เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก! - บทที่ 1 การเกิดใหม่ในดินแดนแห่งออร์ก ตอนที่ 1 โดย JK.Smith @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,มิตรภาพ,พลังพิเศษ,สงคราม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,มิตรภาพ,พลังพิเศษ,สงคราม

รายละเอียด

เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

ผู้แต่ง

JK.Smith

เรื่องย่อ

"เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในดินแดนต่างโลก!

วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

เมื่อสงครามระหว่างยักษ์และเอลฟ์ปะทุ วาลองซ์จะใช้ความรู้จากโลกเก่าและพลังใหม่อย่างไร เพื่อยุติความขัดแย้งและพัฒนาดินแดนนี้?

ร่วมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่ผสานวัฒนธรรมไทยกับจินตนาการไร้ขีดจำกัด พบเรื่องราวแห่งมิตรภาพและการเติบโตที่จะทำให้คุณหัวเราะและลุ้นระทึก

'เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!' – การเดินทางของวิศวกรข้ามภพที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งออร์กและตัวเขาเอง... ตลอดกาล"

จากวิศวกรสู่ออร์กผู้พิทักษ์การผจญภัยข้ามภพที่จะเปลี่ยนโลกและหัวใจ

สารบัญ

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 1 การเกิดใหม่ในดินแดนแห่งออร์ก ตอนที่ 1,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 2 มิตรภาพในป่าศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 2,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 3 กองทัพราตรี ตอนที่ 3,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 4 สร้อยคอแห่งเอลเดนกรอฟ ตอนที่ 4,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 5 เมืองลูน่า ตอนที่ 5,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 6 ภารกิจแรกบนเกาะลูน่า ตอนที่ 6

เนื้อหา

บทที่ 1 การเกิดใหม่ในดินแดนแห่งออร์ก ตอนที่ 1

"เกิดอะไรขึ้น?"

เปิดฉากด้วยสำนวนที่อาจจะดูซ้ำซากไปบ้าง แต่มันคือถ้อยคำที่สะท้อนความเป็นจริงในตอนนี้มากที่สุด

 

หลังจากที่รู้สึกได้ถึงแสงสว่างจ้าวาบเข้าสู่ม่านตา จนต้องทำให้กะพริบตาถี่ ๆ ไปโดยธรรมชาติ จากนั้นจึงพยายามปรับสายตาให้ชินกับความสว่าง นายนรินทร์ ศรีวิเศษ รู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่แล่นไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา

 

เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่กลับรู้สึกถึงน้ำหนักมหาศาลที่กดทับร่างกาย พร้อมด้วยเสียงครางเบาๆ ที่ออกมากลับทุ้มต่ำกว่าปกติหลายเท่า

 

เมื่อลืมตาขึ้นมองรอบตัว นรินทร์ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในป่าทึบ ต้นไม้ขนาดมหึมาโอบล้อมรอบตัว แสงแดดลอดผ่านใบไม้ลงมาเป็นลำแสงสีทอง บรรยากาศชวนให้นึกถึงป่าในภาพยนต์แฟนตาซี

 

"ที่นี่ที่ไหนกัน?" นรินทร์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสังเกตเห็นมือของตนเอง เขาต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง มือที่เห็นนั้นไม่ใช่มือของมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นมือขนาดใหญ่ผิดปกติ ผิวสีเขียวอ่อน มีเล็บแหลมคมที่ปลายนิ้ว

 

นรินทร์รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นไปทั่วร่าง เขามองสำรวจตัวเองอย่างละเอียด และพบว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าเดิมของมนุษย์อีกต่อไป

 

นรินทร์ ศรีวิเศษ เป็นชายหนุ่มวัยทำงาน ที่กำลังตกงานอยู่ธรรมดาคนหนึ่ง

รูปร่างสมส่วน สวมแว่นที่ไม่เข้ากับกรอบหน้า ผิวสีแทน ผมดำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เป็นใจเย็น มีความรอบคอบ มีเหตุผล ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง

 

พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เขายังเด็ก โดยที่พ่อของเขาไปมีครอบครัวใหม่ ส่วนตัวเขาและน้องชายอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นแรงงาน ใน กทม. ตอนที่เขาจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัย เดินทางไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่จังหวัดชลบุรี จึงอาศัยอยู่คนเดียวตั้งแต่นั้นมา เป็นที่พึ่งของทั้งแม่กับน้องและครอบใหม่ของพ่อเขาด้วย เมื่อทำงานจนเลยวัยเลขสาม บริษัทมีสถานะการเงินวิกฤต ที่เป็นสถาการณ์ปกติในเวลานั้น และตัวของเขานั้นก็ได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มคัดออกร่วมกับเพื่อนๆ อีกหลายคนในฤดูฝน กลางเดือนมิถุนายน

 

ไม่มีงาน จึงไม่มีรายรับ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือหนี้สิน เมื่อชีวิตวิกฤตเครดิตไม่มี หันไปข้างหลังไม่มีใครที่พร้อมจะช่วยเหลือ จึงเลือกจบชีวิตตัวเองลง

 

เป็นเรื่องราวชีวิตที่ดูคลิเช่ไม่เบา

 

ก็อย่างที่เห็นความตาย ไม่ได้ทำให้ตัวเขากลับสู่ความว่างเปล่า แต่กลายเป็นว่าร่างกายของเขาสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แข็งแรงผิดมนุษย์ ผิวกายเป็นสีเขียวอ่อน มีเขาสองเขางอกออกมาจากศีรษะ ผมสีดำยาวสยายลงมาถึงกลางหลัง

 

"นี่มัน...ยักษ์หรอ?" นรินทร์พูดกับตัวเองเบาๆ ความสับสนและตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ "เกิดอะไรขึ้นกับเรา?"

 

ขณะที่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ นรินทร์ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ เขาหันไปมองอย่างระแวดระวัง เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะโผล่ออกมา

 

ทันใดนั้น แสงสว่างสีทองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า นรินทร์ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อมองภาพตรงหน้า เมื่อแสงสว่างจางลง เขาก็เห็นร่างของหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาลอยอยู่เหนือพื้น

 

"ป่านี่ ร้อนชะมัด" หญิงสาวผู้มากับแสงสีทอง พึมพำกับตนเอง

 

หญิงสาวผู้นั้นมีผิวสีทองอ่อนเปล่งประกาย ผมสีเงินยาวสยายลงมาถึงเอว ดวงตาสีฟ้าอมม่วงเป็นประกาย นางสวมชุดสีขาวบางเบาคล้ายเมฆ มีรัศมีสีทองอ่อนๆ รอบกาย นางเขม่นมองนรินทร์ด้วยอารมน์ขุ่นมัว

 

พอเห็นนางท่าทางหงุดหงิด เขาก็หลุดพึมพำ

 

“เทพธิดารึเปล่านะ”

 

"ใช่น่ะสิ" นางตอบกลับด้วยความรวดเร็วซึ่งขัดแย้งกับน้ำเสียงที่ไพเราะราวกับเสียงระฆัง "เราชื่อคาริสา เป็นเทพธิดาแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ยังไงล่ะ"

 

เขายืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรดี พยายามรวบรวมสติและความกล้าก่อนจะเอ่ยถาม "คุณ...คุณเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน? แล้วทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้?"

 

คาริสายิ้มอย่างกระตือรือร้น "ไม่ต้องล่กไปหรอก วาลองซ์นายอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ที่นี่คือเกาะลูน่า เกาะที่มีเหล่าออร์กอย่างนายอาศัยอยู่น่ะ"

 

เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "ออร์กหรอ? แต่นั่นมันตัวละครเกมส์นี่? แล้วทำไมเรียกผมว่าวาลองซ์ "

 

คาริสาหัวเราะเบาๆ "มีความลับมากมายที่นายยังไม่รู้ ส่วนวาลองซ์ก็เป็นชื่อใหม่ของนายบนโลกใบนี้น่ะ"

"แต่...แต่ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? แล้วทำไมผมถึงกลายเป็นออร์กแบบนี้?" วาลองซ์ถามอย่างสับสน

 

คาริสามองวาลองซ์ด้วยสายตาเย็นชาระคนสมเพช "จำไม่ได้เลย ว่าก่อเรื่องอะไรเอาไว้ก่อนที่นายจะมานอนอยู่ตรงนี้?"

