เมื่อบังเอิญได้มีชีวิตใหม่ภารกิจหนีตายจากชีวิตบัดซบจึงได้เริ่มต้น

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ - ตอนที่ 7 การเอาชีวิตรอด โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,ครอบครัว,รัก,ปลูกผัก,ข้ามเวลา,เจ่เจ้ร้านชำ,นิยายรักจีนโบราณ,มิติวิเศษ,ปลูกผัก,ทำสวน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,ครอบครัว,รัก,ปลูกผัก,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เจ่เจ้ร้านชำ,นิยายรักจีนโบราณ,มิติวิเศษ,ปลูกผัก,ทำสวน,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เมื่อบังเอิญได้มีชีวิตใหม่ภารกิจหนีตายจากชีวิตบัดซบจึงได้เริ่มต้น

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ในชีวิตก่อนต้องอยู่แบบปากกัดตีนถีบเพื่อครอบครัวจนสุดท้ายก็ต้องมาตายเพราะครอบครัวอีกเช่นกันพอมามีชีวิตใหม่แทนที่อะไรๆ จะดีขึ้นแต่วังวนชีวิตก็ยังคงตีนถีบปากกัดไม่ต่างจากเดิมและเหมือนชีวิตดีๆ จะยังไม่ลงตัวมากพอสวรรค์จึงได้ประทานน้องๆ และสามีพิการมาให้ดูแลงานนี้แทนที่จะเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวก็ต้องมาสู้ตายเพื่อน้องร่วมสายเลือดและเพื่อผู้ชายอีกหนึ่งคน

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีครึ่งเรื่องหลังจากนั้นจะติดเหรียญไปจนถึงตอนจบ หลังอีบุ๊กวางจำหน่ายครึ่งถึงหนึ่งเดือนจะย้อนติดเหรียญตอนก่อนหน้าโดยจะเหลือให้อ่านฟรีเฉพาะตัวอย่างประมาณ 10 ตอนค่ะ

สารบัญ

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 1 แน่ใจหรือว่าเจ้าคือดาวนำโชค,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 2 เรื่องราวแต่เก่าก่อน,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 3 แต่งงานล้างซวย,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 4 การแต่งงาน,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 5 ดูท่าว่าปากก็ต้องกัดตีนก็ต้องถีบ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 6 พายุหิมะ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 7 การเอาชีวิตรอด,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 8 เรื่องมหัศจรรย์,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 9 มิติร้านชำ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 10 ความวุ่นวายในเรือนสกุลต้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 11 ตามหาเรือนหลังใหม่,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 12 มองหาร้านค้าที่เหมาะสม,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 13 เตรียมการเพื่อร้านค้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 14 พี่น้องสกุลหลิว,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 15 บ้านเล็กในส่วนใหญ่,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 16 เริ่มสร้างตัวทีละเล็กทีละน้อย,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 17 ทำมาค้าขึ้น,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 18 กรรมใดใครก่อ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 19 กลยุทธ์ทางการค้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 20 สกุลไป๋เกิดเรื่อง,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 21 เจ้าอยากไปเที่ยวเมืองหลวงบ้างไหม,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 22 มาเยือนเมืองหลวง

เนื้อหา

ตอนที่ 7 การเอาชีวิตรอด

หลังจากที่หิมะตกหนักมาทั้งคืนมาจนถึงช่วงเช้าเหมือนมันจะเบาลงไปสักหน่อยพอให้ขยับร่างกายออกไปกวาดหิมะที่ปลิวเข้ามากองอยู่ตามชานเรือนได้แต่กระนั้นก็ยังทำได้ไม่นานเพราะจู่ๆ ก็มีลมพัดหิมะมาหอบใหญ่จากนั้นปุยน้ำแข็งสีขาวก็ตกลงมาจากฟ้าไม่ขาดสายและมันก็ทำท่าว่าจะตกหนักกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเสียอีก

“ดูท่าพายุหิมะจะมาอีกรอบแล้วล่ะเจ้าค่ะคุณชายไป๋ ด้านนอกลมแรงจนน่ากลัวหิมะบนถนนด้านหน้าเรือนน่าจะสูงสักสามสี่ชุ่นได้แล้ว” เมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถกวาดหิมะที่ด้านนอกต่อไปได้หลิวซินหวาจึงตัดสินใจเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วเดินกลับมาที่ห้องของคุณชายไป๋เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ด้านนอกให้เขาได้ฟัง

