เมื่อบังเอิญได้มีชีวิตใหม่ภารกิจหนีตายจากชีวิตบัดซบจึงได้เริ่มต้น

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ - ตอนที่ 10 ความวุ่นวายในเรือนสกุลต้า โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,ครอบครัว,รัก,ปลูกผัก,ข้ามเวลา,เจ่เจ้ร้านชำ,นิยายรักจีนโบราณ,มิติวิเศษ,ปลูกผัก,ทำสวน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,ครอบครัว,รัก,ปลูกผัก,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เจ่เจ้ร้านชำ,นิยายรักจีนโบราณ,มิติวิเศษ,ปลูกผัก,ทำสวน,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เมื่อบังเอิญได้มีชีวิตใหม่ภารกิจหนีตายจากชีวิตบัดซบจึงได้เริ่มต้น

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ในชีวิตก่อนต้องอยู่แบบปากกัดตีนถีบเพื่อครอบครัวจนสุดท้ายก็ต้องมาตายเพราะครอบครัวอีกเช่นกันพอมามีชีวิตใหม่แทนที่อะไรๆ จะดีขึ้นแต่วังวนชีวิตก็ยังคงตีนถีบปากกัดไม่ต่างจากเดิมและเหมือนชีวิตดีๆ จะยังไม่ลงตัวมากพอสวรรค์จึงได้ประทานน้องๆ และสามีพิการมาให้ดูแลงานนี้แทนที่จะเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวก็ต้องมาสู้ตายเพื่อน้องร่วมสายเลือดและเพื่อผู้ชายอีกหนึ่งคน

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีครึ่งเรื่องหลังจากนั้นจะติดเหรียญไปจนถึงตอนจบ หลังอีบุ๊กวางจำหน่ายครึ่งถึงหนึ่งเดือนจะย้อนติดเหรียญตอนก่อนหน้าโดยจะเหลือให้อ่านฟรีเฉพาะตัวอย่างประมาณ 10 ตอนค่ะ

สารบัญ

ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 1 แน่ใจหรือว่าเจ้าคือดาวนำโชค,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 2 เรื่องราวแต่เก่าก่อน,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 3 แต่งงานล้างซวย,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 4 การแต่งงาน,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 5 ดูท่าว่าปากก็ต้องกัดตีนก็ต้องถีบ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 6 พายุหิมะ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 7 การเอาชีวิตรอด,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 8 เรื่องมหัศจรรย์,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 9 มิติร้านชำ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 10 ความวุ่นวายในเรือนสกุลต้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 11 ตามหาเรือนหลังใหม่,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 12 มองหาร้านค้าที่เหมาะสม,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 13 เตรียมการเพื่อร้านค้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 14 พี่น้องสกุลหลิว,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 15 บ้านเล็กในส่วนใหญ่,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 16 เริ่มสร้างตัวทีละเล็กทีละน้อย,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 17 ทำมาค้าขึ้น,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 18 กรรมใดใครก่อ,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 19 กลยุทธ์ทางการค้า,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 20 สกุลไป๋เกิดเรื่อง,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 21 เจ้าอยากไปเที่ยวเมืองหลวงบ้างไหม,ชีวิตที่สองของเจ่เจ้ร้านขายของชำ-ตอนที่ 22 มาเยือนเมืองหลวง

เนื้อหา

ตอนที่ 10 ความวุ่นวายในเรือนสกุลต้า

“นั่นมันเด็กถึงสองคนเชียวนะ ท่านหาพวกเขาไม่เจอเลยเหรอ” ตั้งแต่นาทีที่ลูกสาวและลูกชายจูงมือกันวิ่งหนีหายไปบริเวณชายป่าของหมู่บ้านอี๋เมี่ยวจินก็ไม่ได้เฉลียวใจคิดว่าทั้งสองคนคงจะหนีหายไปคิดเพียงว่าน่าจะหนีไปร้องไห้และทำใจตามประสาเด็กๆ แต่หลังจากผ่านไปหลายชั่วยามแล้วยังไม่มีใครกลับมานางจึงขอให้สามีและบุตรชายของเขาช่วยออกไปตามหาให้แต่จนแล้วจนรอดเวลาก็ผ่านไปสามวันแล้วทั้งหลิวอ้ายเยี่ยนและหลิวลู่ห่าวก็มิได้กลับมาบ้านแต่อย่างใด