 

วาลองซ์พยายามนึกทบทวน ภาพความทรงจำสุดท้ายค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว "ผม...ผมจำได้ว่าผมเดินฝ่าสี่แยกไฟแดงแถวบ้าน แล้วก็มีรถบรรทุกพุ่งเข้ามาชน จากนั้นก็...มืดดับไปหมด"

 

คาริสาพยักหน้าพร้อมเลิ่กคิ้ว "ใช่ นายได้ตายจากโลกเก่านั้นมาแล้ว แต่ด้วยเหตุและ … เอ่อ มันเรียกว่าอะไรนะ.. อ่อ ปัจจัยของนาย พวกผู้ใหญ่เค้าจึงมอบโอกาสรึเปล่า ให้นายได้มีชีวิตใหม่ในโลกนี้ ในร่างของออร์กตนนี้"

 

วาลองซ์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน "แล้ว...แล้วผมต้องทำอะไรในโลกนี้หรือ?"

 

คาริสายิ้มกว้าง "เรามีภารกิจที่ต้องทำ ส่วนนายจะต้องช่วยเทพธิดาที่ยิ่งใหญ่อย่างเราน่ะ โดยต้องช่วยเราพัฒนาดินแดนแห่งนี้ และนำสันติสุขมาสู่ทุกผู้คน"

 

วาลองซ์ฟังด้วยความตื่นเต้นปนประหลาดใจ "แต่ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ? ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย"

 

คาริสาวางมือลงบนไหล่ของทศพลอย่างอ่อนโยน "อย่ากังวลไปเลย น้องชาย มีเราผู้เป็นเทพธิดาแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลงอยู่ด้วยทั้งคน ก่อนอื่น นายลองเช็คดูพลังพิเศษของนายมีอะไรบ้างกันก่อนดีกว่า"

 

คาริสาชี้ไปที่พุ่มไม้ใกล้ๆ "ลองใช้พล้งของนายแถวๆ นั้น อย่าให้เราโดนลูกหลงด้วยไปด้วยล่ะ"

 

วาลองซ์มองตามที่นางชี้ด้วยความสงสัย แต่ก็ทำตามที่บอก เขาจ้องมองไปที่พุ่มไม้ แล้วนึกในใจให้มันเคลื่อนไหว

 

ทันใดนั้น กิ่งไม้และใบไม้ก็เริ่มขยับ ก่อนจะค่อยๆ บิดเบี้ยวและยืดยาวออกมา วาลองซ์อ้าปากค้างด้วยความตกใจและตื่นเต้น

 

"นี่มัน...นี่มันผมทำเองเหรอ?" ทศพลถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

 

คาริสาชำเรืองมองแล้วพยักหน้ายิ้มๆ "น่าจะใช่แหละ นายน่าจะสามารถควบคุมพืชพรรณได้ตามใจปรารถนาล่ะ"

 

วาลองซ์มองมือตัวเองด้วยความทึ่ง ก่อนจะลองใช้พลังอีกครั้ง คราวนี้เขาสั่งให้ดอกไม้บานขึ้นรอบ ๆ ตัว ในพริบตาเดียว ดอกไม้หลากสีสันก็ผลิบานขึ้นมาจากพื้นดิน สร้างความงดงามให้กับป่ารอบตัว

 

"พอใช้ได้นี่ วาลองซ์" คาริสากล่าวชม "นายเรียนรู้ได้เร็วดี แต่จำไว้อย่าง อันนี้จริงจัง พลังพวกนี้อาศัยมานาหรือกำลังใจของนาย เมื่อนายใช้มากเกินตัว มันจะนำมาซึ่งอันตรายต่อตัวนายเอง เพราะฉะนั้นต้องใช้อย่างรอบคอบ เข้าใจ?"