“เจ้าก็มานั่งในห้องอุ่นๆ สักหน่อยเถิดข้าคิดว่าหลังจากนี้น่าจะเป็นพายุหิมะของจริงแล้วล่ะเมื่อคืนนั้นอาจจะเป็นแค่ส่วนแรกก็เป็นได้” อาการปวดกระดูกแม้จะยังไม่ดีขึ้นแต่การที่ได้อยู่ในห้องที่อบอุ่นและมีผ้าห่มหนาๆ ก็สามารถช่วยให้ความรู้สึกทรมานผ่อนคลายไปได้แต่กระนั้นแล้วไป๋ป๋อชุนก็ยังมีอาการไอ เจ็บคอและคัดจมูกอยู่บ้าง

“ดูท่าคุณชายน่าจะเป็นหวัดแล้วล่ะ ท่านยังหายใจคล่องดีหรือไม่เจ้าคะหากว่าคัดจมูกข้ามีน้ำมันสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการได้ข้าจะไปหยิบมาให้” น้ำมันสมุนไพรที่ว่าก็คือบาล์มใช้ทาแก้หวัดคัดจมูกที่เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ร้านของชำมีขายอยู่ไม่ขาดเห็นท่าหลิวซินหวาคงต้องเข้าไปหยิบชุดยาสามัญประจำบ้านออกมาไว้ใกล้มือบ้างแล้วเผื่อมีใครเป็นหวัดคัดจมูกจากอากาศหนาวจะได้รักษาได้ด้วยตัวเองไม่ต้องหอบกันไปโรงหมอให้วุ่นวาย

“ทาแล้วอาจจะเย็นๆ เล็กน้อยนะเจ้าคะน้ำมันนี่ใช้ทาที่ลำคอ หน้าอก และแผ่นหลังจะช่วยทำให้หายใจสะดวกขึ้น” มือเล็กๆ จัดการปลดสาบเสื้อชุดกันหนาวและชุดนอนของคุณชายไป๋ป๋อชุนด้วยความว่องไวและไม่มีความเขินอายสักนิดดูท่าแล้วจะเป็นฝั่งคุณชายไป๋เสียมากกว่าที่ออกจะทำตัวทำหน้าไม่ถูก

“เจ้านี่ก็เหลือเกินจะมาจับผู้ชายเปลื้องผ้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เมื่อขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูกชายหนุ่มจึงตำหนินางเบาๆ ออกมาแทนเพราะตั้งแต่นางมาอยู่ร่วมชายคาก็จับเนื้อจับตัวเขาไปมากมายเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“ภรรยาเปลื้องผ้าสามีข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดนะเจ้าคะ อีกอย่างหนึ่งท่านก็ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ข้าดูแลเช่นนี้ด้วยการแตะเนื้อต้องตัวบุรุษหรือสตรีเพื่อช่วยเหลือเขาเรียกว่าการรักษาพยาบาลเจ้าค่ะทั้งท่านพ่อและน้องชายคนเล็กของข้ายามที่พวกเขาป่วยไข้ก็มีข้านี่แหละที่ดูแล ข้าทำให้ด้วยความปรารถนาดีอยากให้ท่านหายป่วยไม่ได้คิดเป็นอื่นเพราะฉะนั้นท่านวางใจได้เจ้าค่ะ”

“เจ้าเป็นสตรีที่ประหลาดนักความคิดความอ่านไม่เหมือนใครเลยที่ข้าเคยพบเจอมา” เรื่องที่นางอธิบายชายหนุ่มก็เข้าใจดีอยู่แต่ด้วยขนบธรรมเนียมและค่านิยมที่ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันหากไม่ได้เป็นคนในครอบครัวทำให้เขาเองก็มีกำแพงเล็กๆ ในใจและถึงนางจะตบแต่งเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ใช่ว่าทั้งหมดนั้นไป๋ป๋อชุนจะต้องการมันแต่ทั้งหมดเป็นการจัดการโดยพลการของคนสกุลไป๋โดยไม่มีใครได้มาถามความเห็นชอบจากเขาทั้งสิ้น