“บนภูเขาข้ากับอาไห่ก็ขึ้นไปหามาแล้วเดินไปไกลในระยะที่แรงเด็กจะเดินไปถึงแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยอะไรแต่เมื่อฟ้าสว่างข้าจะไปขอแรงชาวบ้านให้ขึ้นเขาไปช่วยตามหาด้วยกันอย่างไรแล้วเจ้าช่วยเตรียมอาหารกลางวันให้มากสักหน่อยก็แล้วกันเอาเป็นอะไรที่กินง่ายๆ อย่างไรก็ทำเผื่อไว้สำหรับผู้ชายสักเจ็ดแปดคน รีบไปเตรียมอาหารเถอะข้ามีเวลาไม่มากต้นยามเฉินคงต้องออกเดินทางแล้ว” ต้าส่งบอกกับภรรยาเพราะการที่เด็กๆ หายตัวไปเขาก็เป็นห่วงอยู่มากเหมือนกัน

“เจ้าค่ะท่านพี่” แม้จะรับปากสามีว่าจะเตรียมอาหารแต่เพราะไม่เคยได้ทำอาหารในปริมาณมากๆ มานานแล้วอี๋เมี่ยวจินจึงกลัวว่าตนเองจะทำไม่ทันจึงไปปลุกลูกสาวมาตั้งแต่ต้นยามเหม่าซึ่งแน่นอนว่าอี๋ลิ่วเสียนต้องแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาในทันที

“ลิ่วเสียนมาช่วยแม่หุงหาอาหารหน่อยเช้านี้พ่อเจ้าจะขอแรงชาวบ้านขึ้นเขาไปตามหาน้อง เราจำเป็นต้องเตรียมอาหารกลางวันไปให้เพื่อเป็นสินน้ำใจ” อี๋เมี่ยวจินยังใจเย็นพอที่จะพูดกับลูกสาวได้แต่คนที่นอนฟังอยู่กลับหลับตาไม่รับรู้อีกทั้งยังพลิกกายเอาผ้าห่มมาปิดหัวปิดหูตนเองแสดงอาการไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่างหาก

“ถ้าหากหาเสี่ยวอ้ายกับห่าวเอ๋อร์ไม่เจอคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเราสองคนจะเดือดร้อนมากแค่ไหนวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้าได้นอนอยู่ในเรือนสกุลต้าก็ได้นะ” มารดาขู่ลูกสาวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้อี๋ลิ่วเสียนดีดตัวขึ้นมาจากที่นอนแทบจะทันทีเพราะถ้าหากว่าหาตัวเด็กสองคนนั้นไม่พบแน่นอนว่าคนที่ต้องเดือดร้อนเป็นลำดับถัดไปย่อมเป็นตัวเองไม่ผิดแน่

แม้เงินที่ขายตัวของหลิวซินหวาออกไปจะมากมายจนทำให้ครอบครัวเล็กๆ อยู่ได้สบายๆ ไปถึงห้าปีสิบปีแต่กับไม่ใช่กับมารดาของนาง เนื่องจากอี๋เมี่ยวจินนั้นติดการพนันอีกทั้งยังมีนักเลงคุมบ่อนมาติดพันจึงทำให้ทุกวันนี้นางจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการใช้หนี้การพนันและปรนเปรอบุรุษที่มิใช่สามีซึ่งเรื่องนี้อี๋เมี่ยวจินก็บังเอิญได้รู้เข้าและต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปโดยปริยาย

ในยามที่มารดาได้เงินทองมาแน่นอนว่าตัวนางที่เป็นลูกนั้นก็ย่อมได้อยู่ได้กินแบบสบายๆ แต่เมื่อมารดาเสียพนันหรือต้องการเงินไปให้ชายชู้นางก็จะเดือดร้อนไปด้วยซึ่งสมัยก่อนนั้นสองแม่ลูกสกุลอี๋ก็ใช้วิธีลักขโมยเอาข้าวของในเรือนสกุลหลิวไปขายเสียจนหมดสิ้นไม่เว้นแม้แต่สินเดิมของมารดาของหลิวซินหวาและจนถึงตอนนี้ยามขายลูกติดสามีเก่าออกไปแล้วเงินที่เหลือติดตัวอยู่ก็ใช่ว่าจะมีอยู่มากเสียเมื่อไหร่