 

วาลองซ์พยักหน้ารับ ความตื่นเต้นและความหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ "แล้วต่อจากนี้ผมต้องทำอะไรต่อครับ?"

 

คาริสายิ้มอย่างมีเลศนัย "พวกเราเริ่มเดินทางกันเถอะ วาลองซ์ ก่อนอื่น นายต้องพาเราเข้าไปในเมือง เราไม่อยากนอนกลางป่าแบบนี้"

 

ถึงแม้รูปประโยคของเทพธิดาจะฟังดูประหลาด แต่วาลองซ์ยังคงพยักหน้าตอบรับ แม้ในใจจะยังคงสับสนและกังวล แต่ความตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ก็เริ่มเอาชนะความกลัว เขาเดินนำ โดยมีคาริสาคอยคัดค้าน ทุกครั้งที่เขานำทางไปตามเส้นทางที่นางไม่ถูกใจในป่าลึก

 

ขณะที่เดินไป วาลองซ์ก็สังเกตสิ่งรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ต้นไม้ในป่านี้มีขนาดใหญ่โตผิดธรรมดา บางต้นสูงเทียมเมฆ ใบไม้มีสีสันแปลกตา บ้างก็เรืองแสงอ่อนๆ ในเงามืด สัตว์แปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนวิ่งผ่านไปมา

 

"โลกนี้...มันช่างวิเศษจริงๆ" วาลองซ์พูดออกมาด้วยความทึ่ง

 

คาริสาหัวเราะเบาๆ "นี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกเยอะเลยที่นายจะได้เจอ"

 

ขณะที่กำลังเดินไป จู่ๆ วาลองซ์ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากที่ไกลๆ เขาสะดุ้งและหันไปมองคาริสาด้วยความตกใจ

 

"เสียงอะไรน่ะ?" วาลองซ์ถามอย่างกังวล

 

คาริสาขมวดคิ้วเล็กน้อย "ฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงระเบิด แต่ไม่ใช่ระเบิดธรรมดา...เป็นเวทมนตร์" นางหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "เราว่าเราควรไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ได้”

 

วาลองซ์พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองรีบมุ่งหน้าไปยังต้นเสียง เมื่อเข้าใกล้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงระเบิดดังขึ้นเรื่อย ๆ

 

เมื่อออกจากพุ่มไม้ วาลองซ์ก็เห็นภาพที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง ตรงหน้าเขาคือทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี แต่ตรงกลางทุ่งนั้น มีเด็กสาวร่างเล็กกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของต้นไม้ยักษ์ที่ดูโกรธเกรี้ยว

 

เด็กสาวผู้นั้นมีผิวสีเขียวอ่อนมีลายใบไม้ ดวงตาสีแดงสด ผมสีน้ำตาลแดงสั้นประบ่า มีใบหน้างดงามดูเยาว์วัย มีใบไม้และดอกไม้เล็ก ๆ ติดอยู่ เธอสวมชุดยาวพลิ้วไหวคล้ายกับชุดกรีกโบราณ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มเหมือนเปลือกไม้ พร้อมมงกุฎดอกไม้ ในมือถือไม้เท้าที่ปลายมีดอกไม้ขนาดใหญ่

 

"ฮ่าๆ มาเลย พวกแกอยากลองของจริงใช่ไหมล่ะ!" เด็กสาวตะโกนท้าทาย ก่อนจะโบกไม้เท้า ทันใดนั้น ดอกไม้ที่ปลายไม้เท้าก็เริ่มเรืองแสง ก่อนจะปล่อยพลังระเบิดออกมา ทำให้ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งล้มลงทันที

 

วาลองซ์มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง "นั่น...นั่นมันอะไรกัน?"