“สงสัยว่าคุณชายจะเคยพบเจอแต่คุณหนูในห้องหอแต่ไม่ค่อยได้พบเจอหญิงสาวชาวบ้านอย่างข้า เอาเป็นว่าเวลาที่มีคนป่วยไข้ในบ้านพวกเราต้องดูแลกันเองตามมีตามเกิดถึงจะได้หาหมอก็แค่ตรวจและรับเทียบยามาส่วนขั้นตอนในการดูแลคนป่วยนั้นย่อมตกเป็นของมารดาหรือไม่ก็บุตรสาวของเรือนนั้นๆ ไป

และแน่นอนว่าเรือนสกุลหลิวภาระทั้งหมดต้องตกเป็นของข้าผู้เป็นบุตรสาวคนโตที่กำพร้ามารดาเพราะแม่เลี้ยงกับลูกติดของนางไม่สนใจอะไรจุกจิกเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะพวกนางบอกว่ามันทำให้พวกนางเสียเวลานอน”

“เจ้าเล่าเรื่องของตัวเองให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่หลิวซินหวาคิดว่าเป็นการทำความรู้จักกันก็ได้” ในตอนแรกไป๋ป๋อชุนยอมรับว่าไม่คิดจะทำความรู้จักสตรีผู้นี้นอกไปจากฐานะของคนที่ตกที่นั่งเดียวกันแต่เมื่อได้พูดคุยกันมากขึ้น ได้เห็นทัศนคติที่แตกต่างของนางจึงเริ่มที่จะอยากรู้จักตัวตนของนางเพิ่มมากขึ้นกว่านี้

“เรื่องของข้าไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกเจ้าค่ะแค่เด็กผู้หญิงลูกชาวนาคนหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาในฤกษ์ยามมงคลในปีนั้นหลายคนเรียกข้าว่าดาวนำโชคแต่ก็มีอีกมากที่เรียกข้าลับหลังว่าดาวอับโชคเพราะหลังจากที่มารดาให้กำเนิดข้าไม่นานท่านก็จากไปหลังจากนั้นท่านพ่อก็เลี้ยงข้ามาด้วยตัวคนเดียวจนท่านย่าเจ้ากี้เจ้าการให้ท่านพ่อแต่งงานกับหญิงม่ายคนหนึ่งในหมู่บ้านข้าจึงมีพี่สาวต่างสายเลือดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

หลังจากนั้นก็มีน้องอีกสองคนแล้วพ่อข้าก็มาตายตกไปเพราะถูกหมีตะปบไม่กี่ปีต่อมาแม่เลี้ยงของข้าก็แต่งงานใหม่อีกครั้งข้าจึงต้องย้ายหมู่บ้านไปอาศัยอยู่ที่เรือนสกุลต้าจนกระทั่งผู้อาวุโสฉางไปตามหาหญิงสาวที่เกิดในฤกษ์มงคลเจ้าค่ะ”

สรุปความโดยย่อชีวิตของหลิวซินหวาตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันก็น่าจะมีเท่านี้แต่ถ้าหากต้องใส่รายละเอียดปลีกย่อยเข้าไปแล้วหญิงสาวคิดว่าคงต้องนั่งเล่าให้คุณชายไป๋ฟังสักสามวันสามคืนจึงจะจบ

“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อยถ้าหากว่าไม่อยากดูแลคนป่วยอย่างข้าก็บอกได้ทุกเมื่อนะซินหวา” อันที่จริงไป๋ป๋อชุนก็ต่อต้านและไม่เห็นด้วยมาตลอดเรื่องการตามหาหญิงสาวมาแต่งงานเพื่อล้างอาถรรพ์ให้กับตัวเองเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ตนเองพบเจออยู่หาใช่อาถรรพ์หรือมนต์ดำอะไรแต่มันเป็นความตั้งใจของนังจิ้งจอกพันหน้าภรรยาอีกคนของบิดาเขาที่ไม่ต้องการให้คุณชายใหญ่ของเรือนสกุลไป๋ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลต่อจากบิดา