ฉากหน้าของอี๋เมี่ยวจินนั้นนางดูเป็นหญิงม่ายผู้น่าสงสารที่ทำงานเลี้ยงลูกมาตามลำพังซึ่งข้อนี้ยังเป็นความจริงในหลายปีก่อนแต่หลังจากที่สามีคนที่สองหลิวหลี่เสียชีวิตไปได้สักพักหนึ่งหญิงม่ายสกุลอี๋ก็ได้เดินเข้าไปในวังวนของการพนันซึ่งแน่นอนในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ในตอนนั้นนางย่อมเล่นได้มากกว่าเสียและเมื่อได้เงินมาโดยง่ายก็ยิ่งทำให้นางหลงลำพองใจหันไปใช้เวลาในบ่อนมากกว่าอยู่บ้านทิ้งภาระหน้าที่ในการดูแลน้องๆ และการทำงานทุกอย่างให้เป็นภาระของหลิวซินหวาลูกเลี้ยงแต่เพียงผู้เดียวจนกระทั่งมาแต่งงานกับสามีคนที่สามต้าส่งก็ทำให้นางห่างจากการพนันมาได้พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ยังวนกลับไปหามันอยู่ดี

และเรื่องที่ทำให้ต้องตามหาน้องสาวน้องชายต่างบิดาอย่างเร่งด่วนเหตุเพราะก่อนหน้านี้มารดาไปทำสัญญาซื้อขายตัวหลิวอ้ายเยี่ยนและหลิวลู่ห่าวเอาไว้และนี่ก็ใกล้ถึงวันที่จะต้องส่งตัวเด็กทั้งสองคนให้กับคนของหอสุขสำราญซึ่งเป็นหอคณิกาใหญ่ที่มีชื่อเสียงประจำเมืองหลวงแล้วซึ่งแน่นอนว่าหากถึงวันกำหนดส่งตัวแล้วยังหาเด็กทั้งคู่ไม่เจออี๋เมี่ยวจินจะต้องเดือดร้อนและเผลอๆ ก็จะต้องเป็นอี๋ลิ่วเสียนที่ต้องรับกรรมแทน

แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะหาทุกซอกมุมในหมู่บ้านหรือแม้กระทั่งพลิกภูเขาหาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสองพี่น้องหลิวอ้ายเยี่ยนและหลิวลู่ห่าวทำให้อี๋เมี่ยวจินลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขอีกทั้งยังออกจากบ้านไปคนเดียวเป็นเวลานานๆ งานการในบ้านบกพร่องแถมงานในที่นาก็ไม่ค่อยไปดูแลช่วยเหลือจนกระทั่งต้าส่งผู้เป็นสามียังเอ่ยปากตำหนิจนเกิดปากเสียงกันใหญ่โต

“เมี่ยวจินหากข้าไม่สามารถดูแลเจ้าให้มีความสุขได้ข้าก็จะขอหย่าขาดเพื่อให้เจ้าได้ไปมีชีวิตดังที่ตัวเองปรารถนา” ต้าส่งพูดเพียงแค่นั้นก็จูงมือภรรยาไปหาท่านผู้นำหมู่บ้านเพื่อขอให้เขียนหนังสือหย่าและกว่าที่อี๋เมี่ยวจินจะทันได้ตั้งสตินางก็กลายเป็นสตรีที่ถูกสามีขอหย่า ไม่มีบ้าน ไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวเลยแม้แต่เงินสักอีแปะเดียว