 

คาริสาส่ายหน้าเบาๆ "นั่นคือไดรแอทน่ะ ปกติส่วนใหญ่มักเป็นพวกรักสงบ แต่ก็มีบ้างที่เป็นพวกอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ ดูเหมือนนางจะกำลังทดลองพลังของตัวเองอยู่ แต่ดูท่าจะควบคุมไม่อยู่ซะแล้วน่ะสิ"

 

ขณะที่พูดจบ ต้นไม้ยักษ์อีกต้นก็โถมเข้าใส่ไดรแอท เธอพยายามหลบ แต่ก็ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าเต็มที

 

"เราต้องรีบเข้าไปช่วยเธอ!" วาลองซ์ตะโกน ก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่รอคำตอบจากคาริสา

 

คาริสาเรียกไว้ แต่ก็ไม่ทัน เธอได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา "เกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ด้วยนะ"

 

วาลองซ์วิ่งเข้าไปหาไดรแอท เขาใช้พลังควบคุมพืชของตนสั่งให้เถาวัลย์งอกขึ้นมาจากพื้นดิน พันรัดต้นไม้ยักษ์ไว้ ทำให้มันชะงักไป

 

ไดรแอทหันมามองวาลองซ์ด้วยความประหลาดใจ "นายเป็นใคร? ทำไมถึงมายุ่งกับการทดลองของเรา?"

"ผมแค่อยากช่วย" วาลองซ์ตอบ "ดูเหมือนคุณจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้วนะ"

 

ไดรแอททำหน้างอน "เราควบคุมได้ย่ะ! เราแค่กำลังทดสอบขีดจำกัดของตัวเอง"

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน ต้นไม้ยักษ์อีกต้นก็โถมเข้าใส่พวกเขา วาลองซ์รีบดึงไดรแอทหลบ แต่แรงกระแทกก็ทำให้ทั้งคู่ล้มลงกลิ้งไปกับพื้น

 

"เห็นไหม นี่แหละที่ผมบอกว่าอันตราย!" วาลองซ์พูดอย่างหงุดหงิด

 

ไดรแอทลุกขึ้นยืน ท่าทางโมโหจัด "ไม่ต้องมาสั่งเรานะ! เราจะจัดการเอง!"

 

เธอชูไม้เท้าขึ้น เตรียมจะปล่อยพลังระเบิดอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นระหว่างทั้งสอง คาริสาปรากฏกายขึ้น

 

"พอกันที ทั้งสองคน!" คาริสาเอ่ยเสียงดัง ทำให้ทั้งวาลองซ์และไดรแอทต้องหยุดชะงัก "พลังของพวกเจ้านั้นยิ่งใหญ่ แต่ก็อันตรายถ้าใช้อย่างไม่รู้จักควบคุม"

 

ไดรแอทมองคาริสาด้วยความประหลาดใจ "เธอ...เธอเป็นใครน่ะ?"

 

"เรามีนามว่าคาริสา เทพธิดาแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลง" นางตอบ

 

คาริสาหันไปทางต้นไม้ยักษ์ที่กำลังโกรธเกรี้ยว นางยกมือขึ้น แสงสีทองอ่อนๆ แผ่ออกจากฝ่ามือของนาง ทันใดนั้น ต้นไม้ยักษ์ก็เริ่มสงบลง ก่อนจะค่อยๆ หดตัวกลับไปเป็นต้นไม้ธรรมดา

 

วาลองซ์และไดรแอทมองภาพตรงหน้าด้วยความทึ่ง

 

คาริสาหันมามองทั้งวาลองซ์และไดรแอทด้วยรอยยิ้มกว้าง "เยี่ยมมาก" คาริสาพูด "ตอนนี้เราทุกคนสงบลงแล้ว มาคุยกันดีๆ ดีกว่า"

 

ทั้งสามนั่งลงบนพื้นหญ้า คาริสามองทั้งวาลองซ์และไดรแอทด้วยสายตาอ่อนโยน

 

วาลองซ์และไดรแอทมองหน้ากันด้วยความงุนงง ก่อนที่ไดรแอทจะถามขึ้น "เธอ...ไม่โกรธเราเหรอ?"

 

"โกรธ? ทำไมล่ะ?” คาริสากล่าว "เรามักทำอะไรไม่คิดยิ่งกว่าเธออีก ซุ่มซ่ามบ่อยครั้ง จนเทพองค์อื่นไม่ค่อยชอบน่ะ"

 

ไดรแอทก้มหน้ามองพื้น ท่าทางสำนึกผิด "เรา...เราขอโทษ เราแค่อยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง"

 

วาลองซ์พยักหน้าเห็นด้วย "ผมก็เช่นกันครับ ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ยังไม่เข้าใจพลังของตัวเองดีพอ"

 

"โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก!" คาริสาโบกมือไปมา นางหันไปทางไดรแอท "เจ้าชื่ออะไรหรือ เด็กน้อย?"

 

"เราไม่ใช่เด็กน้อยนะ เราชื่อไอวี่ เป็นไดรแอทแห่งป่าตะวันออก" ไอวี่ตอบพลางเงยหน้าขึ้นมอง

 

คาริสาพยักหน้า แล้วหันไปทางวาลองซ์ "ส่วนนาย ตอนนี้นายยังขาดการฝึกฝน แม้ว่าความตั้งใจของนายจะดี แต่การกระทำที่ไม่รอบคอบก็อาจนำมาซึ่งอันตรายได้"

 

วาลองซ์พยักหน้ารับ "ผมเข้าใจแล้วครับ ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ยังไม่เข้าใจพลังของตัวเองดีพอ ผมจะระมัดระวังมากขึ้น"

 

คาริสามองทั้งสองคนสลับกันไปมา ก่อนจะยิ้มกว้าง "เราคิดว่า...พวกเราน่าจะเข้ากันได้ดีนะ ทำไมพวกเราไม่ลองร่วมเดินทางไปด้วยกันล่ะ?"

วาลองซ์และไอวี่มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

 

ไอวี่ดูลังเลเล็กน้อย "แต่...แต่เราไม่เคยออกจากป่านี้มาก่อนเลย ""เราชอบอยู่คนเดียวมากกว่า"

 

คาริสาวางมือลงบนไหล่ของไอวี่ "ไม่ต้องกลัว เธอจะปลอดภัย มีเราอยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง การเดินทางจะช่วยให้เธอได้เรียนรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง"

 

วาลองซ์ยิ้มให้ไอวี่ "ผมก็เพิ่งมาที่นี่เหมือนกัน เราน่าจะช่วยกันได้นะ"

 

ไอวี่มองวาลองซ์แวบหนึ่ง "ก็...อาจจะลองดูก็ได้มั้ง" ไอวี่พูดเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าตกลง "ก็ได้ เราจะไปกับพวกเธอ แต่ถ้านายทำอะไรโง่ๆ ล่ะก็ เราจะไม่ปล่อยนายไว้แน่" เธอขู่ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก

 

วาลองซ์ยิ้มบางๆ "ผมก็หวังว่าคุณจะไม่ระเบิดอะไรโดยไม่จำเป็นเหมือนกัน"

 

คาริสายิ้มกว้าง "ดีมาก งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเลย" นางชี้ไปทางทิศตะวันตก "เมืองหลวงอยู่ทางนั้น เราน่าจะใช้เวลาเดินทางสักสองสามวัน"

 

ทั้งสามเริ่มออกเดินทาง โดยมีคาริสานำหน้า วาลองซ์และไอวี่เดินตามหลัง พวกเขาเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ด้วยความตื่นเต้นและความหวัง โดยไม่รู้เลยว่าอะไรรออยู่เบื้องหน้า

 

ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า แสงสุดท้ายของวันก็เริ่มจางหาย เงาของต้นไม้ใหญ่ทอดยาวบนพื้น สร้างบรรยากาศลึกลับและน่าค้นหา การเดินทางของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขา และอาจรวมถึงโชคชะตาของทั้งเกาะลูน่าด้วย