แต่ก็เป็นเพราะเขาประมาทและหยิ่งทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตัวเองจนสุดท้ายก็ต้องพลาดท่าทั้งเริ่มจากประสบอุบัติเหตุจนขาใช้การไม่สะดวกจนมาต้องพิษที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ และการแต่งงานกับหญิงสาวผู้เป็นดั่งดาวนำโชคมันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะกันเขาออกมาจากเรือนสกุลไป๋ก็เท่านั้นเอง

“จะมาขอโทษอะไรล่ะเจ้าคะคุณชายไป๋การได้มาอยู่ที่นี่ข้าได้กินอิ่มแบบที่ไม่ต้องหลบซ่อนกลัวว่าแม่เลี้ยงจะมาต่อว่าหรือทุบตีหากกินข้าวเต็มชาม ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแย่งเสื้อผ้าใหม่และไม่ต้องเป็นคนใช้ส่วนตัวของพวกนางสองแม่ลูกอีกด้วยแบบนี้มันดีจะตายเจ้าค่ะ

ส่วนเรื่องดูแลท่านข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากเลยแค่ทำอาหารและดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะส่วนมากคุณชายไป๋ยังคงช่วยเหลือตัวเองได้อยู่” เรื่องนี้หลิวซินหวาไม่ได้โกหกเพราะในยามที่อาการไม่กำเริบจนปวดกระดูกจนร่างกายอ่อนแรงคุณชายไป๋ป๋อชุนจะดูแลเรื่องธุระส่วนตัวของตนเองได้ทำให้แบ่งเบาภาระของนางไปได้มากโขแค่ดูแลเรื่องอาหารและต้มยาให้เขาดื่มวันละสามมื้อไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย

“เหมือนชะตาลิขิตให้คนไร้ที่พึ่งสองคนได้มาพบกันอย่างไรแล้วข้าก็ต้องขอบใจเจ้าจริงๆ” อันที่จริงก็อยากจะขอบคุณนางให้ซาบซึ้งสมกับที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีแต่อาการครั่นเนื้อครั่นตัวและระคายคอกลับทำให้ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างใจคิด

“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตอนนี้ข้าว่าคุณชายต้องจิบชาขิงน้ำผึ้งมะนาวสักหน่อยจะได้ชุ่มคอนอกจากไอแล้วร่างกายท่านยังรู้สึกผิดปกติอะไรหรือไม่เจ้าคะ เช่นปวดศีรษะ อันที่จริงตัวท่านก็เริ่มอุ่นๆ อาจจะเป็นไข้หวัดก็เป็นได้” ระหว่างที่พูดอยู่นั้นหลิวซินหวาก็เดินตรงไปหาอุปกรณ์ชงชาที่นางเตรียมมาไว้ในห้องนี้เพื่อความสะดวกโดยนอกจากใบชามะลิที่นำออกมาจากมิติร้านชำแล้วก็ยังมีน้ำผึ้ง มะนาว และขิงอีกด้วย

“คงเป็นดังที่เจ้าว่าร่างกายของข้าเสียสมดุลจึงไวต่ออากาศไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น”

“หากเป็นเช่นนั้นคุณชายยิ่งต้องกินของดีๆ บำรุงร่างกายนะเจ้าคะอย่างน้อยๆ ข้าวทุกมื้อก็ควรกินให้มันหมดชามก็ยังดีถึงข้าไม่ได้มีความรู้เรื่องวิชาการแพทย์แต่จากประสบการณ์ในการสู้ชีวิตที่ผ่านมามันทำให้ได้รู้ว่าอาหารดีๆ มีความสำคัญต่อร่างกายมากทีเดียวเจ้าค่ะ” 

เพราะพายุหิมะที่โหมกระหน่ำตลอดหลายวันหลายคืนทั้งหลิวซินหวาและไป๋ป๋อชุนจึงไม่มีอะไรที่ทำได้นอกจากมาอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันและหาเรื่องจิปาถะคุยกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงดึงตึงตังของพายุหิมะที่ซัดเข้ากระทบกับฝาบ้านแม้ส่วนมากจะเป็นฝั่งของหญิงสาวที่พูดมากกว่านางก็ยินดีเพราะถือว่าได้ระบายเรื่องราวในใจที่ไม่เคยพูดออกไปให้ใครฟังออกมาบ้าง