“ข้าวของก็ขนออกไปแต่สมบัติที่พวกเจ้าสองคนแม่ลูกเอาติดตัวมาอย่าได้คิดลักเล็กขโมยน้อยเอาสมบัติของสกุลต้าติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียว” ต้าไห่ที่ปกติแล้วเป็นคนไม่ค่อยพูดลงทุนมาเฝ้าสองแม่ลูกเก็บข้าวของด้วยตนเองแทนบิดาเพราะแค่นี้ต้าส่งก็เสียใจมากพอแล้วเมื่อภรรยาที่คิดจะฝากผีฝากไข้ยามแก่ชราทั้งติดการพนันและทั้งเส่นชู้ซึ่งข้อนี้ทั้งต้าส่งและต้าไห่ระแคะระคายมาสักพักแล้วแต่ไม่มีหลักฐานจนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อี๋เมี่ยวจินขายหลิวซินหวาออกไปรวมทั้งการหนีหายไปของลูกติดสามีเก่าจึงทำให้สองพ่อลูกสกุลต้ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

ต้าไห่ที่พอมีสหายอยู่บ้างลงทุนออกตามสืบข่าวมานานจนท้ายที่สุดแล้วก็ทราบเรื่องสกปรกและน่าอับอายที่มารดาเลี้ยงทำเอาไว้จึงไม่ลังเลเลยที่จะเอาเรื่องนี้มาปรึกษาบิดาจนทำให้ต้าส่งตัดสินใจหย่าขาดจากนางไปเงียบๆ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เรื่องแดงและมีคนภายนอกรู้ไม่แคล้วอี๋เมี่ยวจินต้องถูกจับใส่กรงหมูแห่ประจานรอบหมู่บ้านและสุดท้ายนางต้องถูกนำไปถ่วงน้ำปล่อยให้ตายเป็นแน่เพราะเรื่องการคบชู้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับคนในหมู่บ้าน

 

ทางด้านหมู่บ้านเขาเขียวนั้นยังคงมีพายุหิมะอย่างต่อเนื่องบ้านเรือนเสียหายไปบางส่วนแต่ยังไม่มีใครสามารถทำอะไรได้มากกว่าการพยายามช่วยเหลือตัวเองไปตามมีตามเกิดส่วนทางหลิวซินหวานั้นก็ยังอาศัยอยู่ในมิติร้านชำกับน้องๆ และเพิ่มเติมคือมีคุณชายไป๋ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงเพิ่มขึ้นทุกวันมาช่วยทำสวนผักรวมถึงช่วยกันทำนาปลูกข้าวในมิติด้วย

“น้องหญิง พี่มีเรื่องจะปรึกษาเจ้าเล็กน้อย” หลังจากจบมื้อเย็นก็เป็นเวลาที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมส่วนตัวของตัวเองซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากแล้วเด็กๆ จะขลุกอยู่กับคุณชายไป๋เพราะเขามีอีกหนึ่งหน้าที่คือเป็นครูสอนเขียนอ่านให้กับเสี่ยวอ้ายและห่าวเอ๋อร์แต่วันนี้หลังจากที่ไปสั่งงานลูกศิษย์ตัวน้อยแล้วคุณชายไป๋ป๋อชุนกับเดินมาเรียกหลิวซินหวาด้วยสรรพนามที่ชวนจั๊กจี้หูเสียเหลือเกิน

“มีอะไรหรือเจ้าคะ” หลิวซินหวาวางงานในมือลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับคุณชายไป๋ป๋อชุนแทน

“พี่คิดว่าหลังจากที่พายุหิมะผ่านพ้นไปแล้วเราควรซ่อมเรือนหลังเก่าให้มันพออยู่ได้เพื่อหลอกคนสกุลไป๋ไปสักระยะหนึ่งก่อนเพราะข้าเข้าใจว่าแม่นมหม่าน่าจะเดินทางมาดูความเป็นอยู่ของพวกเราเป็นระยะหรือถ้าหากนางไม่ได้มาด้วยตนเองก็น่าจะให้คนส่งข่าวไปให้ แต่ระหว่างนั้นเราก็จะมองหาบ้านใหม่ไปด้วยจะซื้อหรือจะสร้างใหม่ก็ได้พี่ล้วนตามใจเจ้า”

เรื่องที่ตนเองแข็งแรงขึ้นนั้นน่าจะเป็นฝันร้ายของฮูหยินสกุลไป๋คนปัจจุบันดังนั้นเขาจึงอยากให้นางฝันดีต่อไปอีกสักหน่อยก่อนที่กระชากให้นางลงไปฝันต่อที่ในนรกให้สมกับความชั่วช้าที่นางได้ทำไว้ทั้งหมด

“ตัวข้าไม่ติดปัญหาอะไรเจ้าค่ะแล้วแต่ท่านพี่เลยแต่เรื่องขนาดเรือนข้าอยากได้ที่มันขนาดกำลังดีพออยู่กันได้สบายๆ แต่สำหรับพื้นที่อยากมีให้มากหน่อยเพราะข้าอยากทำสวนเจ้าค่ะถ้าเป็นไปได้ก็อยากที่จะเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่ด้วย” หลิวซินหวาเข้าใจดีว่าคุณชายไป๋ร่ำรวยมากแต่นางก็ไม่ได้ต้องการเรือนที่หรูหราใหญ่โตเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

และอีกสิ่งหนึ่งก็คือนางมั่นใจว่าทรัพย์สมบัติที่มีแม้จะมากมายหากเอาแต่ใช้ไปสักวันหนึ่งมันก็ต้องมีทางที่จะหมดลงดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือทำงานเพื่อหาเงินเพื่อให้ทรัพย์สมบัตินั้นเพิ่มพูนกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันเรื่องการงอมืองอเท้าให้สามีเลี้ยงดูนั้นจึงไม่เคยมีในหัวของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อยและด้วยความที่นางยังมีน้องๆ ที่ต้องเลี้ยงดูอีกถึงสองชีวิตเพราะฉะนั้นนางจะมาเอาเปรียบคุณชายไป๋ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“ทุกอย่างข้าล้วนตามใจเจ้าโดยระหว่างที่เรารอซ่อมเรือนหลังเก่าพี่คิดว่าจะไปหาซื้อร้านค้าในอำเภอเอาไว้ให้เจ้าโดยด้านล่างเราก็ทำการค้าส่วนชั้นสองเราก็ใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวไปก่อนแม้การอยู่ในมิติร้านชำจะค่อนข้างสะดวกสบายแต่เราก็จำเป็นต้องออกไปใช้ชีวิตด้านนอกด้วยเหมือนกันเพื่อไม่ให้ชาวบ้านสงสัย ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินข้าสามารถซื้อภูเขาแถบนี้ให้เจ้าได้ทั้งหมดแถมยังไม่ต้องให้เจ้าทำงานไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้” ไป๋ป๋อชุนเห็นแววความกังวลเล็กๆ พาดผ่านสายตาของหลิวซินหวาแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เขาคิดว่านางน่าจะเป็นกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อย

“เอาอย่างที่ท่านพี่ว่าก็ได้เจ้าค่ะหากพายุหิมะสงบแล้วข้าจะรีบไปจัดการเรื่องซ่อมบ้านจากนั้นก็จะไปหาร้านค้าที่ในอำเภอเป็นลำดับถัดไปเราจะได้มีที่พักชั่วคราวระหว่างที่รอหาบ้านใหม่กัน และหลังจากที่เรามีบ้านข้าก็จะทำทีว่าน้องชายกับน้องสาวจากบ้านเดิมเดินทางมาหาเสี่ยวอ้ายกับห่าวเอ๋อร์จะได้ออกมาใช้ชีวิตด้านนอกได้เสียที” แม้อาการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ จะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่มันก็มีขั้นตอนอยู่บ้างโดยเฉพาะการที่ต้องแจ้งผู้นำหมู่บ้านเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตอนนี้หลิวซินหวาอยากให้น้องๆ มีทะเบียนบ้านอยู่ในหมู่บ้านเขาเขียวเพราะมันจะมีประโยชน์อีกหลายอย่างในภายภาคหน้า

“ต้องเหนื่อยเจ้าแล้วเพราะพี่ยังต้องแสร้งเล่นละครเป็นคนพิการต่อไปแต่อีกไม่นานหรอก พี่สัญญาว่าจะช่วยเจ้าทำมาหากินอย่างแข็งขันแน่นอน”