกว่าเดิมก็ได้ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเขา จินดริชได้แต่มองปลายนิ้วเรียวยาวที่ไล่ตามบรรทัดหนังสือ ผิวขาวจัดจนเห็นเส้นเลือดดำปูดนูนออกมา ข้อนิ้วและความยาวนั้นมากกว่าของจินดริชถึงหนึ่งเท่า หน้ากระดาษเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
“เอ่อ เดี๋ยวผมหาให้ครับ รบกวนถอยไปก่อน”
มือใหญ่พลิกหน้าหนังสือ แต่สายตาจับจ้องใบหูซีดขาวของคนที่ยืนหันหลังให้ ลูเซียสโน้มตัวลงเล็กน้อยกระทั่งอกชนแผ่นหลังบาง จินดริชสะดุ้งโหยง และขยับหนีใบหน้าเขาที่ลดลงอยู่ด้านข้าง ลูเซียสชี้นิ้วไปที่บรรทัดหนึ่งในสมุดเช่ายืม
“เจสัน...เขายืมหนังสือพวกนี้ให้ผมน่ะครับ”
“...”
“คุณคงไม่เจอชื่อแมทธีโอนีเพราะผมไม่เคยมายืมด้วยตัวเอง”
ดวงตาเบิกโตราวกับช็อกในสถานการณ์ตอนนี้ เขามองลายเซ็นของคุณเจสัน มีทุกบรรทัดตามชื่อหนังสือที่ยืมเต็มสองหน้ากระดาษ
‘Jason S.’
จินดริชนี่ช่างโง่เขลา คนที่มีเงินและคนใช้นับสิบจะเดินทางมายืมหนังสือเองทำไมกัน...แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้มาด้วยตนเองล่ะ?
“ผมจำไม่ได้ว่ามันอยู่เล่มไหน”
จินดริชไล่มองลำดับเลข ทำการบวกลบในหัวรวดเร็ว “120 เล่ม...”
ลูเซียสยิ้มมุมปาก “ครับ หนึ่งร้อยยี่สิบเล่ม...”
ทำไมเศรษฐีอย่างแมทธีโอนีถึงได้อ่านหนังสือเยอะเพียงนี้ จินดริชหันหลังไปเชื่องช้าทำให้ลูเซียสถอยออกเล็กน้อย...เล็กน้อยจริง ๆ
เขาเชยตามองอีกฝ่าย ระยะประชิดทำตาพร่าพูดไม่ออก “เอ่อ...”
“คุณออสวาลด์ ช่วยผมหาหนังสือพวกนี้ได้ไหมครับ?”
“...”
“คุณออสวาลด์?”
เจ้าของชื่อถอยออกห่างเล็กน้อย เขากลืนน้ำลายแล้วตอบคำถาม
“แน่นอนครับ ผมจะหาให้...ได้โปรดถอยออกไปสักหน่อยได้หรือเปล่า คุณแมทธีโอนีไปนั่งรอที่โต๊ะ...นะครับ”
ลูเซียสสบตาสีฟ้าประกายเลิ่กลั่ก เขายอมถอยหลัง “ครับ”
มือยกขึ้นทาบอกที่สั่นไหวยามมองดูแผ่นหลังของลูเซียสเดินไปเลือกหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้น อีกฝ่ายเดินไปนั่งโต๊ะอ่านหนังสืออย่างสำรวม
จินดริชใช้เวลานานทีเดียวเพื่อจะทยอยหาหนังสือเหล่านั้นมาวางตรงหน้าลูเซียส จนกระทั่งบรรณารักษ์กลับมา คุณแอนดี้ดูตกใจรีบเข้ามาทักทาย
“ค..คุณลูเซียส ไม่ทราบเลยค่ะว่าจะมา”
แอนดี้ค่อนข้างตื่นเต้นเพราะเธอไม่เคยเจอเศรษฐีนักบุญในระยะใกล้เพียงนี้ เขาช่างเจิดจรัสและดูเด็กแม้ว่าจะอายุพอ ๆ กับเธอ
“เผอิญผมลืมที่คั่นหนังสือ เลยรบกวนให้คุณออสวาลด์ช่วยหาน่ะครับ”
แอนดี้ดูงุนงงชื่อนั้น เธอเงยมองจินดริชที่หาหนังสืออยู่ชั้นบน
“อ๋อ หมายถึงจินดริชเหรอคะ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ คุณลูเซียสออกคำสั่งกับเขาได้เต็มที่เลยนะคะ เขาเป็นผู้ช่วยของดิฉันค่ะ”
ลูเซียสยิ้มบางตอบสั้น ๆ “ครับ”
แอนดี้เหมือนอยากอยู่คุย ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับสนใจเพียงอ่านหนังสือในมือไม่สบตาเธออีก บรรณารักษ์ยิ้มแห้งเดินกลับไปที่โต๊ะ ส่งสายตามองลูเซียสอยู่เรื่อย ๆ อย่างคนที่แอบปลื้ม
จินดริชวางหนังสือห้าเล่มสุดท้ายที่โต๊ะของลูเซียส ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งจดจ่อสายตากับหน้ากระดาษที่มีแต่ตัวอักษร หนังสือมากมายบนโต๊ะไม่ได้ถูกเปิดเพื่อหาสิ่งของที่ลูเซียสต้องการ จินดริชไม่มีทางเลือก เขานั่งลงที่มุมหนึ่งและไล่เปิดทีละเล่มเพื่อหาที่คั่นหนังสือให้อีกฝ่าย ทำไปอย่างเงียบเชียบ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและผ่อนคลาย ลูเซียสขยับเปลือกตาให้เล็กลง นัยน์ตาดำแฝงสีทับทิมหมุนมองจินดริชที่ตั้งอกตั้งใจทำในสิ่งที่เขาไม่ได้ขอ ใบหน้าเฉยเมยนั้นดูง่วงซึม อ้าปากหาวหวอดหลายครั้งจนลูเซียสเผลอยิ้มมุมปากอย่างขำขัน เขาลากดวงตากลับมาที่หน้ากระดาษ เอ่ยเสียงเบาเพื่อชวนคุย
“ยังทำงานแบบนั้นอยู่หรือเปล่าครับ...”
จินดริชชะงักมือเปิดค้างกลางเล่ม เขาเงยหน้ามองลูเซียสที่ไม่ได้จ้องมองเขาตอบ “ครับ?”
ลูเซียสเงียบไปนาน “ขายร่างกายแลกเงิน”
ช่างตรงไปตรงมาจนจินดริชไม่มั่นใจว่าลูเซียสหมายถึงสิ่งใด
‘ขายร่างกาย’
ไม่ว่างานใดย่อมต้องขายร่างกาย ขายเรี่ยวแรง ขายความทุ่มเท แม้จินดริชจะรู้ว่าลูเซียสไม่ได้หมายถึงแบบที่เขาคิด แต่จินดริชยังคงตอบสิ่งที่ตรงตามความเข้าใจของเขาเอง
“ครับ”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ยังไงเขาก็น่ารังเกียจอยู่แล้วนี่นะ...
“ผมยังขายร่างกายและแรงของตนเอง”
“...กับทุกคนที่พร้อมจ่ายงั้นเหรอ?”
“ครับ”
จินดริชเปิดเจอที่คั่นหนังสือหลายอัน แต่ลายเซ็นที่เขียนไว้บริเวณมุมกระดาษเป็นชื่อของคนอื่น ไม่ใช่ของลูเซียส เขายังคงตั้งใจหา
“คุณต้องการเงินมากขนาดไหนครับ”
ไม่เข้าใจความนัยคำถามนั้น แต่ทำให้จินดริชคิดคำตอบอย่างถี่ถ้วนที่ตรงกับชีวิตเขาในตอนนี้ “ผมไม่สามารถหาได้มากกว่านี้ครับ หมายถึงมันจะไม่มากกว่าตอนนี้ ผมคงต้องทำงานแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้อยู่ได้ในแต่ละวันครับ”
ลูเซียสปิดหนังสือ เขาหันมองเสี้ยวหน้าใส
“ที่สวนของผมต้องการคนงานช่วยเตรียมหน้าดินสำหรับลงดอกไม้ขายส่งไปนอกเมือง จงมาหาผมที่คฤหาสน์”
จินดริชเชยตาสบตอบอีกฝ่าย ใบหน้าเรียบถึงขั้นเย็นชาทำให้ก้อนบางอย่างจุดอยู่ที่ลำคอของเขา ขวางลมหายใจ ลูเซียสเอ่ยต่อ
“ผมจะจ่ายให้มากกว่าที่คนอื่นให้แก่คุณ”
“ผม-”
“คุณแรมเบิร์ธให้คุณเท่าไหร่ครับ ผมให้คุณได้สองเท่า”
จินดริชไม่เข้าใจจุดประสงค์ของลูเซียส เหมือนหวังดีแต่แววตาที่ทอดมองมานั้นไม่ใช่สักนิด เจ้าของตำหนิใต้ตาหันใบหน้ากลับมา ต่างหูไม้กางเขนแกว่งตามการเคลื่อนไหว นิ้วโป้งกรีดหน้าหนังสือไปเรื่อย ๆ ไม่รับข้อเสนอนั้น
“งานของผมคุณคงมองว่าน่ารังเกียจมาก แต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ครับคุณแมทธีโอนี”
ลูเซียสมองสีหน้าของจินดริชที่หม่นลง
“ผมขอปฏิเสธน้ำใจของคุณแมทธีโอนีเพราะผมตอบรับงานของคนอื่นแล้ว จนไม่มีเวลาพอที่จะช่วยเหลือสวนของคุณครับ”
หากถามตรงจินดริชก็ตอบตรงเช่นกัน หนังสือกางออกที่หน้าหนึ่งโดยที่จินดริชไม่ต้องออกแรงเปิดมาก ปลายนิ้วหยิบกระดาษสาที่ทำจากดอกกุหลาบหลายสีมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่คั่นอันนี้แตกต่างจากอันก่อนหน้าที่เปิดเจออย่างเห็นได้ชัด ถูกเสียบอยู่ในหน้าหนังสือรวบรวมสายพันธุ์ของผีเสื้อ เมื่อพลิกที่คั่นดูเขาจึงพบลายเซ็นของเจ้าของ
‘Lucius Q. Matteony’
ลายมือหวัดพลิ้วสวยงามแม้อ่านยากแต่ยังสมบูรณ์แบบ หากเปรียบเทียบ ลูเซียส คิว แมทธีโอนี คงเป็นผีเสื้อจักรพรรดิพันธุ์ใหญ่กางปีกงดงาม อายุยืน สง่าและมีเกียรติ ขณะที่จินดริชอาจเป็นเพียงดักแด้ที่แห้งตายก่อนได้สยายปีกโบยบิน
จินดริชยื่นให้ลูเซียส เขาเอ่ยเสียงเบาโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“ที่คั่นหนังสือของคุณครับ”
ร่างโปร่งคล้ายตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน แม้แต่ใบหน้าของลูเซียสยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ ชายผมขาวเห็นทุกกิริยาก่อนจะเอื้อมมือไปรับกลับมา เขาไม่เอ่ยตอบโต้อะไรอีกและลุกขึ้นยืน...เพราะเขาได้คำตอบแล้ว
‘คำปฏิเสธ’
ผู้ดูแลหอสมุดนั่งค้างอยู่ที่เดิมยามอีกคนจากไป และจินดริชได้พบความจริงหลังจากเลิกงาน ค่าแรงที่ได้ในวันนี้มากกว่าปกติสองเท่า
ผู้มอบให้คือ ‘ลูเซียส คิว แมทธีโอนี’
"คุณชายแมทธีโอนีครับ หน้าดินพร้อมสำหรับลงทิวลิปแล้วครับ"
"หัวทิวลิปมาส่งเมื่อไหร่ครับ"
"พรุ่งนี้จะมีรถมาส่งสามคันครับ จะเริ่มนำลงดินในวันมะรืนนี้ และผมเตรียมจ้างคนงานพร้อมแล้วครับ"
"รบกวนคุณเจสันจัดการต่อด้วยนะครับ"
"ด้วยความยินดีครับ เอ่อ...วันนี้คุณชายดูเหนื่อยล้า ไม่สบายหรือเปล่าครับ?" น้ำเสียงเจสันดูเครียด
พ่อบ้านประจำคฤหาสน์แมทธีโอนีมองดูชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งไหล่ตกลู่ที่โต๊ะทำงาน อาหารเย็นไม่รับ ที่โต๊ะมีเพียงไวน์แดงในแก้วบอร์โดซ์ทรงสูงปากแคบเพื่อช่วยขับรสชาติให้เข้มข้น ฐานแก้วแต่งลายใบมะกอกสวยหรู นานแล้วที่ลูเซียสไม่ดื่มไวน์ เมื่อก่อนดื่มเยอะมากจนถึงขั้นติดและเพลาลงราวกับรู้ตัว
ตั้งแต่กลับจากหอสมุด ผู้เป็นนายของเจสันค่อนข้างเหม่อลอย เอาแต่มองที่คั่นหนังสือในมือด้วยสีหน้าคาดเดาอารมณ์ไม่ได้
รู้เพียงว่าไม่ปกติ...
"งานเยอะจนเพลียน่ะครับ ฟ้ามืดแล้ว คุณเจสันพาเหล่าคนใช้กลับไปพักเถอะครับ" ลูเซียสตอบเพื่อคลายความกังวลใจให้แก่พ่อบ้านประจำตระกูล
"รับทราบครับ ผมให้คนเตรียมน้ำอุ่นให้แล้วพร้อมชุดนอนครับ"
"ขอบคุณครับ"
พ่อบ้านวัยกลางกำลังเอ่ยลา แต่เหมือนว่าเขานึกบางอย่างได้
"ช่วงนี้แมวของจินดริชแวะมาอยู่ที่คฤหาสน์นานกว่าปกติ ผมเดาว่าเงินของจินน่าจะไม่พอซื้ออาหารจนมันหิวน่ะครับ ให้ผมไล่ไปไหมครับ?"
เงินไม่พอ...ลูเซียสคิดว่าไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เขามั่นใจว่าเงินที่ให้ไปนั้นทำให้จินดริชซื้ออาหารดี ๆ ได้เทียบเท่าชนชั้นกลาง เพียงพอจะซื้ออาหารจำพวกชา ชีส หรือแม้แต่ขนมเค้ก
พอเจสันกล่าวเหตุผลนั้นเขาก็นึกถึงสัตว์เล็กหน้าขนตัวสีขาวที่ช่วงนี้ฟูฟ่องกว่าปกติเนื่องจากถูกจับอาบน้ำ ได้กินอาหารเหลือดี ๆ จากเขาบ่อยครั้ง ดูเหมือนว่ามันคงอยากเปลี่ยนเจ้าของมากกว่า
"ไม่ต้องไล่หรอกครับ ถือเป็นการโปรดสัตว์ร่วมโลก"
"ครับ"
จู่ ๆ ลูเซียสก็คิดบางอย่างขึ้นได้
"นำเนื้อสดกับกระดูกอ่อนบดละเอียดรวมกับผักผลไม้ให้มันดีกว่าครับ"
"เอ๋?"
"...ผมคิดว่ามันคงชื่นชอบกว่า" ลูเซียสเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น เขามั่นใจว่าอย่างน้อยมันจะชอบมากกว่าทูน่ากระป๋องส่งกลิ่นคาว
"รับทราบแล้วครับ งั้นผมขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ"
"เช่นกันครับคุณเจสัน"
เจสันโน้มตัวจนตั้งฉาก ก่อนจะเดินออกไปให้เจ้าของคฤหาสน์นั่งอยู่ที่เดิมบนชั้นสอง กระทั่งไฟด้านนอกถูกดับทีละดวงจนทำให้ห้องมืดลงเล็กน้อย
นัยน์ตาสีเข้มไร้แววตื่นตกใจในความมืด ยังคงมองที่คั่นหนังสือกระดาษสา นิ้วโป้งลูบไล้แผ่วเบา ใบหน้าหม่นหมองของเด็กหนุ่มยังคงติดตาและตรึงเข้าไปในหัวของลูเซียส
เขาไม่น่าพูดจาร้ายกาจแบบนั้น...
ความรู้สึกผิดทิ่มแทงที่อก เขากำลังตัดสินใจบางอย่างเพื่อแก้ไขการกระทำของตน แต่มีสายตาคู่หนึ่งจากด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง
มั่นใจมากว่าเป็นสายตาของสิ่งมีชีวิต แต่เขาไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากต้นพีชข้างคฤหาสน์ ลุกออกไปที่ระเบียงมองดูพื้นด้านล่างโดยละเอียด บางทีอาจเป็นหัวขโมยในคืนนั้น
เงียบสนิท ไร้สิ่งมีชีวิต...
เมื่อไม่พบเจอสิ่งใดร่างสูงก็กลับเข้าไปด้านใน ล็อกหน้าต่างแน่นหนา หลงลืมเรื่องที่คิดค้างไว้เมื่อครู่โดยทันที ผ้าม่านปิดลงโดยเขามองไม่เห็นร่างสูงใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างบนต้นพีช ดวงตาแดงก่ำกำลังไม่พอใจ...
ชักช้า ลีลา ไม่ทันการ!
ราวกับเต่ามะเฟืองที่โง่เขลา...
ลูเซียสอาศัยในคฤหาสน์เพียงผู้เดียวจึงไม่จำเป็นต้องสำรวมท่าทาง เขาเดินเปลือยท่อนบนกลับไปที่ห้องนอนหลังจากอาบน้ำสบายตัว ห้องนอนกลิ่นกำยานช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียด เตียงหนานุ่มสมกับขนาดตัวของเขา
ร่างกำยำอัดแน่นมัดกล้ามนั่งลงที่ขอบเตียงทว่าสายตาจับจ้องไปด้านนอกห้อง ต้นไม้ใหญ่ที่สูงถึงชั้นสาม บนกิ่งหนามีสัตว์หน้าขนนั่งอยู่ แมวตัวสีขาวสะอาดนั่งมองอย่างสำรวม ไม่กระโดดเข้ามาในเขตระเบียง
"เหมียว~"
โดยปกติลีโอนาร์ดจะไม่อยู่ดึกขนาดนี้ มันมักจะกลับบ้านที่หอนาฬิกาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าของ ลูเซียสลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างห้องแล้วกลับมานอนที่เตียง เขาตบมือสามทีบนพื้นที่ว่างด้านข้าง
ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงเรียก ลีโอนาร์ดก็กระโดดข้ามช่องอากาศเข้ามาที่ระเบียง มองภายในห้องอย่างระวังก่อนจะส่งแรงจากขาหลังขึ้นเตียง เดินหมุนตัวหามุมก่อนจะนอนลงด้านข้างเรียวขาของลูเซียส นับว่าเป็นแมวที่ฉลาดรู้ว่าสิ่งใดคือที่ต่ำที่สูง มือใหญ่ลูบปลายหางนุ่ม มันตวัดหนีไปมาแบบไม่จริงจัง
"มาอยู่กับฉันในคืนนี้..."
หูตั้งกระดิกตอบสนองว่าได้ยินแล้ว ลูเซียสหรี่ตาเล็กน้อยนึกถึงบางคน
"เจ้านายของแกคงเหงาแย่"
อีกฟากหนึ่งของเมือง แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องเล็กแออัด ร่างโปร่งยืนทอดสายตามองดูเบื้องล่างที่เงียบสงัดอย่างเฝ้ารอสัตว์เลี้ยงของตนเองใจจดใจจ่อ จนแล้วจนรอดใกล้ได้เวลาไปทำงาน ลีโอนาร์ดก็ไม่กลับมาที่หอนาฬิกาอย่างทุกวัน
"ไปไหนนะ..."
จินดริชเททูน่าใส่ถาดอาหารเอาไว้ให้ลีโอนาร์ดที่อาจจะกลับมากินตอนเขาไม่อยู่ แม้จะรู้ว่ามันไม่ชื่นชอบปลาสักเท่าไหร่ แต่ของที่ซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ให้หมดก่อนที่จะไปซื้ออาหารใหม่อย่างที่มันถูกใจ ร่างสูงโปร่งเดินออกจากห้องเงียบเชียบ ถาดอาหารที่พื้นวางแน่นิ่งอย่างเฝ้ารอ