“น่าอายนะข้าเป็นลูกชาวนาแท้ๆ แต่ทำนาไม่เป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโตข้าต้องช่วยท่านย่าดูแลเรือนทั้งทำกับข้าว ซักเสื้อผ้ารวมไปถึงทำความสะอาดแต่น้องๆ ข้าทำเป็นทุกคนเลยนะอายุได้เจ็ดหนาวก็ออกไปที่นากันแล้วถึงตัวจะเล็กแต่ทั้งเสี่ยวอ้าย ห่าวเอ๋อร์ก็แข็งแรงมาก” ตลอดเวลาที่หลิวซินหวาพูดถึงน้องๆ ทั้งสองคนไป๋ป๋อชุนสังเกตเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของนางจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เสมอประหนึ่งว่าเด็กทั้งสองคนนั้นเป็นความสุขทั้งชีวิตของนางก็มิปาน

“เสียใจไหมที่ต้องจากน้องๆ มาเช่นนี้”

“เสียใจแล้วจะทำอะไรได้เจ้าคะข้าอยากมีเงินสักก้อนเพื่อไปรับน้องๆ มาอยู่ด้วยใจจะขาดข้าเชื่อว่าเพียงนำเงินไปกองไว้ตรงหน้าแม่เลี้ยงนางต้องยินดียกเด็กทั้งสองคนให้ข้าอย่างแน่นอน” ตั้งแต่นั่งพูดคุยกันจริงจังครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หลิวซินหวาพูดโกหกออกมาคำโตใครมันจะไปกล้าบอกกันล่ะว่าตอนนี้น้องๆ ของนางนั้นกินอิ่มนอนหลับและเล่นซนกันอยู่ภายในมิติร้านชำเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าพายุหิมะผ่านไปแล้วและข้าอาการดีขึ้นสักหน่อยข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าไปรับน้องๆ มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้สะดวกสบายเท่าไหร่นักแต่ก็น่าจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้แน่” แม้ไป๋ป๋อชุนจะไม่มีแรงกำลังอะไรมากมายในตอนนี้แต่พูดถึงเงินที่ชายหนุ่มสะสมเอาไว้ก็เรียกว่ามากอยู่น่าจะใช้จัดการจ่ายค่าปิดปากให้มารดาเลี้ยงของหลิวซินหวาและรับตัวเด็กหญิงเด็กชายมาอยู่ด้วยกันได้ในที่สุด

“คุณชายเจ้าคะข้าซึ้งใจมากที่ท่านมีใจคิดช่วยเหลือน้องๆ ข้า เอ๊ะ ท่านได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า” ระหว่างที่พูดคุยกันก็มีเสียงดังกึกๆ กักๆ ดังลั่นไปทั่วและก่อนที่จะทันได้คิดอะไรหลังคาเรือนตรงเหนือเตียงของคุณชายไป๋ป๋อชุนก็พังครืนลงมาทั้งแถบแม้เศษกระเบื้องและหิมะจะไม่ตกลงศีรษะเขาโดยตรงแต่ก็มีเศษๆ หิมะที่กระเด็นไปบนเตียงอยู่ดี

“หลังคาเรือนพังหมดแล้ว ดูท่ามันจะพังลงมาเพิ่มอีกนะเจ้าคะคุณชายไป๋” ด้วยความร้อนใจหลิวซินหวาก็พุ่งตัวไปหาไป๋ป๋อชุนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงก่อนเป็นอันดับแรกอีกทั้งยังพยายามใช้มือเล็กๆ โกยหิมะให้ออกไปพ้นร่างของชายหนุ่มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“หลิวซินหวาเจ้าออกไปจากห้องนี้ก่อนมันอันตราย”

“คุณชายเจ้าคะ หากอยากมีชีวิตรอดโปรดเชื่อใจข้าสักครั้งเถิดแล้วหลังจากนี้หากท่านอยากได้คำอธิบายอะไรข้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมดอย่างไม่มีปิดบัง” เมื่อเห็นท่าไม่ดีหลิวซินหวาก็ไม่มีทางให้เลือกมากนักและนางก็ได้แต่หวังเอาไว้ว่าสิ่งที่นางตัดสินใจทำลงไปนั้นมันจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดพลาด